วาสนาบันดาลรัก 224

Now you are reading วาสนาบันดาลรัก Chapter 224 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจินเมี่ยวมองโลหิตที่ติดเต็มมือของอีกฝ่าย น้ำตาพลันคลอเบ้าขึ้นมา นางกุมที่ท้องน้อยตนแล้วเอ่ยถามว่า “ซื่อจื่อ เหตุใดจึงรู้สึกว่าตำแหน่งที่เจ็บนั้นมิถูกต้องเล่า?” 

 

 

ตามที่เล่าลือกันมิใช่บอกว่าจะเจ็บที่ส่วนล่างจนแทบเป็นแทบตายมิใช่หรือ เหตุใดนางจึงปวดที่ท้องเล่า? 

 

 

หลัวเทียนเฉิงมองมือสองข้างของตน แล้วมองไปยังที่แห่งหนึ่ง แล้วเอ่ยพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อว่า “อันใดกัน ข้ายังมิได้ล่วงล้ำเจ้าแม้เพียงน้อยนิด แล้วจะมีเลือดออกได้อย่างไร?” 

 

 

หรือเพราะมิได้ร่วมอภิรมย์กับหญิงสาวมานาน เขาจึงมิอาจควบคุมแรงของตนได้? 

 

 

คนทั้งสองต่างจ้องมองกันด้วยสีหน้ามึนงง 

 

 

ฉับพลันหลัวเทียนเฉิงก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที เขาสะบัดมือออกอย่างรีบร้อนพลางเอ่ยอย่างมีโทสะว่า “คุณหนูสี่ เจ้า…เจ้าช่างเก่งกาจยิ่งนัก!” 

 

 

“ห๊ะ?” 

 

 

“ระดูเจ้ามาแล้ว!” 

 

 

เจินเมี่ยวนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งจึงมีสติคืนมาได้ นางจึงรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดบังร่างตนไว้ แล้วมองนางอีกฝ่ายด้วยความลังเลแต่สุดท้ายก็มิได้เอ่ยอันใดออกมา 

 

 

“มิต้องขอโทษ ข้าไม่ให้อภัยเจ้าเสียหรอก!” หลัวเทียนเฉิงหยิบกางเกงตัวหนึ่งขึ้นมาเช็ดที่มือตนด้วยใบหน้าถมึงทึง 

 

 

“กางเกงนั้นเป็นของข้า” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงโกรธจนหัวเราะออกมา “ไม่ใช้ของเจ้าเช็ด แล้วจะให้ใช้ของข้าเช็ดหรือไร? เจ้ายังพูดกับสาวใช้ได้ว่าไม่ทันระวังจึงทำเปื้อน แต่หากใช้ของข้าเช่น ข้าจะพูดอย่างไรเล่า?” 

 

 

เจินเมี่ยวกำผ้าห่มแน่นไม่พูดจา 

 

 

“ข้าจะไปห้องอาบน้ำ” เมื่อใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว หลัวเทียนเฉิงก็ลงจากเตียงไปด้วยสีหน้าดำคล้ำ เมื่อมิได้ยินเสียงเคลื่อนไหวใดๆ เลยจากที่ด้านหลัง จึงอดหันไปมองมิได้ 

 

 

เขาเห็นเจินเมี่ยวขมวดคิ้วนิ่วหน้า ขดตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มอย่างน่าสงสาร 

 

 

หลัวเทียนเฉิงพลันก้าวเท้าไม่ออกไปในทันใด เขาหมุนตัวกลับมานั่งลงบนเตียง เอ่ยปลอบนางอย่างอดทนว่า “อย่าเสียใจไปเลย รอให้ร่างกายเจ้าสะอาดหมดจนเสียก่อน เหตุใดข้าชดเชยให้เจ้ามิได้เล่า?” 

 

 

เจินเมี่ยวแทบพ่นโลหิตออกมาแล้ว 

 

 

ในหัวใจของสามีผู้ยิ่งใหญ่ นางดูกระหายอยากเพียงนั้นเชียวหรือ 

 

 

คิดถึงตรงนี้แล้วก็อดสูดลมหายใจเข้าทางปากไม่ได้ ที่จริงแล้วพวกเขาล้วนผิดทั้งสิ้น แรกเริ่มที่หลัวเทียนเฉิงแต่งกับนางต้องมิใช่เพราะต้องการรับผิดชอบนางอย่างแน่นอน แต่คงคิดว่านางควรจักต้องรับผิดชอบต่อเขามากกว่า!  

 

 

“เด็กดี เป็นเช่นนี้แล้ว มิอาจทำต่อไปได้จริงๆ มันไม่ดีต่อทั้งเจ้า…และข้า” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยใบหน้าแดงเรื่อเล็กน้อย 

 

 

นับวันเขาก็ยิ่งใจอ่อนต่อนางมากขึ้นเรื่อยๆ หากเป็นสตรีอื่นทำตัวไร้เหตุผลเช่นนี้ เขาย่อมไม่มีทางใส่ใจแม้แต่น้อย 

 

 

“ท่านเข้าใจข้าถึงเพียงนี้ ข้าคงต้องขอบคุณท่านยิ่งแล้ว!” เจินเมี่ยวปัดมือเขาออกด้วยความโมโห 

 

 

“เจ้าโกรธเคืองอันใดข้ากันแน่?” หลัวเทียนเฉิงเขยิบเข้าไปใกล้ แต่เมื่อคิดว่ายังมิได้ล้างมือจึงระงับความอยากที่จะลูบใบหน้านางเอาไว้ 

 

 

ความเจ็บปวดจู่โจมเข้ามาเป็นระลอกๆ เจินเมี่ยวมิสนใจถกเถียงกับคำถามอันน่าละอายนี่กับเขาแล้ว นางได้แต่กัดฟันเอ่ยว่า “ปวดท้อง” 

 

 

“ปวดท้อง?” เมื่อเห็นใบหน้าอันซีดขาวของเจินเมี่ยว หลัวเทียนเฉิงก็รีบยกมือขึ้นวางลงไปบนท้องนาง แล้วนวดเบาๆ พลางเอ่ยถาม “เป็นเพราะระดูมาหรือ?” 

 

 

“ท่านไม่ทราบ?” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงขมวดคิ้วมุ่น “ข้าควรต้องทราบหรือ?” 

 

 

เจินเมี่ยวอึ้งงันไป แล้วเข้าใจขึ้นมาในทันที 

 

 

การที่สตรีปวดท้องเมื่อยามระดูมานั้นมินับเป็นเรื่องที่น่าจะทราบได้จริงๆ สำหรับบุรุษที่ถูกย่าเลี้ยงดูมาตั้งแต่เยาว์วัยเช่นหลัวเทียนเฉิง 

 

 

“อาจกล่าวได้ว่า สตรีส่วนมากมักปวดท้องเมื่อระดูมา” เจินเมี่ยวขมวดคิ้ว เริ่มรู้สึกไม่สบายตัวขึ้นเรื่อยๆ “ท่านออกไปก่อนเถิด แค่เรียกพวกจื่อซูเข้ามาปรนนิบัติข้าก็พอแล้ว” 

 

 

“ได้ เช่นนั้นเจ้านอนพักก่อนเถิด” 

 

 

ครั้นหลัวเทียนเฉิงเดินออกไปพ้นประตู ครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ก้าวเท้าไปยังเรือนปีกข้างฝั่งตะวันตก 

 

 

เชวี่ยเอ๋อร์เห็นแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องทันที 

 

 

จื่อซูและสาวใช้คนอื่นๆ เพิ่งจะทำดูแลปรนนิบัติเจินเมี่ยวเรียบร้อยไป ตอนนี้นางกำลังนั่งพิงหมอนอิงจิบน้ำร้อนอยู่ 

 

 

“ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกแล้วหรือ?” 

 

 

“มิใช่เจ้าค่ะ” เชวี่ยเอ๋อร์เอ่ยอย่างโกรธเคืองว่า “ต้าไหน่ไหน่เจ้าค่ะ เมื่อครู่บ่าวเห็นซื่อจื่อเดินไปทางเรือนปีกข้างฝั่งตะวันตกเจ้าค่ะ!” 

 

 

ครั้นวาจานี้กล่าวออกไปแล้ว มือที่ถือถ้วยชาของเจินเมี่ยวก็พลันชะงักไปครู่หนึ่ง 

 

 

จื่อซูกับไป๋เสาต่างหันไปมองค้อนให้เชวี่ยเอ๋อร์โดยแรง 

 

 

เชวี่ยเอ๋อร์ไม่ทราบว่าตนได้ทำอันใดร้ายแรงลงไปจึงได้แต่บีบอาภรณ์ตนพลางกะพริบตาปริบๆ 

 

 

“อืม ข้ารู้แล้ว” เจินเมี่ยววางถ้วยชาลง “พวกเจ้าออกไปเถิด ข้าจะนอนสักหน่อย” 

 

 

จื่อซูส่งสายตาคราหนึ่ง คนทั้งหลายก็ออกไปจนหมด 

 

 

จื่อซูเอ่ยปลอบขึ้นว่า “ต้าไหน่ไหน่ ท่านอย่าได้นำมาใส่ใจเลย ซื่อจื่อเพียงแค่กลัวจะรบกวนเวลาพักผ่อนของท่าน” 

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆ 

 

 

เพราะระดูมาจึงมิอาจกระทำเรื่องราวให้สำเร็จลงได้ สามีจึงไปร่วมหลับนอนกับสาวใช้ทงฝัง เรื่องนี้ทำให้รู้สึกหงุดหงิดมากกว่าการที่สามีไปร่วมหลับนอนกับสาวใช้ทงฝังตามวันเวลาที่กำหนดไว้เสียอีก! 

 

 

หากเป็นอย่างหลังก็นับว่าใบไม้กิ่งก้านเป็นดั่งผ้าม่านปิดบังความอับอายไว้ แต่อย่างหลังนั้นเท่ากับการตบหน้านางจนดังเพี๊ยะๆ เลยทีเดียว 

 

 

เจ้าคนชั่วช้า ต่อไปจะไม่ยอมให้เขากอด ไม่ยอมให้เขาลูบคลำอีกต่อไป ให้เขาไปมีลูกวานรกับบรรดาสาวใช้ทงฝังเถิด! 

 

 

ครั้นเห็นเจินเมี่ยวไม่พูดจา จื่อซูก็กลัวว่านางจะทำตัวไม่ถูก จึงจัดมุมผ้าห่มให้นางครู่หนึ่งแล้วถอยออกไปเงียบๆ 

 

 

ไป๋เสากำลังเอ่ยตำหนิเชวี่ยเอ๋อร์อยู่ “เชวี่ยเอ๋อร์ เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว เหตุใดถึงได้ทำเรื่องสะเพร่าเช่นนี้ได้ เจ้าลืมเรื่องของเสี่ยวฉานที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้แล้วหรือ!” 

 

 

“ข้า…ก็ข้าโกรธที่เห็นซื่อจื่อไปเรือนปีกข้างฝั่งตะวันตกจึงได้รีบไปบอกต้าไหน่ไหน่อย่างไรเล่า” 

 

 

ไป๋เสายกนิ้วขึ้นดีดหน้าผากนางคราหนึ่ง “แม้แต่เจ้ายังโกรธแล้วต้าไหน่ไหน่เล่า? เพื่อจะออกมาจากห้องต้าไหน่ไหน่แท้ๆ แต่กลับตรงไปยังเรือนปีกข้างฝั่งตะวันตกทันที ต้าไหน่ไหน่ทราบเข้าจะไม่มีโทสะได้อย่างไร?” 

 

 

“หรือ…หรือต้องปิดบังต้าไหน่ไหน่ไว้?” เชวี่ยเอ๋อร์เอ่ยถามอย่างสงสัย 

 

 

จื่อซูจึงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “เรื่องที่ต้าไหน่ไหน่เอ่ยถามย่อมมิอาจปิดบัง แต่เรื่องที่ทำให้ต้าไหน่ไหน่ต้องหงุดหงิดเจ้าจะเอ่ยขึ้นมาเพื่อประโยชน์อันใดหรือ? แค่สาวใช้ทงฝังไม่กี่คน ต้าไหน่ไหน่ไปกลั่นแกล้งคิดแค้นกับพวกนางขึ้นมาต่างหากจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรค่าอย่างยิ่ง” 

 

 

“ถูกต้อง ยามนี้ต้าไหน่ไหน่เจริญวัยเต็มที่แล้ว เรื่องที่ต้องคิดนั้นมีมากมายนัก สาวใช้ทงฝังแค่สามคนนั้นเทียบไม่ได้แม้แต่วานรตัวหนึ่ง ยังจะสามารถพลิกแผ่นดินแผ่นฟ้าอันใดได้? ขอแค่จับตาพวกนางไว้มิให้มาก่อความวุ่นวายให้ต้าไหน่ไหน่ก็พอแล้ว” ไป๋เสาเอ่ยเสริม 

 

 

“ข้าทราบแล้ว ขอบคุณพี่สาวทั้งสองที่ชี้แนะ” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงเพียงก้าวเข้าไปในเรือนปีกข้างฝั่งตะวันตก สาวใช้ทงฝังทั้งสามก็ดีใจจนแทบเสียสติแล้ว พวกนางต่างเบียดตัวกันเข้ามารุมล้อมเขา 

 

 

“เลิกเบียดผลักกันได้แล้ว เข้ามาทั้งหมดนั้นแล” หลัวเทียนเฉิงก้าวเท้าเข้าไปในห้องที่ใกล้ที่สุด 

 

 

ด้วยกัน? 

 

 

สาวใช้ทงฝังทั้งสามมองหน้ากัน 

 

 

หมายความว่าอย่างไรกัน? 

 

 

หรือ…หรือซื่อจื่อคิดจะ….กับพวกนางทั้งสามคนในคราวเดียว? 

 

 

คนทั้งสามมีสีหน้าแปลกใจขึ้นมาทันที 

 

 

“ยังมัวเหม่อลอยอันใดกันอยู่อีก?” หลัวเทียนเฉิงเห็นว่าไม่มีผู้ใดตามเข้ามาจึงขมวดคิ้วพลางกล่าวเร่ง 

 

 

“เจ้าค่ะ” คนทั้งสามเอ่ยรับคำ แล้วรีบก้มหน้าเดินเข้าไปทันที 

 

 

เฉินอวี๋ลอบเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟัน นี่เป็นห้องของนาง หรือซื่อจื่อจะให้ตัวอัปรีย์ทั้งสองนั้น…บนเตียงของนาง 

 

 

ทว่าหากนางไม่ยอมแล้วทำให้ซื่อจื่อโมโห ต่อไปพวกนางทั้งสองคงมีชัยเหนือกว่านางแน่ 

 

 

ลั่วเยี่ยนกับซิ่วฮวาเองก็มีความลังเลอยู่เต็มหัวใจ 

 

 

การที่พวกนางทั้งสามเข้าปรนนิบัติซื่อจื่อพร้อมกันเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายเหลือเกินจริงๆ 

 

 

เมื่อหลัวเทียนเข้าไปในห้องก็มองหาเก้าอี้นั่งตามอัธยาศัยตน ครั้นหันกลับมาก็เห็นสาวน้อยผู้งดงามทั้งสามทีท่าทีเขินอายขลาดกลัว จึงอดถามไม่ได้ว่า “ขวยอายอันใดกัน?” 

 

 

คนทั้งสามพลันได้สติ 

 

 

ใช่แล้ว ซื่อจื่อมิได้แตะต้องพวกนางมาปีกว่าแล้ว หากพลาดโอกาสนี้ไป ภายหน้าคงยากจะมีโอกาสอีก 

 

 

“ซื่อจื่อ จะให้…ผู้ใดก่อนหรือเจ้าคะ?” อย่างไรก็เป็นห้องของนาง เฉินอวี๋จึงเริ่มเอ่ยปากขึ้นก่อน 

 

 

“ได้ทั้งสิ้น” เขาเพียงจะมาถามบางอย่างนั้น มิจำเป็นต้องต่อแถวอันใด 

 

 

“คือ เรื่องนี้พวกเราคงมิกล้าตัดสินใจ…” 

 

 

“เช่นนั้นก็พร้อมกันเถิด” 

 

 

สาวน้อยผู้งดงามทั้งสามต่างหน้าแดงก่ำดั่งถูกไฟลนขึ้นมาทันใด 

 

 

หลัวเทียนเฉิงกวาดตามองคราหนึ่ง 

 

 

ป่วยหรือไร ใบหน้าถึงได้แดงก่ำปานนั้น 

 

 

“ซื่อจื่อ เตียงของข้า…เกรงว่าจะมิอาจรับน้ำหนักของคนจำนวนมากเพียงนี้ได้เจ้าค่ะ” ช่างน่าอับอายเหลือเกินแล้ว เหตุใดซื่อจื่อถึงได้อาจหาญเพียงนี้ หรืออยู่ข้างนอกนานเกินไปทำให้อัดอั้นจนเป็นเช่นนี้?“นั่งบนเก้าอี้ก็จบแล้วมิใช่หรือ” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยอย่างรำคาญ 

 

 

เขาอยู่กับอาซื่อนานเกินไปหรือ เหตุใดจึงได้รู้สึกว่าการสนทนากับสาวใช้ทงฝังเหล่านี้ช่างลำบากนัก? 

 

 

ยังดีที่เขาแค่มาถามเพียงหนึ่งถามเท่านั้น 

 

 

“บนเก้าอี้?” สาวน้อยผู้งดงามทั้งสามต่างปิดปากร้องขึ้นด้วยความตกใจพร้อมกัน 

 

 

นี่…มันช่างเป็นเรื่องน่าอับอายเหลือเกินจริงๆ! 

 

 

“เอาล่ะ เลิกชักช้าได้แล้ว ข้ายังต้องรีบกลับไปอีก!” 

 

 

สาวน้อยผู้งดงามทั้งสามพลันเข้าใจขึ้นมาทันที 

 

 

ที่แท้ซื่อจื่อก็เห็นรูโหว่จึงรีบสอดเข็มเข้ามา มิน่าถึงต้องการให้พวกนางสามคนปรนนิบัติพร้อมกัน 

 

 

โอกาสนั้นเสียไปแล้วยากจะได้คืน! 

 

 

ภายในช่วงเวลาอันคับขันเช่นนี้ สาวน้อยผู้งดงามทั้งสามจึงยื่นมือไปปลดสายรัดเอวของตนอย่างรวดเร็ว 

 

 

หลัวเทียนเฉิงลุกยืนขึ้นทันที แล้วเอ่ยถามออกไปด้วยใบหน้าถมึงทึง ไม่แม้แต่จะสนใจเก้าอี้ที่ล้มคว่ำลงไปด้วยซ้ำ “พวกเจ้าทำอันใดกัน?” 

 

 

คนทั้งสามต่างหันไปมองหน้ากัน 

 

 

เรื่องที่ทำได้เพียงเข้าใจแต่มิอาจพูดอันใดออกไปได้เช่นนี้ จะให้พวกนางตอบว่าอย่างไรเล่า? 

 

 

สตรีของหลัวเทียนเฉิงในชาติก่อนนั้น นอกจากการมีความสัมพันธ์ที่เย็นชากระทั่งเรียกได้ว่าเยือกเย็นเป็นน้ำแข็งกับนางเจินแล้ว เขาก็มีสาวใช้ทงฝังอยู่เพียงแค่นี้เท่านั้น ภายหลังมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย เมื่อตำแหน่งสูงขึ้นอำนาจมากขึ้นเขาก็มิได้แต่งภรรยาอีก ความเข้าใจต่อสตรีจึงพูดได้ว่ามีสักเท่าใด 

 

 

แต่ต่อให้เขาหัวทึบเพียงใด เมื่อเห็นคนทั้งสามปลดสายรัดเอวด้วยท่าทีเขินอายขลาดกลัวก็เข้าใจได้ในทันที ยามนั้นจึงหน้าบึ้งถมึงทึงยิ่งกว่าเดิม แค้นเคืองจนอยากจะยกเท้าเดินหนีจากไป 

 

 

เหลือเกินจริงๆ สตรีสามคนนี้เห็นเขาเป็นเหล็กกล้าหรือไร ถึงได้คิดจะเข้ามาพร้อมกันเช่นนั้น! 

 

 

มิใช่ เรื่องสำคัญมิได้อยู่ที่ตรงนี้เสียหน่อย 

 

 

เรื่องที่น่าอับอายเช่นนี้ พวกนางคิดออกมาได้อย่างไร? 

 

 

เขาข่มกลั้นความรู้สึกที่อยากจะเดินออกไปจากที่นี่เอาไว้แล้วเอ่ยถามว่า “ยามระดูพวกเจ้ามา หากปวดท้อง พวกเจ้าทำเช่นใด?” 

 

 

เมื่อได้รับคำตอบที่น่าพอใจ หลัวเทียนเฉิงก็ทิ้งสาวใช้ทงฝังที่ทำหน้าอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตาไว้ด้านหลังแล้วรีบจากไปทันที 

 

 

เมื่อกลับถึงห้องตำราก็ค้นหาโถน้ำร้อน[1]ที่เล็กและสวยงามประณีตแล้วเทน้ำร้อนลงไปพร้อมทั้งห่อด้วยผ้าขนสุ่ยเตียว[2] แล้วก้าวเท้าเดินมุ่งไปยังห้องเจินเมี่ยว 

 

 

เจินเมี่ยวโกรธจนนอนไม่หลับจึงกำลังนับแกะอยู่ เมื่อได้ยินเสียงคนมาจึงหันไปมองคราหนึ่ง นางคิดในแง่ร้ายทันทีว่า รวดเร็วปานนี้คงกระทำการไม่สำเร็จกระมัง 

 

 

“อาซื่อ ดีขึ้นแล้วหรือไม่?” 

 

 

เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากไม่พูดจา 

 

 

หลัวเทียนเฉิงส่งโถน้ำร้อนให้นางทันที “ข้าไปถามมาแล้ว พวกนางบอกว่าใช้สิ่งนี้ได้ผลยิ่ง” 

 

 

เจินเมี่ยวมองโถน้ำร้อนนั้นแล้วอึ้งไปครู่หนึ่ง ความอบอุ่นที่เกิดขึ้นในใจนั้นขับไล่ความเจ็บปวดออกไปมากกว่าครึ่งแล้ว 

 

 

“ข้าช่วยวางใส่ให้เจ้าเอง” 

 

 

“ข้าทำเองดีกว่า” เจินเมี่ยวรับมายัดใส่ไว้ในผ้าห่มตนแล้ว ค่อยๆ ขยับโถน้ำร้อนที่วางอยู่บนท้องตนไปไว้ด้านข้าง 

 

 

เมื่อถึงงานเลี้ยงฉลองยามค่ำคืน เจินเมี่ยวก็ดีขึ้นมาบ้างแล้วจึงยังคงไปร่วมงาน ยามนี้เองจึงเพิ่งทราบว่าตระกูลนางส่งท่านลุงรองและพี่ใหญ่ไปตามหานางที่เป่ยเหอ 

 

 

“หลานสะใภ้วางใจเถิด เมื่อกลางวันได้เขียนสารส่งไปแจ้งแล้ว คาดว่าใช้ม้าเร็วสักสามสี่วันก็คงถึงแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปลอบ 

 

 

“ทำให้ท่านย่าต้องเป็นห่วงแล้ว” 

 

 

นางชีเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่เป็นสี่ม่วงอ่อน เกล้าผมมัดเป็นมวยหางม้า ทั้งเหน็บดอกชบาใหญ่ไว้บนหูทำให้ดูสาวขึ้นจากในอดีตนับสิบปี 

 

 

เจินเมี่ยวเห็นแล้ว พลันรู้สึกขาหมูหอมอร่อยมากยิ่งขึ้นไปอีก จึงอดกินมากสักหน่อยมิได้ 

 

 

หลัวเทียนเฉิงลอบสะกิดนางคราหนึ่ง “ยามนี้เจ้ามิควรกินของมันจัด” 

 

 

เมื่องานเลี้ยงฉลองสิ้นสุด ทุกคนต่างก็แยกกลับเรือนตน นายท่านรองสกุลหลัวก็หน้าตาบึ้งตึงขึ้นมาทันที 

 

 

นางเถียนมองแล้วก็พาให้หงุดหงิดจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านพี่ทำหน้าเช่นนี้ไปไย ท่านต่อว่าเจ้าสามไปเมื่อกลางวันนั้นยังไม่พออีกหรือ?” 

 

 

เมื่อคิดถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความตกใจของเจ้าสาม นางก็รู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา 

 

 

หากบุตรชายที่แสนดีมีใจออกห่างจะทำฉันใดเล่า! 

 

 

“เจ้าจะรู้อันใด แค่เพียงต้าหลังกลับมา ต่อไปก็ไม่มีที่ให้เราได้ออกเสียงอันใดแล้ว!” 

 

 

“แล้วจะทำอันใดได้ ผู้ให้พวกเขาดวงดีปานนั้นเล่า!” เอ่ยถึงตรงนี้ นางเถียนก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นมา “ท่านพี่ทราบหรือไม่ว่าระดูของนางเจินมาแล้ว ไม่แน่ว่าผ่านไปอีกไม่กี่เดือนนางก็อาจตั้งครรภ์ก็ได้ เช่นนั้นคงยุ่งยากมากเป็นแน่!” 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] โถน้ำร้อน หรือในภาษาจีนคือทังผอจื่อ (汤婆子) ซึ่งมีมาตั้งแต่ราชวงศ์ซ่ง โถน้ำร้อนจะมีรูปทรงกลมแบน มักทำมาจากทองแดง ดีบุก หรือเซรามิก ด้านในกลวง ด้านบนมีรูสำหรับใส่น้ำร้อน มีฝาปิด มีหูหิ้วด้านบนคล้ายกาน้ำชาเล็กๆ  

 

 

[2] ขนสุ่ยเตียว คือขนมิงค์ 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด