วาสนาบันดาลรัก 287 อานจวิ้นอ๋อง

Now you are reading วาสนาบันดาลรัก Chapter 287 อานจวิ้นอ๋อง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“แม่นมหนิวจะพูดอันใดหรือ?” เจินเมี่ยวเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า

 

 

แม่นมหนิวกลับยิ่งไม่พอใจ นางเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “พระราชนัดดาทรงสูงศักดิ์ยิ่ง พวกเราดูแลไม่ครบถ้วนจนพระองค์ถูกแมวข่วน บ่าวมิกล้าปิดบังว่าได้ส่งคนกลับไปตำหนักเพื่อรายงานเรื่องนี้ต่อองค์ชายสามแล้ว หวังว่าถึงตอนนั้นเซี่ยนจู่จะช่วยขอร้องให้องค์ชายไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

 

 

วาจานี้ของแม่นมหนิวนั้นเห็นชัดว่าเป็นคำขอร้อง แต่ความจริงคือเจตนาทำให้เจินเมี่ยวกลัดกลุ้ม

 

 

พระราชนัดดาพำนักอยู่ที่เรือนชิงเฟิง ต่อมากลับถูกแมวที่เรือนชิงเฟิงเลี้ยงไว้ข่วน แม่นมหนิวและบ่าวไพร่คนอื่นๆ ย่อมต้องถูกตำหนิ แต่จะว่าไปแล้วผู้ที่ควรจะถูกลงโทษยิ่งกว่าพวกนางก็คือคนในเรือนชิงเฟิง

 

 

คิดไม่ถึงว่าเจินเมี่ยวจะพยักหน้าแล้วพูดว่า “แม่นมหนิววางใจได้ รอให้ข้าสอบถามเรื่องนี้ชัดเจนแล้ว หากองค์ชายสามตำหนิลงมา ข้าจักอธิบายให้พระองค์เข้าใจเอง”

 

 

แม่นมหนิวลอบบิดเบ้ปากตนแล้วเอ่ยว่า “พระราชนัดดายังคงต้องอยู่ที่นี่ไปอีกสักพัก ตามความเห็นบ่าวแล้ว เรามิควรเก็บแมวตัวนั้นไว้อย่างเด็ดขาดเจ้าค่ะ”

 

 

แม่นมหรงก็เอ่ยสำทับต่อว่า “ยังมีเจ้านกเอี้ยงนั้นอีก บ่าวเห็นกรงเล็บของมันช่างแหลมคมนัก นั้นยิ่งมิอาจเก็บเอาไว้ได้เจ้าค่ะ!”

 

 

เจินเมี่ยวหุบยิ้มทันใดแล้วกวาดตามองคนทั้งสองอย่างเย็นชา นางเอ่ยเนิบนาบขึ้นว่า “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าแม่นมหนิวกับแม่นมหรงนั้นสามารถออกความคิดเห็นเกี่ยวกับเรือนชิงเฟิงได้!”

 

 

นางหน้าบึ้งตึงทันทีทั้งพูดจาไม่ไว้ไมตรีสักนิด ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มนี้พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม การเปลี่ยนแปลงอันเด่นชัดนี้ทำให้แม่นมหนิวและคนอื่นๆ นิ่งอึ้งไปทันที

 

 

แม่นมหนิวลอบอยู่ในอยู่เช่นกัน นางเห็นว่าเซี่ยนจู่ท่านนี้ไร้เดียงสาตรงไปตรงมา อุปนิสัยใสซื่อมิใคร่รู้ความอันใดทั้งยังใจอ่อนมีเมตตา แต่กลับไม่คิดว่าถึงครามิพอใจก็จะแสดงออกอย่างร้ายกาจถึงเพียงนี้

 

 

ครั้นคิดได้เช่นนี้ก็พลันรู้สึกเสียใจขึ้นมา

 

 

นางเป็นเพียงบ่าว หากเกิดไปล่วงเกินเจียหมิงเซี่ยนจู่อย่างรุนแรง องค์ชายสามยังจะออกหน้าแทนหน้างั้นหรือ?

 

 

ยิ่งมิต้องพูดถึงน้ำหนักในวาจาของเจียหมิงเซี่ยนจู่เลย หากเป็นเช่นนั้นนางและแม่นมหรงคงต้องตายแน่!

 

 

ครั้นคิดได้เช่นนี้ ท่าทีก็พลันอ่อนลงทันใด “บ่าวมิบังอาจเจ้าค่ะ บ่าวเป็นเพียงทาส ไหนเลยจะมีความกล้าเช่นนั้น ที่บ่าวพูดเป็นเพียงความห่วงใยต่อพระราชนัดดาเท่านั้นเจ้าค่ะ”

 

 

แม่นมหรงเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ตะลึงอยู่ในใจ แต่มิกล้าเผยสีหน้าอันใด ทำเพียงเอ่ยขออภัยตามแม่นมหนิว

 

 

แต่เจินเมี่ยวยังคงมีสีหน้าบึ้งตึงเช่นเดิม

 

 

มิต้องพูดถึงว่าแมวขาวตัวนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงที่ซื่อจื่อมอบให้นาง แต่จิ่นเหยียนที่อยู่กับนางมาตลอดนั้น สำหรับนางแล้วนกตัวนั้นมันมิใช่เพียงนกเอี้ยงธรรมดาทั่วไป นางเห็นมันเป็นดั่งสหายรู้ใจผู้หนึ่งเลยทีเดียว เมื่อสาวใช้ทั้งสองพูดจาโดยหวังเอาชีวิตของจิ่นเหยียนเช่นนี้ นางมีหรือจะไม่โกรธเคือง

 

 

จู่ๆ นางก็ต้องมาคอยปรนนิบัติพระราชนัดดาอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ นางมิเคยคิดถึงผลประโยชน์ แต่ก็มิจำเป็นต้องยอมจนเดือดร้อนตนเองกระมัง!

 

 

นางจึงเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “จะว่าไปแล้ว ข้าเองก็มิได้มีประสบการณ์ในการเลี้ยงเด็ก พระราชนัดดาทรงสูงศักดิ์เพียงนั้น ประเดี๋ยวคนของตำหนักองค์ชายสามมาถึงก็ให้คุ้มครองพระองค์กลับไปด้วยแล้วกัน ถึงตอนนั้นข้าจะขอรับโทษจากองค์ชายสามเอง”

 

 

ครั้นวาจานี้เอ่ยออกไป จิ่งเกอก็กลับไม่ยินยอมกว่าผู้ใด เขาเบ้ปากแล้วร้องไห้ออกมาเสียงดัง “ท่านแม่ จิ่งเกอเชื่อฟังท่าน ยอมเรียกท่านว่าท่านอา เหตุใดท่านยังจะให้จิ่งเกอไปอีกเล่า!”

 

 

พูดพลางโดดลงจากเตียงวิ่งเข้าไปตรงหน้าแม่นมหนิวแล้วยกเท้าขึ้นถีบนางคราหนึ่ง

 

 

อย่าคิดว่าเขาเป็นเพียงเด็กน้อยอายุห้าปี หากเมื่อออกแรงสุดกำลังแรงนั้นก็หนักหน่วงไม่น้อย แม่นมหนิวร้องโอ๊ยออกมาเสียงหนึ่งแล้วล้มนั่งลงไปกับพื้น สีหน้านั้นซีดเผือดยิ่ง

 

 

เจินเมี่ยวเดินเข้าไปหา นางอุ้มจิ่งเกอส่งให้อาหลวน แล้วกลับไปยังห้องโถงทิ้งให้แม่นมหลิวและบ่าวไพร่ทั้งหลายต่างมองหน้ากันอยู่เช่นนั้น

 

 

“เจียหมิงเซี่ยนจู่ผู้นี้ช่างหยิ่งยโสโอหังเหลือเกินจริงๆ!” แม่นมหรงโกรธจนต้องกัดฟันไว้

 

 

สาวใช้หลายคนก็เอ่ยคล้อยตามว่า “แม่นมหรงพูดถูก แม่นมหนิวท่านดูเถิด พระราชนัดดาบาดเจ็บ เจียหมิงเซี่ยนจู่กลับมิกลัวองค์ชายสามทรงตำหนิดแม้สักน้อยนิด”

 

 

ท่าทีไม่พอใจของเจินเมี่ยวในครั้งนี้ทำให้แม่นมหนิวมีคิดขึ้นมาได้ เมื่อได้ยินคนทั้งหลายต่างบ่นว่านางจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มขืนว่า “เจียหมิงเซี่ยนจู่กลัวจะล่วงเกินองค์ชายสามหรือไม่นั้นข้าไม่ทราบได้ แต่คงไม่กลัวที่จะล่วงเกินพวกเราแน่ๆ”

 

 

“แต่พวกเราเป็นตัวแทนขององค์ชายสามนะเจ้าค่ะ” สาวใช้ผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยินยอม

 

 

แม่นมหนิวแค่นยิ้มพลางเอ่ยว่า “ขอเตือนให้พวกเจ้าเก็บความคิดนี้ไปเสีย พวกเราเป็นเพียงบ่าวไพร่จะมีเกียรติยศอันใดกัน ต่อให้ตำหนักองค์ชายต้องเสื่อมเสียพระเกียรติจริง แต่ไม่ว่าพระทัยขององค์ชายสามจะคิดเช่นไร แต่ยอมล่วงเกินเจียหมิงเซี่ยนจู่เพราะพวกเราหรือ? เกรงว่าสิ่งแรกที่จะทำคงเงื้อดาบเข้าใส่พวกเราก่อนเป็นแน่”

 

 

ครั้นเห็นเจินเมี่ยวพาพระราชนัดดากลับมา พระราชนัดดายังคงมีท่าทีชิดเชื้อกับเจินเมี่ยวอยู่ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ค่อยๆ วางใจลงได้

 

 

แต่นางเถียนกลับเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเป็นกังวลว่า “หลานสะใภ้ ประเดี๋ยวคนของตำหนักองค์ชายสามคงมาที่นี่แน่ จะจัดการบ่าวไพร่ที่ดูแลจวนไม่ดีอย่างไร และแมวที่ก่อเรื่องขึ้นตัวนั้นอีก เจ้าต้องคิดวิธีจัดการไว้ให้เรียบร้อย”

 

 

“อาสะใภ้รองวางใจ ข้ารู้ว่าต้องทำเช่นไร” เจินเมี่ยวพูดพลางมองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านย่า ใกล้จะถึงเวลาอาหารค่ำแล้ว ท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ เรื่องวันนี้ข้าจะสอบถามให้ละเอียดต่อเอง”

 

 

ก่อนหน้านี้เจ้านายเรือนชิงเฟิงไม่อยู่ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงคอยเฝ้าอยู่ที่นี่ แต่เมื่อเจินเมี่ยวเอ่ยเช่นนี้แล้วนางก็พยักหน้าแล้วกลับเรือนตนทันที

 

 

เมื่อทุกคนกลับไปหมดแล้ว เจินเมี่ยวก็เรียกอาหลวนเข้ามาถาม

 

 

เรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่มีอันใดเลย พระราชนัดดายังเล็กจึงชอบเล่นสนุก เมื่อรู้สึกเบื่อหน่ายจึงออกไปเล่นที่ลานหน้าเรือน ครั้นเห็นแมวขาวที่มีดวงตาคนละสีก็วิ่งเข้าไปหา บ่าวไพร่ยังมิทันได้วิ่งตามไปพระองค์ก็ถูกแมวขาวตัวนั้นข่วนเอาเสียแล้ว

 

 

เจินเมี่ยวฟังแล้วก็ได้แต่สงสัยอยู่ในใจ แมวปัวซืออุปนิสัยอ่อนโยน ปกติไม่เคยทำร้ายคน แล้วจู่ๆ มันจะข่วนพระราชนัดดาได้อย่างไร?

 

 

นางได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจแล้วเอ่ยถามต่อว่า “ไป๋เสวี่ยเล่า?”

 

 

อาหลวนจึงตอบว่า “ตอนนั้นแม่นมหนิวเอาแต่บอกว่าให้ตีไป๋เสวี่ยให้ตาย ชิงไต้จึงอุ้มไป๋เสวี่ยหนีมิให้พวกนางเข้าใกล้ได้”

 

 

ฉับพลันชิงไต้ที่กำลังถูกพูดถึงก็เดินเข้ามาในห้องแล้วคุกเข่าลงเอ่ยว่า “ต้าไหน่ไหน่ บ่าวมีเรื่องต้องเรียนเจ้าค่ะ”

 

 

เจินเมี่ยวเห็นท่าทีนางแล้วก็สั่งให้คนอื่นออกไป

 

 

ชิงไต้จึงเอ่ยว่า “ขอต้าไหน่ไหน่โปรดให้อภัยด้วย บ่าวได้นำไป๋เสวี่ยไปให้ซื่อจื่อโดยพลการ ซื่อจื่อให้บ่าวมาเรียนท่านว่าให้ท่านสบายใจได้ องค์ชายสามไม่มีทางทำอันใดเด็ดขาดเจ้าค่ะ”

 

 

“ไป๋เสวี่ยอยู่กับซื่อจื่อหรือ?” เจินเมี่ยวรู้สึกตกใจกับความรวดเร็วของชิงไต้ยิ่ง

 

 

ชิงไต้พยักหน้า “ไป๋เสวี่ยถูกฝึกจนเชื่องแล้วจึงได้นำมามอบให้ต้าไหน่ไหน่ วันนี้กลับทำร้ายพระราชนัดดาอย่างไร้สาเหตุ บ่าวรู้สึกว่ามันผิดวิสัยยิ่งจึงได้อุ้มมันไปให้องครักษ์ลับที่ด้านนอกนำไปให้ซื่อจื่อตรวจสอบ ซื่อจื่อบอกว่าท่านมิต้องกังวลใจเรื่ององค์ชายสาม ทุกอย่างซื่อจื่อจะจัดการเองเจ้าค่ะ”

 

 

ทุกอย่างเขาจะจัดการเอง

 

 

แต่คำพูดธรรมดาๆ ประโยคนี้กลับจู่โจมเข้าไปในหัวใจของเจินเมี่ยวในทันที ในหัวของนางพลันปรากฏใบหน้าหล่อเหลาและรูปร่างที่ผ่ายผอมไปไม่น้อยนั้นของเขาขึ้นมาวูบหนึ่ง

 

 

หัวใจดวงนั้นของเจินเมี่ยวคล้ายถูกสิ่งใดรัดรึงไว้เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมา มันรัดเสียจนนางรู้สึกเจ็บปวดและหวานล้ำไปพร้อมกัน นางบอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไรกันแน่แต่กลับคิดถึงคนผู้นั้นขึ้นมาเป็นพิเศษ

 

 

“ชิงไต้ ประเดี๋ยวเจ้าไปหาจื่อซูเอายาทาแก้ฟกช้ำที่ดีที่สุดกับน้ำแกงเนื้อแพะที่เคี่ยวเมื่อเช้านี้ไปให้ซื่อจื่อด้วย”

 

 

“เจ้าค่ะ” ชิงไต้ตอบรับเสียงสดใส รู้สึกดีใจแทนซื่อจื่อของตน

 

 

นางได้ยินองครักษ์ลับบอกว่า หลายวันมานี่ซื่อจื่อยุ่งจนแทบไม่ได้หลับได้นอน ทั้งที่เป็นเช่นนี้แต่ก็ยังกลับไปเยี่ยมจวนเป็นเพื่อนต้าไหน่ไหน่ทั้งวัน ครั้นกลับถึงศาลาว่าการก็คงต้องอดนอนอีกเช่นเคย เมื่อมีความห่วงใยนี้ของต้าไหน่ไหน่ คิดว่าความเหนื่อยล้าของซื่อจื่อน่าจะลดลงไปได้มากเลยทีเดียว

 

 

ครั้นใกล้ถึงยามอาหารค่ำคนจากตำหนักองค์ชายสามก็มาถึงจวนดั่งคาดไว้ แต่มิได้ตำหนิเรื่องที่พระราชนัดดาได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังส่งของขวัญมาขอบคุณเจินเมี่ยวที่ช่วยดูแลและย้ำอีกว่าคงต้องรบกวนให้ช่วยดูแลพระราชนัดดาอีกสักระยะหนึ่ง แล้วเอ่ยตำหนิแม่นมหนิวและบ่าวไพร่ที่ติดตามมาว่าทำหน้าที่บกพร่องจึงสั่งให้พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งของเจินเมี่ยว หากเกิดความผิดพลาดใดขึ้นอีกให้เจินเมี่ยวจัดการได้เลย

 

 

ครานี้เองแม่นมหนิวและเหล่าสาวใช้จึงต้องเก็บความภาคภูมิใจอันเกินเหตุของตนไว้ ดูสงบเสงี่ยมลงไม่น้อยเลยทีเดียว

 

 

นางเถียนได้ยินเรื่องนี้ก็ยิ่งเบื่อหน่ายจึงได้เอ่ยพูดจากับนายท่านรองสกุลหลัวตอนที่เขามาหา นายท่านรองสกุลหลัวแค่เสียงเย็นเอ่ยว่า “ก็เพราะต้าหลังเป็นคนโปรดของฝ่าบาทอย่างไรเล่า ได้ยินว่าหลายวันมานี่องค์ชายหลายพระองค์ต่างมิได้เห็นพระพักตร์ฝ่าบาทด้วยซ้ำแต่ต้าหลังกลับเข้าวังไปถึงสองคราแล้ว”

 

 

พูดพลางเอ่ยตำหนินางเถียนขึ้นมาอีกว่า “เจ้าสามก็มิใช่เด็กแล้วแต่กลับเที่ยวเล่นไปวันๆ การเรียนห่างไกลกับเจ้ารองที่โดดเด่นยิ่งนั้นยังพอทำเนา แต่อายุแค่นี้กลับเอาแต่พร่ำเพ้อถึงสตรี หึ ช่างไม่รู้จักมองดูต้าหลังบ้างเลย ตอนที่เขาอายุเท่าสามนั้นก็ได้ทำงานในกองทัพมังกรพยัคฆ์แล้ว!”

 

 

เรื่องนั้นของเจ้าสามมีความเกี่ยวพันกับเยียนเหนียง นางเถียนต่างหากที่รู้สึกทนไม่ได้อย่างที่สุดจึงได้เอ่ยประชดประชันไปว่า “จะเอาเจ้าสามไปเปรียบกับต้าหลังได้อย่างไร ต้าหลังเป็นขุนนางขั้นสามแล้ว ท่านพี่ก็ยังคงเป็นแค่ขุนนางขั้นหกเท่านั้น”

 

 

วาจานี้ทำให้นายท่านรองสกุลหลัวโมโหขึ้นมาทันใด เดิมเห็นว่านางเถียนล้มป่วยอยู่ทั้งเป็นช่วงเทศกาลวันตรุษจึงมิได้ไปที่เรือนตะวันตกเลย ครานี้มิอาจอดกลั้นโทสะจึงก้าวเท้าจากไปทันที

 

 

เหลือเพียงนางเถียนที่นั่งเสียใจที่ตนพลั้งปากไปเช่นนั้น แต่หากจะให้ไปขอร้องให้เขากลับมาเพียงเพราะสาวใช้ทงฝังนั้นนางมิอาจทำได้ จึงแต่ได้อดกลั้นเอาไว้แล้วร้องไห้ออกมากับตัวเอง

 

 

เมื่อหลัวเทียนเฉิงได้รับอาหารและยาทาแก้ฟกช้ำที่เจินเมี่ยวส่งไปให้ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาอย่างทันใด ครั้นมองรอยฟันบนมือตนแล้วกลับตัดใจทายาไม่ลง มุมปากเคลือบไปด้วยรอยยิ้มแต่กลับไม่มีผู้ใดทราบว่าเขาคิดอะไรอยู่

 

 

วันถัดมาเจินเมี่ยวก็ไปที่จวนหย่งอ๋องเพียงคนเดียว หย่งหวังเฟยกับชูสยาจวิ้นจู่นั้นอยู่พร้อมหน้าแต่กลับไม่พบหย่งอ๋อง

 

 

หย่งหวังเฟยบอกว่า “ออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว”

 

 

รอกระทั่งมีโอกาสได้อยู่กับชูสยาจวิ้นจู่ตามลำพัง ชูสยาจวิ้นจู่จึงเอ่ยบ่นขึ้นว่า “พระบิดาถูกอ๋องสิบสามเรียกตัวไปอีกแล้ว”

 

 

อ๋องสิบสามผู้นี้ เจินเมี่ยวเองก็เคยได้ยินมานานแล้ว อานจวิ้นอ๋องเป็นหลานชายคนโตของพระเชษฐาของจักรพรรดิพระองค์ก่อน ปกตินั้นชอบละเล่นไปเรื่อยที่สุด แม้นจะเกิดคนละรุ่นแต่อายุกลับห่างกันไม่มากจึงถูกชะตากันยิ่ง

 

 

อานจวิ้นอ๋องมีฐานะอันไม่ธรรมดายิ่ง ปู่ของเขานั้นเป็นองค์ชายใหญ่ที่เกิดจากหวงโฮ่ว แต่กลับไปหลงรักนางรำ สุดท้ายก็สละตำแหน่งรัชทายาทเพื่อสตรีผู้นั้นและท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศกับสตรีผู้นั้น เป็นบุคคลที่รักหญิงงามมิหวงแหนบัลลังก์โดยแท้ ราชบัลลังก์จึงตกทอดมาถึงจักรพรรดิพระองค์ก่อนด้วยเหตุผลประการฉะนี้

 

 

หลังจากที่ท่านปู่ของอานจวิ้นอ๋องจากไปก็ทิ้งไว้เพียงพระบิดาที่มีร่างกายอ่อนแอของอานจวิ้นอ๋องเพียงผู้เดียว ครั้นเมื่ออานจวิ้นอ๋องเกิดมาบิดาก็จากไปเหลือไว้เพียงอานจวิ้นอ๋องไว้สืบสายโลหิตเพียงคนเดียว

 

 

อานจวิ้นอ๋องนั้นรักสนุกยิ่งกว่าหย่งอ๋องเสียอีก มิเคยเข้าประชุมที่ท้องพระโรงยังพอทำเนา แม้แต่งานเลี้ยงฉลองของราชวงศ์ก็น้อยนักจะยอมปรากฏตัว วันๆ เที่ยวเล่นสนุกไม่ว่า แต่ยังถูกเล่าลือว่าชมชอบไปเกี้ยวคุณหนูทั้งหลายอยู่บ่อยครั้ง แต่จักรพรรดิพระองค์ก่อนและจักรพรรดิองค์ปัจจุบันต่างก็ให้ความสำคัญกับเขาทั้งยังดูแลเขาเป็นพิเศษอีกด้วย

 

 

เจินเมี่ยวเคยเห็นอานจวิ้นอ๋องแวบๆ ครั้งหนึ่งเมื่อคราวที่ท่านปู่พานางออกไปชนหงส์ที่เรือนอีกหลังของหย่งอ๋อง แต่ตอนนี้นางก็จำมิได้เสียแล้ว

 

 

นางอยู่ที่จวนหย่งอ๋องครึ่งค่อนวันแต่ในขณะที่กำลังจะกลับนั้นหย่งอ๋องกลับส่งคนมาบอกว่า “ท่านอ๋องกลับมาพร้อมกับอานจวิ้นอ๋อง อานจวิ้นอ๋องได้ยินว่าฝีมือการทำอาหารของเซี่ยนจู่โดดเด่นยิ่งจึงอยากจะลองชิมเป็นวาสนาสักคราขอรับ” 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด