วาสนาบันดาลรัก 259 ต่างคนต่างความคิด

Now you are reading วาสนาบันดาลรัก Chapter 259 ต่างคนต่างความคิด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สาวใช้ฝืนยิ้มออกมา เอ่ยอย่างประหม่าว่า “หูอี๋เหนียง ฮูหยินผู้เฒ่าให้บ่าวพาท่านไปพบฮูหยินสี่ที่เรือนอวี้หยวนก่อนเจ้าค่ะ”

 

 

นางหูพลันหน้าซีดไปทันที นางหันไปมองอาเถาที่อุ้มจังเกออยู่เกือบจะทันที แต่ก็หันกลับไปเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เช่นนั้นก็รบกวนพี่สาวนำทางด้วยเถิด”

 

 

สาวใช้ผู้นั้นรับผลประโยชน์มาแล้วมีหรือจะไม่รับคำ นางจึงนำนางหูไปที่เรือนอวี้หยวนทันที

 

 

นางหูพาสาวใช้น้อยมาสองคนและหญิงรับใช้มีอายุมาอีกหลายคน หญิงรับใช้มีอายุเหล่านั้นต่างถือสัมภาระหนักอึ้งอยู่ในมือ

 

 

ตลอดทางก็บ่าวไพร่พบเห็นเข้าไม่น้อย จึงอดกระซิบกระซาบกันมิได้

 

 

“เห็นหรือไม่ นั้นเป็นอนุของนายท่านสี่อย่างไรเล่า”

 

 

“หน้าตาก็ธรรมดานะ แต่เจ้าดูที่นางใส่สิ โอ้โห นับเป็นผู้ร่ำรวยคนหนึ่งเลยเชียว”

 

 

“ได้ยินว่าบ้านนางเป็นไร่ชา ตระกูลวาณิช ย่อมต้องร่ำรวยเป็นธรรมดา แต่กำไลทองบนข้อมือนางไม่ใคร่ประณีตเท่าใด มิดูสง่าเช่นกำไลหยกที่ฮูหยินและคุณหนูใส่กัน”

 

 

สาวใช้หลายคนที่ซุบซิบอยู่พลันสบตากัน แล้วยิ้มออกมา

 

 

ทว่าหญิงรับใช้อายุมากแล้วทั้งหลายกลับมองนางหูด้วยแววตาร้อนผ่าว

 

 

พวกนางมิได้ใจสูงเทียมฟ้าชีวิตบางเท่ากระดาษเช่นสาวใช้น้อยเหล่านั้น เป็นเพียงแค่สาวใช้แต่กลับดูแคลนสตรีค้าขายที่เงินทองไม่ขาดสาย ถึงตอนนั้นก็แค่เอาอกเอาใจสักหน่อย เงินรางวัลที่ได้รับยังมากกว่านายท่านบางคนในเรือนให้เสียอีก

 

 

สาวใช้แก่ในจวนนั้นเข้าใจดีว่าสิ่งใดที่พวกเขาควรใส่ใจ รวมไปถึงการตกรางวัลแก่บ่าวไพร่ด้วย แต่ไหนแต่ไรล้วนมีกฎเกณฑ์

 

 

พวกนางอายุมากแล้วมิคิดใฝ่สูงอันใดอีก แค่เอาอกเอาใจอี๋ไท่ไท่ผู้มั่งคั่ง ได้เงินรางวัลมากหน่อยก็นับเป็นวาสนาแล้ว

 

 

ทว่าบ่าวไพร่ในจวนต่างมีความคิดที่แตกต่างกันออกไป นางหูเดินตามสาวใช้ผู้นำทางไปยังเรือนอวี้หยวน ระหว่างทางก็นับว่าได้เปิดหูเปิดตาตนไปด้วย

 

 

จวนเจิ้นกั๋วกงเป็นจวนที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น บรรพบุรุษสร้างมีชื่อเสียงมาจากการทหาร มิอาจนำไปเปรียบได้กับตระกูลบัณฑิตผู้ยากไร้ แม้นจะพยายามจัดแต่งอย่างเรียบง่าย แต่หญ้าทุกหย่อม ต้นไม้ทุกต้น ภูผา ก้อนหินต่างโดดเด่นงดงาม ตลอดทางที่เดินคล้ายว่ากำลังอยู่ในภาพปักบนผืนผ้าก็มิปาน

 

 

นางหูสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อควบคุมตนมิให้เผลอชื่นชมมากเกินจำเป็นแล้วหันกลับไปถามจังเกอ “จังเกอ เหนื่อยแล้วใช่หรือไม่ ประเดี๋ยวก็ถึงแล้ว”

 

 

“ท่านแม่ ข้ารู้สึกไม่สบายตัว” ใบหน้าของจังเกอล้วนจมอยู่ในหมวกหนังจิ้งจอกหิมะ ดูท่าทีไร้เรี่ยวแรงยิ่ง

 

 

นางหูยื่นมือไปลูบหน้าผากจึงเกอ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างรักใคร่ “ยังมิได้เป็นไข้”

 

 

อาเถาจึงเอ่ยปลอบว่า “ไท่ไท่วางใจเถิด ให้จังเกอพักสักหลายวันก็คงดีขึ้น หากได้พบนายท่านด้วยก็คงดีใจจนอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นแน่”

 

 

นางหูถลึงตาให้พลางเอ่ยตำหนิ “อาเถา เหตุใดจึงยังเรียกข้าว่าไท่ไท่”

 

 

อาเถาก้มหน้าลง เอ่ยเสียงแผ่ว “บ่าวเพียงพูดเพราะความเคยชิน ต่อไปไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

นางหูกวาดตามองสาวใช้ทั้งหลายคราหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงสูงว่า “ต่อไปหากผู้ใดเรียกข้าผิดอีก จักไม่ละเว้นอย่างแน่นอน!”

 

 

“เจ้าค่ะ…”

 

 

นางหูเอ่ยกับสาวใช้ที่นำทางว่า “ทำให้พี่สาวต้องขบขันแล้ว”

 

 

สาวใช้ที่นำทางมาชื่อว่าหวงอิง นางอดรู้สึกเห็นใจนางหูขึ้นมามิได้ ในใจก็กล่าวว่าหูอี๋เหนียงช่างวาสนาไม่ดีนัก ได้ยินว่านางช่วยชีวิตนายท่านสี่ไว้ ทั้งยังตบแต่งกันกับนายท่านสี่อย่างเป็นทางการและมีบุตรชายด้วยกันหนึ่งคน เวลาผ่านไปคืนวันพลิกผัน จากภรรยากลับกลายเป็นอนุ บุตรภรรยาเอกกลายเป็นบุตรของอนุ

 

 

หูอี๋เหนียงผู้นี้จักต้องรักนายท่านสี่มากแน่ๆ นางแต่งให้กับนายท่านสี่ที่ตอนนั้นไม่มีอันใดสักอย่าง แต่เมื่อนายท่านสี่จำทุกอย่างได้และต้องกลับมาอยู่จวน นางก็ยินดีเป็นอนุคอยติดตามมา

 

 

“หูอี๋เหนียงเรียกบ่าวว่าหวงอิงเถิดเจ้าค่ะ” หวงอิงมีรอยยิ้มที่จริงใจจากก่อนหน้านี้ขึ้นมาหลายส่วน “คุณชายน้อยเกิดไม่สบายระหว่างทางหรือเจ้าคะ?”

 

 

นางหูถอนหายใจเอ่ยว่า “แต่ก็มิได้ร้ายแรงอันใด เพียงแต่เด็กคนนี้เกิดมาได้ไม่ได้ก็ล้มป่วยหนัก ตั้งแต่นั้นร่างกายก็มิใคร่แข็งแรงนัก ตลอดทางมิได้กินอาหารดีๆ สักเท่าใด โชคดีที่ถึงเสียที ข้าจะได้สบายใจขึ้นบ้าง”

 

 

“หูอี๋เหนียงวางใจเถิด คุณชายน้อยมาถึงจวนแล้ว ดูแลอย่างใกล้ชิดสักหน่อยก็กลับมาแข็งแรงเช่นเดิมแล้ว”

 

 

“ขอบคุณพี่หวงอิงที่แนะนำแต่สิ่งดีๆ” นางหูเหลือบตาขึ้น แล้วดึงปิ่นทองออกมายัดใส่มือหวงอิง

 

 

หวงอิงตกใจยิ่ง นางรีบผลักคืนทันที

 

 

นางหูเอ่ยเสียงแผ่วว่า “เหตุใดพี่หวงอิงจึงผลักไส บุตรชายข้าไม่สบายมาตลอดทาง ใจข้าร้อนรนดุจน้ำมันในกระทะ เมื่อเหยียบเข้ามาในจวนกั๋วกงอันกว้างใหญ่ ข้าผู้เป็นเพียงสตรีทำการค้านั้นกลัวจนลนลานยิ่ง โชคดีได้พบพี่สาวที่จิตใจดีเช่นท่าน ใจข้าจึงสงบขึ้นมาได้บ้าง”

 

 

ในมือของหวงอิงกำปิ่นทองสี่เหลืองอร่ามนั้นไว้ ทั้งวาจาที่นางหูกล่าวยกยอนางนั้นอีก ทำให้นางรู้สึกเบิกบานใจอย่างแปลกประหลาด

 

 

นางเป็นสาวใช้ขั้นสาม แม้นจะอยู่ในเรือนฮูหยินผู้เฒ่ามีหน้ามีตากว่าคนอื่นๆ อยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ไม่มีทางเปรียบได้กับสาวใช้ขั้นสอง ในเรือนนั้นนางมินับว่าโดดเด่นอันใด

 

 

นางหูผู้นับได้ว่าเป็นนายอยู่ครึ่งหนึ่งทั้งยังเอ่ยวาจายกยอ สถานภาพก็น่าสงสารยิ่ง ใจของนางจึงทั้งเห็นใจและภาคภูมิใจไปพร้อมกัน มันเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างไรบอกไม่ถูก แต่ท่าทีที่มีต่อนางหูกลับดีขึ้นไปอีกหลายส่วน

 

 

นางหูหยักยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

 

 

เป็นอย่างที่ติดไว้ไม่มีผิด หากอยากจะสนิทชิดใกล้กับผู้ใดให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะผู้มีฐานะต่ำต้อยกว่าเจ้า ดีที่สุดคือให้เขาช่วยเจ้าสักอย่าง ให้เขารู้สึกว่าเจ้าให้ความสำคัญต่อเขา เคารพเขา

 

 

มันก็เป็นเพียงแค่ลูกไม้หนึ่งของการค้าเท่านั้น สาวใช้น้อยผู้นี้ติดเบ็ดเสียแล้ว

 

 

เพียงแต่การทำตัวต่ำต้อยต่อหน้าบ่าวไพร่ด้อยค่าเช่นนี้ทำให้นางต้องเสื่อมเสียเกียรติในวันนี้ นางหูซิ่วเหมยจักต้องเอาคืนไม่ช้าก็เร็ว!

 

 

นางหูลอบเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เก็บเอาโทสะที่มีกดลึกไว้ในจิตใจ แล้วเผยรอยยิ้มอันฝืดเฝื่อน “ไปหาในยามนี้ มิทราบจะเป็นการรบกวนเวลาพักผ่อนของฮูหยินสี่หรือไม่?”

 

 

“ยังมิทันเที่ยงเลย ฮูหยินสี่น่าจะกำลังสอนคุณชายหกคัดอักษรเจ้าค่ะ” หวงอิงเอ่ยออกไป

 

 

“ฮูหยินสี่ช่างมีความสามารถนัก” นางหูเอ่ยเสียงแผ่วต่ำลงอีก “ไม่ทราบว่าฮูหยินสี่เป็นคนเช่นไร…”

 

 

หวงอิงรับของกำนัลมาไม่น้อย ทั้งยังเกิดเห็นใจต่อนางหูจึงเอ่ยบอกไปตามตรงว่า “ฮูหยินสี่เป็นคนสุภาพเรียบร้อย ไม่เคยเอะอะโวยวายกับบ่าวไพร่เลย หูอี๋เหนียงวางใจได้”

 

 

“เช่นนั้นก็ดี…” นางหูเม้มริมฝีปากตน

 

 

พูดคุยกันเพียงไม่กี่คำก็ถึงเรือนอวี้หยวนแล้ว

 

 

สาวใช้ที่เฝ้าหน้าประตูเห็นหวงอิงก็รีบเข้าไปทักทาย “พี่หวงอิง ท่านนี้คือ…”

 

 

“หูอี๋เหนียงพาคุณชายน้อยมาถึงจวนแล้ว รีบไปบอกฮูหยินสี่เถิด”

 

 

สาวใช้น้อยผู้นั้นอึ้งงันไป สายตามองไปที่ใบหน้านางหูคราหนึ่งแล้วจึงหมุนตัววิ่งไปดุจบินได้

 

 

ไม่นานสาวใช้หน้าตาสะสวยที่แต่งกายอย่างสาวใช้ขั้นหนึ่งก็เดินออกมาโค้งกายให้หูอี๋เหนียง “บ่าว หันจูเจ้าค่ะ ฮูหยินให้มาเชิญหูอี๋เหนียงกับคุณชายน้อยเข้าไปด้านใน”

 

 

หวงอิงถามไถ่สองคำก็หมุนกายกลับเรือนอี๋อานไป

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเรียกหวงอิงมาสอบถาม

 

 

“นางพูดเช่นนี้จริงหรือ?”

 

 

“เจ้าค่ะ มีสาวใช้ผู้หนึ่งที่สวมชุดสีชมพูนางเรียกหูอี๋เหนียงว่าไท่ไท่ หูอี๋เหนียงก็ตำหนินางเสียยกใหญ่ ทั้งยังหันไปเตือนสาวใช้ทุกคนด้วยเจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าเล็กน้อย ใจก็กล่าวว่าเป็นคนรู้ความไม่น้อย แล้วถามต่อว่า “บุตรชายนางไม่สบาย?”

 

 

หวงอิงจึงเลียนวาจาของนางหูให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟัง

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

 

บุตรของเจ้าสี่แม้นจะเป็นชายทั้งสอง แต่ผู้หนึ่งอุปนิสัยเงียบขรึม ผู้หนึ่งร่างกายอ่อนแอ ช่างทำให้คนรู้สึกเป็นกังวลยิ่ง

 

 

แต่ไหนแต่ไรฮูหยินผู้เฒ่าก็รักเอ็นดูบุตรชายคนเล็กที่สุด เมื่อคิดว่านายท่านสี่สกุลหลัวต้องพบเจอกับความลำบากใดบากก็ยิ่งปวดใจ จึงรู้สึกสงสารเอ็นดูจังเอ๋อร์ที่ยังมิทันได้พบหน้านั้นอยู่หลายส่วน พลันหันไปเอ่ยว่า “หงฝู ไปบอกฮูหยินรองให้เชิญหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องโรคเด็กมาตรวจดูอาการของจังเกอสักหน่อยเถิด”

 

 

“เจ้าค่ะ”

 

 

หงฝูหมุนกายเตรียมเดินออกไป ฮูหยินผู้เม่ากลับเรียกนางไว้ “แล้วก็เชิญจี้เหนียงจื่อมาตรวจดูอาการของต้าไหน่ไหน่อีกสักรอบเถิด”

 

 

กระทั่งคนออกไปหมด ฮูหยินผู้เฒ่าจึงหันไปพูดกับแม่นมหยางว่า “แต่ละคนล้วนมีแต่เรื่องให้ห่วง”

 

 

แม่นมหยางจึงเอ่ยปลอบว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าวางใจเถิด บุตรชายบุตรหลานย่อมมีวาสนาของตัวเขาเอง”

 

 

“เฮ้อ เป็นข้าเองที่ละเลย หลานสะใภ้ไม่สบาย กลับเป็นต้าหลังที่ไปเชิญจี้เหนียงจื่อผู้ชำนาญเรื่องโรคสตรีมาดูอาการ มิเช่นนั้นถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่รู้ว่าหลานสะใภ้เป็นโรคภายในสตรีเย็น จักต้องบำรุงอย่างดี มิเช่นนั้นคงทำให้พวกเขาสามีภรรยาไม่มีทายาทสืบสกุลแล้ว”

 

 

กล่าวถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็นึกถึงท่านหมอเฝิงประจำจวน

 

 

สตรีในจวนมีมากแต่ท่านหมอเฝิงกลับมิใคร่เชี่ยวชาญด้านโรคสตรี เช่นนี้ดูจะไม่เหมาะสมเท่าใดนัก

 

 

ทว่าท่านหมอเฝิงก็อยู่ในจวนมาสิบกว่าปีแล้ว ทั้งมิได้ทำผิดอันใดจึงไม่มีเหตุผลให้ออกจากหน้าที่

 

 

“แม่นมหยาง รอจี้เหนียงจื่อมาถึงจวน เจ้าไปพูดคุยกับนางสักหน่อยเถิด ข้าอยากจะเชิญนางมาตรวจดูชีพจรของสตรีในจวนเราทุกๆ สามเดือน”

 

 

แม่นมหยางรีบรับคำทันที

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าคล้ายมีอารมณ์สนทนาขึ้นมา จึงเอ่ยพลางยิ้มว่า “ต้าหลังก็ช่างดีจริง รู้ว่าหลานสะใภ้มิอาจปรนนิบัติได้ก็มิวิ่งไปหาสาวใช้ทงฝัง หลานสะใภ้เองก็มิได้เรียนอย่างศรีภรรยาทั่วไปที่มักจัดแจงหาอนุมาให้สามี”

 

 

แม่นมหยางยิ้ม “บ่าวว่าเพราะต้าไหน่ไหน่มีวาสนาจึงได้มาพบท่านย่าเช่นท่านเจ้าค่ะ”

 

 

นางเห็นมามากแล้วที่รู้ว่าลูกสะใภ้ หลานสะใภ้มิอาจปรนนิบัติบุรุษ ก็ห่วงบุตรห่วงหลาน รีบหาคนยัดใส่เรือนให้เสียทันที

 

 

ผู้ที่เลอะเลือนสักหน่อยนั้นแค่เห็นว่าเวลาผ่านไปสักพักแล้วไม่เห็นลูกสะใภ้หลานสะใภ้ตั้งครรภ์เสียที ก็หลับหูหลับตายอมให้บุตรของอนุเกิดมาก่อนก็มี

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าเบ้ปากตน “แต่สถานการณ์ของเจ้าสี่นั้นไร้หนทางจริงๆ เขามีบุตรชายสองและภรรยาอีกสองคอยแนบข้างแล้ว หากยังมีอนุและบุตรอนุเพิ่มขึ้นมาอีก ข้าคงได้เอาไม้เท้าฟาดเขาตายแน่!”

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจแผ่วเบาออกมา “ความจริงเด็กมิได้ผิดอันใด เพียงแต่หากเกิดเป็นบุตรอนุก็ต้องทนทุกข์ หากมิทุกข์ที่กายก็ต้องทุกข์ที่ใจ เช่นนี้มิสู้ให้เขาไปเกิดกับครอบครัวอื่นเสียดีกว่า”

 

 

“ฮูหยินพูดถูกเจ้าค่ะ” แม่นมหยางก็ถอนหายใจตาม

 

 

แม้นจะเกิดในวังหลวง องค์ชายที่เป็นบุตรของสนมก็ยังต้องทนทุกข์มิใช่หรือ?

 

 

“ภรรยาดีสามีไม่ลำบาก ในสายตาค่า คำว่าดีมิใช่ว่าดีแต่หาสตรียัดให้สามีตน นั้นเรียกว่าแสร้งทำเป็นดี ข้าว่าตระกูลที่วุ่นวายในเมืองหลวงเหล่านั้นมีตระกูลใดบ้างที่ความเดือดร้อนมิได้เกิดขึ้นเพราะมีอนุและบุตรอนุมากเกินไป” ฮูหยินผู้เฒ่ายกชาขึ้นจิบ ไม่ทราบว่าคิดสิ่งใดขึ้นมาได้จึงเอ่ยขึ้นอีกว่า “ขอแค่พวกเขา มีใจเดียวกันยึดมั่นในความดีนำพาจวนกั๋วกงของเราให้คงอยู่สืบไปด้วยชื่อเสียงอันดีงาม เท่านี้ก็นับเป็นการกตัญญูต่อข้าและเหล่ากั๋วกงแล้ว”

 

 

แม่นมหยางมองฮูหยินผู้เฒ่าอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่นางเดาความคิดของฮูหยินผู้เฒ่าไม่ออก

 

 

ส่วนนางหูที่พบกับนางชีฮูหยินสี่เป็นครั้งแรก นางถึงกลับใจหายวาบ ด้วยเข้าใจสตรีที่สามีจากไปตั้งแต่บุตรอยู่ในครรภ์ ทั้งต้องมีชีวิตอยู่เพียงลำพังกับบุตร จักต้องใบหน้าเ**่ยวย่น ความสดใสวัยเยาว์ร่วงโรยไปนานแล้ว คิดไม่ถึงว่านางชีกลับสง่างามโดดเด่นถึงเพียงนี้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด