วาสนาบันดาลรัก 295 เส้นทางที่มืดมิดกลับมีแสงสว่าง

Now you are reading วาสนาบันดาลรัก Chapter 295 เส้นทางที่มืดมิดกลับมีแสงสว่าง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจินจิ้งมององค์ชายหกอย่างไม่อยากเชื่อ แสงตรงหน้าค่อยๆ มืดลง อารมณ์อันคุกรุ่นนั้นทำให้รู้สึกปวดหน่วงที่ท้องน้อยเป็นระยะๆ และเริ่มปวดหนักขึ้นเรื่อยๆ

 

 

ต้องไม่เป็นเช่นนี้ๆ นางจักต้องฟังผิดไปแน่!

 

 

นางพลันคิดถึงสตรีมากมายที่อยู่ในตำหนักองค์ชายหก แต่องค์ชายหกกลับมาหาแค่นาง ช่วงเวลาที่มาพักเรือนนางนั้นมากกว่าผู้ใด ทุกคราที่อยู่ด้วยกันก็อ่อนโยนและร้อนแรงเสมอ

 

 

นางมิใช่คนโง่ บุรุษผู้หนึ่งเย็นชาหรือเสน่ห์หาต่อสตรีนางมีหรือจะแยกแยะไม่ออก

 

 

และเพราะเหตุนี้เอง ไม่ว่าจะเป็นตัวนางหรือบ่าวไพร่ในตำหนักล้วนทราบดีว่าองค์ชายหกนั้นปรนนิบัติต่อนางพิเศษกว่าผู้ใด ไม่ว่าอาหาร เสื้อผ้า เครื่องประทินผิวและอื่นๆ ที่ส่งมาเรือนนางในทุกวันล้วนเป็นของชั้นดี

 

 

นาง นางต้องฟังผิดไปแน่ๆ!

 

 

“องค์…องค์ชาย พระองค์ตรัสว่าอันใดหรือ?” เจินจิ้งหน้ามืดจนมองอันใดไม่ชัดแล้วแต่กลับยังคงฝืนมองบุรุษรูปงามที่ยืนอยู่ใกล้เพียงคืบผู้นั้น

 

 

เสียงที่ดังขึ้นของบุรุษยังคงอ่อนโยน “จิ้งเหนียง ข้าหมายความว่าหากเจ้ารู้สึกว่ายากที่จะต้องเผชิญหน้ากับข้าก็เอาออกเสีย อย่าได้ทำให้ตนเองต้องลำบาก”

 

 

“องค์ชาย พระองค์…พระองค์ไม่ต้องการเด็กคนนี้หรือ?”

 

 

องค์ชายหกหุบยิ้มทันที “จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าแค่เคารพต่อสิ่งที่จิ้งเหนียงเลือก ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องรู้สึกไม่ดีเท่านั้นเอง”

 

 

เจินจิ้งรู้สึกปวดที่ท้องน้อยมากขึ้นทุกทีจนทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ

 

 

แม้นยามนี้นางจะเป็นสตรีที่มีฐานะสูงที่สุดในตำหนักองค์ชาย แต่อย่างไรก็เป็นเพียงอนุ การมีบุตรเท่านั้นจึงสามารถทำให้นางก้าวขึ้นมาอีกขั้น นางไม่มีทางยอมสูญเสียเด็กคนนี้ไปเด็ดขาด!

 

 

ในเวลาเช่นนี้มีหรือที่นางจะไปครุ่นคิดท่าทีแปลกประหลาดขององค์ชายหกอย่างละเอียดได้ นางมิอาจไยดีต่อศักดิ์ศรีใดๆ เพียงยื่นมือเรียวยาวของตนออกมาปาดน้ำตาแล้วเอ่ยว่า “องค์ชาย หม่อมฉันพูดผิดไปแล้ว หม่อมฉันมิอาจสูญเสียบุตรของเราไปได้ มิเช่นนั้น มิเช่นนั้นหม่อมฉันยอมตายเสียดีกว่า…”

 

 

เจินเมี่ยวลอบมององค์ชายหก

 

 

นางรู้สึกสังหรณ์ใจจริงๆว่าองค์ชายหกผู้มิอาจเชื่อถืออันใดได้อาจเอ่ยออกมาคำหนึ่งว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ไปตายเสีย” หรืออันใดเทือกนั้น

 

 

เคราะห์ดีที่เจินจิ้งนั้นหมดสติไปก่อนที่องค์ชายหกจะเอ่ยอันใดออกมา

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างฉลาดนัก

 

 

เมื่อองค์ชายหกเห็นเจินจิ้งหมดสติไปเช่นนี้แล้วก็มิได้พูดอันใดที่ทำให้คนตกตะลึงขึ้นอีก เพียงชำเลืองมองสาวใช้และแม่นมเหล่านั้นด้วยสายตาเฉยชา “รีบพาคนเข้าไปด้านใน หากควรเชิญหมอก็ไปเชิญมาตรวจดู”

 

 

บ่าวไพร่เหล่านั้นไม่แน่ใจในท่าทีขององค์ชายหกแต่ก็มิกล้าสะเพร่าจึงรีบพาคนเข้าไปด้านใน ควรต้องทราบว่าองค์ชายหกนั้นขึ้นชื่อเรื่องการกระทำตัวอย่างไร้กฎเกณฑ์ที่สุด ยามนี้พระองค์อาจจะดูมิใคร่ใส่ใจนัก แต่หากนายหญิงเจินจิ้งเป็นอันใดไปขึ้นมา เกรงว่าอาจหันมาฆ่าฟันพวกนางก็เป็นได้

 

 

อย่างไรนายหญิงก็ตั้งครรภ์พระราชนัดดาอยู่ สายโลหิตของจักรพรรดิล้วนล้ำค่าดุจทองคำ มิได้เป็นเช่นตระกูลธรรมดาทั่วไปที่หากภรรยาเอกยังมิแต่งเข้าเรือน บรรดาอนุมีครรภ์ก็จำต้องทำแท้ง

 

 

บรรดาบ่าวไพร่รีบเข้าไปดูแลปรนนิบัตินางทันที บรรยากาศพลันตึงเครียดขึ้นมาทันใด

 

 

แต่องค์ชายหกกลับมีสีหน้าเรียบเฉยยิ่ง เขากันไปเอ่ยกับฮูหยินใหญ่สกุลเจี่ยงที่นิ่งอึ้งดุจระกาไม้ “ทำให้ฮูหยินต้องขบขันแล้ว”

 

 

“ไม่ ไม่เลยสักนิดเพคะ” นางเจี่ยงรีบส่ายหน้าโดยพลัน นางผู้น่าสงสารแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนควรเอ่ยสิ่งใดดี

 

 

องค์ชายหกหันไปหาเจินเมี่ยว “เจียหมิง เช่นนั้นเราไปนั่งเล่นที่ห้องโถงเถิด”

 

 

เจินเมี่ยวขมวดคิ้วขึ้นทันที “นางปวดท้อง ข้าจะรอไปกัน? มารดาข้ากำลังไม่สบายจึงขอตัวก่อนแล้ว เสด็จพี่หกอยู่เป็นเพื่อนนางเถิด”

 

 

“ฮูหยินสามไม่สบายหรือ?”

 

 

เจินเมี่ยวแค่นยิ้ม “ก็มิใช่เพราะเจินจิ้งหรอกหรือ!”

 

 

ความจริงเรื่องที่เจินจิ้งทำ แม้นผู้คนทั้งหลายจะรู้อยู่แก่ใจดีแต่กลับไม่มีหลักฐาน เจินเมี่ยวกล้าเอ่ยเช่นนี้มิใช่เพราะโมโหจนขาดสติ แต่เพราะเห็นว่าเจินจิ้งมิได้สำคัญกับองค์ชายหกมากมายถึงเพียงนั้นต่างหาก

 

 

“มารดาของเจียหมิงไม่สบาย เช่นนั้นช้าก็ควรไปเยี่ยมสักหน่อย” องค์ชายหกเอ่ยวาจานี้ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง แล้วเอ่ยกับนางเจี่ยงว่า “เช่นนั้นที่นี่ก็คงต้องรบกวนฮูหยินช่วยดูแลแล้ว”

 

 

“ไปเถิด เจียหมิง” องค์ชายหกเดินนำหน้าไป ครั้นเดินไปสองสามก้าวก็หยุดฝีเท้าลง “ไปทางใดหรือ?”

 

 

เจินเมี่ยวจำต้องนำทางไปด้วยจนใจ เมื่อเดินออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ก็อดหันกลับมามองคราหนึ่งมิได้

 

 

เมื่อมองผ่านรูกำแพงเข้าไปก็สามารถมองเห็นดอกชาที่กำลังบานสะพรั่งแต่ละต้นนั้นได้ถนัดตา ทว่าเรือนเซี่ยนเยียนตั้งอยู่ในที่ห่างไกลเรือนอื่น ทั้งไม่มีคนอยู่มานาน ในฤดูที่วสันต์ยังมิทันมาถึงเช่นนี้กลับทำให้ต้นไม้เหล่านั้นดูเงียบเหงาโดดเดี่ยวขึ้นมาหลายส่วน

 

 

เจินเมี่ยวแค่นยิ้มเย็นในใจ

 

 

แต่แม้นจะเป็นสถานที่เช่นนี้แต่การยกให้ปีศาจที่ชอบก่อเรื่องพักอาศัยก็เป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุอยู่ดี!

 

 

นางกำลังคิดเรื่องราวในใจ สีหน้าที่แสดงออกจึงดูนิ่งขรึมเป็นพิเศษ นางหันหน้าเผชิญกับแสงแดดอันอบอุ่นในวันอากาศเหน็บหนาวสะท้อน ลำแสงเจิดจ้านั้นกระทบเข้ากับใบหน้าขาวนวลขับให้ใบหน้าสว่างใสดุจหยกแวววาวก็มิปาน

 

 

องค์ชายหกชำเลืองมองคราหนึ่งแล้วอดกระแอมไอออกมามิได้

 

 

เจินเมี่ยวพลันตื่นจากภวังค์แล้วฝืนยิ้มออกไปคราหนึ่ง “เสด็จพี่หก มีอันใดหรือ?”

 

 

องค์ชายหกเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจียหมิง วันนี้เจ้าดูแปลกไปนะ”

 

 

เจินเมี่ยวพลันหุบยิ้มนั้นทันที นางเม้มริมฝีปากพลางสบตากับองค์ชายหกโดยมิเอ่ยสิ่งใด

 

 

เมื่อเห็นท่าทีดื้อดึงเช่นนั้นของนางก็ทำให้องค์ชายหกคันไม้คันมือขึ้นมาจึงเกิดอยากจะดีดหน้าผากนางสักคราหนึ่งขึ้นมา เขาขยับมือขึ้นแต่สุดท้ายก็ปล่อยมือลง

 

 

การทำเช่นนั้นออกจะไม่เหมาะสมสักเท่าใด

 

 

“โทสะเจียหมิงพุ่งทะยานขึ้นมาอีกแล้วหรือ”

 

 

เจินเมี่ยวเกิดประหวั่นใจขึ้นมา

 

 

ไม่ว่าอย่างไร ผู้ที่ตรงหน้านางนี้ก็คือองค์ชายมาตั้งแต่กำเนิด ส่วนนางนั้นเป็นแค่เซี่ยนจู่ที่ถูกแต่งตั้งขึ้นเท่านั้น แม้นเจินจิ้งจะเป็นอนุขององค์ชายหก แต่อย่างไรก็เป็นคุณหนูจวนเจี้ยนอานปั๋ว ท่าทีเช่นนี้ของนางออกจะพาลพาโลไปสักหน่อย ทั้งยังพาลโมโหอย่างไร้เหตุผลอีกด้วย

 

 

นางยิ่งคิดก็ยิ่งหน้าแดงเรื่อขึ้นด้วยอับอาย

 

 

อาจเพราะทุกครั้งที่พบกับคนผู้นี้ก็ล้วนมีแต่เรื่องน่าอับอาย ทั้งยังมีบุญคุณที่มิทราบว่าเขายอมรับหรือไม่นั้นอีก นานวันเข้าก็เผลอไผลลืมปิดบังอารมณ์วู่วามของตนดุจขวดน้ำที่แตกละเอียดอันใดเทือกนั้น

 

 

เมื่อสำนึกได้ว่าตนกระทำตัวไม่เหมาะสม เจินเมี่ยวจึงปรับสีหน้าแล้วย่อกายเอ่ยว่า “หากเจียหมิงกระทำการใดไม่เหมาะสม ขอเสด็จพี่หกโปรดชี้แนะด้วย”

 

 

มุมปากองค์ชายหกหยักโค้งขึ้น “เรื่องชี้แนะนั้นมิเอ่ยถึงแล้ว แต่ว่าเจียหมิง…เรื่องเปิดกระโปรงสตรีนั้นต่อไปอย่าได้ทำอีกเลยจะดีกว่า”

 

 

เจินเมี่ยว “….”

 

 

องค์ชายหกลูบคางตนไปมาอย่างเกียจคร้าน แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยีว่า “หากเจียหมิงอยากดูจริงๆ ก็ให้ข้าทำแทนแล้วกัน!”

 

 

เจินเมี่ยวถึงกับเซถลาจนเกือบสะดุดล้มลงพื้น

 

 

เหลือเกินจริงๆ เลย!

 

 

นางยกมุมปากขึ้นคราหนึ่งแล้วเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

 

 

คนทั้งสองเดินผ่านป่าเหมย ผ่านหุบเขาจำลองที่มีแม่น้ำและก้อนหินกองโตไปก็ถึงสวนเหอเฟิง

 

 

หลัวเทียนเฉิงกลับมาแล้ว เขากำลังยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดิน มองออกไปแสนไกล

 

 

เจินเมี่ยวยกชายกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปหา “จิ่นหมิง หมอหลวงอู๋มาถึงแล้วหรือ?”

 

 

สายตาหลัวเทียนเฉิงร่วงตกไปบนใบหน้าของเจินเมี่ยว เขายื่นมือออกมาปัดกลีบดอกเหมยบนไหล่ออกให้นางทันที แล้วเดินหน้าไปอีกสองสามก้าวเพื่อถวายบังคมต่อองค์ชายหก

 

 

“คิดไม่ถึงว่าหัวหน้าผู้บัญชาการหลัวก็อยู่ที่นี่ด้วย”

 

 

ความสัมพันธ์ส่วนตัวของคนทั้งสองนั้นไม่เป็นที่รับรู้ของคนทั่วไป แม้นจะอยู่ต่อหน้า             เจินเมี่ยวก็ยังคงต้องรักษาระยะห่างไว้เช่นเดิม

 

 

“หัวหน้าผู้บัญชาการหลัวถึงกับเชิญหมอหลวงอู๋มาเชียวหรือ ฮูหยินสามเป็นอย่างไรบ้าง?” องค์ชายหกเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

 

 

วันนี้หมอหลวงอู๋เข้าเวรในวัง เขาย่อมทราบดี แต่คิดไม่ถึงว่าหลัวเทียนเฉิงกลับเชิญมาได้

 

 

หลัวเทียนเฉิงเอ่ยว่า “เป็นเพราะพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้หมอหลวงอู๋กำลังตรวจอาการให้ท่านแม่ยายอยู่”

 

 

องค์ชายหกนึกบางอย่างขึ้นมาได้

 

 

ระยะนี้สถานการณ์ช่างอัศจรรย์นัก บรรดาองค์ชายเช่นพวกเขาต่างมิได้เข้าเฝ้าจักรพรรดิมาหลายวันแล้ว ทุกคนต่างคาดเดาอาการประชวรของพระองค์ไปต่างๆ นานาองค์ชายพระองค์อื่นถึงกับกระทำเรื่องโง่เขลามากมายเพื่อสืบข่าวการประชวรของฝ่าบาท แต่เขากลับอดกลั้นไว้มิเคลื่อนไหวใดๆ มาตลอด เพราะมั่นใจว่าหากเกิดความผิดปรกติใด หลัวเทียนเฉิงผู้เป็นขุนนางที่ใกล้ชิดที่สุดจักต้องส่งสัญญาณบางอย่างให้เขาแน่

 

 

คิดไม่ถึงว่าเขากลับได้ทราบข่าวที่ตนต้องการในเวลานี้

 

 

หลัวเทียนเฉิงเชิญหมอหลวงอู๋ออกมาจากวัง ในเมื่อเสด็จพอทรงทราบเรื่องก็แสดงว่าอาการประชวรมิได้หนักหนาถึงขั้นมิอาจรักษาได้ อย่างน้อยก็มิได้ร้ายแรงอย่างที่บรรดาพี่น้องทั้งหลายคิด

 

 

ครั้นองค์ชายหกคิดถึงการกระทำที่บรรดาองค์ชายทั้งหลายลอบลงมือ อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นมาทันที

 

 

“จิ่นหมิง เสด็จพี่หก ข้าขอเข้าไปดูท่านแม่ก่อนแล้ว” เจินเมี่ยวเอ่ยจบก็ย่อกายลงแล้วพาจื่อซูและชิงไต้เดินมุ่งหน้าไปตามระเบียงทางเดินอันทอดยาวนั้น ครั้นนางเลี้ยวเข้ามุม เงาร่างของนางก็หายวับไปทันที

 

 

องค์ชายหกกับหลัวเทียนเฉิงต่างนิ่งเงียบไม่พูดจากกันอยู่ครู่หนึ่ง

 

 

หลัวเทียนเฉิงจ้องมองกลีบดอกเหมยบนรัดเกล้าขององค์ชายหกอย่างเหม่อลอย

 

 

เขาไม่รู้จริงๆ ว่าองค์ชายหกจะมีใจให้กับพี่สามของเจี๋ยวเจี่ยวถึงเพียงนี้

 

 

หากเป็นเช่นนี้จริงคงไม่ดีแน่

 

 

ด้วยตำแหน่งยามนี้ของเขา หากเอ่ยอย่างไม่เกรงใจสักหน่อยก็คือบรรดาองค์ชายทั้งหลายย่อมต้องปฏิบัติตนอย่างดีกับเขา เช่นองค์ชายสามเป็นต้น ยามนี้บุตรชายคนเดียวของพระองค์พักอาศัยอยู่ที่จวนเขาชั่วคราว แม้นบอกว่าเด็กน้อยได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจจึงมิอาจอยู่ห่างจากเจี๋ยวเจี่ยว แต่จริงๆ ก็เป็นเพียงข้ออ้างอย่างหนึ่งเท่านั้น

 

 

แต่กับองค์ชายหกนั้นไม่เหมือนกัน ไม่มีผู้ใดรู้ดีเท่าเขาอีกแล้ว ผู้ที่จะขึ้นครองราชย์ต่อไปก็คือบุคคลที่อยู่ตรงหน้านี้นั้นเอง

 

 

ยามนี้เขายังสามารถใช้ตำแหน่งพิเศษนี้ของตนเพื่อให้องค์ชายหกยอมถอยร่นไป แต่ภายหน้าเล่า?

 

 

หากคิดในทางกลับกัน หากผู้ใดคิดแตะต้องเจี๋ยวเจี่ยวของเขา เขาก็จะสู้ตายกับคนผู้นั้นเช่นกัน

 

 

หากจักรพรรดิผู้หนึ่งมีความแค้นฝังอยู่ในใจ นั้นย่อมเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวอย่างที่สุด เขาจึงกลัวว่าเจี๋ยวเจี่ยวจักต้องลำบากในภายหน้าเพราะเรื่องนี้

 

 

“จิ่นหมิง เจ้าคิดอันใดหรือ?” เมื่อไม่มีผู้อื่นอยู่ด้วย องค์ชายหกจึงเอ่ยสนทนาตามอัธยาศัย

 

 

หลัวเทียนเฉิงเอ่ยตามตรงว่า “คิดไม่ถึงว่าจะพบองค์ชายหกที่นี่”

 

 

“แค่กๆ ข้าก็คิดไม่ถึงเช่นกัน ข้าว่างอยู่พอดีจึงมาเยี่ยมจิ้งเหนียงสักหน่อย”

 

 

เขาไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าเห็นรถม้าของเจียหมิงจึงตามมาเพราะเกิดสงสัย มิเช่นนั้นเจ้าหนุ่มผู้นี้คงได้เอาเรื่องกับเขาแน่

 

 

หลัวเทียนเฉิงยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยแต่ในใจกลับแค่นยิ้มเย็น

 

 

คิดแล้วต้องเป็นเช่นนี้!

 

 

เจินจิ้งมีความแค้นฝังใจต่อเจี๋ยวเจี่ยว หากเป็นเช่นนี้ย่อมมิอาจเก็บนางไว้ได้อีกต่อไป

 

 

แต่ยามนี้นางพักอาศัยในจวนปั๋ว หากเกิดเรื่องขึ้นคงต้องทำให้ตระกูลมารดาเจี๋ยวเจี่ยวลำบากไปด้วยแน่ แต่ถ้ารอให้นางกลับตำหนักองค์ชายนั้นยิ่งไร้หนทางลงมือได้

 

 

เวลานี้เองหลัวเทียนเฉิงที่รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าจนสามารถก้าวหน้าขึ้นมาอย่างราบรื่นพลันรู้สึกมิรู้จะลงมืออย่างไรขึ้นมา

 

 

ยอดฝีมือที่องค์ชายหกลอบเลี้ยงไว้นั้นมีไม่น้อยเลย หากคนที่เขารักเกิดเรื่องขึ้น ย่อมไมต้องสืบจนรู้เบาะแสเป็นแน่

 

 

องค์ชายหกรู้สึกว่าวันนี้หลัวเทียนเฉิงออกจะเฉยชาอยู่เล็กน้อย ในใจก็เอ่ยว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้สงสัยในเจตนาอันแท้จริงที่ทำให้เขามาที่จวนปั๋วเสียแล้ว?

 

 

ระยะนี้เขาไปพบไท่เฟยอยู่หลายครา แต่ไท่เฟยกลับหลบหน้า เขายอมรับว่าหลังจากเห็นรถม้าของเจียหมิงก็มิอาจห้าความคิดที่จะมาพบหน้านางสักครา หากกล่าวว่าเขาเห็นเจียหมิงเป็นตัวแทนของไท่เฟยหรือ? คล้ายว่ามิใช่เช่นนั้น ทุกคราที่เขาได้พูดคุยกับเจียหมิง เขาก็ยิ่งรู้แจ้งแก่ใจว่านางกับไท่เฟยนั้นมิเหมือนกันอย่างยิ่ง

 

 

 องค์ชายหกพลันรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อยจึงถอนหายใจยาวกลบเกลื่อนแล้วเอ่ยว่า “จิ้งเหนียงกำลังตั้งครรภ์ ร่างกายมิใคร่แข็งแรงข้าจึงมาเยี่ยมนางสักหน่อย”

 

 

จริงดังคาด…

 

 

หลัวเทียนเฉิงฟังแล้วก็ยิ่งไม่สบายใจ

 

 

การปรากฏตัวของเจินเมี่ยวจึงช่วยจบการสนทนาอันกระอักกระอ่วนนี้ของคนทั้งสอง

 

 

“จิ่นหมิง หมอหลวงอู๋ช่วยรักษาท่านแม่แล้ว ทั้งบอกว่าต้องกินยาสักสองสามเทียบแล้วค่อยเฝ้าดูอาการอีกที ระยะนี้ข้าคงไม่กลับจวน กั๋วกงอยากจะคอยดูแลเฝ้าอาการท่านแม่อยู่ที่จวนปั๋วก่อน”

 

 

เมื่อพ้นวันที่ยี่สิบไปก็จะเป็นวันทำพิธีฝังศพของพระชายาในองค์ชายสามทำให้หลัวเทียนเฉิงมิอยากให้เจินเมี่ยวปรากฏตัวอยู่ในงานเลี้ยงฉลองที่จะจัดขึ้นในจวนสักเท่าใด อีกอย่างพระราชนัดดาก็ยังอยู่ในจวนอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่างๆ ขึ้นได้ นี้จึงเป็นโอกาสหลีกเลี่ยงที่ดีที่สุดแล้ว

 

 

“เช่นนั้นเจ้าก็พักอยู่ที่นี่เถิด หากมีเวลาว่างข้าจะแวะมาหา” หลัวเทียนเฉิงเอ่ย

 

 

องค์ชายหกก็พยักหน้าตามอยู่ด้านข้าง

 

 

เจินเมี่ยวมองเขาด้วยความสงสัยคราหนึ่ง

 

 

องค์ชายถึงกับหายใจสะดุดขึ้นมา

 

 

“แหะๆ ไม่รู้ว่าจิ้งเหนียงเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด