สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 706-2 ความจริงในตอนนั้น (2)

Now you are reading สามีข้าคือขุนนางใหญ่ Chapter บทที่ 706-2 ความจริงในตอนนั้น (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 706 ความจริงในตอนนั้น (2)

ใต้เท้ารองจิ่งรีบถือร่มและลงจากหลังม้า ก่อนจะเข้าไปห้ามพวกเขาไม่ให้เดินเข้าไปหากู้เจียว

เขายื่นตราอาญาสิทธิ์ให้พวกเขาดูพร้อมกับเอ่ยด้วยท่าทีเกรงใจ “ม้าของพวกเราตกใจจนวิ่งออกนอกเส้นทางแล้วมาโผล่ที่นี่ ส่วนบุรุษคนนั้นเป็นทหารองครักษ์ของข้า”

ใต้เท้ารองเอ่ยพร้อมกับหยิบถุงเงินขึ้นมาแล้วมอบให้ทหารองครักษ์

พวกทหารรู้ในทันทีว่าอีกฝ่ายคือใคร

“ท่านใต้เท้ารองจิ่งนี่เอง ขออภัยที่เสียมารยาทขอรับ” อันที่จริงพวกทหารรู้อยู่แล้วว่าตระกูลเซวียนหยวนกับจวนกั๋วกงมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น และไม่ได้ปักใจเชื่อที่อีกฝ่ายบอกว่าม้าของพวกเขาตกใจจนมาโผล่ที่นี่โดยบังเอิญ

พวกเขาชั่งน้ำหนักเงินในมือ ยิ้มด้วยความพึงพอใจ ประสานมือเคารพแล้วเอ่ย “ฝนตกหนักมาก ไม่แปลกที่ม้าจะตกใจ ในเมื่อท่านเจอม้าแล้ว เช่นนั้นขอตัวก่อนนะขอรับ”

“ค่อยๆ เดินล่ะ” ใต้เท้ารองจิ่งเอ่ย

หลังจากทหารลาดตระเวนเดินออกมา หนึ่งในนั้นก็เอ่ยทักขึ้น “เราควรบอกท่านผู้บังคับบัญชาดีไหม”

คนที่เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น “จะให้รายงานอะไรล่ะ ให้บอกว่าตระกูลของอันกั๋วกงมาเยี่ยมจวนเซวียนหยวนอย่างนั้นรึ ใครๆ ต่างก็รู้มิตรภาพระหว่างกั๋วกงกับตระกูลเซวียนหยวน เตอนที่ตระกูลเซวียนหยวนก่อกบฏและพ่ายแพ้ ทุกคนที่ใกล้ชิดพวกเขาต่างพากันหนีเอาตัวรอดหมดเพราะกลัวจะโดนลูกหลงไปด้วย มีเพียงท่านอันกั๋วกงเท่านั้นที่ยอมเสี่ยงตายไปที่สนามรบเพื่อรวบรวมศพของตระกูลเซวียนหยวน ใต้เท้ารองจิ่งเองก็ติดตามไปด้วยเหมือนกัน มันน่าแปลกตรงไหนที่พวกเขาจะไปที่นั่นเพื่อระลึกถึงผู้ล่วงลับ ไม่เห็นจะต้องรายงานผู้บังคับบัญชาเลย”

ทหารอีกคนเอ่ยเสริม “แต่ชายคนนั้นไม่ได้สวมชุดเครื่องแบบของทหารจวนกั๋วกงเลยนี่นา แถมในมือของเขายังถือทวนพู่แดงอีกด้วย แวบแรกข้านึกว่าเป็นวิญญาณของตระกูลเซวียนหยวนมาหลอกหลอนเสียอีก”

“พูดอะไรของเจ้าน่ะ นี่กลางวันแสกๆ นะ!” แม้หัวหน้าทหารจะเอ่ยเช่นนั้น แต่ลึกๆ แล้วเขาก็กลัวอยู่ไม่น้อย

จริงอยู่ที่ชายคนนั้นมีลักษณะแปลกๆ ยิ่งพอถือทวนพู่แดงในมือแล้ว ยิ่งให้ความรู้สึกเหมือนคนของตระกูลเซวียนหยวนไม่มีผิด

แต่คิดไปก็เท่านั้น คนของเซวียนหยวนถูกล้างโคตรแล้ว คงไม่ใช่วิญญาณร้ายตามหลอกหลอนอย่างที่เขาว่าหรอกนะ

หัวหน้าทหารรีบส่ายศีรษะ ก่อนจะถือถุงเงินที่เพิ่งได้มาพร้อมกับหัวเราะ “ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว พวกเราไปตั้งวงดื่มเหล้ากันเถอะ!”

แล้วพวกเขาก็เดินหายไปในสายฝน

ใต้เท้ารองจิ่งเดินเข้าไปหากู้เจียว “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”

กู้เจียวเงยหน้ามองป้ายชื่อตระกูลที่ติดอยู่บนประตูจวน ป้ายนั้นทั้งดูเก่าและทรุดโทรมจนสีของตัวอักษรแทบจะหลุดออกไปหมดแล้ว

“เซียวลิ่วหลัง เซียวลิ่วหลัง!” ใต้เท้ารองยืนโบกมือและเรียกชื่อของนาง

พอกู้เจียวหายเหม่อก็ตอบเขาไป “ข้าออกมาตามม้าของข้า”

ใต้เท้ารองจิ่งถอนหายใจ “เจ้าได้ยินข้าแล้วนี่ ไยถึงทำเป็นไม่ตอบล่ะ”

“ข้าไม่ได้จงใจไม่ตอบท่าน” กู้เจียวอธิบาย “ข้าแค่กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ เป็นท่านที่เดินมาหาข้าทีหลัง”

อีกนัยน์นึงก็คือ ท่านต้องรอให้ข้าคิดให้เสร็จก่อน แล้วนางจะตอบเอง

ใต้เท้ารองจิ่ง “…”

“เกิดอะไรขึ้นกับม้าของเจ้า” เขาชี้ไปที้ราชาม้าเฮยเฟิง

กู้เจียวไม่ได้บอกว่าม้าตัวไหนเป็นของนาง เขาจึงคิดว่าพวกมันเป็นม้าของกู้เจียวทั้งคู่

กู้เจียวได้แต่ส่ายศีรษะแล้วตอบไป “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

อันกั๋วกงได้แต่นั่งอยู่ในรถและจ้องมองน้องชายจอมโง่ของเขาจากระยะไกลด้วยความโกรธ

ใต้เท้ารองจิ่งมีร่ม แต่กู้เจียวไม่มี

โชคดีที่สองพี่น้องมีโทรจิตสื่อถึงกัน ทันใดนั้นไต้เท้ารองเอ่ยกับกู้เจียว “เจ้าพักที่นอกเมืองสินะ ฝนตกยังตกหนักมากอยู่เลย ขึ้นรถม้าไปหลบฝนก่อนไหม”

กู้เจียวหันไปทางรถม้าที่จอดอยู่ท่ามกลางสายฝน

อันกั๋วกงที่อยู่ในรถม้ามองมาทางกู้เจียว ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความหวัง

“ได้สิ” กู้เจียวเอ่ย

กู้เจียวตอบตกลงและเดินขึ้นรถม้า

เจ้าสิบเอ็ดใช้ฟันดึงเชือกของราชาม้าเฮยเฟิงโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะยินยอมหรือไม่

รถม้าเคลื่อนตัวออกจากถนนร้างจนมาโผล่ที่ตรอกแห่งหนึ่ง ไม่นานก็มาถึงถนนสายหลัก จากนั้นก็เลี้ยวเข้ามาในตรอกอีกที่หนึ่ง จนกระทั่งพวกเขามาหยุดอยู่ที่หน้าเรือนหลังหนึ่ง

เป็นเรือนหลังเล็กๆ ขนาดเดียวกับที่กู้เจียวเช่า เมื่อเข้ามาจะมีสนามหญ้าด้านหน้า และหลังจากผ่านห้องหลักไปแล้ว ก็จะมีสวนหลังบ้านซึ่งเชื่อมต่อกับห้องแถว

กู้เจียวไม่ได้เดินออกไปไกลมาก และหยุดที่หน้าห้องแถวห้องแรก

สถานที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย ราวกับว่าเคยเห็นมันในความฝัน จากนั้นกู้เจียวก็ได้เชยชมดอกลิลลี่ที่บานสะพรั่งทั้งสนาม

ใต้เท้ารองจิ่งเข็นรถเข็นของพี่ใหญ่ลงจากรถม้า เนื้อตัวของพวกเขาเปียกปอนไม่น้อยเลยทีเดียว

ใต้เท้ารองเรียกบ่าวให้ช่วยพากู้เจียวไปเปลี่ยนเสื้อ

“เจ้าใส่ชุดพี่ใหญ่ไปก่อนได้นะ นอกจากเสื้อผ้าของเขาแล้ว ก็มีชุดของ…” ชุดของพี่สะใภ้ที่พวกเขายังเก็บไว้อยู่

เขาไม่บังอาจแตะต้องสมบัติของพี่สะใภ้ หากพี่ใหญ่รู้เข้าได้มีหัวหลุดบ่าแน่ๆ อีกทั้งเซียวลิ่วหลังเป็นผู้ชาย จะให้สวมชุดของสตรีคงจะไม่เหมาะเท่าไหร่นัก

บ่าวจึงให้กู้เจียวสวมชุดใหม่ของกั๋วกง

กู้เจียวตัวสูงกว่ามาตรฐานของสตรีทั่วไปก็จริง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับบุรุษอย่างอันกั๋วกงแล้วกู้เจียวกลายเป็นเด็กน้อยไปโดยปริยาย ตอนนี้สภาพของนางเหมือนกับเด็กผู้ชายที่แอบเอาชุดของพ่อมาใส่ ดูน่ารักน่าเอ็นดูใช่เล่น

หลังจากใต้เท้ารองจิ่งเปลี่ยนเสื้อเสร็จ เขาก็ออกมาหากู้เจียว

เขาต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่มองว่าเด็กคนนี้น่ารัก

น่ารักอะไรกัน ออกจะน่าเกลียดเสียด้วยซ้ำ

ใต้เท้าเอ่ยกับกู้เจียวอย่างไม่สบอารมณ์ “ม้าของเจ้าอยู่ในคอกแล้ว ไม่ต้องกังวล มีคนคอยให้อาหารพวกมัน ไม่อดอาหารแน่นอน! แถมยังมีหมอช่วยดูอาการให้อีกด้วย!”

“ขอบพระคุณน้ำใจของท่านเป็นอย่างสูง” กู้เจียวเอ่ยขอบคุณเขา

พอเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีนอบน้อม ไต้เท้าก็เริ่มอารมณ์ดีขึ้น เขากระแอมในลำคอหนึ่งทีแล้วเอ่ย “พี่ใหญ่เชิญเจ้าให้ไปดื่มชาด้วยกัน”

กู้เจียวจึงเดินไปที่ห้องข้างๆ

อาการของกั๋วกงนับวันยิ่งดีขึ้น จากที่เขียนหนังสือไม่ได้เลย ตอนนี้เขาสามารถเขียนได้สี่ห้าคำแล้ว หากวันไหนที่เขาร่างกายแข็งแรงหน่อยก็สามารถเขียนได้ถึงเจ็ดหรือแปดตัว

…แน่นอนว่าคำที่เขาเขียนส่วนใหญ่เป็นคำที่เอาไว้ใช้ด่าใต้เท้ารองจิ่ง

รสชาติของการมีน้องชายที่ทำตัวชวนหัวปวดเป็นฉะนี้เอง

รถเข็นของเขาถูกนำไปทำความสะอาดและตากแห้ง เวลานี้อันกั๋วกงกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ ฝั่งตรงข้ามมีเก้าอี้ว่างอยู่ตัวหนึ่ง ใต้เท้ารองจิ่งรีบปรี่เข้าไปนั่งตรงนั้นอย่างไม่ลังเล

พลางคิดในใจ พี่ใหญ่จะได้มองเห็นเขาชัดๆ ยังไงล่ะ เขานี่ฉลาดจริงๆ !

และแล้วอันกั๋วกงก็ส่งสายตาอำมหิตให้เขา

ใต้เท้ารองจิ่งเสียวสันหลังวาบอย่างไม่รู้ตัว

ด้วยความที่กั๋วกงไม่สามารถหันศีรษะ หมายความว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาคือกู้เจียวนั่นเอง

ทว่ากู้เจียวไม่ได้นั่งลงในทันที แต่เดินเข้ามาหาเขา ย่อตัวคุกเข่า แล้ววัดชีพจรให้อันกั๋วกงก่อน

“ชีพจรของท่านดีขึ้นกว่าแต่ก่อนไม่น้อยเลย” กู้เจียวเอ่ย “ร่างกายของท่านฟื้นตัวได้ดีมาก”

กั๋วกงยกปลายนิ้วขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้ใช้ชาด แต่ใช้วิธีจุ่มปลายนิ้วลงในถ้วยชาและเขียนคำสามคำด้วยมือที่สั่นเทา “เจ้าสบายดีไหม”

“ข้าสบายดี” กู้เจียวตอบเขา

จากนั้นกั๋วกงเขียนต่อ “เฮย เฟิง”

เขาใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีในการเขียน อันที่จริงคำสุดท้ายเขาเขียนมันออกมาได้แค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น

“เอ๋ พี่ใหญ่เขียนคำว่าอะไรรึ” ใต้เท้ารองจิ่งเดินเข้ามาดูใกล้ๆ “เฮยเฟิง เฮยเฟิงคืออะไร”

กู้เจียวที่เห็นดังนั้นก็พอเข้าใจว่ากั๋วกงรู้จักกับราชาม้าเฮยเฟิง “ราชาม้าเฮยเฟิงเป็นม้าของหันชื่อจื่อก็จริง แต่ข้าไม่รู้ว่ามันไปที่นั่นได้อย่างไร”

กู้เจียวตั้งใจออกมาตามหาเจ้าเสี่ยวสืออีเท่านั้น ไม่นึกว่าจะได้เจอราชาม้าเฮยเฟิงด้วย ทั้งๆ ที่มันเดินทางกลับไปกันกับหันชื่อจื่อแล้วก็ตาม

“ที่แท้ก็ราชาม้าเฮยเฟิงนี่เอง นี่มันช่าง…” ใต้เท้ารองจิ่งเริ่มแสดงสีหน้าคร่ำเครียด

“อะไรหรือท่าน” กู้เจียวถาม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด