เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ 900 ผมเป็นคนแบบนี้เหรอ?

Now you are reading เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ Chapter 900 ผมเป็นคนแบบนี้เหรอ? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในห้องไอซียู ซูย้าวผล็อยหลับไปเกือบสองวัน

ผลของยาควบคู่ไปกับความแข็งแรงทางกายภาพที่อ่อนแอก่อนหน้านี้ ทำให้ร่างกายของเธออ่อนแอจนถึงขีดจำกัด เธอจึงสลบไปเป็นเวลานาน และเป็นกลไกที่ดีในการฟื้นความแข็งแกร่งทางร่างกาย

ช่วงระหว่างนี้ หลินโม่ป่ายและพยาบาลเข้ามาตรวจร่างกายใส่ยาให้เธอเป็นประจำ

ประมาณวันที่สาม เมื่อเธอตื่นขึ้นพร้อมกับสภาพร่างกายที่ดีขึ้น เธอจึงถูกย้ายกลับไปที่ห้องผู้ป่วย VIP เธอจึงได้เห็นลูกทั้งสามคนเป็นครั้งแรก

พวกเขาตัวเล็กมาก แต่ละคนตัวไม่ใหญ่ นอนขดเป็นก้อนกลมอยู่ในเตียง ทุกคนสวมเสื้อผ้าตัวเล็กๆ เหมือนกันหมด ยกเว้นที่ข้อมือซึ่งผูกด้วยเชือกสามสี มีสีแดง สีเหลือง และสีฟ้า

“ทำแบบนี้เราจะได้แยกแยะพวกเขาออก เพราะพวกเขาคล้ายกันมาก” ลี่เฉินซีพูดกับเธอ

ซูย้าวมองดูเด็กๆ อย่างแน่วแน่ เนื่องจากเธอยังมีการอักเสบที่แผลจึงลุกขึ้นหรืออุ้มลูกไม่ได้ แต่หลังจากดูจากระยะใกล้ๆ เธอก็ร้องไห้ออกมา

เธอร้องไห้จริงๆ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหลังคลอดทำให้ฮอร์โมนในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว หรือเพราะแนวโน้มที่จะซึมเศร้าหลังคลอด น้ำตานั้นไหลลงมาทำให้การมองเห็นของเธอเลือนราง

เมื่อเห็นภาพนี้ ลี่เฉินซีก็ตื่นตระหนกและรีบเข้ามานั่งข้างเธอ “ที่รัก เกิดอะไรขึ้น คุณร้องไห้ทำไม?”

“น่าเกลียดจัง!” ซูย้าวพูดไปร้องไห้ไป ศีรษะของเธอซุกไปที่อกเขา “น่าเกลียดจริงๆ ! ตอนที่เจิ้งเอ๋อกับหลินเอ๋อคลอดออกมา พวกเขาไม่ได้น่าเกลียดขนาดนั้น……”

ลี่เฉินซี “……”

เขาเอียงศีรษะและมองดูลูกชายทั้งสามของเขาอีกครั้ง แม้ว่าพวกเขาจะ……มีรอยย่นบ้างดูเหมือนลิงน้อย แต่……

“ใครบอกว่าน่าเกลียด? พวกเขายังเด็ก พอโตขึ้นมาก็ดีเอง!” เขาลูบไปที่ผมยาวของเธอเบาๆ เสียงต่ำทุ้มของเขาแผ่วเบา “พวกเขาเป็นแฝดสามนะ คนอื่นคลอดออกมาคนเดียวหรือไม่ก็สองคน ตอนที่คุณคลอดหมิงเอ๋อและซีซีก่อนหน้านี้ก็สองคนเอง แต่นี่สามคนเชียวนะ พวกเขาเบียดเสียดกันอยู่ แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีพื้นที่เติบโตเพียงพอ ไม่เป็นไรหรอก อีกสักพักก็ดีขึ้น!”

ซูย้าวเงยหน้าขึ้นโดยไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ยังยากที่จะกลั้นน้ำตาไว้ได้ ใช้เวลานานพอสมควรกว่าที่เธอจะถูกลี่เฉินซีเช็ดน้ำตาให้ เธอรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยแล้วมองดูลูกน้อยของเธออีกครั้ง “ตัวเล็กเหลือเกิน อย่างกับลูกหนู”

ลี่เฉินซีถอนหายใจออกมาและบีบจมูกของเธอเบาๆ “นี่คือสิ่งที่คนเป็นแม่ควรพูดเหรอ? ไม่เห็นจะเหมือนหนูเลย น่ารักออกครับ ตัวเล็ก…… ”

“คิดชื่อเอาไว้หรือยัง?” ซูย้าวถาม

เขาลังเลแล้วตอบว่า “ยังไม่ได้คิดเลย ผมอยากฟังความคิดเห็นของคุณด้วย อีกอย่างพวกเขายังเล็ก ไม่รีบ”

ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน เจี่ยงเวินอี๋ก็เข้ามามาพร้อมกับเด็กๆ อีกสามคน ลี่เจิ้งและลี่หมิงค่อนข้างไม่สบายใจกับน้องที่เพิ่งเกิดใหม่นี้ ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาเดินทางมาเยี่ยมยังโรงพยาบาลก็แสดงท่าทางรังเกียจมาก ตอนนี้ก็เช่นกัน

รวมทั้งซีซีด้วย ทุกคนหันความสนใจไปที่ทารกสามคนบนเตียง พวกเขางงงวยและขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะเหลือบมองเบ้ปากอย่างดูถูก “น่าเกลียดจะตาย! นี่น้องชายหนูเสียเมื่อไหร่ น่าเกลียดขนาดนี้!”

ลี่หมิงกล่าวเสริมว่า “เรียกว่าซาลาเปาย่น ลูกบอลหรือไข่ยังจะดีกว่า!”

ลี่เฉินซีและซูย้าว “……”

ลี่เจิ้งยังพูดต่อไปอีกว่า “เรียกว่าไข่เหล็ก ไข่อะลูมิเนียมหรือไข่ตะกั่วดีกว่า!”

สองสามีภรรยาพูดไม่ออก รวมทั้งเจี่ยงเวินอี๋ก็เช่นกัน

เด็กทั้งสามคนมีความเห็นตรงกันอย่างน่าประหลาดใจเกี่ยวกับชื่อเหล่านี้ พวกเขาจินตนาการถึงชื่ออันน่าเกลียดมากมายที่นำมาเรียกน้องชายของพวกเขา

ลี่เฉินซีโบกมือให้เด็กๆ แล้วพูดว่า “น้องชายน่าเกลียดอยู่ตรงไหน? ตอนที่ทุกคนยังเล็กก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น!”

“เอ๋?” ซีซีตะลึง

ลี่เจิ้งขมวดคิ้ว “เป็นไปไม่ได้ ผมจำไม่ได้ พ่ออย่าใส่ร้ายผม!”

ลี่เฉินซี “……”

แน่นอนว่าเด็กที่โตแล้วไม่ได้หลอกง่ายๆ

ซูย้าวเรียกลูกทั้งสามคนมาข้างๆ เธอจับมือเจิ้งเอ๋อให้เขาสัมผัสกับน้องชาย “ดูสิ น้องชายว่าง่ายขนาดไหน หลินเอ๋อก็ลองจับดูด้วยสิ……”

หลังจากลังเลอยู่เป็นเวลานาน เด็กทั้งสามคนก็ค่อยๆ กางนิ้วออกและสัมผัสไปยังผิวอันบอบบางของทารกแรกเกิดเบาๆ ลี่หมิงสัมผัสใบหน้าเล็กๆ ของน้องชาย ซึ่งให้ความรู้สึกที่เหลือเชื่อ

เด็กน้อยสามคนนั้นนอนเงียบๆ บนเตียง พวกเขาตัวเล็กมาก อีกทั้งกะพริบตาเบาๆ ราวกับว่ามองเห็นทุกคน สายตาจ้องมาอย่างแน่วแน่

ซีซียังคงลังเล มือที่ยื่นออกไปอยู่ห่างจากทารกพอสมควร แต่จู่ๆ เจ้าหนูก็เกิดเอื้อมมือมาจับนิ้วของเธอโดยไม่ทันตั้งตัว ซีซีตกใจสะดุ้งมองไปที่น้องชายตัวเล็กน่าเกลียด แต่เขายังยิ้มให้เธอด้วย มันน่ารักตรงไหนกัน?!

พวกเขาสัมผัสได้ถึงผิวที่บอบบางของน้องชาย เมื่อลองคิดดูแล้วพบว่ายังตัวเล็กมาก ถ้าตีน้องในตอนนี้คาดว่าคงไม่ได้!

คงต้องรอให้โตอีกนิดแล้วค่อยตี!

เจี่ยงเวินอี๋รักหลานชายที่เพิ่งเกิดใหม่ทั้งสามคนนี้มาก ไม่ต้องพูดถึงว่ามีความสุขแค่ไหน เธอเข้าไปกอดทีละคนและพูดอย่างมีความสุขว่า “ย้าวย้าว เธอคือฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งตระกูลลี่ของเราจริงๆ ตระกูลลี่ของเราไม่ค่อยมีลูกหลานเลยก่อนหน้านี้ แต่เมื่อมาถึงรุ่นเรา โอ้โห เธอทำให้เรามีลูกชายสืบทอดเพิ่มขึ้นมากมาย!”

ซูย้าวไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นี่เป็นคำชมเหรอ?!

เธอให้กำเนิดลูกชายมากมาย มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ดีว่าเธอหวังจะให้เด็กน้อยทั้งสามคนนี้เป็นลูกสาวมากแค่ไหน แต่โชคดีที่เธอยังมีซีซีที่เป็นเหมือนเสื้อกันหนาวตัวน้อยแสนหวานอบอุ่นคนนี้

ซูย้าวครุ่นคิดก่อนจะดึงมือลูกสาวเข้ามา จับมืออันน้อยของซีซีเอาไว้และสนทนากับลูกสาวของเธอครู่หนึ่ง

เจี่ยงเวินอี๋ดูแลหลานทั้งหลายอย่างมีความสุข หล่อนสนทนากับลี่เฉินซีเกี่ยวกับเรื่องหลังซูย้าวออกจากโรงพยาบาล เนื่องจากเป็นการผ่าตัดคลอด จึงมีอีกหลายสิ่งที่ต้องดูแลและใส่ใจมากขึ้น

เธอแนะนำให้จ้างพี่เลี้ยงเด็กเพิ่มอีก ควรจะมีสักสิบคนหรือมากกว่านั้น ถึงอย่างไรที่บ้านก็มีลูกหลายคน สะดวกในการดูแลพวกเขาทั้งหลาย

ที่จริงแล้วลี่เฉินซีไม่มีความคิดเห็นโต้แย้งในเรื่องนี้ แต่เมื่อซูย้าวออกจากโรงพยาบาลไป เธอไม่เพียงแต่ย้ายไปอยู่บ้านใหม่เท่านั้น แต่เธอยังพบว่าไม่ใช่พี่เลี้ยงที่คอยดูแลเธอ เป็นลี่เฉินซีเองต่างหาก!

เด็กๆ มักจะหิวหรือถ่ายบ่อย จำเป็นต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือให้นมลูก แต่ซูย้าวไม่ควรที่จะนั่งเป็นเวลานานเนื่องจากแผลในช่องท้องของเธอยังไม่สมานดี ลี่เฉินซีจึงเข้าไปดูแลจัดการเองทั้งหมดตั้งแต่พยุงเธอ โอบเธอให้นมลูกเป็นต้น

แม้แต่การเปลี่ยนผ้าอ้อม เขาก็ทำเองเกือบทุกครั้ง

แม้กระทั่งซูย้าวอยากจะเข้าห้องน้ำ เขาก็อุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนโดยไม่ห่างไปไหน เรียกได้ว่าไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่จำเป็นต้องให้พี่เลี้ยงเข้ามาทำ เขาดูแลเธอกับลูกๆ ได้ไม่ขาดตกบกพร่อง

ในบ้านมีเด็กเพิ่มขึ้นอีกสามคน ในช่วงกลางดึก เด็กๆ มักจะร้องไห้ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงลูกร้องไห้ ไม่จำเป็นต้องรอซูย้าวตื่น ลี่เฉินซีก็จะลุกขึ้นและไปที่ห้องทารกเพื่อดูแลลูกๆ เขาทำหน้าที่ได้ดีกว่าพี่เลี้ยงเด็กเสียอีก

เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้ผ่านไป เธออยู่ไฟได้ประมาณหนึ่งเดือน ในที่สุดซูย้าวก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงปล่อยให้เธอมีลูกอีกคน เป็นเพราะเขาอยากจะรู้ว่าการเป็นพ่อนั้นเป็นอย่างไร เขาต้องการสัมผัสมันจากใจจริง

แต่หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ประกอบกับเด็กๆ เหล่านี้ เธอจึงละเลยในสิ่งที่เธอเคยหวาดกลัวมาก่อน เมื่อคิดได้เธอก็รู้สึกสายไป

หลังจากการอยู่ไฟ เธอก็อาบน้ำอย่างสบายตัวแล้วนอนลงให้เขานวด สายตามองดูชายหนุ่มรูปงามด้านข้าง ดวงตาของเธอดูมืดมน “ถึงเวลาบอกฉันเกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านี้หรือยังคะ?”

“คุณไม่ได้เข้าไปรับมือต่อในอุตสาหกรรมและธุรกิจที่อานเจียเย้นทำก่อนที่เขาจะตายจริงๆ หรือ? คุณไม่ใช่joke

คนต่อไปใช่ไหม? เฉินซี เราแต่งงานกันแล้วนะ และเรามีลูกด้วยกันอีกสามคน คุณบอกความจริงกับฉันเถอะ ฉันกังวลมากจริงๆ…… ”

ลี่เฉินซีถอนหายใจออกมาแล้วมองเธอด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสนใจ เขาลูบศีรษะเธอ “เพิ่งจะถามผมตอนนี้เหรอ? ว่าแต่ คุณคิดว่าผมเป็นแบบนั้นเหรอ?”

“ผมจัดการกลืนกินอานเจียเย้นแล้วยึดทุกอย่างจากเขาไป ผมเป็นคนแบบนี้เหรอ?”

การตอบคำถามเชิงโวหารของเขาทำให้ซูย้าวเลิกคิ้วขึ้น “ไม่ใช่เหรอ? ในวงการธุรกิจก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือไง? หรือว่าครั้งนี้จะแตกต่างกัน?”

ลี่เฉินซี “……”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ 900 ผมเป็นคนแบบนี้เหรอ?

Now you are reading เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ Chapter 900 ผมเป็นคนแบบนี้เหรอ? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในห้องไอซียู ซูย้าวผล็อยหลับไปเกือบสองวัน

ผลของยาควบคู่ไปกับความแข็งแรงทางกายภาพที่อ่อนแอก่อนหน้านี้ ทำให้ร่างกายของเธออ่อนแอจนถึงขีดจำกัด เธอจึงสลบไปเป็นเวลานาน และเป็นกลไกที่ดีในการฟื้นความแข็งแกร่งทางร่างกาย

ช่วงระหว่างนี้ หลินโม่ป่ายและพยาบาลเข้ามาตรวจร่างกายใส่ยาให้เธอเป็นประจำ

ประมาณวันที่สาม เมื่อเธอตื่นขึ้นพร้อมกับสภาพร่างกายที่ดีขึ้น เธอจึงถูกย้ายกลับไปที่ห้องผู้ป่วย VIP เธอจึงได้เห็นลูกทั้งสามคนเป็นครั้งแรก

พวกเขาตัวเล็กมาก แต่ละคนตัวไม่ใหญ่ นอนขดเป็นก้อนกลมอยู่ในเตียง ทุกคนสวมเสื้อผ้าตัวเล็กๆ เหมือนกันหมด ยกเว้นที่ข้อมือซึ่งผูกด้วยเชือกสามสี มีสีแดง สีเหลือง และสีฟ้า

“ทำแบบนี้เราจะได้แยกแยะพวกเขาออก เพราะพวกเขาคล้ายกันมาก” ลี่เฉินซีพูดกับเธอ

ซูย้าวมองดูเด็กๆ อย่างแน่วแน่ เนื่องจากเธอยังมีการอักเสบที่แผลจึงลุกขึ้นหรืออุ้มลูกไม่ได้ แต่หลังจากดูจากระยะใกล้ๆ เธอก็ร้องไห้ออกมา

เธอร้องไห้จริงๆ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหลังคลอดทำให้ฮอร์โมนในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว หรือเพราะแนวโน้มที่จะซึมเศร้าหลังคลอด น้ำตานั้นไหลลงมาทำให้การมองเห็นของเธอเลือนราง

เมื่อเห็นภาพนี้ ลี่เฉินซีก็ตื่นตระหนกและรีบเข้ามานั่งข้างเธอ “ที่รัก เกิดอะไรขึ้น คุณร้องไห้ทำไม?”

“น่าเกลียดจัง!” ซูย้าวพูดไปร้องไห้ไป ศีรษะของเธอซุกไปที่อกเขา “น่าเกลียดจริงๆ ! ตอนที่เจิ้งเอ๋อกับหลินเอ๋อคลอดออกมา พวกเขาไม่ได้น่าเกลียดขนาดนั้น……”

ลี่เฉินซี “……”

เขาเอียงศีรษะและมองดูลูกชายทั้งสามของเขาอีกครั้ง แม้ว่าพวกเขาจะ……มีรอยย่นบ้างดูเหมือนลิงน้อย แต่……

“ใครบอกว่าน่าเกลียด? พวกเขายังเด็ก พอโตขึ้นมาก็ดีเอง!” เขาลูบไปที่ผมยาวของเธอเบาๆ เสียงต่ำทุ้มของเขาแผ่วเบา “พวกเขาเป็นแฝดสามนะ คนอื่นคลอดออกมาคนเดียวหรือไม่ก็สองคน ตอนที่คุณคลอดหมิงเอ๋อและซีซีก่อนหน้านี้ก็สองคนเอง แต่นี่สามคนเชียวนะ พวกเขาเบียดเสียดกันอยู่ แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีพื้นที่เติบโตเพียงพอ ไม่เป็นไรหรอก อีกสักพักก็ดีขึ้น!”

ซูย้าวเงยหน้าขึ้นโดยไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ยังยากที่จะกลั้นน้ำตาไว้ได้ ใช้เวลานานพอสมควรกว่าที่เธอจะถูกลี่เฉินซีเช็ดน้ำตาให้ เธอรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยแล้วมองดูลูกน้อยของเธออีกครั้ง “ตัวเล็กเหลือเกิน อย่างกับลูกหนู”

ลี่เฉินซีถอนหายใจออกมาและบีบจมูกของเธอเบาๆ “นี่คือสิ่งที่คนเป็นแม่ควรพูดเหรอ? ไม่เห็นจะเหมือนหนูเลย น่ารักออกครับ ตัวเล็ก…… ”

“คิดชื่อเอาไว้หรือยัง?” ซูย้าวถาม

เขาลังเลแล้วตอบว่า “ยังไม่ได้คิดเลย ผมอยากฟังความคิดเห็นของคุณด้วย อีกอย่างพวกเขายังเล็ก ไม่รีบ”

ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน เจี่ยงเวินอี๋ก็เข้ามามาพร้อมกับเด็กๆ อีกสามคน ลี่เจิ้งและลี่หมิงค่อนข้างไม่สบายใจกับน้องที่เพิ่งเกิดใหม่นี้ ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาเดินทางมาเยี่ยมยังโรงพยาบาลก็แสดงท่าทางรังเกียจมาก ตอนนี้ก็เช่นกัน

รวมทั้งซีซีด้วย ทุกคนหันความสนใจไปที่ทารกสามคนบนเตียง พวกเขางงงวยและขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะเหลือบมองเบ้ปากอย่างดูถูก “น่าเกลียดจะตาย! นี่น้องชายหนูเสียเมื่อไหร่ น่าเกลียดขนาดนี้!”

ลี่หมิงกล่าวเสริมว่า “เรียกว่าซาลาเปาย่น ลูกบอลหรือไข่ยังจะดีกว่า!”

ลี่เฉินซีและซูย้าว “……”

ลี่เจิ้งยังพูดต่อไปอีกว่า “เรียกว่าไข่เหล็ก ไข่อะลูมิเนียมหรือไข่ตะกั่วดีกว่า!”

สองสามีภรรยาพูดไม่ออก รวมทั้งเจี่ยงเวินอี๋ก็เช่นกัน

เด็กทั้งสามคนมีความเห็นตรงกันอย่างน่าประหลาดใจเกี่ยวกับชื่อเหล่านี้ พวกเขาจินตนาการถึงชื่ออันน่าเกลียดมากมายที่นำมาเรียกน้องชายของพวกเขา

ลี่เฉินซีโบกมือให้เด็กๆ แล้วพูดว่า “น้องชายน่าเกลียดอยู่ตรงไหน? ตอนที่ทุกคนยังเล็กก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น!”

“เอ๋?” ซีซีตะลึง

ลี่เจิ้งขมวดคิ้ว “เป็นไปไม่ได้ ผมจำไม่ได้ พ่ออย่าใส่ร้ายผม!”

ลี่เฉินซี “……”

แน่นอนว่าเด็กที่โตแล้วไม่ได้หลอกง่ายๆ

ซูย้าวเรียกลูกทั้งสามคนมาข้างๆ เธอจับมือเจิ้งเอ๋อให้เขาสัมผัสกับน้องชาย “ดูสิ น้องชายว่าง่ายขนาดไหน หลินเอ๋อก็ลองจับดูด้วยสิ……”

หลังจากลังเลอยู่เป็นเวลานาน เด็กทั้งสามคนก็ค่อยๆ กางนิ้วออกและสัมผัสไปยังผิวอันบอบบางของทารกแรกเกิดเบาๆ ลี่หมิงสัมผัสใบหน้าเล็กๆ ของน้องชาย ซึ่งให้ความรู้สึกที่เหลือเชื่อ

เด็กน้อยสามคนนั้นนอนเงียบๆ บนเตียง พวกเขาตัวเล็กมาก อีกทั้งกะพริบตาเบาๆ ราวกับว่ามองเห็นทุกคน สายตาจ้องมาอย่างแน่วแน่

ซีซียังคงลังเล มือที่ยื่นออกไปอยู่ห่างจากทารกพอสมควร แต่จู่ๆ เจ้าหนูก็เกิดเอื้อมมือมาจับนิ้วของเธอโดยไม่ทันตั้งตัว ซีซีตกใจสะดุ้งมองไปที่น้องชายตัวเล็กน่าเกลียด แต่เขายังยิ้มให้เธอด้วย มันน่ารักตรงไหนกัน?!

พวกเขาสัมผัสได้ถึงผิวที่บอบบางของน้องชาย เมื่อลองคิดดูแล้วพบว่ายังตัวเล็กมาก ถ้าตีน้องในตอนนี้คาดว่าคงไม่ได้!

คงต้องรอให้โตอีกนิดแล้วค่อยตี!

เจี่ยงเวินอี๋รักหลานชายที่เพิ่งเกิดใหม่ทั้งสามคนนี้มาก ไม่ต้องพูดถึงว่ามีความสุขแค่ไหน เธอเข้าไปกอดทีละคนและพูดอย่างมีความสุขว่า “ย้าวย้าว เธอคือฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งตระกูลลี่ของเราจริงๆ ตระกูลลี่ของเราไม่ค่อยมีลูกหลานเลยก่อนหน้านี้ แต่เมื่อมาถึงรุ่นเรา โอ้โห เธอทำให้เรามีลูกชายสืบทอดเพิ่มขึ้นมากมาย!”

ซูย้าวไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นี่เป็นคำชมเหรอ?!

เธอให้กำเนิดลูกชายมากมาย มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ดีว่าเธอหวังจะให้เด็กน้อยทั้งสามคนนี้เป็นลูกสาวมากแค่ไหน แต่โชคดีที่เธอยังมีซีซีที่เป็นเหมือนเสื้อกันหนาวตัวน้อยแสนหวานอบอุ่นคนนี้

ซูย้าวครุ่นคิดก่อนจะดึงมือลูกสาวเข้ามา จับมืออันน้อยของซีซีเอาไว้และสนทนากับลูกสาวของเธอครู่หนึ่ง

เจี่ยงเวินอี๋ดูแลหลานทั้งหลายอย่างมีความสุข หล่อนสนทนากับลี่เฉินซีเกี่ยวกับเรื่องหลังซูย้าวออกจากโรงพยาบาล เนื่องจากเป็นการผ่าตัดคลอด จึงมีอีกหลายสิ่งที่ต้องดูแลและใส่ใจมากขึ้น

เธอแนะนำให้จ้างพี่เลี้ยงเด็กเพิ่มอีก ควรจะมีสักสิบคนหรือมากกว่านั้น ถึงอย่างไรที่บ้านก็มีลูกหลายคน สะดวกในการดูแลพวกเขาทั้งหลาย

ที่จริงแล้วลี่เฉินซีไม่มีความคิดเห็นโต้แย้งในเรื่องนี้ แต่เมื่อซูย้าวออกจากโรงพยาบาลไป เธอไม่เพียงแต่ย้ายไปอยู่บ้านใหม่เท่านั้น แต่เธอยังพบว่าไม่ใช่พี่เลี้ยงที่คอยดูแลเธอ เป็นลี่เฉินซีเองต่างหาก!

เด็กๆ มักจะหิวหรือถ่ายบ่อย จำเป็นต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือให้นมลูก แต่ซูย้าวไม่ควรที่จะนั่งเป็นเวลานานเนื่องจากแผลในช่องท้องของเธอยังไม่สมานดี ลี่เฉินซีจึงเข้าไปดูแลจัดการเองทั้งหมดตั้งแต่พยุงเธอ โอบเธอให้นมลูกเป็นต้น

แม้แต่การเปลี่ยนผ้าอ้อม เขาก็ทำเองเกือบทุกครั้ง

แม้กระทั่งซูย้าวอยากจะเข้าห้องน้ำ เขาก็อุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนโดยไม่ห่างไปไหน เรียกได้ว่าไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่จำเป็นต้องให้พี่เลี้ยงเข้ามาทำ เขาดูแลเธอกับลูกๆ ได้ไม่ขาดตกบกพร่อง

ในบ้านมีเด็กเพิ่มขึ้นอีกสามคน ในช่วงกลางดึก เด็กๆ มักจะร้องไห้ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงลูกร้องไห้ ไม่จำเป็นต้องรอซูย้าวตื่น ลี่เฉินซีก็จะลุกขึ้นและไปที่ห้องทารกเพื่อดูแลลูกๆ เขาทำหน้าที่ได้ดีกว่าพี่เลี้ยงเด็กเสียอีก

เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้ผ่านไป เธออยู่ไฟได้ประมาณหนึ่งเดือน ในที่สุดซูย้าวก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงปล่อยให้เธอมีลูกอีกคน เป็นเพราะเขาอยากจะรู้ว่าการเป็นพ่อนั้นเป็นอย่างไร เขาต้องการสัมผัสมันจากใจจริง

แต่หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ประกอบกับเด็กๆ เหล่านี้ เธอจึงละเลยในสิ่งที่เธอเคยหวาดกลัวมาก่อน เมื่อคิดได้เธอก็รู้สึกสายไป

หลังจากการอยู่ไฟ เธอก็อาบน้ำอย่างสบายตัวแล้วนอนลงให้เขานวด สายตามองดูชายหนุ่มรูปงามด้านข้าง ดวงตาของเธอดูมืดมน “ถึงเวลาบอกฉันเกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านี้หรือยังคะ?”

“คุณไม่ได้เข้าไปรับมือต่อในอุตสาหกรรมและธุรกิจที่อานเจียเย้นทำก่อนที่เขาจะตายจริงๆ หรือ? คุณไม่ใช่joke

คนต่อไปใช่ไหม? เฉินซี เราแต่งงานกันแล้วนะ และเรามีลูกด้วยกันอีกสามคน คุณบอกความจริงกับฉันเถอะ ฉันกังวลมากจริงๆ…… ”

ลี่เฉินซีถอนหายใจออกมาแล้วมองเธอด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสนใจ เขาลูบศีรษะเธอ “เพิ่งจะถามผมตอนนี้เหรอ? ว่าแต่ คุณคิดว่าผมเป็นแบบนั้นเหรอ?”

“ผมจัดการกลืนกินอานเจียเย้นแล้วยึดทุกอย่างจากเขาไป ผมเป็นคนแบบนี้เหรอ?”

การตอบคำถามเชิงโวหารของเขาทำให้ซูย้าวเลิกคิ้วขึ้น “ไม่ใช่เหรอ? ในวงการธุรกิจก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือไง? หรือว่าครั้งนี้จะแตกต่างกัน?”

ลี่เฉินซี “……”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+