เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ 219 ยุคสิ้นโลก มีความสนุกมากมายที่ทำให้ผู้คนเฝ้ารอ

Now you are reading เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ Chapter 219 ยุคสิ้นโลก มีความสนุกมากมายที่ทำให้ผู้คนเฝ้ารอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“นี่มัน…ช่างมันเถอะ พักผ่อนให้มากๆ ถ้ามีโอกาสพวกเราคงได้เจอกัน!” เย่เทียนเฉินพูดกับมู่หรงซินด้วยรอยยิ้ม นับว่าเป็นการปฏิเสธการให้เบอร์โทรศัพท์ของตนกับมู่หรงซินอย่างสุภาพแล้ว

สำหรับมู่หรงซิน เย่เทียนเฉินไม่ได้มีความรู้สึกอะไรมากนัก ทั้งสองคนเป็นคนแปลกหน้า เขาถูกบีบบังคับให้กำจัดพิษให้มู่หรงซินจึงต้องเผชิญหน้ากันด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า กอดกันแน่นและยังต้องจูบกันอีกด้วย ถึงแม้ทุกสิ่งทุกอย่างนี้จะทำเพื่อบีบบังคับให้หญ้าสยบกายาออกมา แต่ก็ไม่มีวิธีการอื่นอีก

จะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็เป็นผู้ชาย เป็นชายวัยรุ่นคนหนึ่งที่มีพลังเต็มเปี่ยม จึงอดไม่ได้ที่จะตื่นตัว ในตอนนั้นมู่หรงซินอายจนหน้าแดง ไม่กล้ามองเย่เทียนเฉิน คล้ายกับว่าร่างกายเปลือยเปล่าอันขาวผุดผ่องจะบดบังความเขินอายเอาไว้ได้ แต่จะมากจะน้อยก็ยังทำให้ทั้งสองรู้สึกกระอักกระอ่วน จะอย่างไรทั้งสองก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบแฟนหนุ่มแฟนสาว นี่เป็นครั้งแรกที่เจอหน้ากัน ก็ต้องมากอดกันด้วยร่างกายเปลือยเปล่าและยังต้องจูบกันอีก ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกเขินและอึดอัดเป็นธรรมดา

สามารถกล่าวได้ว่าการที่เย่เทียนเฉินช่วยมู่หรงซินก็เพราะจะช่วยจางอีเต๋อและจางรั่วถง มิฉะนั้นคงไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรกับมู่หรงซินโดยสิ้นเชิง และเขาเองก็ไม่อยากจะเกี่ยวข้องอะไรกัน ก็เหมือนกับที่เขาพูดกับมู่หรงอวี๋ตู ทั้งสองไม่ติดค้างกัน เขาเป็นคนที่ไม่ชอบให้มีความวุ่นวายมากเกินไป

“งั้น…งั้นคุณจำไว้นะคะ ว่าจะต้องมาหาฉัน!” มู่หรงซินกะพริบตาอันงดงาม พูดกับเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม

“อืม!” เย่เทียนเฉินพยักหน้า

เมื่อเห็นมู่หรงซินและมู่หรงอวี๋ตูไปจากบ้านตระกูลจางภายใต้การคุ้มกันของราชานักรบแห่งประเทศจีนทั้งสองอย่างชางหลางและเหยียนหลง เย่เทียนเฉินก็หาวออกมาครั้งหนึ่ง เฮยเมี่ยนเองก็ไปพร้อมกับรถของพวกชางหลางแล้ว ตอนนี้ในบ้านตระกูลจางเหลือแค่จางอีเต๋อ จางรั่วถง แล้วเย่เทียนเฉินสามคนเท่านั้น

เย่เทียนเฉินมองไปยังจางอีเต๋อ จุดประสงค์สำคัญที่เขามาในครั้งนี้ก็เพื่อขอให้จางอีเต๋อไปตรวจให้แม่ของเสี้ยวหยา ตอนนี้อาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาไม่อาจรั้งรอได้อีกต่อไปแล้ว ไม่สามารถยืดเยื้อได้อีกต่อไป โชคดีที่จางอีเต๋อเป็นเซียนแพทย์เทวะจริงๆ นี่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกโชคดีมาก มิฉะนั้นก็ไม่รู้ว่าจะไปตามหาจางอีเต๋อได้ที่ไหน

“ปรมาจารย์จาง จบเรื่องแล้ว ตอนนี้พวกเราก็มาเติมเต็มคำสัญญาระหว่างคุณกับผมกันเถอะ?” เย่เทียนเฉินพูดกับจางอีเต๋อด้วยรอยยิ้ม

“วางใจเถอะ ผมจางอีเต๋อพูดคำไหนคำนั้น คุณช่วยพวกเราสองปู่หลาน ผมก็จะไปดูผู้ป่วยที่คุณว่าด้วยกันกับคุณสักหน่อย แต่วันนี้ไม่ได้แล้ว ผมแก่แล้ว ทนบาดเจ็บไม่ไหวต้องพักสักคืน พรุ่งนี้ผมจะไปกับคุณก็แล้วกัน!” จางอีเต๋อพูดพลางพยักหน้า

“หา? ไม่ได้สิ ผมเป็นผู้ชายแข็งแรงคนหนึ่งจะให้พักห้องเดียวกับจางรั่วถง คงไม่ค่อยดีมั้ง?” เย่เทียนเฉินมองไปยังจางรั่วถง จงใจพูดหยอกล้อออกมา

จางรั่วถงหน้าแดง เธอเพิ่งจะอายุสิบแปดสิบเก้า เป็นวัยที่กำลังเบ่งบาน ไหนเลยจะรับคำพูดลามกของเย่เทียนเฉินได้ อายจนพูดอะไรไม่ออกไปแล้ว จางอีเต๋อจ้องมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน หากไม่ใช่ว่าบาดเจ็บจะต้องลงมือกับเย่เทียนเฉินแน่นอน

“คุณคิดไปไหนของคุณ คืนนี้คุณต้องนอนห้องเดียวกับผม!” พี่มองเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างจริงจัง

“อะไรนะ? ไม่จริงน่ะ? ปรมาจารย์จางครับ รสนิยมทางเพศของผมเป็นปกติมาตลอด ข้างนอกมีโรงแรมหรือเปล่า ผมจะใช้แก้ขัดไปก่อนสักคืน จากนั้นพรุ่งนี้เช้าพวกเราก็ค่อยมารวมตัวกันใหม่!” เย่เทียนเฉินอุทานออกมา แล้วรีบพูดก่อนจะหัวฮี่ๆ

ไหนเลยจะรู้ว่า จางอีเต๋อจะไม่สนใจเย่เทียนเฉินอีก เดินไปยังห้องที่อยู่ด้านข้างด้วยตัวเอง และพูดทิ้งท้ายไว้ให้เย่เทียนเฉินประโยคหนึ่ง

“บาดแผลของคุณยังไม่สมานตัวกันอย่างสมบูรณ์ ผมอัดพลังพิเศษเข้าไปในแขนซ้ายของคุณแล้ว ถ้าคุณอยากให้แขนซ้ายระเบิดก็ไม่ต้องเข้าไปแล้วกัน!”

วันนั้นตอนกลางคืน เย่เทียนเฉินจึงต้องอาศัยอยู่ที่บ้านตระกูลจาง แน่นอนว่าเขาพักห้องเดียวกับจางอีเต๋อ โชคดีที่ในห้องมีเตียงสองเตียง มิฉะนั้นเย่เทียนเฉินคงรับไม่ไหว ต่อให้เป็นเกย์ ก็คงไม่เคยเห็นคู่เกย์ของสุดหล่ออายุน้อยคนหนึ่งกับชายชราอายุเกือบร้อยปีคนหนึ่งหรอกใช่ไหม?

เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในห้อง เห็นจางอีเต๋อกำลังนั่งขัดสมาธิ พลังพิเศษอันแข็งแกร่งบนร่างแผ่ออกมา แต่พลังพิเศษเช่นนี้ไม่มีไอสังหาร และไม่ได้แกร่งกร้าวมากเกินไปนัก กลับเป็นกลิ่นอายที่อ่อนโยน เป็นพลังพิเศษในแบบที่เย่เทียนเฉินไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

เขาบิดขี้เกียจครั้งหนึ่ง แล้วเดินไปข้างเตียงตรงข้ามกับจางอีเต๋อ เตรียมจะล้มตัวลงนอน ในตอนนี้เองอยู่ดีๆ จางอีเต๋อก็ลืมตาขึ้น สีหน้าแดงก่ำสุขภาพดีขึ้นไม่น้อย ดูท่าทางบาดแผลที่ได้รับจากการต่อสู้กับคาเมดะอิจิโร่คงเกือบจะหายดีแล้ว นี่ทำให้เย่เทียนเฉินตื่นตะลึงมาก ผู้มีพลังพิเศษในสายรักษา โดยปกติพลังในการโจมตีจะไม่แข็งแกร่งแต่จะมีพลังในการรักษาตัวเองที่แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าฆ่าไม่ตาย แต่จางอีเต๋อไม่เพียงแต่จะมีวิชาแพทย์สูง ทั้งยังสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายโลหะได้อีกด้วย คนแบบนี้ไม่ต้องพูดถึงโลกปัจจุบันแห่งนี้เลย กระทั่งเป็นช่วงยุคสิ้นโลกก็เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

“ในร่างกายของคุณมีพลังพิเศษที่แตกต่างกันไปไหลเวียนอยู่ ท่าทางคุณจะใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษได้หลายสาย เพียงแต่หากทำแบบนี้ต่อไป ถ้าไม่สามารถรวมพวกมันให้เข้ากันได้ จุดจบจะมีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือระเบิดตาย!” จางอีเต๋อนั่งสมาธิอยู่บนเตียง มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างเรียบเฉย

“คุณดูออกด้วยเหรอครับ? ร้ายกาจ ร้ายกาจ!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ

ถึงแม้ว่าเย่เทียนเฉินจะพูดกับจางอีเต๋อด้วยรอยยิ้มแต่ก็ยังลอบนับถืออยู่ในใจ ไม่เสียทีที่จางอีเต๋อได้ชื่อว่าเป็นเซียนแพทย์เทวะ ไม่ทันไรก็พบว่าในร่างกายของตนมีพลังพิเศษอยู่หลายสาย ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็พูดไม่ผิด ขอเพียงแค่ควบคุมได้ไม่ดีก็เป็นไปได้มากกว่าร่างกายจะระเบิดออกมาจนตาย

ในช่วงยุคสิ้นโลก เย่เทียนเฉินก็เคยมีพลังพิเศษหลายสายเช่นกัน และสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษที่แข็งแกร่งในสายหลักต่างๆ ได้หลายสาย จนกลายเป็นผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าระดับสูง หากเทียบกับยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าธรรมดาทั่วไปก็ร้ายกาจกว่าไม่น้อย นี่คือความน่ากลัวของผู้ที่มีพลังพิเศษหลายสาย

แต่ไม่ว่าใครก็สามารถจินตนาการได้เลยว่า เมื่อในร่างกายของคนๆ หนึ่งมีพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันไป ก็มีความเป็นไปได้ว่าพลังพิเศษเหล่านี้จะเกิดการปะทะกัน และ “ทะเลาะ” กันในร่างกาย ผลที่เกิดขึ้นก็คือการระเบิด หากต้องการทำให้พลังพิเศษที่แข็งแกร่งที่แตกต่างกันไปรวมเข้าด้วยกันได้มันไม่ใช่เรื่องง่าย ท่ามกลางผู้มีพลังพิเศษและยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณต่างก็มีคนที่ทำแบบนี้อยู่

ผู้มีพลังพิเศษฝึกฝนเขตวิชาพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันไป ส่วนยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณก็คิดวิธีที่จะฝึกฝนเคล็ดวิชาที่แตกต่างกันไป นี่ล้วนเป็นเหตุผลเดียวกัน ยอดฝีมือจำนวนมากเพียงเพื่อที่จะไล่ตามพลังที่แข็งแกร่งที่สุด สุดท้ายจึงนำมาซึ่งความตายของตนเอง

ที่จางอีเต๋อพูดแบบนี้นับว่าเป็นการเตือนเย่เทียนเฉิน หากต้องการที่จะรวมพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันเข้าด้วยกันเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก ถ้าไม่ระวังเขาก็จะระเบิดจนตาย กระทั่งศพก็ไม่เหลือ

ในจุดนี้ ความจริงเย่เทียนเฉินรู้สึกได้นานแล้ว ในช่วงยุคสิ้นโลกเขาเองก็มีพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันไปหลายสาย แยกกันไปอาศัยอยู่ในอวัยวะที่แตกต่างกันไป นั่นเป็นเพราะในช่วงยุคสิ้นโลกมีความพิสดารมากมาย เช่นสมุนไพรที่ทำให้ผู้คนอายุยืนยาว หรือไม่ก็วิธีการบำเพ็ญตนขั้นสูง กระทั่งความลับเกี่ยวกับชีวิตอมตะก็ยังมีออกมา เป็นเพราะว่าของเหล่านี้ เย่เทียนเฉินจึงสามารถรวบรวมพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันไปได้ในช่วงยุคที่โลก และกลายเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นสูงของขอบเขตระดับพระเจ้า แต่โลกนี้ไม่เหมือนกัน ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเขาเอง มีการเปลี่ยนแปลงทางรากฐาน นอกจากนี้โลกนี้ก็เป็นโลกที่ไม่เหมาะกับการบำเพ็ญเพียร เขารับรู้ได้นานแล้ว เส้นทางพำเพ็ญของโลกนี้ถูกควบคุม ทำให้ผู้คนสัมผัสกับพลังแห่งธรรมชาติได้ยากยิ่งขึ้นมาก เป็นสาเหตุที่ทำให้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นสูงได้ยาก

ดังนั้นความจริงที่โหดร้ายนี้ได้มาวางกองตรงหน้าของเย่เทียนเฉิน หาเขาคิดที่จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่ภายในร่างกายมีพลังพิเศษอยู่หลายประเภทเช่นเดียวกับในช่วงยุคสิ้นโลกอีกครั้ง เป็นเรื่องที่ลำบากมาก นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมหลังจากที่พลังพิเศษของเขาไปถึงขอบเขตจอมราชันขั้นสูงแล้ว ยังคงมีความยากลำบากที่จะทลวงต่อไป เพราะหลังจากที่มาถึงขอบเขตนี้แล้ว ไม่ใช่แค่อาศัยการต่อสู้กับยอดฝีมือและพลังพิเศษที่เพิ่มขึ้นไม่หยุดแล้วจะทะลวงไปได้ ยังต้องการความ “สำนึก” สำนึกในธรรมชาติ สำนึกในสัจธรรม ถึงจะพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นได้

“ไม่ว่าจะเป็นผู้มีพลังพิเศษอย่างพวกเราหรือจะเป็นคนของพรรควรยุทธโบราณ ความจริงเส้นทางที่เดินก็เป็นเพียงเส้นทางของการบำเพ็ญเพียรที่แตกต่างกันเท่านั้น แล้วก็แตกต่างกันไม่มาก เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียรเมื่อเดินไปถึงปลายทางต่างก็ทำเพื่อตามหาพลังที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งสุดท้ายก็หนีไม่พ้นคำคำเดียวก็คือคำว่า อมตะ!” จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉิน เอ่ยปากพูดออกมาอย่างลึกซึ้ง

“อมตะ? พูดน่ะมันง่าย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่รู้ว่ามีจักรพรรดิกี่คนและผู้แข็งแกร่งกี่คนที่ตามหาวิธีที่จะเป็นอมตะ แต่จนวันตายก็ยังไม่อาจเป็นจริงได้ ยิ่งไปกว่านั้นในโลกนี้ ในยุคของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความเป็นอมตะเป็นแค่เรื่องที่ทุกคนคิดอยู่ในใจเท่านั้น พูดออกมาก็จะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเปล่าๆ !” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง

“ดังนั้นคนเหล่านี้จึงไม่มีวันเป็นอมตะได้ไปตลอดกาล พวกเขาถูกความจริงของสังคมอาบย้อมความคิด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเข้าใจแก่นแท้แห่งอารยธรรมของประเทศจีนเมื่อห้าพันปีก่อนได้” จางอีเต๋อเองก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

ในตอนนี้ จู่ๆ เย่เทียนเฉินก็รู้สึกว่าจางอีเต๋อดูลึกลับคาดเดาไม่ได้ขึ้นมา ถึงกับพูดเรื่องความอมตะกับเขา ดูเหมือนว่าในโลกแห่งนี้เรื่องของความเป็นอมตะนั้นจะไม่เคยถูกคนพูดถึงมาก่อน และจะไม่มีทางถูกคนอื่นพูดออกมาจากปากอย่างเป็นจริงเป็นจัง นอกจากจักรพรรดิและผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณที่มีตำแหน่งสูงส่งแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครพูดออกมาเลย

แน่นอนว่าในช่วงยุคสิ้นโลกซึ่งมีความแปลกประหลาดพิสดาร มีทั้งอารยธรรมของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน และมีเรื่องที่เล่าขานกันในเทพนิยาย ในโลกแบบนี้ความเป็นอมตะเป็นเป้าหมายสุดท้ายของผู้แข็งแกร่งทั้งหมด เป็นโลกที่แสวงหาเส้นทางแห่งเซียน ในช่วงยุคสิ้นโลกไม่สามารถใช้ตรรกะความคิดในยุคปัจจุบันได้ มันโค่นล้มทุกความรู้ของผู้คนโดยสิ้นเชิง และสามารถมอบความสนุกและสีสันที่ผู้คนคิดไม่ถึงได้

“ช่างมันเถอะ ผมไม่อยากคุยกับคุณเรื่องอมตะไม่อมตะอะไรนี่หรอก พรุ่งนี้หลังจากที่คุณไปรักษาผู้ป่วยคนนั้นแล้ว พวกเราทั้งสองก็ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก!” เย่เทียนเฉินห้าวครั้งหนึ่ง ล้มตัวลงนอน

……………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ 219 ยุคสิ้นโลก มีความสนุกมากมายที่ทำให้ผู้คนเฝ้ารอ

Now you are reading เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ Chapter 219 ยุคสิ้นโลก มีความสนุกมากมายที่ทำให้ผู้คนเฝ้ารอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“นี่มัน…ช่างมันเถอะ พักผ่อนให้มากๆ ถ้ามีโอกาสพวกเราคงได้เจอกัน!” เย่เทียนเฉินพูดกับมู่หรงซินด้วยรอยยิ้ม นับว่าเป็นการปฏิเสธการให้เบอร์โทรศัพท์ของตนกับมู่หรงซินอย่างสุภาพแล้ว

สำหรับมู่หรงซิน เย่เทียนเฉินไม่ได้มีความรู้สึกอะไรมากนัก ทั้งสองคนเป็นคนแปลกหน้า เขาถูกบีบบังคับให้กำจัดพิษให้มู่หรงซินจึงต้องเผชิญหน้ากันด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า กอดกันแน่นและยังต้องจูบกันอีกด้วย ถึงแม้ทุกสิ่งทุกอย่างนี้จะทำเพื่อบีบบังคับให้หญ้าสยบกายาออกมา แต่ก็ไม่มีวิธีการอื่นอีก

จะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็เป็นผู้ชาย เป็นชายวัยรุ่นคนหนึ่งที่มีพลังเต็มเปี่ยม จึงอดไม่ได้ที่จะตื่นตัว ในตอนนั้นมู่หรงซินอายจนหน้าแดง ไม่กล้ามองเย่เทียนเฉิน คล้ายกับว่าร่างกายเปลือยเปล่าอันขาวผุดผ่องจะบดบังความเขินอายเอาไว้ได้ แต่จะมากจะน้อยก็ยังทำให้ทั้งสองรู้สึกกระอักกระอ่วน จะอย่างไรทั้งสองก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบแฟนหนุ่มแฟนสาว นี่เป็นครั้งแรกที่เจอหน้ากัน ก็ต้องมากอดกันด้วยร่างกายเปลือยเปล่าและยังต้องจูบกันอีก ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกเขินและอึดอัดเป็นธรรมดา

สามารถกล่าวได้ว่าการที่เย่เทียนเฉินช่วยมู่หรงซินก็เพราะจะช่วยจางอีเต๋อและจางรั่วถง มิฉะนั้นคงไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรกับมู่หรงซินโดยสิ้นเชิง และเขาเองก็ไม่อยากจะเกี่ยวข้องอะไรกัน ก็เหมือนกับที่เขาพูดกับมู่หรงอวี๋ตู ทั้งสองไม่ติดค้างกัน เขาเป็นคนที่ไม่ชอบให้มีความวุ่นวายมากเกินไป

“งั้น…งั้นคุณจำไว้นะคะ ว่าจะต้องมาหาฉัน!” มู่หรงซินกะพริบตาอันงดงาม พูดกับเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม

“อืม!” เย่เทียนเฉินพยักหน้า

เมื่อเห็นมู่หรงซินและมู่หรงอวี๋ตูไปจากบ้านตระกูลจางภายใต้การคุ้มกันของราชานักรบแห่งประเทศจีนทั้งสองอย่างชางหลางและเหยียนหลง เย่เทียนเฉินก็หาวออกมาครั้งหนึ่ง เฮยเมี่ยนเองก็ไปพร้อมกับรถของพวกชางหลางแล้ว ตอนนี้ในบ้านตระกูลจางเหลือแค่จางอีเต๋อ จางรั่วถง แล้วเย่เทียนเฉินสามคนเท่านั้น

เย่เทียนเฉินมองไปยังจางอีเต๋อ จุดประสงค์สำคัญที่เขามาในครั้งนี้ก็เพื่อขอให้จางอีเต๋อไปตรวจให้แม่ของเสี้ยวหยา ตอนนี้อาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาไม่อาจรั้งรอได้อีกต่อไปแล้ว ไม่สามารถยืดเยื้อได้อีกต่อไป โชคดีที่จางอีเต๋อเป็นเซียนแพทย์เทวะจริงๆ นี่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกโชคดีมาก มิฉะนั้นก็ไม่รู้ว่าจะไปตามหาจางอีเต๋อได้ที่ไหน

“ปรมาจารย์จาง จบเรื่องแล้ว ตอนนี้พวกเราก็มาเติมเต็มคำสัญญาระหว่างคุณกับผมกันเถอะ?” เย่เทียนเฉินพูดกับจางอีเต๋อด้วยรอยยิ้ม

“วางใจเถอะ ผมจางอีเต๋อพูดคำไหนคำนั้น คุณช่วยพวกเราสองปู่หลาน ผมก็จะไปดูผู้ป่วยที่คุณว่าด้วยกันกับคุณสักหน่อย แต่วันนี้ไม่ได้แล้ว ผมแก่แล้ว ทนบาดเจ็บไม่ไหวต้องพักสักคืน พรุ่งนี้ผมจะไปกับคุณก็แล้วกัน!” จางอีเต๋อพูดพลางพยักหน้า

“หา? ไม่ได้สิ ผมเป็นผู้ชายแข็งแรงคนหนึ่งจะให้พักห้องเดียวกับจางรั่วถง คงไม่ค่อยดีมั้ง?” เย่เทียนเฉินมองไปยังจางรั่วถง จงใจพูดหยอกล้อออกมา

จางรั่วถงหน้าแดง เธอเพิ่งจะอายุสิบแปดสิบเก้า เป็นวัยที่กำลังเบ่งบาน ไหนเลยจะรับคำพูดลามกของเย่เทียนเฉินได้ อายจนพูดอะไรไม่ออกไปแล้ว จางอีเต๋อจ้องมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน หากไม่ใช่ว่าบาดเจ็บจะต้องลงมือกับเย่เทียนเฉินแน่นอน

“คุณคิดไปไหนของคุณ คืนนี้คุณต้องนอนห้องเดียวกับผม!” พี่มองเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างจริงจัง

“อะไรนะ? ไม่จริงน่ะ? ปรมาจารย์จางครับ รสนิยมทางเพศของผมเป็นปกติมาตลอด ข้างนอกมีโรงแรมหรือเปล่า ผมจะใช้แก้ขัดไปก่อนสักคืน จากนั้นพรุ่งนี้เช้าพวกเราก็ค่อยมารวมตัวกันใหม่!” เย่เทียนเฉินอุทานออกมา แล้วรีบพูดก่อนจะหัวฮี่ๆ

ไหนเลยจะรู้ว่า จางอีเต๋อจะไม่สนใจเย่เทียนเฉินอีก เดินไปยังห้องที่อยู่ด้านข้างด้วยตัวเอง และพูดทิ้งท้ายไว้ให้เย่เทียนเฉินประโยคหนึ่ง

“บาดแผลของคุณยังไม่สมานตัวกันอย่างสมบูรณ์ ผมอัดพลังพิเศษเข้าไปในแขนซ้ายของคุณแล้ว ถ้าคุณอยากให้แขนซ้ายระเบิดก็ไม่ต้องเข้าไปแล้วกัน!”

วันนั้นตอนกลางคืน เย่เทียนเฉินจึงต้องอาศัยอยู่ที่บ้านตระกูลจาง แน่นอนว่าเขาพักห้องเดียวกับจางอีเต๋อ โชคดีที่ในห้องมีเตียงสองเตียง มิฉะนั้นเย่เทียนเฉินคงรับไม่ไหว ต่อให้เป็นเกย์ ก็คงไม่เคยเห็นคู่เกย์ของสุดหล่ออายุน้อยคนหนึ่งกับชายชราอายุเกือบร้อยปีคนหนึ่งหรอกใช่ไหม?

เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในห้อง เห็นจางอีเต๋อกำลังนั่งขัดสมาธิ พลังพิเศษอันแข็งแกร่งบนร่างแผ่ออกมา แต่พลังพิเศษเช่นนี้ไม่มีไอสังหาร และไม่ได้แกร่งกร้าวมากเกินไปนัก กลับเป็นกลิ่นอายที่อ่อนโยน เป็นพลังพิเศษในแบบที่เย่เทียนเฉินไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

เขาบิดขี้เกียจครั้งหนึ่ง แล้วเดินไปข้างเตียงตรงข้ามกับจางอีเต๋อ เตรียมจะล้มตัวลงนอน ในตอนนี้เองอยู่ดีๆ จางอีเต๋อก็ลืมตาขึ้น สีหน้าแดงก่ำสุขภาพดีขึ้นไม่น้อย ดูท่าทางบาดแผลที่ได้รับจากการต่อสู้กับคาเมดะอิจิโร่คงเกือบจะหายดีแล้ว นี่ทำให้เย่เทียนเฉินตื่นตะลึงมาก ผู้มีพลังพิเศษในสายรักษา โดยปกติพลังในการโจมตีจะไม่แข็งแกร่งแต่จะมีพลังในการรักษาตัวเองที่แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าฆ่าไม่ตาย แต่จางอีเต๋อไม่เพียงแต่จะมีวิชาแพทย์สูง ทั้งยังสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายโลหะได้อีกด้วย คนแบบนี้ไม่ต้องพูดถึงโลกปัจจุบันแห่งนี้เลย กระทั่งเป็นช่วงยุคสิ้นโลกก็เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

“ในร่างกายของคุณมีพลังพิเศษที่แตกต่างกันไปไหลเวียนอยู่ ท่าทางคุณจะใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษได้หลายสาย เพียงแต่หากทำแบบนี้ต่อไป ถ้าไม่สามารถรวมพวกมันให้เข้ากันได้ จุดจบจะมีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือระเบิดตาย!” จางอีเต๋อนั่งสมาธิอยู่บนเตียง มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างเรียบเฉย

“คุณดูออกด้วยเหรอครับ? ร้ายกาจ ร้ายกาจ!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ

ถึงแม้ว่าเย่เทียนเฉินจะพูดกับจางอีเต๋อด้วยรอยยิ้มแต่ก็ยังลอบนับถืออยู่ในใจ ไม่เสียทีที่จางอีเต๋อได้ชื่อว่าเป็นเซียนแพทย์เทวะ ไม่ทันไรก็พบว่าในร่างกายของตนมีพลังพิเศษอยู่หลายสาย ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็พูดไม่ผิด ขอเพียงแค่ควบคุมได้ไม่ดีก็เป็นไปได้มากกว่าร่างกายจะระเบิดออกมาจนตาย

ในช่วงยุคสิ้นโลก เย่เทียนเฉินก็เคยมีพลังพิเศษหลายสายเช่นกัน และสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษที่แข็งแกร่งในสายหลักต่างๆ ได้หลายสาย จนกลายเป็นผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าระดับสูง หากเทียบกับยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าธรรมดาทั่วไปก็ร้ายกาจกว่าไม่น้อย นี่คือความน่ากลัวของผู้ที่มีพลังพิเศษหลายสาย

แต่ไม่ว่าใครก็สามารถจินตนาการได้เลยว่า เมื่อในร่างกายของคนๆ หนึ่งมีพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันไป ก็มีความเป็นไปได้ว่าพลังพิเศษเหล่านี้จะเกิดการปะทะกัน และ “ทะเลาะ” กันในร่างกาย ผลที่เกิดขึ้นก็คือการระเบิด หากต้องการทำให้พลังพิเศษที่แข็งแกร่งที่แตกต่างกันไปรวมเข้าด้วยกันได้มันไม่ใช่เรื่องง่าย ท่ามกลางผู้มีพลังพิเศษและยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณต่างก็มีคนที่ทำแบบนี้อยู่

ผู้มีพลังพิเศษฝึกฝนเขตวิชาพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันไป ส่วนยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณก็คิดวิธีที่จะฝึกฝนเคล็ดวิชาที่แตกต่างกันไป นี่ล้วนเป็นเหตุผลเดียวกัน ยอดฝีมือจำนวนมากเพียงเพื่อที่จะไล่ตามพลังที่แข็งแกร่งที่สุด สุดท้ายจึงนำมาซึ่งความตายของตนเอง

ที่จางอีเต๋อพูดแบบนี้นับว่าเป็นการเตือนเย่เทียนเฉิน หากต้องการที่จะรวมพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันเข้าด้วยกันเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก ถ้าไม่ระวังเขาก็จะระเบิดจนตาย กระทั่งศพก็ไม่เหลือ

ในจุดนี้ ความจริงเย่เทียนเฉินรู้สึกได้นานแล้ว ในช่วงยุคสิ้นโลกเขาเองก็มีพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันไปหลายสาย แยกกันไปอาศัยอยู่ในอวัยวะที่แตกต่างกันไป นั่นเป็นเพราะในช่วงยุคสิ้นโลกมีความพิสดารมากมาย เช่นสมุนไพรที่ทำให้ผู้คนอายุยืนยาว หรือไม่ก็วิธีการบำเพ็ญตนขั้นสูง กระทั่งความลับเกี่ยวกับชีวิตอมตะก็ยังมีออกมา เป็นเพราะว่าของเหล่านี้ เย่เทียนเฉินจึงสามารถรวบรวมพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันไปได้ในช่วงยุคที่โลก และกลายเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นสูงของขอบเขตระดับพระเจ้า แต่โลกนี้ไม่เหมือนกัน ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเขาเอง มีการเปลี่ยนแปลงทางรากฐาน นอกจากนี้โลกนี้ก็เป็นโลกที่ไม่เหมาะกับการบำเพ็ญเพียร เขารับรู้ได้นานแล้ว เส้นทางพำเพ็ญของโลกนี้ถูกควบคุม ทำให้ผู้คนสัมผัสกับพลังแห่งธรรมชาติได้ยากยิ่งขึ้นมาก เป็นสาเหตุที่ทำให้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นสูงได้ยาก

ดังนั้นความจริงที่โหดร้ายนี้ได้มาวางกองตรงหน้าของเย่เทียนเฉิน หาเขาคิดที่จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่ภายในร่างกายมีพลังพิเศษอยู่หลายประเภทเช่นเดียวกับในช่วงยุคสิ้นโลกอีกครั้ง เป็นเรื่องที่ลำบากมาก นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมหลังจากที่พลังพิเศษของเขาไปถึงขอบเขตจอมราชันขั้นสูงแล้ว ยังคงมีความยากลำบากที่จะทลวงต่อไป เพราะหลังจากที่มาถึงขอบเขตนี้แล้ว ไม่ใช่แค่อาศัยการต่อสู้กับยอดฝีมือและพลังพิเศษที่เพิ่มขึ้นไม่หยุดแล้วจะทะลวงไปได้ ยังต้องการความ “สำนึก” สำนึกในธรรมชาติ สำนึกในสัจธรรม ถึงจะพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นได้

“ไม่ว่าจะเป็นผู้มีพลังพิเศษอย่างพวกเราหรือจะเป็นคนของพรรควรยุทธโบราณ ความจริงเส้นทางที่เดินก็เป็นเพียงเส้นทางของการบำเพ็ญเพียรที่แตกต่างกันเท่านั้น แล้วก็แตกต่างกันไม่มาก เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียรเมื่อเดินไปถึงปลายทางต่างก็ทำเพื่อตามหาพลังที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งสุดท้ายก็หนีไม่พ้นคำคำเดียวก็คือคำว่า อมตะ!” จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉิน เอ่ยปากพูดออกมาอย่างลึกซึ้ง

“อมตะ? พูดน่ะมันง่าย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่รู้ว่ามีจักรพรรดิกี่คนและผู้แข็งแกร่งกี่คนที่ตามหาวิธีที่จะเป็นอมตะ แต่จนวันตายก็ยังไม่อาจเป็นจริงได้ ยิ่งไปกว่านั้นในโลกนี้ ในยุคของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความเป็นอมตะเป็นแค่เรื่องที่ทุกคนคิดอยู่ในใจเท่านั้น พูดออกมาก็จะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเปล่าๆ !” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง

“ดังนั้นคนเหล่านี้จึงไม่มีวันเป็นอมตะได้ไปตลอดกาล พวกเขาถูกความจริงของสังคมอาบย้อมความคิด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเข้าใจแก่นแท้แห่งอารยธรรมของประเทศจีนเมื่อห้าพันปีก่อนได้” จางอีเต๋อเองก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

ในตอนนี้ จู่ๆ เย่เทียนเฉินก็รู้สึกว่าจางอีเต๋อดูลึกลับคาดเดาไม่ได้ขึ้นมา ถึงกับพูดเรื่องความอมตะกับเขา ดูเหมือนว่าในโลกแห่งนี้เรื่องของความเป็นอมตะนั้นจะไม่เคยถูกคนพูดถึงมาก่อน และจะไม่มีทางถูกคนอื่นพูดออกมาจากปากอย่างเป็นจริงเป็นจัง นอกจากจักรพรรดิและผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณที่มีตำแหน่งสูงส่งแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครพูดออกมาเลย

แน่นอนว่าในช่วงยุคสิ้นโลกซึ่งมีความแปลกประหลาดพิสดาร มีทั้งอารยธรรมของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน และมีเรื่องที่เล่าขานกันในเทพนิยาย ในโลกแบบนี้ความเป็นอมตะเป็นเป้าหมายสุดท้ายของผู้แข็งแกร่งทั้งหมด เป็นโลกที่แสวงหาเส้นทางแห่งเซียน ในช่วงยุคสิ้นโลกไม่สามารถใช้ตรรกะความคิดในยุคปัจจุบันได้ มันโค่นล้มทุกความรู้ของผู้คนโดยสิ้นเชิง และสามารถมอบความสนุกและสีสันที่ผู้คนคิดไม่ถึงได้

“ช่างมันเถอะ ผมไม่อยากคุยกับคุณเรื่องอมตะไม่อมตะอะไรนี่หรอก พรุ่งนี้หลังจากที่คุณไปรักษาผู้ป่วยคนนั้นแล้ว พวกเราทั้งสองก็ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก!” เย่เทียนเฉินห้าวครั้งหนึ่ง ล้มตัวลงนอน

……………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+