เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ 274 กลุ่มยอดฝีมือที่ยโสโอหัง

Now you are reading เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ Chapter 274 กลุ่มยอดฝีมือที่ยโสโอหัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หูหลงคิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่พี่ใหญ่เย่เทียนเฉินได้ยินว่ามีคนก่อเรื่อง ไม่เพียงแต่จะไม่โกรธแต่กลับยังเผยรอยยิ้มออกมาอีกด้วย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็สงบลงมาก เพราะเขาเชื่อในความสามารถของเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ใหญ่ เย่เทียนเฉินและหูหลงเดินไปด้วยกัน ในตอนที่มาถึงกลางป่าไผ่ ก็พบว่าเปาเทียนหลงและชายคนหนึ่งซึ่งสวมเสื้อลายพรางกำลังต่อสู้กันอยู่ คนทั้งสองแลกหมัดกันอย่างดุเดือด ส่วนอู๋เสวี่ยและหลินตวนก็มองทุกอย่างด้วยความร้อนใจ คนอื่นๆ ที่ล้อมอยู่รอบๆ คงจะเป็นคนที่อู๋เสวี่ยหามาในครั้งนี้ ต่างก็พากันมุงดูความคึกครื้น เมื่อก่อนเปาเทียนหลงเคยเป็นขุนพลประดับฟ้า ความสามารถย่อมแข็งแกร่ง ในตอนที่เย่เทียนเฉินอยู่ที่ตระกูลหลัว ก็เคยลงมือต่อสู้กับเปาเทียนหลงอย่างเต็มกำลังมาก่อน รู้ว่าเปาเทียนหลงแข็งแกร่งมาก เขาคิดไม่ถึงเลยว่าในหมู่คนที่อู๋เสวี่ยหามาในครั้งนี้ จะมีคนที่มีความสามารถเทียบเคียงเปาเทียนหลงได้อยู่ ในใจจึงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็มีความยินดีมากกว่า สิ่งที่เขาต้องการก็คือกองกำลังที่แข็งแกร่งห้าวหาญเช่นนี้ ไม่เน้นปริมาณแต่เน้นคุณภาพ นี่คือความคิดของเย่เทียนเฉิน หากต้องการที่จะก่อตั้งกลุ่มอำนาจของตน จะมีแค่คนไร้ความสามารถกลุ่มหนึ่งย่อมไม่ได้อย่างแน่นอน ตอนนี้เองคนที่ล้อมอยู่รอบๆ เห็นหูหลงเดินมาด้วยกันกับชายวัยรุ่นอายุประมาณยี่สิบปีคนหนึ่ง ต่างก็มองไปที่เย่เทียนเฉินด้วยความสงสัย และอดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา “ให้ตายเถอะ ไอ้หนูนั่นมันเป็นใคร?” “ก็แค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งเท่านั้น วางมาดไม่น้อยเลยจริงๆ” “ไอ้เด็กนี่คงจะไม่ใช่คนที่ชื่อเย่เทียนเฉินอะไรนั่นหรอกมั้ง?” เย่เทียนเฉินยิ้มเล็กน้อย อู๋เสวี่ยเห็นพี่ใหญ่เดินเข้ามาก็รีบเดินไป ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “ลูกพี่ เรื่องนี้ผมจัดการได้ไม่ดี ปล่อยให้คนพวกนี้ก่อเรื่องแล้ว!” “ไม่ แกทำได้ดีแล้ว คนเหล่านี้แต่ละคนต่างก็เป็นยอดฝีมือ ย่อมต้องมีความหยิ่งทะนงอยู่บ้าง ขอเพียงสยบพวกเขาได้ อำนาจของพวกเราก็จะต้องยิ่งใหญ่มากแน่นอน!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ พลางส่ายหน้า “ให้ตายเถอะ พี่น้องทั้งหลาย ฉันได้ยินมาว่าเย่เทียนเฉินเป็นไอ้ลูกแหง่คนหนึ่ง เกรงว่ากระทั่งนมก็คงยังไม่เลิกกิน นี่จะออกมาหาเรื่องแล้ว ยังคิดที่จะมาสั่งพี่ของพวกเราอีก แม่งหน้าด้านจริงๆ” มีคนตะโกนขึ้นจากด้านข้าง ส่วนเปาเทียนหลงและชายที่สวมชุดลายพรางก็สู้กันอย่างมีสีสัน ระหว่างทั้งสองไม่อาจแยกแยะแพ้ชนะได้ “ใช่แล้ว แม่มันเถอะ พวกเราถูกหลอกแล้ว” “พวกเราแต่ละคนต่างก็เป็นยอดฝีมือ เดิมทีคิดว่ามีเรื่องให้ทำบ้างแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะถูกหลอกได้ ต่อให้ต้องมีชีวิตย่ำแย่ ก็จะไม่ยอมถูกไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งมาชี้นิ้วสั่งหรอก ขายหน้าแย่เลยใช่หรือเปล่า?” “ใช่แล้ว แม่มันเถอะ สั่งสอนพวกมันทั้งหลายแล้วพวกเราก็แยกย้ายกันเถอะ แม่งซวยจริงๆ ” “คนที่สู้กับเปาเทียนหลงก็คือหวังเจี๋ยเหรอ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถามอู๋เสวี่ย “ไม่ใช่ ไอ้เด็กนั่นมันไปฉี่ บอกว่าหลังจากที่ฉี่เสร็จแล้วกลับมา ถ้าหากคุณยังไม่มาก็จะไป!” อู๋เสวี่ยพูดด้วยความโกรธ “อืม จัดการคนที่นี่ก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยทดสอบหวังเจี๋ย!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “พี่ใหญ่ ความสามารถของหวังเจี๋ยคนนี้แข็งแกร่งมาก!” อู๋เสวี่ยชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “แข็งแกร่งขนาดไหน?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถาม “ผมลงมือเต็มกำลังก็ยังเอาชนะเขาไม่ได้ แต่ก็สามารถสู้เสมอกันได้!” ในตอนนี้เอง มีคนใจกล้าคนหนึ่งเห็นอู๋เสวี่ยและเย่เทียนเฉินแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย เดินเข้ามาด้วยท่าทีนักเลง มายังเบื้องหน้าของเย่เทียนเฉินและอู๋เสวี่ย หัวเราะอย่างเหยียดหยามแล้วพูดขึ้นว่า “อู๋เสวี่ย พี่ใหญ่ตดหมาอะไรของแกนั่นยังอยู่ในท้องแม่ใช่หรือเปล่า? บิดารอนานขนาดนี้แล้วยังไม่โผล่หัวออกมาอีก คงจะไม่ตกใจจนฉี่รดกางเกงไปแล้วนะ?” “แกพูดอะไร จะหาเรื่องใช่ไหม?” อู๋เสวี่ยจ้องชายคนนั้นอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น “หาเรื่อง? แกเป็นคู่มือของหวังเจี๋ยได้เหรอ? เป็นผู้ชายก็ขี้โม้ให้มันน้อยๆ หน่อย บิดามาทำเรื่องจริงจังไม่ได้มาเล่น เย่เทียนเฉินพี่ใหญ่ตดหมาอะไรของพวกแกนั่น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่โผล่หัวออกมา แล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรให้พวกบิดาทำ จะรออยู่ที่นี่ทำอะไรล่ะ? ฉันบอกแกแล้ว ได้ยินว่าลูกพี่ใหญ่อะไรนั่นของแก เป็นแค่เด็กที่ยังไม่หย่านม คนแบบนี้คู่ควรจะเป็นลูกพี่ของพวกเราเหรอ? ตลก!” ชายคนนั้นเอ่ยปากพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “สหายคนนี้พูดได้ถูกต้อง ได้ยินว่าเย่เทียนเฉินแม่งเป็นแค่เด็กมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง แสดงว่ายังไม่หย่านมแม่จริงๆ พอคิดถึงตอนที่พวกเราไปฆ่าคน ไม่แน่ว่าไอ้หนูนั่นคงจะฉี่รดที่นอนก็เป็นได้ ฮ่าๆๆๆ!” คนกลุ่มนี้พากันหัวเราะออกมาเสียงดัง ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่เห็นพวกอู๋เสวี่ยอยู่ในสายตา เพราะว่าพวกเขาได้ยินว่าเย่เทียนเฉินเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปีเท่านั้น ในใจจึงรู้สึกทอดถอนใจและไม่พอใจมาก คิดว่าหากถูกเด็กเช่นนี้มาออกคำสั่ง ช่างขายหน้าจริงๆ “พี่ใหญ่…” อู๋เสวี่ยพูดอย่างโหดเหี้ยม เย่เทียนเฉินไม่พูดอะไร ทำเพียงเดินไปยังชายคนนั้นที่กำลังสู้อยู่กับเปาเทียนหลง ทุกคนพากันชะงัก ต่างจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉิน แปลกใจว่าชายวัยรุ่นอายุประมาณยี่สิบปีคนนี้เป็นใครกัน? เขาเดินไปตรงกลางจะทำอะไร? รนหาที่ตายหรือไง? เปาเทียนหลงที่กำลังต่อสู้อยู่ เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินเดินเข้ามา ก็ปล่อยหมัดกระแทกชายสวมชุดลายพรางออกไป แล้วจึงเอ่ยเรียกอย่างเคารพและรู้สึกผิดเล็กน้อย “พี่ใหญ่!” “อืม! แกออกไปพักผ่อนเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม “ครับ!” เปาเทียนหลงพยักหน้าแล้วเดินออกไป ทันใดนั้นทุกคนต่างพากันจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉิน รู้สึกแปลกใจและสงสัยอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าชายวัยรุ่นอายุประมาณยี่สิบปีเช่นนี้โผล่ออกมาจากที่ไหน และไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่กลับมีบางคนที่คาดเดาฐานะของเย่เทียนเฉินออกแล้ว “หรือว่าเขาจะคือเย่เทียนเฉิน?” “เป็นคนรุ่นหลังจริงๆ ด้วย ผอมขนาดนี้ แค่ดูก็รู้ว่าเป็นดอกไม้ในเรือนกระจก ยังไม่หย่านมเลยมั้ง?” “เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งต้องการป่วนยุทธภพ ไม่รู้จักที่ตายจริงๆ ” “บิดาต่อยหมัดเดียวก็ซัดไอ้หนูจนกระทั่งพ่อแม่ก็จำมันไม่ได้ได้แล้ว!” เย่เทียนเฉินไม่สนใจการวิพากษ์วิจารณ์พวกนี้โดยสิ้นเชิง จ้องมองไปยังทุกคนที่อยู่รอบๆ แล้วพูดขึ้น “ฉันคนเดียวจะสู้กับพวกแกทั้งหมด พวกแกเข้ามาพร้อมกันเถอะ” เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินทุกคนก็ชะงักไป จะอย่างไรพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่า ชายวัยรุ่นที่ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหันคนนี้ จะถึงกับมีความใจกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ ต้องรู้ว่าพวกเขามาถึงนานแล้ว อู๋เสวี่ย หูหลง หลินตวนและเปาเทียนหลงทั้งสี่คนต่างก็ลงมือมาก่อน ความสามารถที่พวกเขาแสดงออกมาก็ทำให้ผู้คนตกตะลึงเป็นอย่างมาก แข็งแกร่งกว่าคนที่อยู่ที่นี่เล็กน้อย แต่สำหรับคนที่หวังเจี๋ยพามาก่อเรื่อง หลายคนก็เฮโลตามกันไป กระทั่งอู๋เสวี่ยทั้งสี่ก็สยบเอาไว้ไม่ได้ มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่ปล่อยให้สถานการณ์พัฒนามาจนมีสภาพเช่นนี้ ส่วนเย่เทียนเฉินถึงกับต้องการสู้กับทุกคนด้วยตัวคนเดียว คำพูดนี้ไม่เพียงแต่พูดได้อย่างใหญ่โต ทั้งยังมีความกล้าหาญเป็นอย่างมากอีกด้วย ถ้าไม่มีความกล้าหาญและฝีมือที่แน่นอน เกรงว่าคงไม่กล้าพูดแบบนี้ออกมา แต่หากจะบอกว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก คนที่นี่ก็ยังไม่มีใครเชื่อ เพราะพวกเขามองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าวัยรุ่นคนหนึ่งอีกทั้งยังเป็นคนที่ผอมเล็กน้อย จะแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่ “หึไม่รู้จักที่ตายเลยจริงๆ ฉันใช้มือเดียวก็บี้แกให้ตายได้แล้ว” ชายสวมชุดลายพรางที่สู้กับเปาเทียนหลงแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่ง มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น “งั้นก็มาบี้ฉันให้ดูหน่อยสิ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเรียบเฉย ทุกคนต่างตกตะลึง ถึงแม้พวกเขาจะคาดเดาฐานะของเย่เทียนเฉินได้แล้ว แต่ก็ไม่เชื่อโดยเด็ดขาดว่าเย่เทียนเฉินเพียงคนเดียวจะสามารถเอาชนะพวกเขาทั้งหมดได้ ต่อให้เป็นหวังเจี๋ยหรืออู๋เสวี่ยที่แข็งแกร่งขนาดนี้ก็ยังไม่อาจทำได้ ชายสวมเสื้อลายพรางชื่อจางอู่เฉวียน เป็นคนที่มาด้วยกันกับหวังเจี๋ย จากคำบอกกล่าวของอู๋เสวี่ย คนคนนี้เคยเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณมาก่อน จากนั้นจึงไปเป็นทหาร มีความสามารถแข็งแกร่งมาก เป็นรองเพียงหวังเจี๋ยเท่านั้น มิฉะนั้นคงไม่สามารถต่อสู้กับเปาเทียนหลงได้นานขนาดนี้ เมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินเองก็เห็นแล้ว เปาเทียนหลงใช้ปราณหนักออกมา จางอู่เฉวียนก็ไม่กล้าปะทะตรงๆ บางทีหากเป็นการต่อสู้ถึงขั้นเป็นตายจริงๆ จางอู่เฉวียนคงจะอ่อนแอกว่าเปาเทียนหลงเล็กน้อย แต่สามารถต่อสู้มานานขนาดนี้ได้ เชื่อว่ามีประสบการณ์ในการต่อสู้จริงมามาก รวมกับฝีมือแข็งแกร่ง จึงไม่อาจดูเบาได้โดยเด็ดขาด จางอู่เฉวียนเดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน หัวเราะอย่างเย็นชา แล้วใช้เท้าเตะไปบริเวณหน้าอกของเย่เทียนเฉิน การเตะในครั้งนี้รวดเร็วมาก เรียกได้ว่ามีหลายคนที่คิดไม่ถึง รวดเร็วดุจสายฟ้า เตะเข้าไปยังตำแหน่งของเย่เทียนเฉินหวังที่จะทำร้าย ทุกคนต่างพากันชะงัก คิดไม่ถึงว่าจางอู่เฉวียนจะลงมือเช่นนี้ หลายคนต่างรอดูเรื่องน่าขันของเย่เทียนเฉิน มาคุยโวโอ้อวดอย่างไม่ละอายใจจะต้องลำบากแน่นอน ในตอนที่ขาของจางอู่เฉวียนเตะไปยังหน้าอกของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินก็เอี้ยวตัวอย่างฉับพลัน ไพร่มือซ้ายไว้ที่หลัง ส่วนมือขวาจับข้อเท้าของจางอู่เฉวียน จางอู่เฉวียนตกใจจนหน้าถอดสี การเตะของตนในครั้งนี้รวดเร็วมาก พลังก็มหาศาล ชายวัยรุ่นที่อยู่เบื้องหน้าถึงกับหลบได้ง่ายๆ แล้วยังจับข้อเท้าของตนเอาไว้ได้อีกด้วย คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ต้องทราบว่าเขาสามารถต่อสู้กับเปาเทียนหลงได้นานขนาดนี้โดยไม่แพ้ ก็เกี่ยวข้องกับกระบวนท่าอันรวดเร็วเช่นนี้ของเขาด้วย เสียงตู้มดังขึ้น มือขวาของเย่เทียนเฉินออกแรง สะบัดจางอู่เฉวียนออกไปโดยตรง ทุกคนที่ดูอยู่ที่นี่ต่างตกตะลึงจนคางแทบร่วง ประเมินชายวัยรุ่นที่ค่อนข้างผอมตรงหน้าอีกครั้ง ดูเหมือนกับเป็นแค่ดอกไม้ประดับในเรือนกระจกเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีฝีมือแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ สามารถโยนยอดฝีมืออย่างจางอู่เฉวียนออกไปได้ง่ายๆ เหนือคาดจริงๆ ฝีมือของจางอู่เฉวียนก็ไม่อ่อนแอเลย ถึงแม้ในใจจะตกตะลึง กระทั่งเรียกได้ว่าตกใจจนหน้าถอดสี แต่ก็ใช้ฝ่ามือขวาซัดออกไปที่พื้นอย่างรวดเร็ว พลิกตัวกลางอากาศ แล้วลงมายืนกับพื้น บนหน้าผากมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย มองเย่เทียนเฉินด้วยความประหลาดใจอย่างหาใดเปรียบ “ฉันบอกแล้ว เข้ามาอีกหลายคนเถอะ เข้ามาพร้อมกันเลย ไม่งั้นมันก็ไม่สนุก” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย ตอนนี้เอง ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อลายพรางอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างเดินมาข้างกายของจางอู่เฉวียน มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วพูดเสียงเย็นว่า “พวกเราสองคนเข้าไปพร้อมกัน แกจะต้องตายแน่นอน!” “ผิดแล้ว พวกแกสองคนเข้ามาพร้อมกันฉันก็ยังคงจะไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม เมื่อคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉินถูกเอาออกมา จางอู่เฉวียนและชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งที่เดินออกมา ก็กำหมัดแน่น คนทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ต่างไม่เชื่อฟังเย่เทียนเฉิน ย่อมพากันบ่นด่าขึ้นมา “แม่งเอ้ย ไอ้หนูนี่จะโอหังไปแล้ว จะต้องสั่งสอนให้โหดๆ สักหน่อย” “ฆ่ามันก็จบแล้ว มีอะไรให้พูดมากกัน” “ฆ่าเลยๆ พวกเราเองก็แยกย้ายกันเถอะ ซวยจริงๆ โดนหลอกแล้ว!” ………….

หูหลงคิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่พี่ใหญ่เย่เทียนเฉินได้ยินว่ามีคนก่อเรื่อง ไม่เพียงแต่จะไม่โกรธแต่กลับยังเผยรอยยิ้มออกมาอีกด้วย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็สงบลงมาก เพราะเขาเชื่อในความสามารถของเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ใหญ่

เย่เทียนเฉินและหูหลงเดินไปด้วยกัน ในตอนที่มาถึงกลางป่าไผ่ ก็พบว่าเปาเทียนหลงและชายคนหนึ่งซึ่งสวมเสื้อลายพรางกำลังต่อสู้กันอยู่ คนทั้งสองแลกหมัดกันอย่างดุเดือด ส่วนอู๋เสวี่ยและหลินตวนก็มองทุกอย่างด้วยความร้อนใจ คนอื่นๆ ที่ล้อมอยู่รอบๆ คงจะเป็นคนที่อู๋เสวี่ยหามาในครั้งนี้ ต่างก็พากันมุงดูความคึกครื้น

เมื่อก่อนเปาเทียนหลงเคยเป็นขุนพลประดับฟ้า ความสามารถย่อมแข็งแกร่ง ในตอนที่เย่เทียนเฉินอยู่ที่ตระกูลหลัว ก็เคยลงมือต่อสู้กับเปาเทียนหลงอย่างเต็มกำลังมาก่อน รู้ว่าเปาเทียนหลงแข็งแกร่งมาก เขาคิดไม่ถึงเลยว่าในหมู่คนที่อู๋เสวี่ยหามาในครั้งนี้ จะมีคนที่มีความสามารถเทียบเคียงเปาเทียนหลงได้อยู่ ในใจจึงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็มีความยินดีมากกว่า สิ่งที่เขาต้องการก็คือกองกำลังที่แข็งแกร่งห้าวหาญเช่นนี้ ไม่เน้นปริมาณแต่เน้นคุณภาพ นี่คือความคิดของเย่เทียนเฉิน หากต้องการที่จะก่อตั้งกลุ่มอำนาจของตน จะมีแค่คนไร้ความสามารถกลุ่มหนึ่งย่อมไม่ได้อย่างแน่นอน

ตอนนี้เองคนที่ล้อมอยู่รอบๆ เห็นหูหลงเดินมาด้วยกันกับชายวัยรุ่นอายุประมาณยี่สิบปีคนหนึ่ง ต่างก็มองไปที่เย่เทียนเฉินด้วยความสงสัย และอดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา

“ให้ตายเถอะ ไอ้หนูนั่นมันเป็นใคร?”

“ก็แค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งเท่านั้น วางมาดไม่น้อยเลยจริงๆ”

“ไอ้เด็กนี่คงจะไม่ใช่คนที่ชื่อเย่เทียนเฉินอะไรนั่นหรอกมั้ง?”

เย่เทียนเฉินยิ้มเล็กน้อย อู๋เสวี่ยเห็นพี่ใหญ่เดินเข้ามาก็รีบเดินไป ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “ลูกพี่ เรื่องนี้ผมจัดการได้ไม่ดี ปล่อยให้คนพวกนี้ก่อเรื่องแล้ว!”

“ไม่ แกทำได้ดีแล้ว คนเหล่านี้แต่ละคนต่างก็เป็นยอดฝีมือ ย่อมต้องมีความหยิ่งทะนงอยู่บ้าง ขอเพียงสยบพวกเขาได้ อำนาจของพวกเราก็จะต้องยิ่งใหญ่มากแน่นอน!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ พลางส่ายหน้า

“ให้ตายเถอะ พี่น้องทั้งหลาย ฉันได้ยินมาว่าเย่เทียนเฉินเป็นไอ้ลูกแหง่คนหนึ่ง เกรงว่ากระทั่งนมก็คงยังไม่เลิกกิน นี่จะออกมาหาเรื่องแล้ว ยังคิดที่จะมาสั่งพี่ของพวกเราอีก แม่งหน้าด้านจริงๆ” มีคนตะโกนขึ้นจากด้านข้าง ส่วนเปาเทียนหลงและชายที่สวมชุดลายพรางก็สู้กันอย่างมีสีสัน ระหว่างทั้งสองไม่อาจแยกแยะแพ้ชนะได้

“ใช่แล้ว แม่มันเถอะ พวกเราถูกหลอกแล้ว”

“พวกเราแต่ละคนต่างก็เป็นยอดฝีมือ เดิมทีคิดว่ามีเรื่องให้ทำบ้างแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะถูกหลอกได้ ต่อให้ต้องมีชีวิตย่ำแย่ ก็จะไม่ยอมถูกไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งมาชี้นิ้วสั่งหรอก ขายหน้าแย่เลยใช่หรือเปล่า?”

“ใช่แล้ว แม่มันเถอะ สั่งสอนพวกมันทั้งหลายแล้วพวกเราก็แยกย้ายกันเถอะ แม่งซวยจริงๆ ”

“คนที่สู้กับเปาเทียนหลงก็คือหวังเจี๋ยเหรอ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถามอู๋เสวี่ย

“ไม่ใช่ ไอ้เด็กนั่นมันไปฉี่ บอกว่าหลังจากที่ฉี่เสร็จแล้วกลับมา ถ้าหากคุณยังไม่มาก็จะไป!” อู๋เสวี่ยพูดด้วยความโกรธ

“อืม จัดการคนที่นี่ก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยทดสอบหวังเจี๋ย!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

“พี่ใหญ่ ความสามารถของหวังเจี๋ยคนนี้แข็งแกร่งมาก!” อู๋เสวี่ยชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น

“แข็งแกร่งขนาดไหน?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถาม

“ผมลงมือเต็มกำลังก็ยังเอาชนะเขาไม่ได้ แต่ก็สามารถสู้เสมอกันได้!”

ในตอนนี้เอง มีคนใจกล้าคนหนึ่งเห็นอู๋เสวี่ยและเย่เทียนเฉินแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย เดินเข้ามาด้วยท่าทีนักเลง มายังเบื้องหน้าของเย่เทียนเฉินและอู๋เสวี่ย หัวเราะอย่างเหยียดหยามแล้วพูดขึ้นว่า

“อู๋เสวี่ย พี่ใหญ่ตดหมาอะไรของแกนั่นยังอยู่ในท้องแม่ใช่หรือเปล่า? บิดารอนานขนาดนี้แล้วยังไม่โผล่หัวออกมาอีก คงจะไม่ตกใจจนฉี่รดกางเกงไปแล้วนะ?”

“แกพูดอะไร จะหาเรื่องใช่ไหม?” อู๋เสวี่ยจ้องชายคนนั้นอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น

“หาเรื่อง? แกเป็นคู่มือของหวังเจี๋ยได้เหรอ? เป็นผู้ชายก็ขี้โม้ให้มันน้อยๆ หน่อย บิดามาทำเรื่องจริงจังไม่ได้มาเล่น เย่เทียนเฉินพี่ใหญ่ตดหมาอะไรของพวกแกนั่น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่โผล่หัวออกมา แล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรให้พวกบิดาทำ จะรออยู่ที่นี่ทำอะไรล่ะ? ฉันบอกแกแล้ว ได้ยินว่าลูกพี่ใหญ่อะไรนั่นของแก เป็นแค่เด็กที่ยังไม่หย่านม คนแบบนี้คู่ควรจะเป็นลูกพี่ของพวกเราเหรอ? ตลก!” ชายคนนั้นเอ่ยปากพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“สหายคนนี้พูดได้ถูกต้อง ได้ยินว่าเย่เทียนเฉินแม่งเป็นแค่เด็กมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง แสดงว่ายังไม่หย่านมแม่จริงๆ พอคิดถึงตอนที่พวกเราไปฆ่าคน ไม่แน่ว่าไอ้หนูนั่นคงจะฉี่รดที่นอนก็เป็นได้ ฮ่าๆๆๆ!”

คนกลุ่มนี้พากันหัวเราะออกมาเสียงดัง ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่เห็นพวกอู๋เสวี่ยอยู่ในสายตา เพราะว่าพวกเขาได้ยินว่าเย่เทียนเฉินเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปีเท่านั้น ในใจจึงรู้สึกทอดถอนใจและไม่พอใจมาก คิดว่าหากถูกเด็กเช่นนี้มาออกคำสั่ง ช่างขายหน้าจริงๆ

“พี่ใหญ่…” อู๋เสวี่ยพูดอย่างโหดเหี้ยม

เย่เทียนเฉินไม่พูดอะไร ทำเพียงเดินไปยังชายคนนั้นที่กำลังสู้อยู่กับเปาเทียนหลง ทุกคนพากันชะงัก ต่างจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉิน แปลกใจว่าชายวัยรุ่นอายุประมาณยี่สิบปีคนนี้เป็นใครกัน? เขาเดินไปตรงกลางจะทำอะไร? รนหาที่ตายหรือไง?

เปาเทียนหลงที่กำลังต่อสู้อยู่ เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินเดินเข้ามา ก็ปล่อยหมัดกระแทกชายสวมชุดลายพรางออกไป แล้วจึงเอ่ยเรียกอย่างเคารพและรู้สึกผิดเล็กน้อย “พี่ใหญ่!”

“อืม! แกออกไปพักผ่อนเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“ครับ!” เปาเทียนหลงพยักหน้าแล้วเดินออกไป

ทันใดนั้นทุกคนต่างพากันจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉิน รู้สึกแปลกใจและสงสัยอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าชายวัยรุ่นอายุประมาณยี่สิบปีเช่นนี้โผล่ออกมาจากที่ไหน และไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่กลับมีบางคนที่คาดเดาฐานะของเย่เทียนเฉินออกแล้ว

“หรือว่าเขาจะคือเย่เทียนเฉิน?”

“เป็นคนรุ่นหลังจริงๆ ด้วย ผอมขนาดนี้ แค่ดูก็รู้ว่าเป็นดอกไม้ในเรือนกระจก ยังไม่หย่านมเลยมั้ง?”

“เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งต้องการป่วนยุทธภพ ไม่รู้จักที่ตายจริงๆ ”

“บิดาต่อยหมัดเดียวก็ซัดไอ้หนูจนกระทั่งพ่อแม่ก็จำมันไม่ได้ได้แล้ว!”

เย่เทียนเฉินไม่สนใจการวิพากษ์วิจารณ์พวกนี้โดยสิ้นเชิง จ้องมองไปยังทุกคนที่อยู่รอบๆ แล้วพูดขึ้น “ฉันคนเดียวจะสู้กับพวกแกทั้งหมด พวกแกเข้ามาพร้อมกันเถอะ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินทุกคนก็ชะงักไป จะอย่างไรพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่า ชายวัยรุ่นที่ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหันคนนี้ จะถึงกับมีความใจกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ ต้องรู้ว่าพวกเขามาถึงนานแล้ว อู๋เสวี่ย หูหลง หลินตวนและเปาเทียนหลงทั้งสี่คนต่างก็ลงมือมาก่อน ความสามารถที่พวกเขาแสดงออกมาก็ทำให้ผู้คนตกตะลึงเป็นอย่างมาก แข็งแกร่งกว่าคนที่อยู่ที่นี่เล็กน้อย แต่สำหรับคนที่หวังเจี๋ยพามาก่อเรื่อง หลายคนก็เฮโลตามกันไป กระทั่งอู๋เสวี่ยทั้งสี่ก็สยบเอาไว้ไม่ได้ มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่ปล่อยให้สถานการณ์พัฒนามาจนมีสภาพเช่นนี้

ส่วนเย่เทียนเฉินถึงกับต้องการสู้กับทุกคนด้วยตัวคนเดียว คำพูดนี้ไม่เพียงแต่พูดได้อย่างใหญ่โต ทั้งยังมีความกล้าหาญเป็นอย่างมากอีกด้วย ถ้าไม่มีความกล้าหาญและฝีมือที่แน่นอน เกรงว่าคงไม่กล้าพูดแบบนี้ออกมา แต่หากจะบอกว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก คนที่นี่ก็ยังไม่มีใครเชื่อ เพราะพวกเขามองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าวัยรุ่นคนหนึ่งอีกทั้งยังเป็นคนที่ผอมเล็กน้อย จะแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่

“หึไม่รู้จักที่ตายเลยจริงๆ ฉันใช้มือเดียวก็บี้แกให้ตายได้แล้ว” ชายสวมชุดลายพรางที่สู้กับเปาเทียนหลงแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่ง มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“งั้นก็มาบี้ฉันให้ดูหน่อยสิ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเรียบเฉย

ทุกคนต่างตกตะลึง ถึงแม้พวกเขาจะคาดเดาฐานะของเย่เทียนเฉินได้แล้ว แต่ก็ไม่เชื่อโดยเด็ดขาดว่าเย่เทียนเฉินเพียงคนเดียวจะสามารถเอาชนะพวกเขาทั้งหมดได้ ต่อให้เป็นหวังเจี๋ยหรืออู๋เสวี่ยที่แข็งแกร่งขนาดนี้ก็ยังไม่อาจทำได้

ชายสวมเสื้อลายพรางชื่อจางอู่เฉวียน เป็นคนที่มาด้วยกันกับหวังเจี๋ย จากคำบอกกล่าวของอู๋เสวี่ย คนคนนี้เคยเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณมาก่อน จากนั้นจึงไปเป็นทหาร มีความสามารถแข็งแกร่งมาก เป็นรองเพียงหวังเจี๋ยเท่านั้น มิฉะนั้นคงไม่สามารถต่อสู้กับเปาเทียนหลงได้นานขนาดนี้ เมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินเองก็เห็นแล้ว เปาเทียนหลงใช้ปราณหนักออกมา จางอู่เฉวียนก็ไม่กล้าปะทะตรงๆ บางทีหากเป็นการต่อสู้ถึงขั้นเป็นตายจริงๆ จางอู่เฉวียนคงจะอ่อนแอกว่าเปาเทียนหลงเล็กน้อย แต่สามารถต่อสู้มานานขนาดนี้ได้ เชื่อว่ามีประสบการณ์ในการต่อสู้จริงมามาก รวมกับฝีมือแข็งแกร่ง จึงไม่อาจดูเบาได้โดยเด็ดขาด

จางอู่เฉวียนเดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน หัวเราะอย่างเย็นชา แล้วใช้เท้าเตะไปบริเวณหน้าอกของเย่เทียนเฉิน การเตะในครั้งนี้รวดเร็วมาก เรียกได้ว่ามีหลายคนที่คิดไม่ถึง รวดเร็วดุจสายฟ้า เตะเข้าไปยังตำแหน่งของเย่เทียนเฉินหวังที่จะทำร้าย ทุกคนต่างพากันชะงัก คิดไม่ถึงว่าจางอู่เฉวียนจะลงมือเช่นนี้ หลายคนต่างรอดูเรื่องน่าขันของเย่เทียนเฉิน มาคุยโวโอ้อวดอย่างไม่ละอายใจจะต้องลำบากแน่นอน

ในตอนที่ขาของจางอู่เฉวียนเตะไปยังหน้าอกของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินก็เอี้ยวตัวอย่างฉับพลัน ไพร่มือซ้ายไว้ที่หลัง ส่วนมือขวาจับข้อเท้าของจางอู่เฉวียน จางอู่เฉวียนตกใจจนหน้าถอดสี การเตะของตนในครั้งนี้รวดเร็วมาก พลังก็มหาศาล ชายวัยรุ่นที่อยู่เบื้องหน้าถึงกับหลบได้ง่ายๆ แล้วยังจับข้อเท้าของตนเอาไว้ได้อีกด้วย คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ต้องทราบว่าเขาสามารถต่อสู้กับเปาเทียนหลงได้นานขนาดนี้โดยไม่แพ้ ก็เกี่ยวข้องกับกระบวนท่าอันรวดเร็วเช่นนี้ของเขาด้วย

เสียงตู้มดังขึ้น มือขวาของเย่เทียนเฉินออกแรง สะบัดจางอู่เฉวียนออกไปโดยตรง ทุกคนที่ดูอยู่ที่นี่ต่างตกตะลึงจนคางแทบร่วง ประเมินชายวัยรุ่นที่ค่อนข้างผอมตรงหน้าอีกครั้ง ดูเหมือนกับเป็นแค่ดอกไม้ประดับในเรือนกระจกเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีฝีมือแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ สามารถโยนยอดฝีมืออย่างจางอู่เฉวียนออกไปได้ง่ายๆ เหนือคาดจริงๆ

ฝีมือของจางอู่เฉวียนก็ไม่อ่อนแอเลย ถึงแม้ในใจจะตกตะลึง กระทั่งเรียกได้ว่าตกใจจนหน้าถอดสี แต่ก็ใช้ฝ่ามือขวาซัดออกไปที่พื้นอย่างรวดเร็ว พลิกตัวกลางอากาศ แล้วลงมายืนกับพื้น บนหน้าผากมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย มองเย่เทียนเฉินด้วยความประหลาดใจอย่างหาใดเปรียบ

“ฉันบอกแล้ว เข้ามาอีกหลายคนเถอะ เข้ามาพร้อมกันเลย ไม่งั้นมันก็ไม่สนุก” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย

ตอนนี้เอง ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อลายพรางอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างเดินมาข้างกายของจางอู่เฉวียน มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วพูดเสียงเย็นว่า “พวกเราสองคนเข้าไปพร้อมกัน แกจะต้องตายแน่นอน!”

“ผิดแล้ว พวกแกสองคนเข้ามาพร้อมกันฉันก็ยังคงจะไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

เมื่อคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉินถูกเอาออกมา จางอู่เฉวียนและชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งที่เดินออกมา ก็กำหมัดแน่น คนทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ต่างไม่เชื่อฟังเย่เทียนเฉิน ย่อมพากันบ่นด่าขึ้นมา

“แม่งเอ้ย ไอ้หนูนี่จะโอหังไปแล้ว จะต้องสั่งสอนให้โหดๆ สักหน่อย”

“ฆ่ามันก็จบแล้ว มีอะไรให้พูดมากกัน”

“ฆ่าเลยๆ พวกเราเองก็แยกย้ายกันเถอะ ซวยจริงๆ โดนหลอกแล้ว!”

………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ 274 กลุ่มยอดฝีมือที่ยโสโอหัง

Now you are reading เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ Chapter 274 กลุ่มยอดฝีมือที่ยโสโอหัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หูหลงคิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่พี่ใหญ่เย่เทียนเฉินได้ยินว่ามีคนก่อเรื่อง ไม่เพียงแต่จะไม่โกรธแต่กลับยังเผยรอยยิ้มออกมาอีกด้วย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็สงบลงมาก เพราะเขาเชื่อในความสามารถของเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ใหญ่ เย่เทียนเฉินและหูหลงเดินไปด้วยกัน ในตอนที่มาถึงกลางป่าไผ่ ก็พบว่าเปาเทียนหลงและชายคนหนึ่งซึ่งสวมเสื้อลายพรางกำลังต่อสู้กันอยู่ คนทั้งสองแลกหมัดกันอย่างดุเดือด ส่วนอู๋เสวี่ยและหลินตวนก็มองทุกอย่างด้วยความร้อนใจ คนอื่นๆ ที่ล้อมอยู่รอบๆ คงจะเป็นคนที่อู๋เสวี่ยหามาในครั้งนี้ ต่างก็พากันมุงดูความคึกครื้น เมื่อก่อนเปาเทียนหลงเคยเป็นขุนพลประดับฟ้า ความสามารถย่อมแข็งแกร่ง ในตอนที่เย่เทียนเฉินอยู่ที่ตระกูลหลัว ก็เคยลงมือต่อสู้กับเปาเทียนหลงอย่างเต็มกำลังมาก่อน รู้ว่าเปาเทียนหลงแข็งแกร่งมาก เขาคิดไม่ถึงเลยว่าในหมู่คนที่อู๋เสวี่ยหามาในครั้งนี้ จะมีคนที่มีความสามารถเทียบเคียงเปาเทียนหลงได้อยู่ ในใจจึงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็มีความยินดีมากกว่า สิ่งที่เขาต้องการก็คือกองกำลังที่แข็งแกร่งห้าวหาญเช่นนี้ ไม่เน้นปริมาณแต่เน้นคุณภาพ นี่คือความคิดของเย่เทียนเฉิน หากต้องการที่จะก่อตั้งกลุ่มอำนาจของตน จะมีแค่คนไร้ความสามารถกลุ่มหนึ่งย่อมไม่ได้อย่างแน่นอน ตอนนี้เองคนที่ล้อมอยู่รอบๆ เห็นหูหลงเดินมาด้วยกันกับชายวัยรุ่นอายุประมาณยี่สิบปีคนหนึ่ง ต่างก็มองไปที่เย่เทียนเฉินด้วยความสงสัย และอดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา “ให้ตายเถอะ ไอ้หนูนั่นมันเป็นใคร?” “ก็แค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งเท่านั้น วางมาดไม่น้อยเลยจริงๆ” “ไอ้เด็กนี่คงจะไม่ใช่คนที่ชื่อเย่เทียนเฉินอะไรนั่นหรอกมั้ง?” เย่เทียนเฉินยิ้มเล็กน้อย อู๋เสวี่ยเห็นพี่ใหญ่เดินเข้ามาก็รีบเดินไป ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “ลูกพี่ เรื่องนี้ผมจัดการได้ไม่ดี ปล่อยให้คนพวกนี้ก่อเรื่องแล้ว!” “ไม่ แกทำได้ดีแล้ว คนเหล่านี้แต่ละคนต่างก็เป็นยอดฝีมือ ย่อมต้องมีความหยิ่งทะนงอยู่บ้าง ขอเพียงสยบพวกเขาได้ อำนาจของพวกเราก็จะต้องยิ่งใหญ่มากแน่นอน!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ พลางส่ายหน้า “ให้ตายเถอะ พี่น้องทั้งหลาย ฉันได้ยินมาว่าเย่เทียนเฉินเป็นไอ้ลูกแหง่คนหนึ่ง เกรงว่ากระทั่งนมก็คงยังไม่เลิกกิน นี่จะออกมาหาเรื่องแล้ว ยังคิดที่จะมาสั่งพี่ของพวกเราอีก แม่งหน้าด้านจริงๆ” มีคนตะโกนขึ้นจากด้านข้าง ส่วนเปาเทียนหลงและชายที่สวมชุดลายพรางก็สู้กันอย่างมีสีสัน ระหว่างทั้งสองไม่อาจแยกแยะแพ้ชนะได้ “ใช่แล้ว แม่มันเถอะ พวกเราถูกหลอกแล้ว” “พวกเราแต่ละคนต่างก็เป็นยอดฝีมือ เดิมทีคิดว่ามีเรื่องให้ทำบ้างแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะถูกหลอกได้ ต่อให้ต้องมีชีวิตย่ำแย่ ก็จะไม่ยอมถูกไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งมาชี้นิ้วสั่งหรอก ขายหน้าแย่เลยใช่หรือเปล่า?” “ใช่แล้ว แม่มันเถอะ สั่งสอนพวกมันทั้งหลายแล้วพวกเราก็แยกย้ายกันเถอะ แม่งซวยจริงๆ ” “คนที่สู้กับเปาเทียนหลงก็คือหวังเจี๋ยเหรอ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถามอู๋เสวี่ย “ไม่ใช่ ไอ้เด็กนั่นมันไปฉี่ บอกว่าหลังจากที่ฉี่เสร็จแล้วกลับมา ถ้าหากคุณยังไม่มาก็จะไป!” อู๋เสวี่ยพูดด้วยความโกรธ “อืม จัดการคนที่นี่ก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยทดสอบหวังเจี๋ย!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “พี่ใหญ่ ความสามารถของหวังเจี๋ยคนนี้แข็งแกร่งมาก!” อู๋เสวี่ยชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “แข็งแกร่งขนาดไหน?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถาม “ผมลงมือเต็มกำลังก็ยังเอาชนะเขาไม่ได้ แต่ก็สามารถสู้เสมอกันได้!” ในตอนนี้เอง มีคนใจกล้าคนหนึ่งเห็นอู๋เสวี่ยและเย่เทียนเฉินแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย เดินเข้ามาด้วยท่าทีนักเลง มายังเบื้องหน้าของเย่เทียนเฉินและอู๋เสวี่ย หัวเราะอย่างเหยียดหยามแล้วพูดขึ้นว่า “อู๋เสวี่ย พี่ใหญ่ตดหมาอะไรของแกนั่นยังอยู่ในท้องแม่ใช่หรือเปล่า? บิดารอนานขนาดนี้แล้วยังไม่โผล่หัวออกมาอีก คงจะไม่ตกใจจนฉี่รดกางเกงไปแล้วนะ?” “แกพูดอะไร จะหาเรื่องใช่ไหม?” อู๋เสวี่ยจ้องชายคนนั้นอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น “หาเรื่อง? แกเป็นคู่มือของหวังเจี๋ยได้เหรอ? เป็นผู้ชายก็ขี้โม้ให้มันน้อยๆ หน่อย บิดามาทำเรื่องจริงจังไม่ได้มาเล่น เย่เทียนเฉินพี่ใหญ่ตดหมาอะไรของพวกแกนั่น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่โผล่หัวออกมา แล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรให้พวกบิดาทำ จะรออยู่ที่นี่ทำอะไรล่ะ? ฉันบอกแกแล้ว ได้ยินว่าลูกพี่ใหญ่อะไรนั่นของแก เป็นแค่เด็กที่ยังไม่หย่านม คนแบบนี้คู่ควรจะเป็นลูกพี่ของพวกเราเหรอ? ตลก!” ชายคนนั้นเอ่ยปากพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “สหายคนนี้พูดได้ถูกต้อง ได้ยินว่าเย่เทียนเฉินแม่งเป็นแค่เด็กมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง แสดงว่ายังไม่หย่านมแม่จริงๆ พอคิดถึงตอนที่พวกเราไปฆ่าคน ไม่แน่ว่าไอ้หนูนั่นคงจะฉี่รดที่นอนก็เป็นได้ ฮ่าๆๆๆ!” คนกลุ่มนี้พากันหัวเราะออกมาเสียงดัง ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่เห็นพวกอู๋เสวี่ยอยู่ในสายตา เพราะว่าพวกเขาได้ยินว่าเย่เทียนเฉินเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปีเท่านั้น ในใจจึงรู้สึกทอดถอนใจและไม่พอใจมาก คิดว่าหากถูกเด็กเช่นนี้มาออกคำสั่ง ช่างขายหน้าจริงๆ “พี่ใหญ่…” อู๋เสวี่ยพูดอย่างโหดเหี้ยม เย่เทียนเฉินไม่พูดอะไร ทำเพียงเดินไปยังชายคนนั้นที่กำลังสู้อยู่กับเปาเทียนหลง ทุกคนพากันชะงัก ต่างจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉิน แปลกใจว่าชายวัยรุ่นอายุประมาณยี่สิบปีคนนี้เป็นใครกัน? เขาเดินไปตรงกลางจะทำอะไร? รนหาที่ตายหรือไง? เปาเทียนหลงที่กำลังต่อสู้อยู่ เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินเดินเข้ามา ก็ปล่อยหมัดกระแทกชายสวมชุดลายพรางออกไป แล้วจึงเอ่ยเรียกอย่างเคารพและรู้สึกผิดเล็กน้อย “พี่ใหญ่!” “อืม! แกออกไปพักผ่อนเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม “ครับ!” เปาเทียนหลงพยักหน้าแล้วเดินออกไป ทันใดนั้นทุกคนต่างพากันจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉิน รู้สึกแปลกใจและสงสัยอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าชายวัยรุ่นอายุประมาณยี่สิบปีเช่นนี้โผล่ออกมาจากที่ไหน และไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่กลับมีบางคนที่คาดเดาฐานะของเย่เทียนเฉินออกแล้ว “หรือว่าเขาจะคือเย่เทียนเฉิน?” “เป็นคนรุ่นหลังจริงๆ ด้วย ผอมขนาดนี้ แค่ดูก็รู้ว่าเป็นดอกไม้ในเรือนกระจก ยังไม่หย่านมเลยมั้ง?” “เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งต้องการป่วนยุทธภพ ไม่รู้จักที่ตายจริงๆ ” “บิดาต่อยหมัดเดียวก็ซัดไอ้หนูจนกระทั่งพ่อแม่ก็จำมันไม่ได้ได้แล้ว!” เย่เทียนเฉินไม่สนใจการวิพากษ์วิจารณ์พวกนี้โดยสิ้นเชิง จ้องมองไปยังทุกคนที่อยู่รอบๆ แล้วพูดขึ้น “ฉันคนเดียวจะสู้กับพวกแกทั้งหมด พวกแกเข้ามาพร้อมกันเถอะ” เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินทุกคนก็ชะงักไป จะอย่างไรพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่า ชายวัยรุ่นที่ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหันคนนี้ จะถึงกับมีความใจกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ ต้องรู้ว่าพวกเขามาถึงนานแล้ว อู๋เสวี่ย หูหลง หลินตวนและเปาเทียนหลงทั้งสี่คนต่างก็ลงมือมาก่อน ความสามารถที่พวกเขาแสดงออกมาก็ทำให้ผู้คนตกตะลึงเป็นอย่างมาก แข็งแกร่งกว่าคนที่อยู่ที่นี่เล็กน้อย แต่สำหรับคนที่หวังเจี๋ยพามาก่อเรื่อง หลายคนก็เฮโลตามกันไป กระทั่งอู๋เสวี่ยทั้งสี่ก็สยบเอาไว้ไม่ได้ มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่ปล่อยให้สถานการณ์พัฒนามาจนมีสภาพเช่นนี้ ส่วนเย่เทียนเฉินถึงกับต้องการสู้กับทุกคนด้วยตัวคนเดียว คำพูดนี้ไม่เพียงแต่พูดได้อย่างใหญ่โต ทั้งยังมีความกล้าหาญเป็นอย่างมากอีกด้วย ถ้าไม่มีความกล้าหาญและฝีมือที่แน่นอน เกรงว่าคงไม่กล้าพูดแบบนี้ออกมา แต่หากจะบอกว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก คนที่นี่ก็ยังไม่มีใครเชื่อ เพราะพวกเขามองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าวัยรุ่นคนหนึ่งอีกทั้งยังเป็นคนที่ผอมเล็กน้อย จะแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่ “หึไม่รู้จักที่ตายเลยจริงๆ ฉันใช้มือเดียวก็บี้แกให้ตายได้แล้ว” ชายสวมชุดลายพรางที่สู้กับเปาเทียนหลงแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่ง มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น “งั้นก็มาบี้ฉันให้ดูหน่อยสิ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเรียบเฉย ทุกคนต่างตกตะลึง ถึงแม้พวกเขาจะคาดเดาฐานะของเย่เทียนเฉินได้แล้ว แต่ก็ไม่เชื่อโดยเด็ดขาดว่าเย่เทียนเฉินเพียงคนเดียวจะสามารถเอาชนะพวกเขาทั้งหมดได้ ต่อให้เป็นหวังเจี๋ยหรืออู๋เสวี่ยที่แข็งแกร่งขนาดนี้ก็ยังไม่อาจทำได้ ชายสวมเสื้อลายพรางชื่อจางอู่เฉวียน เป็นคนที่มาด้วยกันกับหวังเจี๋ย จากคำบอกกล่าวของอู๋เสวี่ย คนคนนี้เคยเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณมาก่อน จากนั้นจึงไปเป็นทหาร มีความสามารถแข็งแกร่งมาก เป็นรองเพียงหวังเจี๋ยเท่านั้น มิฉะนั้นคงไม่สามารถต่อสู้กับเปาเทียนหลงได้นานขนาดนี้ เมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินเองก็เห็นแล้ว เปาเทียนหลงใช้ปราณหนักออกมา จางอู่เฉวียนก็ไม่กล้าปะทะตรงๆ บางทีหากเป็นการต่อสู้ถึงขั้นเป็นตายจริงๆ จางอู่เฉวียนคงจะอ่อนแอกว่าเปาเทียนหลงเล็กน้อย แต่สามารถต่อสู้มานานขนาดนี้ได้ เชื่อว่ามีประสบการณ์ในการต่อสู้จริงมามาก รวมกับฝีมือแข็งแกร่ง จึงไม่อาจดูเบาได้โดยเด็ดขาด จางอู่เฉวียนเดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน หัวเราะอย่างเย็นชา แล้วใช้เท้าเตะไปบริเวณหน้าอกของเย่เทียนเฉิน การเตะในครั้งนี้รวดเร็วมาก เรียกได้ว่ามีหลายคนที่คิดไม่ถึง รวดเร็วดุจสายฟ้า เตะเข้าไปยังตำแหน่งของเย่เทียนเฉินหวังที่จะทำร้าย ทุกคนต่างพากันชะงัก คิดไม่ถึงว่าจางอู่เฉวียนจะลงมือเช่นนี้ หลายคนต่างรอดูเรื่องน่าขันของเย่เทียนเฉิน มาคุยโวโอ้อวดอย่างไม่ละอายใจจะต้องลำบากแน่นอน ในตอนที่ขาของจางอู่เฉวียนเตะไปยังหน้าอกของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินก็เอี้ยวตัวอย่างฉับพลัน ไพร่มือซ้ายไว้ที่หลัง ส่วนมือขวาจับข้อเท้าของจางอู่เฉวียน จางอู่เฉวียนตกใจจนหน้าถอดสี การเตะของตนในครั้งนี้รวดเร็วมาก พลังก็มหาศาล ชายวัยรุ่นที่อยู่เบื้องหน้าถึงกับหลบได้ง่ายๆ แล้วยังจับข้อเท้าของตนเอาไว้ได้อีกด้วย คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ต้องทราบว่าเขาสามารถต่อสู้กับเปาเทียนหลงได้นานขนาดนี้โดยไม่แพ้ ก็เกี่ยวข้องกับกระบวนท่าอันรวดเร็วเช่นนี้ของเขาด้วย เสียงตู้มดังขึ้น มือขวาของเย่เทียนเฉินออกแรง สะบัดจางอู่เฉวียนออกไปโดยตรง ทุกคนที่ดูอยู่ที่นี่ต่างตกตะลึงจนคางแทบร่วง ประเมินชายวัยรุ่นที่ค่อนข้างผอมตรงหน้าอีกครั้ง ดูเหมือนกับเป็นแค่ดอกไม้ประดับในเรือนกระจกเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีฝีมือแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ สามารถโยนยอดฝีมืออย่างจางอู่เฉวียนออกไปได้ง่ายๆ เหนือคาดจริงๆ ฝีมือของจางอู่เฉวียนก็ไม่อ่อนแอเลย ถึงแม้ในใจจะตกตะลึง กระทั่งเรียกได้ว่าตกใจจนหน้าถอดสี แต่ก็ใช้ฝ่ามือขวาซัดออกไปที่พื้นอย่างรวดเร็ว พลิกตัวกลางอากาศ แล้วลงมายืนกับพื้น บนหน้าผากมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย มองเย่เทียนเฉินด้วยความประหลาดใจอย่างหาใดเปรียบ “ฉันบอกแล้ว เข้ามาอีกหลายคนเถอะ เข้ามาพร้อมกันเลย ไม่งั้นมันก็ไม่สนุก” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย ตอนนี้เอง ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อลายพรางอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างเดินมาข้างกายของจางอู่เฉวียน มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วพูดเสียงเย็นว่า “พวกเราสองคนเข้าไปพร้อมกัน แกจะต้องตายแน่นอน!” “ผิดแล้ว พวกแกสองคนเข้ามาพร้อมกันฉันก็ยังคงจะไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม เมื่อคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉินถูกเอาออกมา จางอู่เฉวียนและชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งที่เดินออกมา ก็กำหมัดแน่น คนทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ต่างไม่เชื่อฟังเย่เทียนเฉิน ย่อมพากันบ่นด่าขึ้นมา “แม่งเอ้ย ไอ้หนูนี่จะโอหังไปแล้ว จะต้องสั่งสอนให้โหดๆ สักหน่อย” “ฆ่ามันก็จบแล้ว มีอะไรให้พูดมากกัน” “ฆ่าเลยๆ พวกเราเองก็แยกย้ายกันเถอะ ซวยจริงๆ โดนหลอกแล้ว!” ………….

หูหลงคิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่พี่ใหญ่เย่เทียนเฉินได้ยินว่ามีคนก่อเรื่อง ไม่เพียงแต่จะไม่โกรธแต่กลับยังเผยรอยยิ้มออกมาอีกด้วย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็สงบลงมาก เพราะเขาเชื่อในความสามารถของเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ใหญ่

เย่เทียนเฉินและหูหลงเดินไปด้วยกัน ในตอนที่มาถึงกลางป่าไผ่ ก็พบว่าเปาเทียนหลงและชายคนหนึ่งซึ่งสวมเสื้อลายพรางกำลังต่อสู้กันอยู่ คนทั้งสองแลกหมัดกันอย่างดุเดือด ส่วนอู๋เสวี่ยและหลินตวนก็มองทุกอย่างด้วยความร้อนใจ คนอื่นๆ ที่ล้อมอยู่รอบๆ คงจะเป็นคนที่อู๋เสวี่ยหามาในครั้งนี้ ต่างก็พากันมุงดูความคึกครื้น

เมื่อก่อนเปาเทียนหลงเคยเป็นขุนพลประดับฟ้า ความสามารถย่อมแข็งแกร่ง ในตอนที่เย่เทียนเฉินอยู่ที่ตระกูลหลัว ก็เคยลงมือต่อสู้กับเปาเทียนหลงอย่างเต็มกำลังมาก่อน รู้ว่าเปาเทียนหลงแข็งแกร่งมาก เขาคิดไม่ถึงเลยว่าในหมู่คนที่อู๋เสวี่ยหามาในครั้งนี้ จะมีคนที่มีความสามารถเทียบเคียงเปาเทียนหลงได้อยู่ ในใจจึงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็มีความยินดีมากกว่า สิ่งที่เขาต้องการก็คือกองกำลังที่แข็งแกร่งห้าวหาญเช่นนี้ ไม่เน้นปริมาณแต่เน้นคุณภาพ นี่คือความคิดของเย่เทียนเฉิน หากต้องการที่จะก่อตั้งกลุ่มอำนาจของตน จะมีแค่คนไร้ความสามารถกลุ่มหนึ่งย่อมไม่ได้อย่างแน่นอน

ตอนนี้เองคนที่ล้อมอยู่รอบๆ เห็นหูหลงเดินมาด้วยกันกับชายวัยรุ่นอายุประมาณยี่สิบปีคนหนึ่ง ต่างก็มองไปที่เย่เทียนเฉินด้วยความสงสัย และอดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา

“ให้ตายเถอะ ไอ้หนูนั่นมันเป็นใคร?”

“ก็แค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งเท่านั้น วางมาดไม่น้อยเลยจริงๆ”

“ไอ้เด็กนี่คงจะไม่ใช่คนที่ชื่อเย่เทียนเฉินอะไรนั่นหรอกมั้ง?”

เย่เทียนเฉินยิ้มเล็กน้อย อู๋เสวี่ยเห็นพี่ใหญ่เดินเข้ามาก็รีบเดินไป ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “ลูกพี่ เรื่องนี้ผมจัดการได้ไม่ดี ปล่อยให้คนพวกนี้ก่อเรื่องแล้ว!”

“ไม่ แกทำได้ดีแล้ว คนเหล่านี้แต่ละคนต่างก็เป็นยอดฝีมือ ย่อมต้องมีความหยิ่งทะนงอยู่บ้าง ขอเพียงสยบพวกเขาได้ อำนาจของพวกเราก็จะต้องยิ่งใหญ่มากแน่นอน!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ พลางส่ายหน้า

“ให้ตายเถอะ พี่น้องทั้งหลาย ฉันได้ยินมาว่าเย่เทียนเฉินเป็นไอ้ลูกแหง่คนหนึ่ง เกรงว่ากระทั่งนมก็คงยังไม่เลิกกิน นี่จะออกมาหาเรื่องแล้ว ยังคิดที่จะมาสั่งพี่ของพวกเราอีก แม่งหน้าด้านจริงๆ” มีคนตะโกนขึ้นจากด้านข้าง ส่วนเปาเทียนหลงและชายที่สวมชุดลายพรางก็สู้กันอย่างมีสีสัน ระหว่างทั้งสองไม่อาจแยกแยะแพ้ชนะได้

“ใช่แล้ว แม่มันเถอะ พวกเราถูกหลอกแล้ว”

“พวกเราแต่ละคนต่างก็เป็นยอดฝีมือ เดิมทีคิดว่ามีเรื่องให้ทำบ้างแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะถูกหลอกได้ ต่อให้ต้องมีชีวิตย่ำแย่ ก็จะไม่ยอมถูกไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งมาชี้นิ้วสั่งหรอก ขายหน้าแย่เลยใช่หรือเปล่า?”

“ใช่แล้ว แม่มันเถอะ สั่งสอนพวกมันทั้งหลายแล้วพวกเราก็แยกย้ายกันเถอะ แม่งซวยจริงๆ ”

“คนที่สู้กับเปาเทียนหลงก็คือหวังเจี๋ยเหรอ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถามอู๋เสวี่ย

“ไม่ใช่ ไอ้เด็กนั่นมันไปฉี่ บอกว่าหลังจากที่ฉี่เสร็จแล้วกลับมา ถ้าหากคุณยังไม่มาก็จะไป!” อู๋เสวี่ยพูดด้วยความโกรธ

“อืม จัดการคนที่นี่ก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยทดสอบหวังเจี๋ย!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

“พี่ใหญ่ ความสามารถของหวังเจี๋ยคนนี้แข็งแกร่งมาก!” อู๋เสวี่ยชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น

“แข็งแกร่งขนาดไหน?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถาม

“ผมลงมือเต็มกำลังก็ยังเอาชนะเขาไม่ได้ แต่ก็สามารถสู้เสมอกันได้!”

ในตอนนี้เอง มีคนใจกล้าคนหนึ่งเห็นอู๋เสวี่ยและเย่เทียนเฉินแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย เดินเข้ามาด้วยท่าทีนักเลง มายังเบื้องหน้าของเย่เทียนเฉินและอู๋เสวี่ย หัวเราะอย่างเหยียดหยามแล้วพูดขึ้นว่า

“อู๋เสวี่ย พี่ใหญ่ตดหมาอะไรของแกนั่นยังอยู่ในท้องแม่ใช่หรือเปล่า? บิดารอนานขนาดนี้แล้วยังไม่โผล่หัวออกมาอีก คงจะไม่ตกใจจนฉี่รดกางเกงไปแล้วนะ?”

“แกพูดอะไร จะหาเรื่องใช่ไหม?” อู๋เสวี่ยจ้องชายคนนั้นอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น

“หาเรื่อง? แกเป็นคู่มือของหวังเจี๋ยได้เหรอ? เป็นผู้ชายก็ขี้โม้ให้มันน้อยๆ หน่อย บิดามาทำเรื่องจริงจังไม่ได้มาเล่น เย่เทียนเฉินพี่ใหญ่ตดหมาอะไรของพวกแกนั่น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่โผล่หัวออกมา แล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรให้พวกบิดาทำ จะรออยู่ที่นี่ทำอะไรล่ะ? ฉันบอกแกแล้ว ได้ยินว่าลูกพี่ใหญ่อะไรนั่นของแก เป็นแค่เด็กที่ยังไม่หย่านม คนแบบนี้คู่ควรจะเป็นลูกพี่ของพวกเราเหรอ? ตลก!” ชายคนนั้นเอ่ยปากพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“สหายคนนี้พูดได้ถูกต้อง ได้ยินว่าเย่เทียนเฉินแม่งเป็นแค่เด็กมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง แสดงว่ายังไม่หย่านมแม่จริงๆ พอคิดถึงตอนที่พวกเราไปฆ่าคน ไม่แน่ว่าไอ้หนูนั่นคงจะฉี่รดที่นอนก็เป็นได้ ฮ่าๆๆๆ!”

คนกลุ่มนี้พากันหัวเราะออกมาเสียงดัง ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่เห็นพวกอู๋เสวี่ยอยู่ในสายตา เพราะว่าพวกเขาได้ยินว่าเย่เทียนเฉินเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปีเท่านั้น ในใจจึงรู้สึกทอดถอนใจและไม่พอใจมาก คิดว่าหากถูกเด็กเช่นนี้มาออกคำสั่ง ช่างขายหน้าจริงๆ

“พี่ใหญ่…” อู๋เสวี่ยพูดอย่างโหดเหี้ยม

เย่เทียนเฉินไม่พูดอะไร ทำเพียงเดินไปยังชายคนนั้นที่กำลังสู้อยู่กับเปาเทียนหลง ทุกคนพากันชะงัก ต่างจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉิน แปลกใจว่าชายวัยรุ่นอายุประมาณยี่สิบปีคนนี้เป็นใครกัน? เขาเดินไปตรงกลางจะทำอะไร? รนหาที่ตายหรือไง?

เปาเทียนหลงที่กำลังต่อสู้อยู่ เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินเดินเข้ามา ก็ปล่อยหมัดกระแทกชายสวมชุดลายพรางออกไป แล้วจึงเอ่ยเรียกอย่างเคารพและรู้สึกผิดเล็กน้อย “พี่ใหญ่!”

“อืม! แกออกไปพักผ่อนเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“ครับ!” เปาเทียนหลงพยักหน้าแล้วเดินออกไป

ทันใดนั้นทุกคนต่างพากันจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉิน รู้สึกแปลกใจและสงสัยอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าชายวัยรุ่นอายุประมาณยี่สิบปีเช่นนี้โผล่ออกมาจากที่ไหน และไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่กลับมีบางคนที่คาดเดาฐานะของเย่เทียนเฉินออกแล้ว

“หรือว่าเขาจะคือเย่เทียนเฉิน?”

“เป็นคนรุ่นหลังจริงๆ ด้วย ผอมขนาดนี้ แค่ดูก็รู้ว่าเป็นดอกไม้ในเรือนกระจก ยังไม่หย่านมเลยมั้ง?”

“เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งต้องการป่วนยุทธภพ ไม่รู้จักที่ตายจริงๆ ”

“บิดาต่อยหมัดเดียวก็ซัดไอ้หนูจนกระทั่งพ่อแม่ก็จำมันไม่ได้ได้แล้ว!”

เย่เทียนเฉินไม่สนใจการวิพากษ์วิจารณ์พวกนี้โดยสิ้นเชิง จ้องมองไปยังทุกคนที่อยู่รอบๆ แล้วพูดขึ้น “ฉันคนเดียวจะสู้กับพวกแกทั้งหมด พวกแกเข้ามาพร้อมกันเถอะ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินทุกคนก็ชะงักไป จะอย่างไรพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่า ชายวัยรุ่นที่ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหันคนนี้ จะถึงกับมีความใจกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ ต้องรู้ว่าพวกเขามาถึงนานแล้ว อู๋เสวี่ย หูหลง หลินตวนและเปาเทียนหลงทั้งสี่คนต่างก็ลงมือมาก่อน ความสามารถที่พวกเขาแสดงออกมาก็ทำให้ผู้คนตกตะลึงเป็นอย่างมาก แข็งแกร่งกว่าคนที่อยู่ที่นี่เล็กน้อย แต่สำหรับคนที่หวังเจี๋ยพามาก่อเรื่อง หลายคนก็เฮโลตามกันไป กระทั่งอู๋เสวี่ยทั้งสี่ก็สยบเอาไว้ไม่ได้ มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่ปล่อยให้สถานการณ์พัฒนามาจนมีสภาพเช่นนี้

ส่วนเย่เทียนเฉินถึงกับต้องการสู้กับทุกคนด้วยตัวคนเดียว คำพูดนี้ไม่เพียงแต่พูดได้อย่างใหญ่โต ทั้งยังมีความกล้าหาญเป็นอย่างมากอีกด้วย ถ้าไม่มีความกล้าหาญและฝีมือที่แน่นอน เกรงว่าคงไม่กล้าพูดแบบนี้ออกมา แต่หากจะบอกว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก คนที่นี่ก็ยังไม่มีใครเชื่อ เพราะพวกเขามองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าวัยรุ่นคนหนึ่งอีกทั้งยังเป็นคนที่ผอมเล็กน้อย จะแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่

“หึไม่รู้จักที่ตายเลยจริงๆ ฉันใช้มือเดียวก็บี้แกให้ตายได้แล้ว” ชายสวมชุดลายพรางที่สู้กับเปาเทียนหลงแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่ง มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“งั้นก็มาบี้ฉันให้ดูหน่อยสิ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเรียบเฉย

ทุกคนต่างตกตะลึง ถึงแม้พวกเขาจะคาดเดาฐานะของเย่เทียนเฉินได้แล้ว แต่ก็ไม่เชื่อโดยเด็ดขาดว่าเย่เทียนเฉินเพียงคนเดียวจะสามารถเอาชนะพวกเขาทั้งหมดได้ ต่อให้เป็นหวังเจี๋ยหรืออู๋เสวี่ยที่แข็งแกร่งขนาดนี้ก็ยังไม่อาจทำได้

ชายสวมเสื้อลายพรางชื่อจางอู่เฉวียน เป็นคนที่มาด้วยกันกับหวังเจี๋ย จากคำบอกกล่าวของอู๋เสวี่ย คนคนนี้เคยเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณมาก่อน จากนั้นจึงไปเป็นทหาร มีความสามารถแข็งแกร่งมาก เป็นรองเพียงหวังเจี๋ยเท่านั้น มิฉะนั้นคงไม่สามารถต่อสู้กับเปาเทียนหลงได้นานขนาดนี้ เมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินเองก็เห็นแล้ว เปาเทียนหลงใช้ปราณหนักออกมา จางอู่เฉวียนก็ไม่กล้าปะทะตรงๆ บางทีหากเป็นการต่อสู้ถึงขั้นเป็นตายจริงๆ จางอู่เฉวียนคงจะอ่อนแอกว่าเปาเทียนหลงเล็กน้อย แต่สามารถต่อสู้มานานขนาดนี้ได้ เชื่อว่ามีประสบการณ์ในการต่อสู้จริงมามาก รวมกับฝีมือแข็งแกร่ง จึงไม่อาจดูเบาได้โดยเด็ดขาด

จางอู่เฉวียนเดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน หัวเราะอย่างเย็นชา แล้วใช้เท้าเตะไปบริเวณหน้าอกของเย่เทียนเฉิน การเตะในครั้งนี้รวดเร็วมาก เรียกได้ว่ามีหลายคนที่คิดไม่ถึง รวดเร็วดุจสายฟ้า เตะเข้าไปยังตำแหน่งของเย่เทียนเฉินหวังที่จะทำร้าย ทุกคนต่างพากันชะงัก คิดไม่ถึงว่าจางอู่เฉวียนจะลงมือเช่นนี้ หลายคนต่างรอดูเรื่องน่าขันของเย่เทียนเฉิน มาคุยโวโอ้อวดอย่างไม่ละอายใจจะต้องลำบากแน่นอน

ในตอนที่ขาของจางอู่เฉวียนเตะไปยังหน้าอกของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินก็เอี้ยวตัวอย่างฉับพลัน ไพร่มือซ้ายไว้ที่หลัง ส่วนมือขวาจับข้อเท้าของจางอู่เฉวียน จางอู่เฉวียนตกใจจนหน้าถอดสี การเตะของตนในครั้งนี้รวดเร็วมาก พลังก็มหาศาล ชายวัยรุ่นที่อยู่เบื้องหน้าถึงกับหลบได้ง่ายๆ แล้วยังจับข้อเท้าของตนเอาไว้ได้อีกด้วย คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ต้องทราบว่าเขาสามารถต่อสู้กับเปาเทียนหลงได้นานขนาดนี้โดยไม่แพ้ ก็เกี่ยวข้องกับกระบวนท่าอันรวดเร็วเช่นนี้ของเขาด้วย

เสียงตู้มดังขึ้น มือขวาของเย่เทียนเฉินออกแรง สะบัดจางอู่เฉวียนออกไปโดยตรง ทุกคนที่ดูอยู่ที่นี่ต่างตกตะลึงจนคางแทบร่วง ประเมินชายวัยรุ่นที่ค่อนข้างผอมตรงหน้าอีกครั้ง ดูเหมือนกับเป็นแค่ดอกไม้ประดับในเรือนกระจกเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีฝีมือแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ สามารถโยนยอดฝีมืออย่างจางอู่เฉวียนออกไปได้ง่ายๆ เหนือคาดจริงๆ

ฝีมือของจางอู่เฉวียนก็ไม่อ่อนแอเลย ถึงแม้ในใจจะตกตะลึง กระทั่งเรียกได้ว่าตกใจจนหน้าถอดสี แต่ก็ใช้ฝ่ามือขวาซัดออกไปที่พื้นอย่างรวดเร็ว พลิกตัวกลางอากาศ แล้วลงมายืนกับพื้น บนหน้าผากมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย มองเย่เทียนเฉินด้วยความประหลาดใจอย่างหาใดเปรียบ

“ฉันบอกแล้ว เข้ามาอีกหลายคนเถอะ เข้ามาพร้อมกันเลย ไม่งั้นมันก็ไม่สนุก” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย

ตอนนี้เอง ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อลายพรางอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างเดินมาข้างกายของจางอู่เฉวียน มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วพูดเสียงเย็นว่า “พวกเราสองคนเข้าไปพร้อมกัน แกจะต้องตายแน่นอน!”

“ผิดแล้ว พวกแกสองคนเข้ามาพร้อมกันฉันก็ยังคงจะไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

เมื่อคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉินถูกเอาออกมา จางอู่เฉวียนและชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งที่เดินออกมา ก็กำหมัดแน่น คนทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ต่างไม่เชื่อฟังเย่เทียนเฉิน ย่อมพากันบ่นด่าขึ้นมา

“แม่งเอ้ย ไอ้หนูนี่จะโอหังไปแล้ว จะต้องสั่งสอนให้โหดๆ สักหน่อย”

“ฆ่ามันก็จบแล้ว มีอะไรให้พูดมากกัน”

“ฆ่าเลยๆ พวกเราเองก็แยกย้ายกันเถอะ ซวยจริงๆ โดนหลอกแล้ว!”

………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+