เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ 379 จินตนาการหรือความจริง?

Now you are reading เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ Chapter 379 จินตนาการหรือความจริง? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในตอนที่เย่เทียนเฉินหาวิธีเปิดประตูหินพบ ซึ่งก็คือตอนที่เขาซัดฝ่ามือลงไปบนหินปูพื้นแผ่นที่ห้า ประตูก็เลื่อนขึ้นช้าๆ แต่ในขณะเดียวกันก็มีประกายแสงนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามา ซึ่งมันคือลูกธนูที่แฝงไปด้วยพลังทำลายที่สามารถทะลวงอากาศได้ เย่เทียนเฉินรีบกำหมัดทั้งสอง รวบรวมพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชัน ไม่ยอมถอยแม้แต่ครึ่งก้าว โจมตีไปสุดกำลัง ทำให้ลูกธนูเหล่านั้นพุ่งกระจายออกไป เนื่องจากยังมีตงฟางเมิ่งที่ยังสลบไสลไม่ได้สติอยู่ด้านหลัง หากเขาหลบตงฟางเมิ่งจะต้องตายแน่นอน

เย่เทียนเฉินชอบการต่อสู้ในระยะประชิด ไม่ใช่คนที่ชอบใช้อาวุธ บางทีอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นคนที่ใช้กระบวนท่าโจมตีเป็นสำคัญ หากไม่จำเป็น โดยปกติเขาจะไม่ใช้อาวุธ เนื่องจากเขามักจะคิดว่ามันไม่ถึงใจเหมือนการต่อสู้ด้วยมือเท้า “หมัดพี่ชายสุดหล่อ” ของเขา แม้จะตั้งชื่ออย่างไร้รสนิยมอยู่บ้างจนทำให้ผู้คนรู้สึกว่าคนคนนี้ดูเหลาะแหละ แต่ก็เป็นเพลงหมัดที่รุนแรงเป็นอย่างมาก ในหมัดคละเคล้าไปด้วยพลังสายฟ้า ดังนั้นคนธรรมดาย่อมรับหมัดนี้ของเย่เทียนเฉินไม่ไหวแน่นอน

เหมือนพี่ชายสุดหล่อความจริงเป็นชื่อที่เย่เทียนเฉินเรียกเล่นเล่นหลังจากได้มาเกิดใหม่บนโลกใบนี้ตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลกเขาตั้งชื่อเพลงบัตรที่ตนคิดคนขึ้นมาว่า “หมัดอัสนีสวรรค์”

หมัดอัสนีสวรรค์ก็ตามความหมาย เป็นหมัดที่คละเคล้าไปด้วยพลังสายฟ้า เดิมทีเย่เทียนเฉินก็เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะกายเนื้ออยู่แล้ว ตลอดมาเขาคิดอยู่เสมอว่าผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงไม่เพียงจะต้องใช้เคล็ดวิชาสังหารอันรุนแรง แต่ยังต้องมีความสามารถคว้าจันทร์คว้าดาวทะลวงสวรรค์ได้อีกด้วย ในด้านของความแข็งแกร่งของกายเนื้อก็ต้องแข็งแกร่งจนไม่มีใครเทียบได้ สรุปคือผู้แข็งแกร่งในระดับเทพราชันที่แท้จริงจะต้องใช้นิ้วเดียวสังหารผู้แข็งแกร่งได้ นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชัน หากจะกล่าวว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลก็ไม่มากเกินไป

หมัดอัสนีสวรรค์ทั้งสองถูกซัดออกไป ในอากาศคละเคล้าไปด้วยพลังสายฟ้า ทำให้ธนูลับเหล่านั้นถูกทลายเป็นผุยผงทั้งหมด แต่เย่เทียนเฉินไม่ได้ลำพองใจ ผู้ก่อตั้งพรรคสุสานโบราณเป็นผู้หญิงยอดเยี่ยมคนหนึ่ง ร้ายกาจเป็นอย่างมาก เดิมทีก็คนในตระกูลผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ สุดท้ายจึงสร้างเคล็ดวิชาฝึกฝนกำลังภายในเช่นคัมภีร์ดรุณีหยกออกมา สิ่งที่เธอหลงเหลือไว้ ซึ่งรวมไปถึงอาวุธลับกลไกเหล่านี้ จะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน เย่เทียนเฉินยิ่งรู้สึกนับถือผู้หญิงยอดเยี่ยมคนนี้ขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่น่าเสียดายที่เธอไม่ได้อยู่ด้วยกันกับคนที่เธอรักไปชั่วชีวิต จนกลายเป็นความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอ เย่เทียนเฉินรู้สึกสงสารผู้หญิงยอดเยี่ยมคนนี้จริงๆ

หลังจากที่ทำลายธนูลับที่ถูกยิงออกมาตามเส้นทางทั้งหมดแล้ว เย่เทียนเฉินก็ยังไม่ได้เดินมุ่งหน้าไปยังประตูหิน เขารู้สึกว่าพื้นใต้เท้าไม่มั่นคง เส้นทางที่ทอดไปสู่ห้องหินสั่นไหวไม่หยุด ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินพลันต้องชะงักไป เนื่องจากกำแพงทั้งสองฝั่งของเส้นทางกำลังเคลื่อนตัวรวมเข้าด้วยกันไม่หยุด เคลื่อนตัวเข้ามาเรื่อยๆ หากกำแพงทั้งสองฝั่งรวมเข้าด้วยกัน เขากับตงฟางเมิ่งจะไม่ถูกบดขยี้เป็นเศษเนื้อทั้งเป็นหรือ?

“ย๊าก!”

เย่เทียนเฉินตะโกนลั่น ฝ่ามือทั้งสองแฝงไปด้วยพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันระดับแปดเป็นอย่างน้อย ซัดไปยังกำแพงทั้งสองฝั่งอย่างรุนแรง เขาต้องการใช้ฝ่ามือดันกำแพงหินทั้งสองฝั่งออกไป เพียงแต่ในตอนที่ฝ่ามือทั้งสองตบลงบนกำแพงหินทั้งสองด้าน เขาพบว่ากำแพงหินแข็งแกร่งหาใดเปรียบ ไม่อาจสกัดกั้นไว้ได้โดยสิ้นเชิง และไม่อาจทำลายได้ ที่สำคัญก็คือกำแพงยังคงเคลื่อนเข้ามาไม่หยุด เส้นทางหินที่กว้างประมาณ 1 เมตรกว่าพลันเหลือเพียง 1 เมตรในพริบตา เย่เทียนเฉินรู้สึกรับมือได้ยากจริงๆ

โชคร้ายมักไม่มาเพียงลำพัง ท่าทางกลไกนี้จะถูกติดตั้งไว้นานแล้ว และคาเเดาไว้แล้วว่าจะมียอดฝีมือบุกเข้ามา ในตอนที่เย่เทียนเฉินใช้ฝ่ามือทั้งสองซัดตบลงบนกำแพงหินทั้งสองฝั่งซ้ายขวา เกิดเสียงดังครืนออกมา พบว่าที่ประตูหินส่วนบนซึ่งเดิมทีถูกยกขึ้นไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับค่อยๆ ร่วงลงมา เย่เทียนเฉินที่เห็นดังนั้นก็ตกตะลึง ถ้าหากประตูหินร่วงลงมาและกำแพงทั้งสองยังเคลื่อนเข้ามาไม่หยุด เขาและตงฟางเมิ่งจะต้องตายโดยไม่ต้องสงสัยเลย ไม่มีทางให้หนีโดยสิ้นเชิง

คิดว่าจะช้าแต่กลับเร็วกว่าที่คิด เย่เทียนเฉินกัดฟันแน่น เร่งเร้าพลังการสู้รบไปจนถึงขอบเขตสูงสุดในพริบตา พุ่งตัวไปเบื้องหน้าตงฟางเมิ่งอย่างรวดเร็วประดุจสายฟ้า ใช้มือโอบกอดตงฟางเมิ่งเข้ามาแล้วพลิกตัวหลายครั้ง มุ่งไปด้านข้างประตูหิน แต่ตอนนี้เอง ประตูหินตกลงมาจนเหลือช่องเพียงนิดเดียว นอกจากจะพลิกตัวกลิ้งเข้าไปก็ไม่มีวิธีอื่นเข้าไปได้อีก เย่เทียนเฉินไม่ลังเล กอดตงฟางเมิ่งแน่นแล้วหมุนตัวกลิ้งเข้าไปในประตูใหญ่

ตู้ม!

เสียงหนึ่งดังสนั่น ประตูหินปิดสนิท ด้านนอกมีเสียงกำแพงหินสองฝั่งประกบเข้าด้วยกันดังแว่วมา เป็นวิกฤตที่อันตรายอย่างยิ่งยวดจริงๆ อีกนิดเดียวเย่เทียนเฉินกับตงฟางเมิ่งก็จะถูกบดขยี้เป็นเศษเนื้อแล้ว แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ในพริบตาที่เย่เทียนเฉินกลิ้งเข้ามา มือขวาของเขายังถูกประตูหินที่หนักนับพันจินร่วงลงมาทับเฉียดๆ เพียงแต่ไม่ร้ายแรงมาก แค่หนังถลอกเท่านั้น มีเลือดออกเล็กน้อย ทำให้แขนเสื้อเปื้อนไปด้วยเลือด

เย่เทียนเฉินกอดตงฟางเมิ่งเอาไว้ ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย เขายังกลิ้งเข้ามาในประตูได้ทัน อย่างน้อยประตูนี้ก็สูงประมาณ 5 เมตรและกว้างประมาณ 5 เมตร เห็นได้ว่าห้องด้านในใหญ่ขนาดไหน แต่ในตอนที่เย่เทียนเฉินโอบกอดตงฟางเมิ่งกลิ้งตัวเข้ามาแล้ว กลับพบว่าด้านในล้วนเป็นความมืดมิด ไม่มีแสงสว่าง ทำให้เขารู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ในห้องเห็นเล็กๆ พวกนั้นมีไข่มุกราตรีส่องสว่าง แต่ในห้องใหญ่เช่นนี้ หากว่ากันตามเหตุผลควรจะสำคัญยิ่งกว่าห้องเล็กๆ เหล่านั้นถึงจะถูก เหตุใดจึงไม่มีไข่มุกราตรีให้แสงสว่าง?

รวบรวมพลังพิเศษไว้ที่ดวงตาทั้งสอง หลังจากที่เย่เทียนเฉินมองเห็นคร่าวๆ ก็พบว่าภายในห้องหินนี้เหมือนกับตำหนักในพระราชวังอันกว้างใหญ่ ทั่วทุกสารทิศประดับไปด้วยตะเกียงน้ำมัน เพียงแต่ตะเกียงดับไปแล้วเท่านั้น

เขาชะงักไปครู่หนึ่ง เย่เทียนเฉินใช้มือซ้ายกอดตงฟางเมิ่งไว้ ตอนนี้ไม่กล้าปล่อยมืออีก ที่นี่จะมีอันตรายอะไรหรือไม่เย่เทียนเฉินก็ยังไม่รู้ หากมีอันตรายก็คงยุ่งยากแล้ว ผู้ก่อตั้งพรรคสุสานโบราณเป็นผู้หญิงยอดเยี่ยมคนหนึ่ง ร้ายกาจมากจริงๆ ร้ายกาจจนไม่อาจมองข้ามได้ง่ายๆ

เขาชูนิ้วชี้ขวาของตนขึ้นมา ขยับเล็กน้อย บนนิ้วชี้ขวาของเขาถึงกับมีลูกไฟปรากฏขึ้น นี่เป็นการใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายเพลิง เพียงแต่เย่เทียนเฉินยังไม่ค่อยคุ้นเคย จนกระทั่งตอนนี้เขาสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษได้เพียงแค่สายพสุธา สายทอง และสายวารี และในหมู่เคล็ดวิชาพลังพิเศษทั้งสามประเภทนี้เขายังสามารถใช้ได้เพียงเคล็ดวิชาพลังพิเศษที่มีพลังฆ่าฟันไม่รุนแรงเท่านั้น หากต้องการเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งจนกระทั่งสามารถใช้เคล็ดวิชาสังหารอันรุนแรงออกมาง่ายๆ ยังคงเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากนัก และต้องการเวลาฝึกฝนอีกนาน

การควบคุมเคล็ดวิชาพลังพิเศษสายเพลิง สำหรับเย่เทียนเฉินนับเป็นส่วนที่อ่อนแอมาตลอด ตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลก เขาใช้ความพยายามเพื่อการนี้ไปมากมาย แต่กลับไม่สามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายเพลิงจนถึงที่สุดได้ และกลายเป็นข้อบกพร่อง เนื่องจากการควบคุมเคล็ดวิชาพลังพิเศษสายเพลิงมีเงื่อนไขสูงมาก เย่เทียนเฉินพบกับอุปสรรคมากมายในขั้นตอนการบ่มเพาะ เขาพยายามมาตลอด แต่การใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายเพลิงที่ง่ายที่สุดกลับเป็นปัญหาของเขา

ฟู่ๆๆ …

หลังจากที่เย่เทียนเฉินจุดไฟบนนิ้วมือของตนเอง ดวงดาวจำนวนมากก็บินพุ่งเข้ามาทุกสารทิศ พริบตาเดียวก็จุดตะเกียงน้ำมันที่เดิมที่ดับไปแล้วเหล่านั้นจนสว่าง สะท้อนตำหนักกว้างใหญ่ออกมาให้เห็น

หากพูดว่าเป็นพระราชวังก็ไม่นับว่าเกินไป ภายในห้องหินอันกว้างใหญ่ทั้งห้อง อย่างน้อยก็มีพื้นที่ประมาณ 300 ตารางเมตร นี่เป็นสิ่งที่เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงเช่นกัน สิ่งก่อสร้างของสุสานโบราณในยอดเขาแห่งนี้ดูถูกไม่ได้เลยจริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นสุสานของผู้สูงศักดิ์ท่านใดในยุคโบราณ แน่นอนว่าศพและโลงศพที่อยู่ที่นี่ถูกศิษย์พรรคสุสานโบราณกำจัดไปหลายปีแล้ว ภายในพระราชวังแห่งนี้ไม่มีของตกแต่งมากมายนัก รอบด้านเป็นกำแพงราบเรียบ บนกำแพงหินยังคงมีรูปภาพอยู่บ้าง ทั้งหมดล้วนเป็นภาพผู้หญิงกำลังร่ายรำ และมีเสาหินต้นใหญ่ทั้งสี่ต้นอยู่ในพระราชวัง ตรงกลางมีเก้าอี้วางเรียงอยู่สองแถว ด้านหน้าสุดเป็นตำแหน่งศูนย์กลางของพระราชวัง ที่นั่นมีเก้าอี้อยู่ตัวหนึ่งเช่นกัน แต่กลับไม่ใช่เก้าอี้หิน แต่เป็นเก้าอี้หยก ใช้หยกสร้างขึ้นมาทั้งตัว งดงามมาก ใสกระจ่างจนสามารถมองทะลุได้เลยทีเดียว

เย่เทียนเฉินวางตงฟางเมิ่งไว้บนเก้าอี้หินตัวหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง เขามองไปทั่วพระราชวัง แต่ไม่พบประตูทางออกใด เขามาถึงห้องที่ไม่มีทางไปต่ออีกห้องหนึ่งแล้ว หากจะเดินกลับไปย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน เนื่องจากประตูหินที่หนักนับพันจินร่วงลงมาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นกำแพงทั้งสองฝั่งที่อยู่ด้านนอกก็เคลื่อนตัวประกบกันแล้ว ไม่มีทางไปได้แน่นอน

เย่เทียนเฉินเดินไปยังเก้าอี้โยกที่อยู่ตรงกลางพระราชวังอย่างเชื่องช้า บริเวณด้านหลังเก้าอี้หยกมีรูปภาพรูปใหญ่อยู่ เย่เทียนเฉินจำผู้หญิงที่อยู่ในภาพนั้นได้ เธอคือผู้ก่อตั้งพรรคสุสานโบราณ เป็นผู้หญิงยอดเยี่ยมคนนั้น ในมือขวาของเธอมีกระบี่อยู่เล่มหนึ่ง ร่ายรำชี้ขึ้นท้องฟ้า ท่าทางงดงามเป็นอย่างมาก อีกทั้งกระบวนท่านี้เย่เทียนเฉินดูคุ้นเคยนัก เขาคิดขึ้นมาได้ว่า นั่นก็คือ “ดรุณีร่ายรำในโดมสวรรค์” ที่ตงฟางเมิ่งใช้ต่อสู้กับชิงเฉิงเยว่

แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นผู้ก่อตั้งใช้กระบวนท่านี้ออกมา เย่เทียนเฉินถึงจะรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่ง ต่อให้เป็นรูปภาพนิ่งไม่เคลื่อนไหวก็ยังทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวและไม่กล้าเข้าใกล้ มีบรรยากาศงดงามแต่อันตรายอย่างบอกไม่ถูก

ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปใกล้เก้าอี้หยก เขาเงยหน้าขึ้นมองรูปภาพบนกำแพงหินอีกครั้งโดยไม่ต้องใจ พลันนั้นเขาชะงักไปทั้งร่าง เนื่องจากรูปภาพเปลี่ยนไปแล้ว ในตอนที่เขาเดินเข้าไป ผุ้หญิงยอดเยี่ยมคนนั้นยังร่ายรามอยู่ในโดมสวรรค์ ทว่าเพียงพริบตาเดียวกระบี่ในมือของเธอก็ชี้มาที่เขา ราวกับต้องการพุ่งออกมาจากกำแพงเพื่อสังหารเขาอย่างไรอย่างนั้น

เพียงพริบตาเดียวเย่เทียนเฉินพลันรู้สึกได้ถึงความชั่วร้าย ในขณะที่คิดจะถอยหลัง เด็กสาวทั้งหลายที่ถือกระบี่อยู่ในกำแพงหินซ้ายขวาก็บินออกมาจากบนกำแพงทั้งหมด ฟาดฟันกระบี่มายังเย่เทียนเฉินด้วยกัน โดยเฉพาะปราณกระบี่ของผู้หญิงซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งพรรคสุสานโบราณที่อยู่บนกำแพงฝั่งตรงข้ามร้ายกาจเป็นอย่างมาก ปราณกระบี่พุ่งโจมตีเข้ามา ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปหลายก้าว ไม่กล้าปะทะตรงๆ

ภาพที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันเช่นนี้ทำให้เย่เทียนเฉินตื่นตะลึงจนหน้าถอดสี ไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเองโดยสิ้นเชิง เขาสัมผัสได้ว่านี่ไม่ใช่ภาพลวงตา เนื่องจากบรรยากาศรอบๆ เปลี่ยนไป ส่วนตงฟางเมิ่งที่พิงอยู่บนเก้าอี้หินที่อยู่ไม่ไกลยังคงสลลไสลไม่ได้สติ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ 379 จินตนาการหรือความจริง?

Now you are reading เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ Chapter 379 จินตนาการหรือความจริง? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในตอนที่เย่เทียนเฉินหาวิธีเปิดประตูหินพบ ซึ่งก็คือตอนที่เขาซัดฝ่ามือลงไปบนหินปูพื้นแผ่นที่ห้า ประตูก็เลื่อนขึ้นช้าๆ แต่ในขณะเดียวกันก็มีประกายแสงนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามา ซึ่งมันคือลูกธนูที่แฝงไปด้วยพลังทำลายที่สามารถทะลวงอากาศได้ เย่เทียนเฉินรีบกำหมัดทั้งสอง รวบรวมพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชัน ไม่ยอมถอยแม้แต่ครึ่งก้าว โจมตีไปสุดกำลัง ทำให้ลูกธนูเหล่านั้นพุ่งกระจายออกไป เนื่องจากยังมีตงฟางเมิ่งที่ยังสลบไสลไม่ได้สติอยู่ด้านหลัง หากเขาหลบตงฟางเมิ่งจะต้องตายแน่นอน

เย่เทียนเฉินชอบการต่อสู้ในระยะประชิด ไม่ใช่คนที่ชอบใช้อาวุธ บางทีอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นคนที่ใช้กระบวนท่าโจมตีเป็นสำคัญ หากไม่จำเป็น โดยปกติเขาจะไม่ใช้อาวุธ เนื่องจากเขามักจะคิดว่ามันไม่ถึงใจเหมือนการต่อสู้ด้วยมือเท้า “หมัดพี่ชายสุดหล่อ” ของเขา แม้จะตั้งชื่ออย่างไร้รสนิยมอยู่บ้างจนทำให้ผู้คนรู้สึกว่าคนคนนี้ดูเหลาะแหละ แต่ก็เป็นเพลงหมัดที่รุนแรงเป็นอย่างมาก ในหมัดคละเคล้าไปด้วยพลังสายฟ้า ดังนั้นคนธรรมดาย่อมรับหมัดนี้ของเย่เทียนเฉินไม่ไหวแน่นอน

เหมือนพี่ชายสุดหล่อความจริงเป็นชื่อที่เย่เทียนเฉินเรียกเล่นเล่นหลังจากได้มาเกิดใหม่บนโลกใบนี้ตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลกเขาตั้งชื่อเพลงบัตรที่ตนคิดคนขึ้นมาว่า “หมัดอัสนีสวรรค์”

หมัดอัสนีสวรรค์ก็ตามความหมาย เป็นหมัดที่คละเคล้าไปด้วยพลังสายฟ้า เดิมทีเย่เทียนเฉินก็เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะกายเนื้ออยู่แล้ว ตลอดมาเขาคิดอยู่เสมอว่าผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงไม่เพียงจะต้องใช้เคล็ดวิชาสังหารอันรุนแรง แต่ยังต้องมีความสามารถคว้าจันทร์คว้าดาวทะลวงสวรรค์ได้อีกด้วย ในด้านของความแข็งแกร่งของกายเนื้อก็ต้องแข็งแกร่งจนไม่มีใครเทียบได้ สรุปคือผู้แข็งแกร่งในระดับเทพราชันที่แท้จริงจะต้องใช้นิ้วเดียวสังหารผู้แข็งแกร่งได้ นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชัน หากจะกล่าวว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลก็ไม่มากเกินไป

หมัดอัสนีสวรรค์ทั้งสองถูกซัดออกไป ในอากาศคละเคล้าไปด้วยพลังสายฟ้า ทำให้ธนูลับเหล่านั้นถูกทลายเป็นผุยผงทั้งหมด แต่เย่เทียนเฉินไม่ได้ลำพองใจ ผู้ก่อตั้งพรรคสุสานโบราณเป็นผู้หญิงยอดเยี่ยมคนหนึ่ง ร้ายกาจเป็นอย่างมาก เดิมทีก็คนในตระกูลผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ สุดท้ายจึงสร้างเคล็ดวิชาฝึกฝนกำลังภายในเช่นคัมภีร์ดรุณีหยกออกมา สิ่งที่เธอหลงเหลือไว้ ซึ่งรวมไปถึงอาวุธลับกลไกเหล่านี้ จะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน เย่เทียนเฉินยิ่งรู้สึกนับถือผู้หญิงยอดเยี่ยมคนนี้ขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่น่าเสียดายที่เธอไม่ได้อยู่ด้วยกันกับคนที่เธอรักไปชั่วชีวิต จนกลายเป็นความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอ เย่เทียนเฉินรู้สึกสงสารผู้หญิงยอดเยี่ยมคนนี้จริงๆ

หลังจากที่ทำลายธนูลับที่ถูกยิงออกมาตามเส้นทางทั้งหมดแล้ว เย่เทียนเฉินก็ยังไม่ได้เดินมุ่งหน้าไปยังประตูหิน เขารู้สึกว่าพื้นใต้เท้าไม่มั่นคง เส้นทางที่ทอดไปสู่ห้องหินสั่นไหวไม่หยุด ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินพลันต้องชะงักไป เนื่องจากกำแพงทั้งสองฝั่งของเส้นทางกำลังเคลื่อนตัวรวมเข้าด้วยกันไม่หยุด เคลื่อนตัวเข้ามาเรื่อยๆ หากกำแพงทั้งสองฝั่งรวมเข้าด้วยกัน เขากับตงฟางเมิ่งจะไม่ถูกบดขยี้เป็นเศษเนื้อทั้งเป็นหรือ?

“ย๊าก!”

เย่เทียนเฉินตะโกนลั่น ฝ่ามือทั้งสองแฝงไปด้วยพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันระดับแปดเป็นอย่างน้อย ซัดไปยังกำแพงทั้งสองฝั่งอย่างรุนแรง เขาต้องการใช้ฝ่ามือดันกำแพงหินทั้งสองฝั่งออกไป เพียงแต่ในตอนที่ฝ่ามือทั้งสองตบลงบนกำแพงหินทั้งสองด้าน เขาพบว่ากำแพงหินแข็งแกร่งหาใดเปรียบ ไม่อาจสกัดกั้นไว้ได้โดยสิ้นเชิง และไม่อาจทำลายได้ ที่สำคัญก็คือกำแพงยังคงเคลื่อนเข้ามาไม่หยุด เส้นทางหินที่กว้างประมาณ 1 เมตรกว่าพลันเหลือเพียง 1 เมตรในพริบตา เย่เทียนเฉินรู้สึกรับมือได้ยากจริงๆ

โชคร้ายมักไม่มาเพียงลำพัง ท่าทางกลไกนี้จะถูกติดตั้งไว้นานแล้ว และคาเเดาไว้แล้วว่าจะมียอดฝีมือบุกเข้ามา ในตอนที่เย่เทียนเฉินใช้ฝ่ามือทั้งสองซัดตบลงบนกำแพงหินทั้งสองฝั่งซ้ายขวา เกิดเสียงดังครืนออกมา พบว่าที่ประตูหินส่วนบนซึ่งเดิมทีถูกยกขึ้นไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับค่อยๆ ร่วงลงมา เย่เทียนเฉินที่เห็นดังนั้นก็ตกตะลึง ถ้าหากประตูหินร่วงลงมาและกำแพงทั้งสองยังเคลื่อนเข้ามาไม่หยุด เขาและตงฟางเมิ่งจะต้องตายโดยไม่ต้องสงสัยเลย ไม่มีทางให้หนีโดยสิ้นเชิง

คิดว่าจะช้าแต่กลับเร็วกว่าที่คิด เย่เทียนเฉินกัดฟันแน่น เร่งเร้าพลังการสู้รบไปจนถึงขอบเขตสูงสุดในพริบตา พุ่งตัวไปเบื้องหน้าตงฟางเมิ่งอย่างรวดเร็วประดุจสายฟ้า ใช้มือโอบกอดตงฟางเมิ่งเข้ามาแล้วพลิกตัวหลายครั้ง มุ่งไปด้านข้างประตูหิน แต่ตอนนี้เอง ประตูหินตกลงมาจนเหลือช่องเพียงนิดเดียว นอกจากจะพลิกตัวกลิ้งเข้าไปก็ไม่มีวิธีอื่นเข้าไปได้อีก เย่เทียนเฉินไม่ลังเล กอดตงฟางเมิ่งแน่นแล้วหมุนตัวกลิ้งเข้าไปในประตูใหญ่

ตู้ม!

เสียงหนึ่งดังสนั่น ประตูหินปิดสนิท ด้านนอกมีเสียงกำแพงหินสองฝั่งประกบเข้าด้วยกันดังแว่วมา เป็นวิกฤตที่อันตรายอย่างยิ่งยวดจริงๆ อีกนิดเดียวเย่เทียนเฉินกับตงฟางเมิ่งก็จะถูกบดขยี้เป็นเศษเนื้อแล้ว แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ในพริบตาที่เย่เทียนเฉินกลิ้งเข้ามา มือขวาของเขายังถูกประตูหินที่หนักนับพันจินร่วงลงมาทับเฉียดๆ เพียงแต่ไม่ร้ายแรงมาก แค่หนังถลอกเท่านั้น มีเลือดออกเล็กน้อย ทำให้แขนเสื้อเปื้อนไปด้วยเลือด

เย่เทียนเฉินกอดตงฟางเมิ่งเอาไว้ ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย เขายังกลิ้งเข้ามาในประตูได้ทัน อย่างน้อยประตูนี้ก็สูงประมาณ 5 เมตรและกว้างประมาณ 5 เมตร เห็นได้ว่าห้องด้านในใหญ่ขนาดไหน แต่ในตอนที่เย่เทียนเฉินโอบกอดตงฟางเมิ่งกลิ้งตัวเข้ามาแล้ว กลับพบว่าด้านในล้วนเป็นความมืดมิด ไม่มีแสงสว่าง ทำให้เขารู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ในห้องเห็นเล็กๆ พวกนั้นมีไข่มุกราตรีส่องสว่าง แต่ในห้องใหญ่เช่นนี้ หากว่ากันตามเหตุผลควรจะสำคัญยิ่งกว่าห้องเล็กๆ เหล่านั้นถึงจะถูก เหตุใดจึงไม่มีไข่มุกราตรีให้แสงสว่าง?

รวบรวมพลังพิเศษไว้ที่ดวงตาทั้งสอง หลังจากที่เย่เทียนเฉินมองเห็นคร่าวๆ ก็พบว่าภายในห้องหินนี้เหมือนกับตำหนักในพระราชวังอันกว้างใหญ่ ทั่วทุกสารทิศประดับไปด้วยตะเกียงน้ำมัน เพียงแต่ตะเกียงดับไปแล้วเท่านั้น

เขาชะงักไปครู่หนึ่ง เย่เทียนเฉินใช้มือซ้ายกอดตงฟางเมิ่งไว้ ตอนนี้ไม่กล้าปล่อยมืออีก ที่นี่จะมีอันตรายอะไรหรือไม่เย่เทียนเฉินก็ยังไม่รู้ หากมีอันตรายก็คงยุ่งยากแล้ว ผู้ก่อตั้งพรรคสุสานโบราณเป็นผู้หญิงยอดเยี่ยมคนหนึ่ง ร้ายกาจมากจริงๆ ร้ายกาจจนไม่อาจมองข้ามได้ง่ายๆ

เขาชูนิ้วชี้ขวาของตนขึ้นมา ขยับเล็กน้อย บนนิ้วชี้ขวาของเขาถึงกับมีลูกไฟปรากฏขึ้น นี่เป็นการใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายเพลิง เพียงแต่เย่เทียนเฉินยังไม่ค่อยคุ้นเคย จนกระทั่งตอนนี้เขาสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษได้เพียงแค่สายพสุธา สายทอง และสายวารี และในหมู่เคล็ดวิชาพลังพิเศษทั้งสามประเภทนี้เขายังสามารถใช้ได้เพียงเคล็ดวิชาพลังพิเศษที่มีพลังฆ่าฟันไม่รุนแรงเท่านั้น หากต้องการเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งจนกระทั่งสามารถใช้เคล็ดวิชาสังหารอันรุนแรงออกมาง่ายๆ ยังคงเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากนัก และต้องการเวลาฝึกฝนอีกนาน

การควบคุมเคล็ดวิชาพลังพิเศษสายเพลิง สำหรับเย่เทียนเฉินนับเป็นส่วนที่อ่อนแอมาตลอด ตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลก เขาใช้ความพยายามเพื่อการนี้ไปมากมาย แต่กลับไม่สามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายเพลิงจนถึงที่สุดได้ และกลายเป็นข้อบกพร่อง เนื่องจากการควบคุมเคล็ดวิชาพลังพิเศษสายเพลิงมีเงื่อนไขสูงมาก เย่เทียนเฉินพบกับอุปสรรคมากมายในขั้นตอนการบ่มเพาะ เขาพยายามมาตลอด แต่การใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายเพลิงที่ง่ายที่สุดกลับเป็นปัญหาของเขา

ฟู่ๆๆ …

หลังจากที่เย่เทียนเฉินจุดไฟบนนิ้วมือของตนเอง ดวงดาวจำนวนมากก็บินพุ่งเข้ามาทุกสารทิศ พริบตาเดียวก็จุดตะเกียงน้ำมันที่เดิมที่ดับไปแล้วเหล่านั้นจนสว่าง สะท้อนตำหนักกว้างใหญ่ออกมาให้เห็น

หากพูดว่าเป็นพระราชวังก็ไม่นับว่าเกินไป ภายในห้องหินอันกว้างใหญ่ทั้งห้อง อย่างน้อยก็มีพื้นที่ประมาณ 300 ตารางเมตร นี่เป็นสิ่งที่เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงเช่นกัน สิ่งก่อสร้างของสุสานโบราณในยอดเขาแห่งนี้ดูถูกไม่ได้เลยจริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นสุสานของผู้สูงศักดิ์ท่านใดในยุคโบราณ แน่นอนว่าศพและโลงศพที่อยู่ที่นี่ถูกศิษย์พรรคสุสานโบราณกำจัดไปหลายปีแล้ว ภายในพระราชวังแห่งนี้ไม่มีของตกแต่งมากมายนัก รอบด้านเป็นกำแพงราบเรียบ บนกำแพงหินยังคงมีรูปภาพอยู่บ้าง ทั้งหมดล้วนเป็นภาพผู้หญิงกำลังร่ายรำ และมีเสาหินต้นใหญ่ทั้งสี่ต้นอยู่ในพระราชวัง ตรงกลางมีเก้าอี้วางเรียงอยู่สองแถว ด้านหน้าสุดเป็นตำแหน่งศูนย์กลางของพระราชวัง ที่นั่นมีเก้าอี้อยู่ตัวหนึ่งเช่นกัน แต่กลับไม่ใช่เก้าอี้หิน แต่เป็นเก้าอี้หยก ใช้หยกสร้างขึ้นมาทั้งตัว งดงามมาก ใสกระจ่างจนสามารถมองทะลุได้เลยทีเดียว

เย่เทียนเฉินวางตงฟางเมิ่งไว้บนเก้าอี้หินตัวหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง เขามองไปทั่วพระราชวัง แต่ไม่พบประตูทางออกใด เขามาถึงห้องที่ไม่มีทางไปต่ออีกห้องหนึ่งแล้ว หากจะเดินกลับไปย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน เนื่องจากประตูหินที่หนักนับพันจินร่วงลงมาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นกำแพงทั้งสองฝั่งที่อยู่ด้านนอกก็เคลื่อนตัวประกบกันแล้ว ไม่มีทางไปได้แน่นอน

เย่เทียนเฉินเดินไปยังเก้าอี้โยกที่อยู่ตรงกลางพระราชวังอย่างเชื่องช้า บริเวณด้านหลังเก้าอี้หยกมีรูปภาพรูปใหญ่อยู่ เย่เทียนเฉินจำผู้หญิงที่อยู่ในภาพนั้นได้ เธอคือผู้ก่อตั้งพรรคสุสานโบราณ เป็นผู้หญิงยอดเยี่ยมคนนั้น ในมือขวาของเธอมีกระบี่อยู่เล่มหนึ่ง ร่ายรำชี้ขึ้นท้องฟ้า ท่าทางงดงามเป็นอย่างมาก อีกทั้งกระบวนท่านี้เย่เทียนเฉินดูคุ้นเคยนัก เขาคิดขึ้นมาได้ว่า นั่นก็คือ “ดรุณีร่ายรำในโดมสวรรค์” ที่ตงฟางเมิ่งใช้ต่อสู้กับชิงเฉิงเยว่

แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นผู้ก่อตั้งใช้กระบวนท่านี้ออกมา เย่เทียนเฉินถึงจะรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่ง ต่อให้เป็นรูปภาพนิ่งไม่เคลื่อนไหวก็ยังทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวและไม่กล้าเข้าใกล้ มีบรรยากาศงดงามแต่อันตรายอย่างบอกไม่ถูก

ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปใกล้เก้าอี้หยก เขาเงยหน้าขึ้นมองรูปภาพบนกำแพงหินอีกครั้งโดยไม่ต้องใจ พลันนั้นเขาชะงักไปทั้งร่าง เนื่องจากรูปภาพเปลี่ยนไปแล้ว ในตอนที่เขาเดินเข้าไป ผุ้หญิงยอดเยี่ยมคนนั้นยังร่ายรามอยู่ในโดมสวรรค์ ทว่าเพียงพริบตาเดียวกระบี่ในมือของเธอก็ชี้มาที่เขา ราวกับต้องการพุ่งออกมาจากกำแพงเพื่อสังหารเขาอย่างไรอย่างนั้น

เพียงพริบตาเดียวเย่เทียนเฉินพลันรู้สึกได้ถึงความชั่วร้าย ในขณะที่คิดจะถอยหลัง เด็กสาวทั้งหลายที่ถือกระบี่อยู่ในกำแพงหินซ้ายขวาก็บินออกมาจากบนกำแพงทั้งหมด ฟาดฟันกระบี่มายังเย่เทียนเฉินด้วยกัน โดยเฉพาะปราณกระบี่ของผู้หญิงซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งพรรคสุสานโบราณที่อยู่บนกำแพงฝั่งตรงข้ามร้ายกาจเป็นอย่างมาก ปราณกระบี่พุ่งโจมตีเข้ามา ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปหลายก้าว ไม่กล้าปะทะตรงๆ

ภาพที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันเช่นนี้ทำให้เย่เทียนเฉินตื่นตะลึงจนหน้าถอดสี ไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเองโดยสิ้นเชิง เขาสัมผัสได้ว่านี่ไม่ใช่ภาพลวงตา เนื่องจากบรรยากาศรอบๆ เปลี่ยนไป ส่วนตงฟางเมิ่งที่พิงอยู่บนเก้าอี้หินที่อยู่ไม่ไกลยังคงสลลไสลไม่ได้สติ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+