Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา 12.3 ธนูราชัน (3)

Now you are reading Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา Chapter 12.3 ธนูราชัน (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ประตูห้องน้ำก็เปิดออก จากนั้นโจวเหว่ยชิงรู้สึกว่าเชือกของเขาคลายลงเนื่องจากมีใครบางคนแก้มัดให้ เมื่อมองขึ้นไปเด็กหนุ่มก็ต้องตกตะลึงทันที

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านหน้าของโจวเหว่ยชิง ปล่อยเส้นผมสีฟ้าเปียกๆ ของเธอลู่ลงกับไหล่บอบบาง เธอสวมเสื้อคลุมจ้าวมณีสวรรค์ที่มีขนาดใหญ่โคร่ง และเพราะเธอเพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ ใบหน้าที่งดงามของเธอก็กลายเป็นแดงเปล่งปลั่งราวกับแอปเปิ้ลสุก ทั่วทั้งร่างยังส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจ เสน่ห์ของของเธอทำให้โจวเหว่ยชิงถึงกับตกตะลึงตัวแข็งทื่อ

“เจ้ามารน้อย ไปอาบน้ำซะ” ทันใดนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็หน้าซับสีเลือดขึ้นก่อนจะรีบหันไปอีกด้านทันที เหตุผลนั้นง่ายมาก นั่นเป็นเพราะเธอไปบังเอิญเห็น ‘บางส่วน’ ของอ้วนน้อยโจวผงาดขึ้นมาใต้ร่มผ้าน่ะสิ! ก่อนหน้านี้เจ้าคนไร้ยางอายอย่างโจวเหว่ยชิงนั้นกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความฝันบางอย่าง ดังนั้นส่วน ‘นั้น’ ของร่างกายของเขาจึง เอ่อ…มีปฏิกิริยา…

โจวเหว่ยชิงไม่มีทางอาบน้ำได้เร็วกว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์แน่นอน ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มักจะได้ชำระล้างร่างกายของเธอบางส่วนที่แม่น้ำขณะที่เขาต้องออกไปตามล่าหาของกิน ดังนั้นโจวเหว่ยชิงจึงไม่มีเวลาทำความสะอาดร่างกายตัวเองเลย และตัวเขาก็สกปรกมอมแมมมากอย่างเห็นได้ชัด ในที่สุดก็ได้อาบน้ำเสียที! ด้วยเหตุนี้โจวเหว่ยชิงจึงไม่รีบร้อนอาบน้ำ เขาค่อยๆ ขัดตัวไปพลางหย่อนอารมณ์ไปพลางด้วยความรื่นรมณ์…

เมื่อโจวเหว่ยชิงออกมาจากห้องน้ำ เขาก็พบว่าเบื้องหน้าของตนมีผ้าห่มถูกทิ้งลงมาจากเตียง และกำลังนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็ตระหนักได้ว่า นั่นคงจะเป็นที่นอนของเขาในคืนนี้เป็นแน่

เมื่อรุ่งสางซ่างกวนปิงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะหันไปมองโจวเหว่ยชิงอีกครั้งหลังจากที่เขาออกมาจากห้องน้ำ สำหรับเธอ แม้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะไม่ได้หล่อเหลาหมดจดขนาดนั้น แต่เขาก็ยังถือว่ามีหน้าตาน่ามอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนาดร่างกายที่สูงใหญ่ของอีกฝ่าย หลังจากที่ร่างกายของเขาดูดซับพลังจากไข่มุกรัตติกาล ความสูงของโจวเหว่ยชิงก็เพิ่มขึ้นพรวดพราดเป็น 1.75 เมตร หากมองจากตาเปล่าไม่ย่อมไม่มีใครเชื่อว่าเขาอายุน้อยกว่า 14 ปี และตอนนี้เด็กหนุ่มก็ได้เปลี่ยนไปสวมชุดคลุมจ้าวมณีสวรรค์แล้ว นั่นจึงทำให้เขาดูราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

“ไปกันเถอะ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่อยากให้โจวเหว่ยชิงสังเกตเห็นท่าทางเขินอายของเธอ ดังนั้นจึงเร่งให้เขาออกเดินทางทันที ทั้งคู่สวมเสื้อคลุมบ่งบอกสถานะจ้าวมณีสวรรค์ แม้ไม่อาจบอกได้ว่าพวกเขาเป็นคู่ที่เหมาะสมกัน แต่อย่างน้อยเมื่อทั้งสองคนเดินไปด้วยกันก็ไม่ได้ดูขัดตามากนัก

ขณะที่พวกเขากำลังเดินออกจากโรงเตี๊ยม ดวงตาของเถ้าแก่ก็เกือบจะถลนหลุดออกมาจากเบ้าเมื่อเหลือบไปเห็นเสื้อคลุมจ้าวมณีสวรรค์ของคนทั้งคู่ ชายชราไม่เคยคาดคิดเลยว่าวันหนึ่งจะมีจ้าวมณีสวรรค์ถึงสองคนมาพักที่โรงเตี๊ยมเล็กๆ ของตนเช่นนี้

โจวเหว่ยชิงรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนเมื่อพวกเขาเดินไปตามถนนในเมืองภูเขาลอยฟ้าอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าผู้ที่สัญจรไปมาบนท้องถนนนั้นมองมาที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และเขาด้วยความเคารพอยู่หลายส่วน ซึ่งนี่ย่อมเป็นการแสดง ออกของผู้คนทั่วไปต่อจ้าวมณีสวรรค์ แม้แต่ในอาณาจักรเฟยหลี่ที่เป็นอาณาจักรที่น่าเกรงขาม สถานะของจ้าวมณีสวรรค์ก็ยังคงสูงส่งอย่างไม่มีใครเทียบได้

“ผู้บัญชาการกองพัน พวกเราเดินช้าลงหน่อยได้หรือไม่?” หลังจากได้อาบน้ำอย่างเพลิดเพลินเป็นเวลานาน โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกว่าร่างกายทั้งหมดของเขานั้นกำลังรู้สึกผ่อนคลาย แต่ทันทีที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ออกมาจากโรงเตี๊ยมได้ เธอก็ออกเดินอย่างเร่งรีบจนเขาตามแทบไม่ทัน

หลังจากนั้นไม่นาน โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกประหลาดใจที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พาเขากลับไปที่วังกักเก็บทักษะอีกครั้ง แต่แทนที่จะเข้าไปข้างใน เธอกลับเดินไปยังหมู่บ้านที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ตรงข้ามกับวังกักเก็บทักษะแทน หมู่บ้านนี้ประกอบด้วยเรือนชั้นเดียวหลายๆ หลังที่ไม่ได้มีลักษณะโดดเด่นอะไรนัก แต่ละหลังมีลานด้านหน้าแปลงเล็กๆ และล้อมไว้ด้วยรั้วสูง และเมื่อเปรียบเทียบกับลักษณะของปราสาทที่วิจิตรบรรจงของวังกักเก็บทักษะแล้ว บ้านเรือนพวกนี้จึงดูเรียบง่ายและธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ยิ่งพวกเขาเข้าไปใกล้มากขึ้น โจวเหว่ยชิงก็ค้นพบว่าบริเวณแถบนี้ไม่ได้เงียบสงบอย่างที่เขาคาดคิดเนื่องจากมีผู้คนจำนวนหนึ่งกำลังสัญจรไปมาอยู่ด้วย และตรงกลางระหว่างรั้วบ้านเรือนเหล่านั้นก็ประกอบไปด้วยทางเดินกว้างประมาณ 2 เมตรทอดยาวลึกเข้าไปข้างใน

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เดินไปตามทางเดินนั้นอย่างเคยชิน และเมื่อพวกเขาเดินขนาบข้างกัน เธอก็กล่าวกับโจวเหว่ยชิง “หากเราไม่สวมชุดคลุมจ้าวมณีสวรรค์ เมื่อเข้าใกล้บริเวณนี้ก็อาจจะถูกจู่โจมโดยจ้าวมณีที่คอยดูแลสถานที่นี้อยู่ อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์แต่ละคนก็จะอาศัยอยู่ในเรือนพวกนี้ และพวกเขาทั้งหมดก็เป็นผู้อาวุโสที่มีเกียรติมาก ดังนั้นหลังจากนี้เจ้าต้องระมัดระวังคำพูดคำจาให้ดี เพราะในสถานที่แบบนี้ข้าไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยให้เจ้าได้ ไม่ว่าอาณาจักรใดก็ตาม สถานะของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์นั้นสูงส่งมาก พวกเขามีจำนวนน้อยกว่าพวกจ้าวมณีสวรรค์เสียอีก ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาส่วนใหญ่ยังเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะธาตุมิติ”

“อืม” โจวเหว่ยชิงพยักหน้าตกลง ลอบคิดว่าในครั้งนี้เขาจะไม่พูดจาไร้สาระอีก

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นำเขาไปยังเรือนเล็กๆ ข้างในสุด และหยุดอยู่หน้าประตูทางเข้า เธอเคาะประตูเบาๆ “ท่านอาวุโสฮูเหยียนอยู่หรือไม่?”

ไม่นานประตูก็เปิดออก ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวออกมาจากข้างใน เขาสูงมาก อาจจะประมาณ 2 เมตรได้เลยทีเดียว แต่ทว่ากลับไม่ได้รูปร่างกำยำ ออกจะเพรียวบางเสียด้วยซ้ำ อายุน่าจะประมาณ 40 ปี ดวงหน้าให้ความรู้สึกนุ่มนวลคล้ายกับดวงจันทร์ และยังสวมชุดผ้าฝ้ายสีเทาเรียบง่าย สรุปแล้วเขาดูธรรมดามาก ยกเว้นก็แต่ใบหน้าที่ออกจะเย็นชาเกินไปหน่อย

สิ่งแรกที่โจวเหว่ยชิงสังเกตเห็นก็คือมือของเขา มือทั้งสองข้างมีขนาดใหญ่มาก แต่ก็เรียวบางเหมือนกับรูปร่างของอีกฝ่าย นิ้วทั้งสิบของชายหนุ่มนั้นกระจ่างใสเหมือนหยก มองดูราวกับว่ามือของเขาเป็นแกนกลางที่สำคัญที่สุดของร่างกายเลยทีเดียว

เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์เห็นชายวัยกลางคนเธอก็คำนับทักทายทันที จากนั้นก็กล่าวอย่างเคารพว่า “คำนับท่านอาวุโสเฟิง ท่านอาจารย์ฮูเหยียนอยู่หรือไม่?”

เมื่อชายวัยกลางคนเห็นหญิงสาว เขาก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง “โอ้ แม่นางน้อย! เหตุใดเจ้าถึงเลื่อนขั้นได้รวดเร็วเช่นนี้? ตอนนี้ท่านฮูเหยียนอยู่ข้างใน แต่เจ้าก็รู้ว่าเขาตระหนี่ถี่เหนียวแค่ไหน มีหรือเขาช่วยหากเจ้ามามือเปล่า ฉะนั้น วันนี้เจ้าเตรียมเงินมามากพอหรือไม่?”

เมื่อได้ยินคำสาธยายจากชายวัยกลางคน โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมา เขาพูดกับเธอด้วยเสียงเบาๆ ว่า “ผู้บัญชาการกองพัน นี่ท่านติดนิสัยขี้เหนียวมาจากผู้อาวุโสฮูเหยียนใช่หรือไม่?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หันกลับมาพูดกับเขาอย่างโกรธๆ “เงียบซะ! คาราวะท่านอาวุโสเฟิงเร็วเข้า!”

โจวเหว่ยชิงคำนับชายวัยกลางคนคนนั้น “คาราวะท่านผู้อาวุโส ข้ามีนามว่าอ้วนน้อยโจวขอรับ”

ชายวัยกลางคนผงกหัวแล้วพูดว่า “เข้ามาสิ” ขณะที่กล่าว เขาก็เดินนำเข้าไปข้างในแล้ว

พวกเขาตามเข้าไปในลานที่อยู่ทางด้านหลังกำแพง ข้างในนั้นราวกับเป็นโลกอีกใบที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับข้างนอก พวกเขาเดินตามเส้นทางเล็กๆ ที่ปูด้วยกรวดนำไปสู่เรือนหลังใหญ่ด้านหลัง ลานหน้าเรือนนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้และพืชนานาชนิด แม้ว่าจะไม่ได้มีต้นไม้ใหญ่คอยให้ร่มเย็นเลย แต่สถานที่แห่งนี้ก็มีบรรยากาศงดงามราวกับอยู่ในฤดูใบไม้ผลิที่มีอากาศบริสุทธิ์ และกลิ่นหอมของดอกไม้ก็ยังอบอวลพาให้ชื่นใจ

พวกเขาเดินตามอาวุโสเฟิงไป ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องๆ หนึ่งซึ่งตั้งอยู่บริเวณกลางเรือน พอเข้ามาถึง ชายวัยกลางคนก็กระโกนเรียกเสียงดัง “ตาแก่ฮูเหยียน! แขกมาถึงแล้ว”

ภายในห้องถูกตกแต่งอย่างหรูหรา ด้านในสุดยังมีภาพเขียนอันวิจิตรงดงามตั้งอยู่ ส่วนด้านหน้ามีโต๊ะสี่เหลี่ยมและเก้าอี้ไม้สีดำขนาดใหญ่ที่หมุนได้ ห้องทั้งห้องให้ความรู้สึกทึมทื่อ ปราศจากของตกแต่งที่ทำให้แขกรู้สึกหย่อนใจ

ก่อนที่โจวเหว่ยชิงจะมีโอกาสได้สำรวจห้องเพิ่ม เขาก็สังเกตเห็นก้อนกลมๆ ก้อนหนึ่งกำลังเดินนวยนาดจากห้องด้านข้างเข้ามาภายในห้องนี้ เมื่อเขาเพ่งสายตาดูก็พบว่ามันเป็นชายชราคนหนึ่ง

ชายคนนี้อายุราว 60 ถึง 70 ปี หนวดเคราของเขากลายเป็นสีขาวโพลนเกือบหมดแล้ว แต่ทว่าก็ยังมองดูสุขภาพดี ใบหน้าดูอิ่มเอิบ ผิวหน้าของเขาแทบไม่มีริ้วรอยเนื่องจากมันเต่งตึงไปด้วยไขมัน ยิ่งไปว่านั้น ดวงตาก็ถูกไขมันนั่นเบียดเสียจนเห็นเพียงแค่ขีด 2 ขีด อย่างไรก็ตาม นัยน์ตานั้นกลับยังดูเปล่งประกายมีชีวิตชีวาดั่งผู้ปัญญา เขาแต่งกายด้วยชุดผ้าฝ้ายสีเทาเรียบง่ายคล้ายๆ กับผู้อาวุโสเฟิง สิ่งที่แตกต่างคือแขนเสื้อของเขานั้นยาวเป็นพิเศษจนคลุมมิดทั้งสองมือ ลักษณะที่เด่นชัดที่สุดเห็นจะเป็นสัดส่วนรูปร่างของเขา เนื่องจากอีกฝ่ายมีรูปร่างอ้วนกลมจนดูเหมือนแตงโมลูกย่อมๆลูกหนึ่งเลยทีเดียว…

…………………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา 12.3 ธนูราชัน (3)

Now you are reading Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา Chapter 12.3 ธนูราชัน (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ประตูห้องน้ำก็เปิดออก จากนั้นโจวเหว่ยชิงรู้สึกว่าเชือกของเขาคลายลงเนื่องจากมีใครบางคนแก้มัดให้ เมื่อมองขึ้นไปเด็กหนุ่มก็ต้องตกตะลึงทันที

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านหน้าของโจวเหว่ยชิง ปล่อยเส้นผมสีฟ้าเปียกๆ ของเธอลู่ลงกับไหล่บอบบาง เธอสวมเสื้อคลุมจ้าวมณีสวรรค์ที่มีขนาดใหญ่โคร่ง และเพราะเธอเพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ ใบหน้าที่งดงามของเธอก็กลายเป็นแดงเปล่งปลั่งราวกับแอปเปิ้ลสุก ทั่วทั้งร่างยังส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจ เสน่ห์ของของเธอทำให้โจวเหว่ยชิงถึงกับตกตะลึงตัวแข็งทื่อ

“เจ้ามารน้อย ไปอาบน้ำซะ” ทันใดนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็หน้าซับสีเลือดขึ้นก่อนจะรีบหันไปอีกด้านทันที เหตุผลนั้นง่ายมาก นั่นเป็นเพราะเธอไปบังเอิญเห็น ‘บางส่วน’ ของอ้วนน้อยโจวผงาดขึ้นมาใต้ร่มผ้าน่ะสิ! ก่อนหน้านี้เจ้าคนไร้ยางอายอย่างโจวเหว่ยชิงนั้นกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความฝันบางอย่าง ดังนั้นส่วน ‘นั้น’ ของร่างกายของเขาจึง เอ่อ…มีปฏิกิริยา…

โจวเหว่ยชิงไม่มีทางอาบน้ำได้เร็วกว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์แน่นอน ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มักจะได้ชำระล้างร่างกายของเธอบางส่วนที่แม่น้ำขณะที่เขาต้องออกไปตามล่าหาของกิน ดังนั้นโจวเหว่ยชิงจึงไม่มีเวลาทำความสะอาดร่างกายตัวเองเลย และตัวเขาก็สกปรกมอมแมมมากอย่างเห็นได้ชัด ในที่สุดก็ได้อาบน้ำเสียที! ด้วยเหตุนี้โจวเหว่ยชิงจึงไม่รีบร้อนอาบน้ำ เขาค่อยๆ ขัดตัวไปพลางหย่อนอารมณ์ไปพลางด้วยความรื่นรมณ์…

เมื่อโจวเหว่ยชิงออกมาจากห้องน้ำ เขาก็พบว่าเบื้องหน้าของตนมีผ้าห่มถูกทิ้งลงมาจากเตียง และกำลังนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็ตระหนักได้ว่า นั่นคงจะเป็นที่นอนของเขาในคืนนี้เป็นแน่

เมื่อรุ่งสางซ่างกวนปิงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะหันไปมองโจวเหว่ยชิงอีกครั้งหลังจากที่เขาออกมาจากห้องน้ำ สำหรับเธอ แม้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะไม่ได้หล่อเหลาหมดจดขนาดนั้น แต่เขาก็ยังถือว่ามีหน้าตาน่ามอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนาดร่างกายที่สูงใหญ่ของอีกฝ่าย หลังจากที่ร่างกายของเขาดูดซับพลังจากไข่มุกรัตติกาล ความสูงของโจวเหว่ยชิงก็เพิ่มขึ้นพรวดพราดเป็น 1.75 เมตร หากมองจากตาเปล่าไม่ย่อมไม่มีใครเชื่อว่าเขาอายุน้อยกว่า 14 ปี และตอนนี้เด็กหนุ่มก็ได้เปลี่ยนไปสวมชุดคลุมจ้าวมณีสวรรค์แล้ว นั่นจึงทำให้เขาดูราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

“ไปกันเถอะ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่อยากให้โจวเหว่ยชิงสังเกตเห็นท่าทางเขินอายของเธอ ดังนั้นจึงเร่งให้เขาออกเดินทางทันที ทั้งคู่สวมเสื้อคลุมบ่งบอกสถานะจ้าวมณีสวรรค์ แม้ไม่อาจบอกได้ว่าพวกเขาเป็นคู่ที่เหมาะสมกัน แต่อย่างน้อยเมื่อทั้งสองคนเดินไปด้วยกันก็ไม่ได้ดูขัดตามากนัก

ขณะที่พวกเขากำลังเดินออกจากโรงเตี๊ยม ดวงตาของเถ้าแก่ก็เกือบจะถลนหลุดออกมาจากเบ้าเมื่อเหลือบไปเห็นเสื้อคลุมจ้าวมณีสวรรค์ของคนทั้งคู่ ชายชราไม่เคยคาดคิดเลยว่าวันหนึ่งจะมีจ้าวมณีสวรรค์ถึงสองคนมาพักที่โรงเตี๊ยมเล็กๆ ของตนเช่นนี้

โจวเหว่ยชิงรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนเมื่อพวกเขาเดินไปตามถนนในเมืองภูเขาลอยฟ้าอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าผู้ที่สัญจรไปมาบนท้องถนนนั้นมองมาที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และเขาด้วยความเคารพอยู่หลายส่วน ซึ่งนี่ย่อมเป็นการแสดง ออกของผู้คนทั่วไปต่อจ้าวมณีสวรรค์ แม้แต่ในอาณาจักรเฟยหลี่ที่เป็นอาณาจักรที่น่าเกรงขาม สถานะของจ้าวมณีสวรรค์ก็ยังคงสูงส่งอย่างไม่มีใครเทียบได้

“ผู้บัญชาการกองพัน พวกเราเดินช้าลงหน่อยได้หรือไม่?” หลังจากได้อาบน้ำอย่างเพลิดเพลินเป็นเวลานาน โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกว่าร่างกายทั้งหมดของเขานั้นกำลังรู้สึกผ่อนคลาย แต่ทันทีที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ออกมาจากโรงเตี๊ยมได้ เธอก็ออกเดินอย่างเร่งรีบจนเขาตามแทบไม่ทัน

หลังจากนั้นไม่นาน โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกประหลาดใจที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พาเขากลับไปที่วังกักเก็บทักษะอีกครั้ง แต่แทนที่จะเข้าไปข้างใน เธอกลับเดินไปยังหมู่บ้านที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ตรงข้ามกับวังกักเก็บทักษะแทน หมู่บ้านนี้ประกอบด้วยเรือนชั้นเดียวหลายๆ หลังที่ไม่ได้มีลักษณะโดดเด่นอะไรนัก แต่ละหลังมีลานด้านหน้าแปลงเล็กๆ และล้อมไว้ด้วยรั้วสูง และเมื่อเปรียบเทียบกับลักษณะของปราสาทที่วิจิตรบรรจงของวังกักเก็บทักษะแล้ว บ้านเรือนพวกนี้จึงดูเรียบง่ายและธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ยิ่งพวกเขาเข้าไปใกล้มากขึ้น โจวเหว่ยชิงก็ค้นพบว่าบริเวณแถบนี้ไม่ได้เงียบสงบอย่างที่เขาคาดคิดเนื่องจากมีผู้คนจำนวนหนึ่งกำลังสัญจรไปมาอยู่ด้วย และตรงกลางระหว่างรั้วบ้านเรือนเหล่านั้นก็ประกอบไปด้วยทางเดินกว้างประมาณ 2 เมตรทอดยาวลึกเข้าไปข้างใน

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เดินไปตามทางเดินนั้นอย่างเคยชิน และเมื่อพวกเขาเดินขนาบข้างกัน เธอก็กล่าวกับโจวเหว่ยชิง “หากเราไม่สวมชุดคลุมจ้าวมณีสวรรค์ เมื่อเข้าใกล้บริเวณนี้ก็อาจจะถูกจู่โจมโดยจ้าวมณีที่คอยดูแลสถานที่นี้อยู่ อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์แต่ละคนก็จะอาศัยอยู่ในเรือนพวกนี้ และพวกเขาทั้งหมดก็เป็นผู้อาวุโสที่มีเกียรติมาก ดังนั้นหลังจากนี้เจ้าต้องระมัดระวังคำพูดคำจาให้ดี เพราะในสถานที่แบบนี้ข้าไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยให้เจ้าได้ ไม่ว่าอาณาจักรใดก็ตาม สถานะของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์นั้นสูงส่งมาก พวกเขามีจำนวนน้อยกว่าพวกจ้าวมณีสวรรค์เสียอีก ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาส่วนใหญ่ยังเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะธาตุมิติ”

“อืม” โจวเหว่ยชิงพยักหน้าตกลง ลอบคิดว่าในครั้งนี้เขาจะไม่พูดจาไร้สาระอีก

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นำเขาไปยังเรือนเล็กๆ ข้างในสุด และหยุดอยู่หน้าประตูทางเข้า เธอเคาะประตูเบาๆ “ท่านอาวุโสฮูเหยียนอยู่หรือไม่?”

ไม่นานประตูก็เปิดออก ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวออกมาจากข้างใน เขาสูงมาก อาจจะประมาณ 2 เมตรได้เลยทีเดียว แต่ทว่ากลับไม่ได้รูปร่างกำยำ ออกจะเพรียวบางเสียด้วยซ้ำ อายุน่าจะประมาณ 40 ปี ดวงหน้าให้ความรู้สึกนุ่มนวลคล้ายกับดวงจันทร์ และยังสวมชุดผ้าฝ้ายสีเทาเรียบง่าย สรุปแล้วเขาดูธรรมดามาก ยกเว้นก็แต่ใบหน้าที่ออกจะเย็นชาเกินไปหน่อย

สิ่งแรกที่โจวเหว่ยชิงสังเกตเห็นก็คือมือของเขา มือทั้งสองข้างมีขนาดใหญ่มาก แต่ก็เรียวบางเหมือนกับรูปร่างของอีกฝ่าย นิ้วทั้งสิบของชายหนุ่มนั้นกระจ่างใสเหมือนหยก มองดูราวกับว่ามือของเขาเป็นแกนกลางที่สำคัญที่สุดของร่างกายเลยทีเดียว

เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์เห็นชายวัยกลางคนเธอก็คำนับทักทายทันที จากนั้นก็กล่าวอย่างเคารพว่า “คำนับท่านอาวุโสเฟิง ท่านอาจารย์ฮูเหยียนอยู่หรือไม่?”

เมื่อชายวัยกลางคนเห็นหญิงสาว เขาก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง “โอ้ แม่นางน้อย! เหตุใดเจ้าถึงเลื่อนขั้นได้รวดเร็วเช่นนี้? ตอนนี้ท่านฮูเหยียนอยู่ข้างใน แต่เจ้าก็รู้ว่าเขาตระหนี่ถี่เหนียวแค่ไหน มีหรือเขาช่วยหากเจ้ามามือเปล่า ฉะนั้น วันนี้เจ้าเตรียมเงินมามากพอหรือไม่?”

เมื่อได้ยินคำสาธยายจากชายวัยกลางคน โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมา เขาพูดกับเธอด้วยเสียงเบาๆ ว่า “ผู้บัญชาการกองพัน นี่ท่านติดนิสัยขี้เหนียวมาจากผู้อาวุโสฮูเหยียนใช่หรือไม่?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หันกลับมาพูดกับเขาอย่างโกรธๆ “เงียบซะ! คาราวะท่านอาวุโสเฟิงเร็วเข้า!”

โจวเหว่ยชิงคำนับชายวัยกลางคนคนนั้น “คาราวะท่านผู้อาวุโส ข้ามีนามว่าอ้วนน้อยโจวขอรับ”

ชายวัยกลางคนผงกหัวแล้วพูดว่า “เข้ามาสิ” ขณะที่กล่าว เขาก็เดินนำเข้าไปข้างในแล้ว

พวกเขาตามเข้าไปในลานที่อยู่ทางด้านหลังกำแพง ข้างในนั้นราวกับเป็นโลกอีกใบที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับข้างนอก พวกเขาเดินตามเส้นทางเล็กๆ ที่ปูด้วยกรวดนำไปสู่เรือนหลังใหญ่ด้านหลัง ลานหน้าเรือนนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้และพืชนานาชนิด แม้ว่าจะไม่ได้มีต้นไม้ใหญ่คอยให้ร่มเย็นเลย แต่สถานที่แห่งนี้ก็มีบรรยากาศงดงามราวกับอยู่ในฤดูใบไม้ผลิที่มีอากาศบริสุทธิ์ และกลิ่นหอมของดอกไม้ก็ยังอบอวลพาให้ชื่นใจ

พวกเขาเดินตามอาวุโสเฟิงไป ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องๆ หนึ่งซึ่งตั้งอยู่บริเวณกลางเรือน พอเข้ามาถึง ชายวัยกลางคนก็กระโกนเรียกเสียงดัง “ตาแก่ฮูเหยียน! แขกมาถึงแล้ว”

ภายในห้องถูกตกแต่งอย่างหรูหรา ด้านในสุดยังมีภาพเขียนอันวิจิตรงดงามตั้งอยู่ ส่วนด้านหน้ามีโต๊ะสี่เหลี่ยมและเก้าอี้ไม้สีดำขนาดใหญ่ที่หมุนได้ ห้องทั้งห้องให้ความรู้สึกทึมทื่อ ปราศจากของตกแต่งที่ทำให้แขกรู้สึกหย่อนใจ

ก่อนที่โจวเหว่ยชิงจะมีโอกาสได้สำรวจห้องเพิ่ม เขาก็สังเกตเห็นก้อนกลมๆ ก้อนหนึ่งกำลังเดินนวยนาดจากห้องด้านข้างเข้ามาภายในห้องนี้ เมื่อเขาเพ่งสายตาดูก็พบว่ามันเป็นชายชราคนหนึ่ง

ชายคนนี้อายุราว 60 ถึง 70 ปี หนวดเคราของเขากลายเป็นสีขาวโพลนเกือบหมดแล้ว แต่ทว่าก็ยังมองดูสุขภาพดี ใบหน้าดูอิ่มเอิบ ผิวหน้าของเขาแทบไม่มีริ้วรอยเนื่องจากมันเต่งตึงไปด้วยไขมัน ยิ่งไปว่านั้น ดวงตาก็ถูกไขมันนั่นเบียดเสียจนเห็นเพียงแค่ขีด 2 ขีด อย่างไรก็ตาม นัยน์ตานั้นกลับยังดูเปล่งประกายมีชีวิตชีวาดั่งผู้ปัญญา เขาแต่งกายด้วยชุดผ้าฝ้ายสีเทาเรียบง่ายคล้ายๆ กับผู้อาวุโสเฟิง สิ่งที่แตกต่างคือแขนเสื้อของเขานั้นยาวเป็นพิเศษจนคลุมมิดทั้งสองมือ ลักษณะที่เด่นชัดที่สุดเห็นจะเป็นสัดส่วนรูปร่างของเขา เนื่องจากอีกฝ่ายมีรูปร่างอ้วนกลมจนดูเหมือนแตงโมลูกย่อมๆลูกหนึ่งเลยทีเดียว…

…………………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+