Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา 98 ข้าจะรอให้เจ้ามาพิชิตข้า (1)

Now you are reading Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา Chapter 98 ข้าจะรอให้เจ้ามาพิชิตข้า (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เทียนเอ๋อร์กล่าวต่อว่า “นั่นคือเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมข้าถึงตัดสินใจอยู่เคียงข้างเจ้า นั่นก็เพื่อดูว่าตำนานนั้นเป็นความจริงหรือไม่ การอยู่กับเจ้าหรือก็คือการให้ทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 ได้ผสานรวมกัน จะทำให้มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่?”

โจวเหว่ยชิงถามอย่างรวดเร็ว “แล้ว…ผลเป็นอย่างไรล่ะ? มีอะไรเกิดขึ้นไหม?”

เทียนเอ๋อร์พยักหน้ากล่าวว่า “แน่นอนว่ามี ไม่อย่างนั้นข้าคงจะไม่อยู่เคียงข้างเจ้ามานานขนาดนี้หรอก กว่าข้าจะรู้ตัว เวลาก็ผ่านไป 3 ปีแล้ว…”

เมื่อพูดถึงจุดนั้น เทียนเอ๋อร์ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เมื่อข้าอยู่กับเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้สัมผัสแนบชิดกัน ทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 2 ของข้าจะถูกปลุกขึ้นโดยทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 2 ของเจ้า ก่อให้เกิดสนามพลังปรานที่ไม่เหมือนใครขึ้นมา จนถึงตอนนี้เจ้ายังไม่สามารถรับรู้การมีอยู่ของมันได้เนื่องจากเจ้ายังไม่ได้เข้าสู่ระดับเทวะ แต่ข้าสามารถดูดซับพลังปราณได้อย่างเงียบๆ ในสนามพลังปรานที่ว่านี้ นอกจากนี้ พลังปราณที่ข้าได้ดูดซับเข้ามา ยังเป็นรูปแบบที่บริสุทธิ์ที่สุดบนโลกใบนี้ก็ว่าได้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงไม่จำเป็นต้องกินหรือดื่ม พลังปรานบริสุทธิ์นี้มีปริมาณมากเกินพอจะนำมาหล่อเลี้ยงตัวข้าด้วยซ้ำ นอกจากนี้ มันยังทำให้พลังจิตวิญญาณของข้าพัฒนายิ่งขึ้น เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ร่างกายและขัดเกลาวิญญาณ ถ้าไม่ใช่เพราะสนามพลังปรานนั้น เจ้าคิดว่าวิชาเทพอมตะจะเพียงพอให้เจ้าสามารถทะลวงไปถึงระดับมณี 3 ชุดในเวลาเพียง 3 ปี ทั้งยังทำให้พลังของเจ้าใกล้จะแตะระดับมณี 4 ชุดในตอนนี้ได้งั้นหรือ? แม้ว่าวิชาเทพอมตะของเจ้าจะค่อนข้างน่าอัศจรรย์ใจ แต่มันก็ยังไม่ถึงจุดที่เจ้าจะสามารถเลื่อนระดับได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้หรอก…”

โจวเหว่ยชิงเอ่ยตอบอย่างเฉื่อยชา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อเรื่องนี้จริงๆ “เร็วขนาดนั้นเลยรึ? หากเทียบกับเจ้า แม่มดน้อย หรือซ่างกวนเสว่เอ๋อร์แล้ว…ไม่มีใครแก่กว่าข้าไปมากนัก ทว่าพวกเจ้ากลับมีมณี 6-7 ชุดกันแล้ว ทว่า 2 ปีที่ผ่านมาข้าเพิ่งมาถึงระดับมณี 3 ชุดเท่านั้น…ไหนล่ะความเร็วที่เจ้าว่า?”

เทียนเอ๋อร์เม้มริมฝีปากพลางกล่าวว่า “แน่นอนว่าระดับพลังปราณของพวกข้าย่อมต้องสูงกว่าของเจ้าอยู่แล้ว!… เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าพวกเรา…เหล่าทายาทสายเลือดตรง หรือสาวกชั้นในของมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฝึกฝนร่างกายและฝึกปราณได้อย่างไร?”

“ตั้งแต่เราอายุได้หนึ่งเดือน ร่างเล็กๆ ของพวกเราก็จะถูกแช่อยู่ในน้ำยาวิเศษทุกประเภทเพื่อให้เราได้เริ่มต้นสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งตั้งแต่ยังแบเบาะ เมื่ออายุ 3 ขวบ พวกเราจึงเริ่มฝึกพลังปราณสวรรค์ ก่อนอายุ 5 ขวบ พวกเราส่วนใหญ่ได้ปลุกมณีสวรรค์ของตัวเองขึ้นมาแล้ว หลังจากนั้น ชีวิตในวัยเยาว์ที่เหลือของเราก็จะถูกใช้ไปกับสนามฝึกปราณที่ได้รับการคัดเลือกมาเป็นพิเศษ ที่ซึ่งมีพลังปรานในชั้นบรรยากาศหนาแน่นที่สุดสำหรับดูดซับเข้าสู่ร่างกาย สำหรับพวกเราแล้ว ไม่มีผู้ใดมีโอกาสได้ใช้ชีวิตวัยเด็กเลยด้วยซ้ำ เวลาในทุกๆ วันมักจะหมดไปกับการฝึกปราณ…และฝึกปราณ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเราไม่ได้ทำอย่างอื่นเลยนอกเหนือจากการทุ่มเทฝึกฝนอย่างสุดกำลัง เมื่อรวมเข้ากับพรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิดและความจริงที่ว่าเราไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะกักเก็บ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดพวกเราถึงสามารถไปถึงจุดสูงสุดของโลกจ้าวมณีได้ด้วยอายุเพียงเท่านี้ กล่าวได้ว่าแม้แต่บรรดามหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์เอง การบ่มเพาะและฝึกฝนศิษย์เช่นพวกเรานั้นต้องลงทุนลงแรงไปไม่น้อย แต่ละรุ่นจะมีเพียงผู้ที่ถูกเลือกไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้รับโอกาสเช่นนี้ นั่นคือเหตุผลที่หุบเขาอเวจีสีเลือดจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปง่ายๆ หลังจากพวกเจ้าฆ่าหานปิง…เจ้าต้องนึกไม่ออกแน่ว่าพวกเขาทุ่มเงินและเวลาไปเท่าไหร่กว่าจะบ่มเพาะผู้มีพรสวรรค์เช่นเขาขึ้นมาได้สักคน…”

เมื่อหญิงสาวพูดถึงชีวิตที่ไร้สีสันในวัยเด็ก ดวงตาของเทียนเอ๋อร์ก็เผยให้เห็นความเศร้าโศกจางๆ

“เมื่อข้าใช้เวลากับเจ้ามากขึ้น ข้าก็เริ่มเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนร่าง นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าใช้เวลานอนหลับยาวนานมาก แท้จริงแล้วสำหรับพวกเราชาวอสูรสวรรค์ กระบวนการเปลี่ยนร่างถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่อันตรายที่สุดสำหรับเรา โดยปกติแล้วพวกเราจะผ่านขั้นตอนนี้ไปได้ด้วยการคุ้มกันจากผู้อาวุโสและครอบครัวของเราเอง ถึงกระนั้น มันก็ยังเป็นกระบวนการที่อันตรายและเจ็บปวดอย่างยิ่ง ซึ่งไม่ต้องพูดถึงระยะเวลาที่ใช้กว่าพวกเราจะเปลี่ยนร่างสำเร็จ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในครั้งนี้ ข้ามีสนามพลังปรานอันแปลกประหลาดที่สร้างขึ้นโดยทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 ของพวกเรา กระบวนการเปลี่ยนร่างของข้าจึงไม่ได้ยากเข็ญอะไรนัก และข้าก็สามารถผ่านไปได้อย่างไร้กังวล”

“หลังจากนั้นไม่นาน ระดับพลังปราณของข้าก็ก้าวกระโดดอย่างน่าอัศจรรย์; ในระหว่างการวิวัฒน์พลังครั้งนั้น ข้าได้ทะลวงผ่านไปสู่ระดับมณี 7 ชุด นั่นเป็นปาฏิหาริย์สำหรับข้าอย่างแท้จริง ตอนที่ข้ายังเล็ก จริงๆ แล้วข้าเป็นเด็กที่ซุกซนและขี้เล่นมาก แต่เพราะท่านพ่อของข้ารักข้ามากเกินไป ดังนั้นแม้ว่าข้าจะใช้เวลาไปกับการฝึกฝนเป็นเวลานาน แต่มันก็ยังไม่อาจเทียบได้กับคนอย่างซ่างกวนเสว่เอ๋อร์ ถึงกระนั้น ข้าก็ยังสามารถไล่ตามนางทันในเวลานี้ เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ข้าก็มาถึงระดับมณี 7 ชุดแล้ว นี่…คือพลังอันยิ่งใหญ่ของสนามพลังปราน 4 ธาตุศักดิ์สิทธิ์ หากเรื่องราวยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้ คาดว่าไม่ถึง 5 ปี ข้าก็จะก้าวขาข้างหนึ่งสู่ระดับราชาแล้ว…ทั้งยังอาจจะกลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับราชาที่อายุน้อยที่สุดในโลกด้วย! ข้าเชื่อว่าประโยชน์ของมันจะคล้ายคลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการเปลี่ยนร่างของข้า สนามพลังปราณเหล่านี้จะช่วยลดปัญหายุ่งยากในการทะลวงผ่านไปยังระดับราชา ทำให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยความพยายามที่น้อยกว่าจ้าวมณีสวรรค์คนอื่นๆ มาก”

เธอเว้นจังหวะไปชั่วครู่ เมื่อพูดจนถึงวรรคนี้ ความโหยหาพลันปรากฏขึ้นบนดวงหน้าของเทียนเอ๋อร์ แม้ว่ามันจะถูกแทนที่ด้วยแววตาซับซ้อนอย่างรวดเร็วก็ตาม

“ท่านพ่อเคยบอกว่าหากข้าอยากได้สิ่งใดก็ย่อมต้องมีค่าใช้จ่ายแลกเปลี่ยนเสมอ เมื่อก่อนข้าไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร…แต่ตอนนี้ หลังจากที่ข้าได้ใช้เวลาหลายปีร่วมกับเจ้า ข้าคิดว่าตัวเองเริ่มเข้าใจความหมายของมันอย่างช้าๆ แล้ว”

“เหว่ยชิง…เจ้ารู้หรือไม่? เพื่อให้ข้าได้รับประโยชน์สูงสุดในการฝึกปราณ ข้าควรจะฆ่าเจ้าเสีย” เทียนเอ๋อร์พูดต่ออย่างแผ่วเบา

โจวเหว่ยชิงสะดุ้ง เขาตกใจกับการประกาศออกมาอย่างกะทันหันของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มพลันรู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง

“ตอนนั้น…ตอนที่ข้าเพิ่งเสร็จสิ้นกระบวนการเปลี่ยนร่าง หากข้าฆ่าเจ้าแล้วดูดกลืนพลังจิตวิญญาณและเลือดของเจ้า…บางทีตอนนี้ข้าอาจจะมีพลังมากกว่าซ่างกวนเสว่เอ๋อร์แล้ว อย่างไรก็ตาม ข้ากลับไม่อาจลงมือได้”

“ข้าเอาแต่บอกตัวเองว่าเหตุผลที่ข้าไม่ลงมือนั้นเป็นเพราะข้าจำต้องใช้สนามพลังปราน 4 ธาตุศักดิ์สิทธิ์ต่อไปเพื่อการฝึกปราณ…คิดว่ามันย่อมไม่สายเกินไปที่จะฆ่าเจ้าหลังจากที่ข้าทะลวงเข้าสู่ระดับราชาแล้ว แต่…ข้ารู้ว่าข้ากำลังโกหกตัวเอง แก้ตัวในสิ่งที่ข้ารู้ว่าเป็นความจริง ข้าไม่อาจฆ่าเจ้าได้อีกต่อไป”

ขณะที่เทียนเอ๋อร์พูดคำเหล่านั้น ดวงตาของเธอก็แดงรื้นขึ้น แท้จริงแล้ว ในขณะที่เทียนเอ๋อร์เล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้โจวเหว่ยชิงฟัง มันก็เป็นครั้งแรกที่เธอได้เผชิญกับความรู้สึกของตนเองอย่างแท้จริง เมื่อมองไปยังอันธพาลน้อยตรงหน้า หัวใจของเธอก็พลันสับสน

“โจวเหว่ยชิง สถานะปีศาจกลายร่างของเจ้าแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างแท้จริง มันไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คนอื่นคิด และไม่ใช่ของปรมาจารย์ปีศาจรุ่นแรก ภายในสายเลือดของเจ้ามีกลิ่นอายอสูรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่อยู่ ม่านพลังและกลิ่นที่ข้ารู้สึกได้เป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต ข้าสามารถยืนยันได้ว่าอสูรสวรรค์ตนนี้ก็เป็นเสือเช่นกัน และแน่นอนว่าอาจมีระดับเทียบเท่าหรือสูงกว่าพยัคฆ์วิญญาณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เช่นข้าด้วย นอกจากนี้ นั่นยังเป็นม่านพลังและกลิ่นอายภายในสายเลือดของเจ้าที่ทำให้ข้า…”

คำพูดสองสามคำสุดท้ายที่เทียนเอ๋อร์เกือบจะหลุดพูดออกมาคือ ‘เริ่มตกหลุมรักเจ้า’ จริงๆ แล้วเธอไม่ได้จะพยายามแก้ตัว แต่กำลังพูดความจริงต่างหาก ถึงอย่างไรพยัคฆ์วิญญาณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณและเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์แห่งอาณาจักรวั่นโซ่ว พวกเขาถือเป็นสายเลือดชั้นยอดของภูเขาหิมะสวรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นสายเลือดของเจ้าเหนือหัวแห่งภูเขาองค์ปัจจุบัน พวกเขาภาคภูมิใจในสายเลือดของตัวเองเป็นอย่างมาก ประกาศกร้าวว่าสายเลือดของตนเองนั้นสูงส่งและทรงพลังที่สุดในโลกใบนี้แล้ว แม้จะเป็นสายเลือดสิงโตเพลิงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสองรองจากพวกเขา ซึ่งโดยปกติแล้วเกือบจะถือว่าอยู่ในระดับเดียวกันด้วยซ้ำ ทว่าเทียนเอ๋อร์เองกลับยังรู้สึกดูแคลนสายเลือดของอีกฝ่ายอยู่เล็กน้อย นั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เธอหนีจากการแต่งงานแบบคลุมถุงชนเช่นนี้มา แม้หญิงสาวจะบอกว่าสายเลือดพยัคฆ์เทพอสูรมืดของโจวเหว่ยชิงอาจเท่าเทียมกับพยัคฆ์วิญญาณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง แต่แท้จริงแล้ว สายเลือดของเขาอยู่ในระดับที่สูงส่งกว่ามากต่างหาก นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หญิงสาวผู้ซึ่งอยู่เคียงข้างโจวเหว่ยชิงมานานตกหลุมรักเขาอย่างช้าๆ

หากเป็นคนอื่น การจะทำให้เทียนเอ๋อร์รู้สึกอะไรบางอย่างด้วยอาจเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก แต่แทนที่จะพูดว่าโจวเหว่ยชิงได้ทำให้เธอตกหลุมรัก บางทีอาจกล่าวได้ว่าสายเลือดของเขาต่างหากที่เอาชนะใจเธอได้ ในโลกของอสูรสวรรค์ ในการเอาชนะใจคู่ครองนั้น พลังและความแข็งแกร่งเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ เมื่อโจวเหว่ยชิงได้ผ่านการวิวัฒน์พลังขั้นที่ 2 แล้ว เพียงแค่กลิ่นอายและแก่นพลังของสายเลือดนั้นก็ทำให้เทียนเอ๋อร์ไม่อาจต้านทานได้แล้ว สิ่งนี้ถูกตอกย้ำมากยิ่งขึ้นในวันที่โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ผ่านค่ำคืนที่บ้าคลั่งด้วยกัน เพราะนั่นทำให้เทียนเอ๋อร์เต็มไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่เธอไม่มีวันบอกโจวเหว่ยชิงเด็ดขาด

ทว่าโจวเหว่ยชิงกลับไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสายเลือดของตนเอง เมื่อได้ยินเทียนเอ๋อร์พูดถึงเรื่องนี้ เขาก็คิดว่าหญิงสาวเป็นคนขี้อายและนั่นก็เป็นเพียงข้อแก้ตัวของเธอ เขาจึงทำเพียงยิ้มน้อยๆ และนิ่งเงียบไป

“เจ้าหัวเราะอะไร? ฮึ่ม เจ้าอันธพาลนี่!” เทียนเอ๋อร์มอบลูกเตะให้อ้วนน้อยไปเชยชมอย่างรวดเร็ว

โจวเหว่ยชิงยังคงฉีกยิ้มต่อไปในขณะที่เขากล่าวว่า “เฮ้ๆๆๆ ข้าแค่รู้สึกมีความสุขกับเสน่ห์ดึงดูดใจของตัวเองน่ะ! แม้แต่สาวงามอย่างเทียนเอ๋อร์ก็ยังตกหลุมรักข้าได้! วะฮ่าๆ!”

เทียนเอ๋อร์แค่นเสียงและกล่าวว่า “ชอบก็คือชอบ แล้วยังไงล่ะ? พวกเราอสูรสวรรค์ตรงไปตรงมามาก ข้าตกหลุมรักเจ้า และเลือกเจ้าเป็นคู่ของข้าแล้ว ดังนั้นในอนาคตเจ้าต้องปกป้องข้าและทุ่มเทเพื่อผลประโยชน์ของข้าอย่างเต็มที่เช่นกัน”

“เอ๊ะ?” โจวเหว่ยชิงจ้องไปที่หญิงสาวพลางอ้าปากค้าง เขาแค่แกล้งเธอเล่นๆ เท่านั้นและไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะตอบสนองเช่นนี้เลย ในบรรดาหญิงสาวทุกคนที่เขาเคยพบมาก่อนหน้านี้ แม้แต่คนที่เปิดกว้างและตรงไปตรงมาเช่นแม่มดน้อยและหมิงฮัวก็ยังไม่เคยพูดอะไรเช่นนี้เลย ถึงกระนั้น เทียนเอ๋อร์กลับพูดออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ เอ่ยว่าเธอตกหลุมรักเขาโดยไม่พูดอ้อมค้อม นั่นทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

โดยปกติแล้วอสูรสวรรค์มักจะมีนิสัยกระตือรือร้นและตรงไปตรงมา กล้าที่จะรักและกล้าที่จะเกลียด ไม่กลัวที่จะแสดงอารมณ์ของตนออกมาให้ผู้อื่นรับรู้ แม้ว่าเทียนเอ๋อร์จะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยภายใน แต่เธอก็ยังคงตระหนักถึงความรู้สึกและอารมณ์ของตัวเองเป็นอย่างดี หลังจากตัวตนของเธอถูกเปิดเผยโดยโจวเหว่ยชิง เทียนเอ๋อร์ก็ตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับความจริงและพูดอย่างตรงไปตรงมา

ความรักเป็นสิ่งที่ต้องต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มาครอบครอง นี่คือคำนิยามของความรักในโลกของเหล่าอสูรสวรรค์ พวกเขาจะไม่ยอมละทิ้งความรักเพียงเพราะสิ่งเล็กน้อยอย่างเช่นความกระดากอายแน่

เดิมทีโจวเหว่ยชิงมีความคิดชั่วร้ายและเพิ่งจะแสยะยิ้มล้อเลียนออกไป แต่เมื่อได้ยินเทียนเอ๋อร์ยอมรับว่าเธอชอบเขาอย่างง่ายดายเช่นนี้ กลับกลายเป็นว่าถึงคราวที่ตัวเขาเองต้องเป็นฝ่ายเขินอายเสียนี่

เถียนเอ๋อร์แค่นเสียงพูดว่า “ปิงเอ๋อร์ไม่ได้ห้ามให้เจ้ามีผู้หญิงคนอื่น…บนภูเขาหิมะบนสวรรค์ของเรา ยิ่งอสูรสวรรค์แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งมีจำนวนคู่ครองมากขึ้นเท่านั้น สิ่งนี้เหมือนกันทั้งชายและหญิง ยิ่งมีคู่มากเท่าไหร่ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงพลัง ความสามารถ และสถานะอันสูงส่งของเขา ท่านพ่อของข้ามีสนมหลายสิบคนและไม่มีสักคนที่กล้ามีชายอื่น ใครที่กล้าแตะต้องพวกนางจะเป็นการท้าทายท่านพ่อของข้า หากวันหนึ่งข้าพบว่าเจ้าไม่สามารถปกป้องข้าได้ หรือบางทีข้าอาจไม่ชอบเจ้าอีกต่อไปแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะจากเจ้าไปเช่นกัน ในความเป็นจริง นี่ไม่ใช่แค่โลกของอสูรสวรรค์เท่านั้น แม้ว่าเราอาจจะตรงไปตรงมามากกว่ามนุษย์อยู่บ้างก็เถอะ ในโลกมนุษย์ของเจ้าเองก็เหมือนกัน…ท้ายที่สุดแล้วพลังก็คือทุกสิ่งทุกอย่าง”

คำพูดและมุมมองของเทียนเอ๋อร์อาจกล่าวได้ว่าดูแตกต่างจากมุมมองของมนุษย์ทั่วไปเป็นอย่างมาก และโจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะมุมปากกระตุกอย่างช่วยไม่ได้ “นั่นหมายความว่า…นอกจากข้าแล้ว…เจ้าจะยังมีผู้ชายคนอื่นอีก?”

………………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด