Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา 41.2 โรงเรียนทหารเฟยหลี่ (2)

Now you are reading Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา Chapter 41.2 โรงเรียนทหารเฟยหลี่ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างเคืองๆ “อย่ามาโกหกข้าซะให้ยาก เจ้าอยากจะไปดูสาวงามหรือช่วยข้าเก็บขยะกันแน่? เจ้าคิดว่าพวกผู้หญิงอย่างเราจะสกปรกเหมือนผู้ชายอย่างเจ้าหรือ? ข้าแวะเข้าไปดูเมื่อกี้แล้ว ห้องพักของข้าสะอาดกว่าเจ้ามาก!”

ในขณะที่ทั้งสองกำลังแบ่งปันช่วงเวลาแห่งความอบอุ่นอ่อนโยนด้วยกันนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงดังอยู่ด้านนอก ไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พริบตาต่อมาเด็กหนุ่มจำนวน 7 คนก็โผล่เข้ามาในห้องทันที ห้องนี้บรรจุคนได้ 8 คน ดังนั้นตอนนี้เพื่อนร่วมห้องจึงมากันครบแล้ว โจวเหว่ยชิงรู้สึกตกใจนิดหน่อยที่พบว่าเขารู้จักหนึ่งในนั้น เป็นหม่าฉุน เพื่อนตัวใหญ่ที่เขาเคยอัดกระแทกพื้นเมื่อวันก่อนนั่นเอง

ทันทีที่ทั้ง 7 คนเข้ามาในห้อง พวกเขาก็เห็นโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่ข้างใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังทำความสะอาดตู้อยู่นั้นทำให้ทั้ง 7 คนมองตาค้างด้วยความตกตะลึง

ชายตัวเตี้ยคนหนึ่งร้องขึ้นมา กรามของเขาอ้าค้างจนหุบไม่ลง “สวรรค์! ข้าเคยได้ยินข่าวลือน่ากลัวเกี่ยวกับสภาพของหอพักชาย ว่ากันว่าห้องพักทั้งสกปรกและรกไม่เป็นระเบียบ แต่นี่ก็ถือว่าดูดีอยู่นะ! พี่ชายท่านนี้ นี่คือคนรักท่านหรือ?”

ขณะนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังยืนหันหลังให้พวกเขา เนื่องจากไม่มีใครเห็นความงามที่ไม่มีใครเทียบได้ของเธอ สายตาของพวกเขาก็จึงไปตกอยู่ที่โจวเหว่ยชิงซึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ โจวเหว่ยชิงพยักหน้าอย่างพอใจและกล่าวว่า “ใช่! พวกเจ้าก็อยู่ในห้องนี้ด้วยเหรอ?”

ชายรูปร่างเล็กคนหนึ่งพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ พวกเราทุกคนเลย ก่อนหน้านี้ตอนรายงานตัว พวกเราได้รับมอบหมายให้อยู่ในห้องเดียวกัน พี่ชาย ท่านช่างโชคดีมากจริงๆ ที่มีคนรักช่วยดูแล พวกเราทุกคนก็ยังได้ประโยชน์ร่วมกับท่าน ให้พวกเราแนะนำตัวก่อนเถิด ข้าชื่อโข่วรุ่ย”

เนื่องจากพวกเขาทั้ง 7 คนเข้าไปพร้อมกัน ห้องขนาดใหญ่จึงรู้สึกเล็กและแคบลงไปถนัดตา โจวเหว่ยชิงมองไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และพูดว่า “ปิงเอ๋อร์ ทำไมเจ้าไม่กลับไปที่พักก่อนล่ะ เดี๋ยวพวกเราจะจัดการที่เหลือให้เสร็จเอง”

คราวนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้ยืนกรานอีก เธอพยักหน้าเบาๆ ให้เขาก่อนจะหันหลังไปยิ้มให้คนที่เหลือและจากไปพร้อมกับกะละมังในมือ

ด้วยรอยยิ้มที่งดงามสว่างไสวนั้น ทั้งห้องจึงตกสู่ความเงียบทันที นอกจากหม่าฉุนที่เคยเห็นเธอมาก่อนและเตรียมตัวไว้แล้ว อีก 6 คนที่เหลือต่างก็รู้สึกทึ่งกับความงามที่แท้จริงของเธอ พวกเขาไม่เคยเห็นผู้หญิงที่งามจนน่าตกตะลึงเช่นนี้มาก่อนในชีวิต ทุกคนจึงได้แต่อ้าปากค้าง ในที่สุดพวกเขาก็หลุดออกจากภวังค์ก็เมื่อโจวเว่ยชิงกระแอมไอออกมาเสียงดัง เมื่อหันกลับมามองโจวเหว่ยชิงอีกครั้ง สายตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา

โจวเหว่ยชิงเลือกเตียงชั้นล่างหนึ่งเตียง ไม่นานหม่าฉุนก็รีบเดินไปเลือกเตียงที่อยู่เหนือเตียงของโจวเหว่ยชิงทันที ขณะที่เขากำลังจะวางกระเป๋าไว้บนเตียงด้านบน โจวเหว่ยชิงก็เตะเขาเบาๆและพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ชิ เจ้าไปเตียงอื่นซะ ดูจากขนาดและน้ำหนักของเจ้า ถ้านอนอยู่ข้าบน จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามันพังลงมาทับข้า?”

เพื่อนร่วมห้องอีก 6 คนต่างก็ต้องแตกตื่นอีกครั้ง แม้ว่าพวกเขาจะเข้ามาพร้อมกับหม่าฉุน แต่พวกเขาก็ยังคงรักษาระยะห่างจากเขาเอาไว้ อย่างไรเสียขนาดร่างกายของหม่าฉุนก็ดูน่ากลัวเกินไป อีกทั้งพวกเขาก็ได้ยินมาว่าเขาเป็นจ้าวมณีสวรรค์ด้วย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเกรงกลัวหม่าฉุนอยู่บ้าง ใครจะรู้ว่าทันทีที่พวกเขาเข้าไปในห้อง เพื่อนอีกคนภายในห้องจะกล้าเตะเขา

ในขณะที่พวกเขาทั้ง 6 คิดว่าจะต้องมีการวางหมัดแน่ๆ บางอย่างที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็เกิดขึ้นแทน

หม่าฉุนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ประจบสอพลอว่า “ลูกพี่ ข้าแค่อยากใกล้ชิดกับท่านให้มากขึ้นเท่านั้น งั้นข้าจะนอนเตียงด้านล่างอีกเตียงข้างๆ ท่านก็แล้วกัน”

“อืม ก็ได้” โจวเหว่ยชิงลุกขึ้นยืนอย่างเกียจคร้านก่อนที่จะพูดว่า “ทุกคน ข้าชื่อโจวเหว่ยชิง พวกเจ้าก็เก็บข้าวของเถอะ ข้าจะออกไปเดินเล่น”

พูดตามตรงแล้วโจวเหว่ยชิงไม่เคยชินกับการมีคนมากมายในห้องของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้เพื่อนร่วมห้องกำลังเก็บข้าวของที่พกมาด้วย ทำให้ทั้งห้องกลับมาระเกะระกะอีกครั้ง

หลังจากโจวเหว่ยชิงจากไป โข่วรุ่ยและคนอื่นๆ ก็มองไปที่หม่าฉุนด้วยสีหน้าเปลี่ยนไป พวกเขาคิดกับตัวเองว่า เพื่อนคนนี้ภายนอกดูดีแต่แท้จริงกลับเป็นแค่คนอ่อนแอ! ขี้ขลาดจริงๆ

หม่าคุนรู้สึกได้ถึงสายตาของพวกเขา เขาจึงจ้องกลับ “พวกเจ้ากำลังมองอะไร? อยากสู้กับข้าหรือ? ข้าขอเตือนพวกเจ้าทุกคนในห้องนี้ไว้ พี่ชายโจวเป็นลูกพี่ใหญ่ ส่วนข้าคือลูกพี่รอง[1] เข้าใจหรือไม่?”

เกิดความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นทั้ง 6 คนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “อ้อ แท้จริงแล้วเจ้าก็คืออวัยวะตรงหว่างขา ฮ่าๆๆๆ”

จากนั้นหม่าฉุนก็ตระหนักถึงความผิดพลาดในคำพูดของเขาและลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าอึมครึม จากนั้นทั้งห้องก็มีเสียงเอะอะน่าหนวกหูดังออกมา

ขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังเดินเล่นอยู่รอบๆ บริเวณโรงเรียน เขาก็เห็นนักเรียนใหม่จำนวนมากเข้ามาในโรงเรียนเพื่อรายงานตัว ดวงตาของเขาสอดส่องไปมาเพื่อมองหาสาวงามไว้ชื่นชม ในขณะที่กำลังประเมินขนาดหน้าอกของนักเรียนใหม่ที่เดินผ่านไป ใบหน้าของเขายังคงประดับไว้ด้วยสีหน้าเฉยเมย หากไม่ใช่เพราะดวงตาที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของเขา คงไม่มีใครสามารถสังเกตเห็นความผิดปกติของเขาได้เลย

หลังจากมองอยู่ครู่หนึ่ง โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกค่อนข้างผิดหวัง จำนวนนักเรียนหญิงที่เข้าเรียนในโรงเรียนแห่งนี้มีจำนวนน้อยกว่านักเรียนชายมากและแม้แต่สาวงามก็ยังมีน้อยด้วยเช่นกัน ผู้หญิงที่งดงามที่สุดที่เขาเห็นเมื่อสักครู่นั้นมีความงามอยู่เหนือกว่ามาตรฐานทั่วไป  แต่เมื่อเปรียบเทียบกับปิงเอ๋อร์ของเขา นั่นคือความแตกต่างระหว่างพื้นโลกกับสวรรค์ชัดๆ

“เจ้ากำลังมองหาอะไรหรือ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างๆ ทำให้โจวเหว่ยชิงตกใจมาก แม้เขาจะไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเป็นพิเศษ แต่การที่มีคนเข้าใกล้เขาได้โดยที่เขาไม่รู้ตัวก็ยังคงสร้างความประหลาดใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก  รูม่านตาจึงหดแคบเล็กลงอย่างระมัดระวัง

ขณะที่เขาหันศีรษะกลับไป เขาก็ตระหนักได้ว่านั่นคือใครบางคนที่คุ้นเคย แม่ทัพเทพสงครามอาณาจักรเฟยหลี่  หมิงหยู!

โจวเว่ยชิงเหลือบตามองเขา แต่ไม่ได้ตอบกลับ

หมิงหยูพูดต่อว่า “ปีนี้พวกเด็กใหม่ไม่ค่อยมีผู้หญิงจริงๆ นั่นแหละ คนรักของเจ้าถือว่างามเป็นอันดับต้นๆ เลยทีเดียว” ทักษะการสังเกตของเขานั้นเข้าขั้นยอดเยี่ยมมาก เขาจึงสามารถบอกได้อย่างเป็นธรรมชาติว่าโจวเหว่ยชิงกำลังมองอะไร

“เจ้าชื่อโจวเหว่ยชิงใช่หรือไม่? รู้ไหมว่าทำไมข้าถึงประหลาดใจเมื่อเห็นคำตอบของเจ้าเมื่อวันก่อน?” หมิงหยูดูเหมือนจะไม่สนใจท่าทีที่โจวเหว่ยชิงมีต่อเขาและยังคงพูดต่อไปราวกับพูดกับตัวเอง

“ทำไม?” โจวเหว่ยชิงอดจะถามออกไปไม่ได้เพราะเขาเองก็สงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เช่นกัน

แสงอ่อนๆ ทอประกายอยู่ในดวงตาของหมิงหยู กลิ่นอายที่แฝงไปด้วยความสง่างามแผ่ออกมาจากร่างของเขาขณะที่พูดว่า “เพราะนั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับข้าเมื่อไม่นานมานี้ ตอนนั้นข้ากำลังลาดตระเวนอยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งบริเวณชายแดนและศัตรูก็โผล่มาพอดี กองทัพที่แข็งแกร่งนับแสนนายจากอาณาจักรวั่นโซ่วแอบลอบเข้ามาโจมตีพวกเราโดยมีพลเมืองของอาณาจักรเฟยหลี่ราว 100,000 คน ถูกบังคับให้เป็นแนวหน้า ในเวลานั้นข้ามีกองทหารใต้บัญชาเพียง 5,000 นาย”

ความสนใจของโจวเหว่ยชิงถูกจุดประกายขึ้น เขารีบถามต่อว่า “แล้วท่านทำอย่างไร?”

หมิงหยูกล่าวต่อ “ค่อนข้างคล้ายกับวิธีที่เจ้าตอบคำถาม ข้าออกคำสั่งให้ยิงและฆ่าพวกเขาทันที ประชาชนนับไม่ถ้วนเสียชีวิตด้วยน้ำมือของเราเอง…แต่ในเวลานั้นข้าก็ไม่มีทางเลือก อย่างที่เจ้าได้เขียนไว้นั่นแหละ ถ้าข้าใจอ่อนและลังเลเพียงเสี้ยววินาทีก็คงไม่ใช่แค่ประชาชนเหล่านั้นที่ต้องเสียชีวิต อนิจจา อาจารย์หลายคนในโรงเรียนเป็นพวกเก่งแต่ทฤษฏี พวกเขาจะรู้จักการนองเลือดและความโหดร้ายของสงครามได้อย่างไร ข้าไม่เพียงสั่งให้พวกเขาฆ่าอีกฝ่ายตามอำเภอใจเท่านั้น ข้ายังสั่งให้ประชาชนทุกคนในเมืองขุดหลุมขนาดใหญ่ภายในที่ใกล้กับกำแพงเมืองและใส่ลวดหนามเอาไว้   ตกค่ำ ข้าก็นำกลุ่มทหารพลีชีพกว่า 1,000 นายลอบออกจากเมืองไปโจมตีศัตรูจากอีกด้าน ตอนนั้นข้าคิดจะสู้จนตาย แต่ทว่าก็ทำเช่นนั้นไม่ได้เพราะทุกคนจะตื่นตระหนกกันไปหมด จาก 1,000 นาย ข้ารอดชีวิตกลับมาจากการต่อสู้พร้อมกับเหล่าทหารที่บาดเจ็บสาหัสเพียง 47 คนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม พวกเราสามารถเผาที่เก็บเสบียงของพวกมันได้สำเร็จ”

“พวกมันโกรธมากเพราะโดนลอบโจมตี กองทัพอาณาจักรวั่นโซ่วจึงได้ส่งทหารออกมาตอบโต้อย่างรุนแรงที่กำแพงเมืองอีกครั้งอย่างไม่กลัวตาย เวลากลางคืนเป็นโอกาสที่ดีสำหรับพวกเรามาก แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็สามารถฆ่าพวกมันได้แค่หมื่นกว่านายก่อนที่พวกมันจะเจาะกำแพงเข้ามาได้สำเร็จ โชคดีที่สิ่งที่รอพวกมันอยู่ในเมืองคือกับดักและพลธนูจำนวนนับไม่ถ้วน ในที่สุดข้าก็ออกคำสั่งให้จุดไฟเผาบ้านเรือนและยุ้งฉางทั้งหมด ตัดเส้นทางการล่าถอยของเราเอง นำกองทหารและประชาชนที่เหลือไปต่อสู้ด้วยกันในเมือง เราต่อสู้กับพวกมันบนท้องถนนเป็นเวลา 2 วัน 2 คืนเพื่อถ่วงเวลาให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในที่สุดกำลังเสริมของเราก็มาถึงและกองทัพอาณาจักรวั่นโซ่วที่อดอยากมา 3 วันก็ถูกตีแตกอย่างง่ายดาย แน่นอนว่ามีเพียง 30,000 คนเท่านั้นที่หลบหนีไปได้ ด้วยกองกำลังทหารเพียง 5,000 นายและเมืองที่เต็มไปด้วยประชาชน เราสามารถถ่วงเวลาและฆ่าศัตรูไปได้กว่า 70,000 นาย ข้ารู้สึกราวกับว่าตัวเองเพิ่งจะสร้างปาฏิหาริย์สำเร็จ เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”

ในขณะที่หมิงหยูกำลังอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา แม้น้ำเสียงของเขาฟังดูเฉยเมยและสงบราบเรียบ แต่หัวใจของโจวเหว่ยชิงกลับลุกเป็นไฟ เลือดในกายเดือดพล่านราวกับว่าเขากำลังเผชิญกับเหตุการณ์ที่เป็นไปไม่ได้นั้นเช่นกัน แม้ว่าหมิงหยูจะไม่ได้อธิบายรายละเอียด แต่คำสั่งของเขาก็คล้ายกันกับคำตอบของโจวเหว่ยชิงมาก วินาทีนั้นโจวเหว่ยชิงจึงรู้สึกราวกับว่าเขากำลังอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ที่นองเลือดร่วมกับหมิงหยู

“แน่นอน นั่นคือปาฏิหาริย์จริงๆ ท่านมีกำลังทหารน้อยกว่าศัตรูถึง 20 เท่า อยู่ในเมืองเล็กๆที่ไม่มีป้อมปราการที่เหมาะสม การที่สามารถถ่วงเวลาไว้ได้กว่า 4 วันและยังเผาเสบียงพวกมันได้อีกนั้น ถ้านั่นไม่ใช่ปาฏิหารย์แล้วจะเป็นอะไรได้?”

หมิงหยูยิ้มอย่างขมขื่น “เสียดายที่ประชาชนอาณาจักรเฟยหลี่ผู้ภักดีของเรา 180,000 คนได้สละชีวิตของพวกเขาใน 4 วันนั้น แม้แต่ทหารอีก 200 นายที่รอดชีวิตในวันนั้นก็ยังเรียกข้าว่าเทพสังหาร ในหมู่พวกเขา มีมากกว่า 1 ใน 3 ที่กลายเป็นบ้าและประชาชนที่รอดชีวิตมาได้ในวันนั้นก็เกลียดชังข้าจนถึงกระดูกดำ ตำแหน่งของข้าเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดว่าทำไมข้าถึงอยู่ที่นี่แทนที่จะเป็นแนวหน้าล่ะ?”

ดวงตาที่คมกริบของโจวเหว่ยชิงจ้องไปที่หมิงหยู ในทันใดนั้นความรู้สึกเกลียดขี้หน้าที่เขามีต่อหมิงหยูก็หายไป เขารู้ว่าหมิงหยูสร้างชื่อเสียงของตนขึ้นมาด้วยเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อจากการทำงานหนัก การต่อสู้ที่เสี่ยงชีวิตนับไม่ถ้วน

หมิงหยูถอนหายใจและพูดต่อว่า “แม่ทัพระดับสูงของกองทัพหลายคนต้องการลงโทษข้า แม้แต่คนที่เข้าข้างข้าก็ทำเช่นนั้นเพราะความดีความชอบของข้าก่อนหน้านี้ จะมีสักกี่คนที่เข้าใจข้าจริงๆ? เพราะฉะนั้นในวันที่ข้าเห็นคำตอบของเจ้าและได้พูดคุยกับเจ้า…ข้าก็รู้ว่าเจ้าเป็นคนประเภทเดียวกับข้า น่าเสียดายที่เจ้าไม่ใช่คนของอาณาจักรเฟยหลี่ ไม่เช่นนั้นข้าคงจะหาทางให้เจ้าเข้าร่วมกองทหารของข้าเพื่อให้เราร่วมต่อสู้ด้วยกัน”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่ใช่ประชาชนของอาณาจักรเฟยหลี่ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่อาจต่อสู้ร่วมกันได้นี่? อย่าลืมว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของข้าเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรเฟยหลี่ของท่าน เพียงแต่ว่าตอนนี้ข้ายังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอจะต่อสู้ร่วมกับท่าน”

หมิงหยูหัวเราะและพูดว่า “หวังว่าสักวันเจ้าจะทำได้ ในยุคนี้สนามรบถือว่าเป็นสังเวียนสำหรับลูกผู้ชายที่แท้จริง”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าอย่างเงียบๆ จากนั้นก็หันหน้ากลับไปทางประตูทางเข้าสถาบัน

ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็สว่างวาบขึ้นก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “เอ๊ะ? ผู้หญิงคนนั้นไม่เลวเลยนี่นา!”

หมิงหยูมองตามสายตาของเขา จากนั้นก็เห็นหญิงสาวในชุดสีขาวที่กำลังเดินเข้ามา…

………………………………………………….

[1]老二 เหล่าเอ้อ แปลว่าลูกชายคนที่ 2 หรือเป็นคำสแลงแปลว่าอวัยวะเพศชายก็ได้

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา 41.2 โรงเรียนทหารเฟยหลี่ (2)

Now you are reading Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา Chapter 41.2 โรงเรียนทหารเฟยหลี่ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างเคืองๆ “อย่ามาโกหกข้าซะให้ยาก เจ้าอยากจะไปดูสาวงามหรือช่วยข้าเก็บขยะกันแน่? เจ้าคิดว่าพวกผู้หญิงอย่างเราจะสกปรกเหมือนผู้ชายอย่างเจ้าหรือ? ข้าแวะเข้าไปดูเมื่อกี้แล้ว ห้องพักของข้าสะอาดกว่าเจ้ามาก!”

ในขณะที่ทั้งสองกำลังแบ่งปันช่วงเวลาแห่งความอบอุ่นอ่อนโยนด้วยกันนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงดังอยู่ด้านนอก ไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พริบตาต่อมาเด็กหนุ่มจำนวน 7 คนก็โผล่เข้ามาในห้องทันที ห้องนี้บรรจุคนได้ 8 คน ดังนั้นตอนนี้เพื่อนร่วมห้องจึงมากันครบแล้ว โจวเหว่ยชิงรู้สึกตกใจนิดหน่อยที่พบว่าเขารู้จักหนึ่งในนั้น เป็นหม่าฉุน เพื่อนตัวใหญ่ที่เขาเคยอัดกระแทกพื้นเมื่อวันก่อนนั่นเอง

ทันทีที่ทั้ง 7 คนเข้ามาในห้อง พวกเขาก็เห็นโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่ข้างใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังทำความสะอาดตู้อยู่นั้นทำให้ทั้ง 7 คนมองตาค้างด้วยความตกตะลึง

ชายตัวเตี้ยคนหนึ่งร้องขึ้นมา กรามของเขาอ้าค้างจนหุบไม่ลง “สวรรค์! ข้าเคยได้ยินข่าวลือน่ากลัวเกี่ยวกับสภาพของหอพักชาย ว่ากันว่าห้องพักทั้งสกปรกและรกไม่เป็นระเบียบ แต่นี่ก็ถือว่าดูดีอยู่นะ! พี่ชายท่านนี้ นี่คือคนรักท่านหรือ?”

ขณะนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังยืนหันหลังให้พวกเขา เนื่องจากไม่มีใครเห็นความงามที่ไม่มีใครเทียบได้ของเธอ สายตาของพวกเขาก็จึงไปตกอยู่ที่โจวเหว่ยชิงซึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ โจวเหว่ยชิงพยักหน้าอย่างพอใจและกล่าวว่า “ใช่! พวกเจ้าก็อยู่ในห้องนี้ด้วยเหรอ?”

ชายรูปร่างเล็กคนหนึ่งพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ พวกเราทุกคนเลย ก่อนหน้านี้ตอนรายงานตัว พวกเราได้รับมอบหมายให้อยู่ในห้องเดียวกัน พี่ชาย ท่านช่างโชคดีมากจริงๆ ที่มีคนรักช่วยดูแล พวกเราทุกคนก็ยังได้ประโยชน์ร่วมกับท่าน ให้พวกเราแนะนำตัวก่อนเถิด ข้าชื่อโข่วรุ่ย”

เนื่องจากพวกเขาทั้ง 7 คนเข้าไปพร้อมกัน ห้องขนาดใหญ่จึงรู้สึกเล็กและแคบลงไปถนัดตา โจวเหว่ยชิงมองไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และพูดว่า “ปิงเอ๋อร์ ทำไมเจ้าไม่กลับไปที่พักก่อนล่ะ เดี๋ยวพวกเราจะจัดการที่เหลือให้เสร็จเอง”

คราวนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้ยืนกรานอีก เธอพยักหน้าเบาๆ ให้เขาก่อนจะหันหลังไปยิ้มให้คนที่เหลือและจากไปพร้อมกับกะละมังในมือ

ด้วยรอยยิ้มที่งดงามสว่างไสวนั้น ทั้งห้องจึงตกสู่ความเงียบทันที นอกจากหม่าฉุนที่เคยเห็นเธอมาก่อนและเตรียมตัวไว้แล้ว อีก 6 คนที่เหลือต่างก็รู้สึกทึ่งกับความงามที่แท้จริงของเธอ พวกเขาไม่เคยเห็นผู้หญิงที่งามจนน่าตกตะลึงเช่นนี้มาก่อนในชีวิต ทุกคนจึงได้แต่อ้าปากค้าง ในที่สุดพวกเขาก็หลุดออกจากภวังค์ก็เมื่อโจวเว่ยชิงกระแอมไอออกมาเสียงดัง เมื่อหันกลับมามองโจวเหว่ยชิงอีกครั้ง สายตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา

โจวเหว่ยชิงเลือกเตียงชั้นล่างหนึ่งเตียง ไม่นานหม่าฉุนก็รีบเดินไปเลือกเตียงที่อยู่เหนือเตียงของโจวเหว่ยชิงทันที ขณะที่เขากำลังจะวางกระเป๋าไว้บนเตียงด้านบน โจวเหว่ยชิงก็เตะเขาเบาๆและพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ชิ เจ้าไปเตียงอื่นซะ ดูจากขนาดและน้ำหนักของเจ้า ถ้านอนอยู่ข้าบน จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามันพังลงมาทับข้า?”

เพื่อนร่วมห้องอีก 6 คนต่างก็ต้องแตกตื่นอีกครั้ง แม้ว่าพวกเขาจะเข้ามาพร้อมกับหม่าฉุน แต่พวกเขาก็ยังคงรักษาระยะห่างจากเขาเอาไว้ อย่างไรเสียขนาดร่างกายของหม่าฉุนก็ดูน่ากลัวเกินไป อีกทั้งพวกเขาก็ได้ยินมาว่าเขาเป็นจ้าวมณีสวรรค์ด้วย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเกรงกลัวหม่าฉุนอยู่บ้าง ใครจะรู้ว่าทันทีที่พวกเขาเข้าไปในห้อง เพื่อนอีกคนภายในห้องจะกล้าเตะเขา

ในขณะที่พวกเขาทั้ง 6 คิดว่าจะต้องมีการวางหมัดแน่ๆ บางอย่างที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็เกิดขึ้นแทน

หม่าฉุนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ประจบสอพลอว่า “ลูกพี่ ข้าแค่อยากใกล้ชิดกับท่านให้มากขึ้นเท่านั้น งั้นข้าจะนอนเตียงด้านล่างอีกเตียงข้างๆ ท่านก็แล้วกัน”

“อืม ก็ได้” โจวเหว่ยชิงลุกขึ้นยืนอย่างเกียจคร้านก่อนที่จะพูดว่า “ทุกคน ข้าชื่อโจวเหว่ยชิง พวกเจ้าก็เก็บข้าวของเถอะ ข้าจะออกไปเดินเล่น”

พูดตามตรงแล้วโจวเหว่ยชิงไม่เคยชินกับการมีคนมากมายในห้องของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้เพื่อนร่วมห้องกำลังเก็บข้าวของที่พกมาด้วย ทำให้ทั้งห้องกลับมาระเกะระกะอีกครั้ง

หลังจากโจวเหว่ยชิงจากไป โข่วรุ่ยและคนอื่นๆ ก็มองไปที่หม่าฉุนด้วยสีหน้าเปลี่ยนไป พวกเขาคิดกับตัวเองว่า เพื่อนคนนี้ภายนอกดูดีแต่แท้จริงกลับเป็นแค่คนอ่อนแอ! ขี้ขลาดจริงๆ

หม่าคุนรู้สึกได้ถึงสายตาของพวกเขา เขาจึงจ้องกลับ “พวกเจ้ากำลังมองอะไร? อยากสู้กับข้าหรือ? ข้าขอเตือนพวกเจ้าทุกคนในห้องนี้ไว้ พี่ชายโจวเป็นลูกพี่ใหญ่ ส่วนข้าคือลูกพี่รอง[1] เข้าใจหรือไม่?”

เกิดความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นทั้ง 6 คนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “อ้อ แท้จริงแล้วเจ้าก็คืออวัยวะตรงหว่างขา ฮ่าๆๆๆ”

จากนั้นหม่าฉุนก็ตระหนักถึงความผิดพลาดในคำพูดของเขาและลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าอึมครึม จากนั้นทั้งห้องก็มีเสียงเอะอะน่าหนวกหูดังออกมา

ขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังเดินเล่นอยู่รอบๆ บริเวณโรงเรียน เขาก็เห็นนักเรียนใหม่จำนวนมากเข้ามาในโรงเรียนเพื่อรายงานตัว ดวงตาของเขาสอดส่องไปมาเพื่อมองหาสาวงามไว้ชื่นชม ในขณะที่กำลังประเมินขนาดหน้าอกของนักเรียนใหม่ที่เดินผ่านไป ใบหน้าของเขายังคงประดับไว้ด้วยสีหน้าเฉยเมย หากไม่ใช่เพราะดวงตาที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของเขา คงไม่มีใครสามารถสังเกตเห็นความผิดปกติของเขาได้เลย

หลังจากมองอยู่ครู่หนึ่ง โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกค่อนข้างผิดหวัง จำนวนนักเรียนหญิงที่เข้าเรียนในโรงเรียนแห่งนี้มีจำนวนน้อยกว่านักเรียนชายมากและแม้แต่สาวงามก็ยังมีน้อยด้วยเช่นกัน ผู้หญิงที่งดงามที่สุดที่เขาเห็นเมื่อสักครู่นั้นมีความงามอยู่เหนือกว่ามาตรฐานทั่วไป  แต่เมื่อเปรียบเทียบกับปิงเอ๋อร์ของเขา นั่นคือความแตกต่างระหว่างพื้นโลกกับสวรรค์ชัดๆ

“เจ้ากำลังมองหาอะไรหรือ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างๆ ทำให้โจวเหว่ยชิงตกใจมาก แม้เขาจะไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเป็นพิเศษ แต่การที่มีคนเข้าใกล้เขาได้โดยที่เขาไม่รู้ตัวก็ยังคงสร้างความประหลาดใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก  รูม่านตาจึงหดแคบเล็กลงอย่างระมัดระวัง

ขณะที่เขาหันศีรษะกลับไป เขาก็ตระหนักได้ว่านั่นคือใครบางคนที่คุ้นเคย แม่ทัพเทพสงครามอาณาจักรเฟยหลี่  หมิงหยู!

โจวเว่ยชิงเหลือบตามองเขา แต่ไม่ได้ตอบกลับ

หมิงหยูพูดต่อว่า “ปีนี้พวกเด็กใหม่ไม่ค่อยมีผู้หญิงจริงๆ นั่นแหละ คนรักของเจ้าถือว่างามเป็นอันดับต้นๆ เลยทีเดียว” ทักษะการสังเกตของเขานั้นเข้าขั้นยอดเยี่ยมมาก เขาจึงสามารถบอกได้อย่างเป็นธรรมชาติว่าโจวเหว่ยชิงกำลังมองอะไร

“เจ้าชื่อโจวเหว่ยชิงใช่หรือไม่? รู้ไหมว่าทำไมข้าถึงประหลาดใจเมื่อเห็นคำตอบของเจ้าเมื่อวันก่อน?” หมิงหยูดูเหมือนจะไม่สนใจท่าทีที่โจวเหว่ยชิงมีต่อเขาและยังคงพูดต่อไปราวกับพูดกับตัวเอง

“ทำไม?” โจวเหว่ยชิงอดจะถามออกไปไม่ได้เพราะเขาเองก็สงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เช่นกัน

แสงอ่อนๆ ทอประกายอยู่ในดวงตาของหมิงหยู กลิ่นอายที่แฝงไปด้วยความสง่างามแผ่ออกมาจากร่างของเขาขณะที่พูดว่า “เพราะนั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับข้าเมื่อไม่นานมานี้ ตอนนั้นข้ากำลังลาดตระเวนอยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งบริเวณชายแดนและศัตรูก็โผล่มาพอดี กองทัพที่แข็งแกร่งนับแสนนายจากอาณาจักรวั่นโซ่วแอบลอบเข้ามาโจมตีพวกเราโดยมีพลเมืองของอาณาจักรเฟยหลี่ราว 100,000 คน ถูกบังคับให้เป็นแนวหน้า ในเวลานั้นข้ามีกองทหารใต้บัญชาเพียง 5,000 นาย”

ความสนใจของโจวเหว่ยชิงถูกจุดประกายขึ้น เขารีบถามต่อว่า “แล้วท่านทำอย่างไร?”

หมิงหยูกล่าวต่อ “ค่อนข้างคล้ายกับวิธีที่เจ้าตอบคำถาม ข้าออกคำสั่งให้ยิงและฆ่าพวกเขาทันที ประชาชนนับไม่ถ้วนเสียชีวิตด้วยน้ำมือของเราเอง…แต่ในเวลานั้นข้าก็ไม่มีทางเลือก อย่างที่เจ้าได้เขียนไว้นั่นแหละ ถ้าข้าใจอ่อนและลังเลเพียงเสี้ยววินาทีก็คงไม่ใช่แค่ประชาชนเหล่านั้นที่ต้องเสียชีวิต อนิจจา อาจารย์หลายคนในโรงเรียนเป็นพวกเก่งแต่ทฤษฏี พวกเขาจะรู้จักการนองเลือดและความโหดร้ายของสงครามได้อย่างไร ข้าไม่เพียงสั่งให้พวกเขาฆ่าอีกฝ่ายตามอำเภอใจเท่านั้น ข้ายังสั่งให้ประชาชนทุกคนในเมืองขุดหลุมขนาดใหญ่ภายในที่ใกล้กับกำแพงเมืองและใส่ลวดหนามเอาไว้   ตกค่ำ ข้าก็นำกลุ่มทหารพลีชีพกว่า 1,000 นายลอบออกจากเมืองไปโจมตีศัตรูจากอีกด้าน ตอนนั้นข้าคิดจะสู้จนตาย แต่ทว่าก็ทำเช่นนั้นไม่ได้เพราะทุกคนจะตื่นตระหนกกันไปหมด จาก 1,000 นาย ข้ารอดชีวิตกลับมาจากการต่อสู้พร้อมกับเหล่าทหารที่บาดเจ็บสาหัสเพียง 47 คนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม พวกเราสามารถเผาที่เก็บเสบียงของพวกมันได้สำเร็จ”

“พวกมันโกรธมากเพราะโดนลอบโจมตี กองทัพอาณาจักรวั่นโซ่วจึงได้ส่งทหารออกมาตอบโต้อย่างรุนแรงที่กำแพงเมืองอีกครั้งอย่างไม่กลัวตาย เวลากลางคืนเป็นโอกาสที่ดีสำหรับพวกเรามาก แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็สามารถฆ่าพวกมันได้แค่หมื่นกว่านายก่อนที่พวกมันจะเจาะกำแพงเข้ามาได้สำเร็จ โชคดีที่สิ่งที่รอพวกมันอยู่ในเมืองคือกับดักและพลธนูจำนวนนับไม่ถ้วน ในที่สุดข้าก็ออกคำสั่งให้จุดไฟเผาบ้านเรือนและยุ้งฉางทั้งหมด ตัดเส้นทางการล่าถอยของเราเอง นำกองทหารและประชาชนที่เหลือไปต่อสู้ด้วยกันในเมือง เราต่อสู้กับพวกมันบนท้องถนนเป็นเวลา 2 วัน 2 คืนเพื่อถ่วงเวลาให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในที่สุดกำลังเสริมของเราก็มาถึงและกองทัพอาณาจักรวั่นโซ่วที่อดอยากมา 3 วันก็ถูกตีแตกอย่างง่ายดาย แน่นอนว่ามีเพียง 30,000 คนเท่านั้นที่หลบหนีไปได้ ด้วยกองกำลังทหารเพียง 5,000 นายและเมืองที่เต็มไปด้วยประชาชน เราสามารถถ่วงเวลาและฆ่าศัตรูไปได้กว่า 70,000 นาย ข้ารู้สึกราวกับว่าตัวเองเพิ่งจะสร้างปาฏิหาริย์สำเร็จ เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”

ในขณะที่หมิงหยูกำลังอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา แม้น้ำเสียงของเขาฟังดูเฉยเมยและสงบราบเรียบ แต่หัวใจของโจวเหว่ยชิงกลับลุกเป็นไฟ เลือดในกายเดือดพล่านราวกับว่าเขากำลังเผชิญกับเหตุการณ์ที่เป็นไปไม่ได้นั้นเช่นกัน แม้ว่าหมิงหยูจะไม่ได้อธิบายรายละเอียด แต่คำสั่งของเขาก็คล้ายกันกับคำตอบของโจวเหว่ยชิงมาก วินาทีนั้นโจวเหว่ยชิงจึงรู้สึกราวกับว่าเขากำลังอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ที่นองเลือดร่วมกับหมิงหยู

“แน่นอน นั่นคือปาฏิหาริย์จริงๆ ท่านมีกำลังทหารน้อยกว่าศัตรูถึง 20 เท่า อยู่ในเมืองเล็กๆที่ไม่มีป้อมปราการที่เหมาะสม การที่สามารถถ่วงเวลาไว้ได้กว่า 4 วันและยังเผาเสบียงพวกมันได้อีกนั้น ถ้านั่นไม่ใช่ปาฏิหารย์แล้วจะเป็นอะไรได้?”

หมิงหยูยิ้มอย่างขมขื่น “เสียดายที่ประชาชนอาณาจักรเฟยหลี่ผู้ภักดีของเรา 180,000 คนได้สละชีวิตของพวกเขาใน 4 วันนั้น แม้แต่ทหารอีก 200 นายที่รอดชีวิตในวันนั้นก็ยังเรียกข้าว่าเทพสังหาร ในหมู่พวกเขา มีมากกว่า 1 ใน 3 ที่กลายเป็นบ้าและประชาชนที่รอดชีวิตมาได้ในวันนั้นก็เกลียดชังข้าจนถึงกระดูกดำ ตำแหน่งของข้าเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดว่าทำไมข้าถึงอยู่ที่นี่แทนที่จะเป็นแนวหน้าล่ะ?”

ดวงตาที่คมกริบของโจวเหว่ยชิงจ้องไปที่หมิงหยู ในทันใดนั้นความรู้สึกเกลียดขี้หน้าที่เขามีต่อหมิงหยูก็หายไป เขารู้ว่าหมิงหยูสร้างชื่อเสียงของตนขึ้นมาด้วยเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อจากการทำงานหนัก การต่อสู้ที่เสี่ยงชีวิตนับไม่ถ้วน

หมิงหยูถอนหายใจและพูดต่อว่า “แม่ทัพระดับสูงของกองทัพหลายคนต้องการลงโทษข้า แม้แต่คนที่เข้าข้างข้าก็ทำเช่นนั้นเพราะความดีความชอบของข้าก่อนหน้านี้ จะมีสักกี่คนที่เข้าใจข้าจริงๆ? เพราะฉะนั้นในวันที่ข้าเห็นคำตอบของเจ้าและได้พูดคุยกับเจ้า…ข้าก็รู้ว่าเจ้าเป็นคนประเภทเดียวกับข้า น่าเสียดายที่เจ้าไม่ใช่คนของอาณาจักรเฟยหลี่ ไม่เช่นนั้นข้าคงจะหาทางให้เจ้าเข้าร่วมกองทหารของข้าเพื่อให้เราร่วมต่อสู้ด้วยกัน”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่ใช่ประชาชนของอาณาจักรเฟยหลี่ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่อาจต่อสู้ร่วมกันได้นี่? อย่าลืมว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของข้าเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรเฟยหลี่ของท่าน เพียงแต่ว่าตอนนี้ข้ายังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอจะต่อสู้ร่วมกับท่าน”

หมิงหยูหัวเราะและพูดว่า “หวังว่าสักวันเจ้าจะทำได้ ในยุคนี้สนามรบถือว่าเป็นสังเวียนสำหรับลูกผู้ชายที่แท้จริง”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าอย่างเงียบๆ จากนั้นก็หันหน้ากลับไปทางประตูทางเข้าสถาบัน

ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็สว่างวาบขึ้นก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “เอ๊ะ? ผู้หญิงคนนั้นไม่เลวเลยนี่นา!”

หมิงหยูมองตามสายตาของเขา จากนั้นก็เห็นหญิงสาวในชุดสีขาวที่กำลังเดินเข้ามา…

………………………………………………….

[1]老二 เหล่าเอ้อ แปลว่าลูกชายคนที่ 2 หรือเป็นคำสแลงแปลว่าอวัยวะเพศชายก็ได้

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+