Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา 39.3 จักรพรรดิสีเงิน (3)

Now you are reading Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา Chapter 39.3 จักรพรรดิสีเงิน (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พี่หยู รอข้าก่อน!” หลังจากตี้ฝูหยามองดูโจวเหว่ยชิงเดินจากไปด้วยสีหน้าตกตะลึง ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันที ก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็ไล่ตามหมิงหยูทัน “พี่หยู ข้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาเลยจริงๆ”

หมิงหยูพลันเอ่ยอย่างเฉยเมยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ตี้ฝูหยา เจ้าควรรู้นิสัยของข้า ข้าไม่ต้องการมีชื่อเป็นโจรขโมยภรรยาของผู้อื่น นอกจากนี้ข้ายังรักษาคำพูดมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นข้าจะมองข้ามความจริงที่ว่าเจ้าโกหกข้า จากนี้ไม่ต้องตามหาข้าอีกแล้ว มิเช่นนั้นเจ้าควรรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” หลังจากทิ้งคำพูดเหล่านั้นเอาไว้แล้ว เขาก็เดินเข้าไปในวังกักเก็บทักษะโดยไม่หันกลับไปมองด้านหลังแม้แต่น้อย ปล่อยให้ตี้ฝูหยายืนอยู่ที่เดิมด้วยความตกตะลึง

อารมณ์ดีๆ ของโจวเหว่ยชิงพังทลายลงอย่างสิ้นเชิงหลังพบกับตี้ฝูหยา ขณะที่เขาเดินทอดน่องไปตามถนนในเมืองเฟยหลี่ เขาก็พลันรู้สึกหงุดหงิดและฉุนเฉียวขึ้นมาไม่น้อย พ่อทูนหัวนะพ่อทูนหัว ไม่ใช่ว่าข้าอยากทำให้ท่านเสียหน้า แต่เมื่อเทียบกับปิงเอ๋อร์แล้ว ข้าก็ไม่อาจยอมรับตี้ฝูหยาได้หรอก! ความรู้สึกผิดต่อตี้เฟิงหลิงที่ยังหลงเหลืออยู่ในใจของเขาได้ถูกลบล้างไปแล้วจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่ เขาส่ายหัวอย่างแรง จากนั้นก็พึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเย็นชา “โมโห    ตี้ฝูหยาไปก็ไม่คุ้มเสีย!”

อย่างไรก็ตาม หลังได้สัมผัสกับการโจมตีของจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นกลาง โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกว่าตนยังขาดพลังอยู่อีกมาก พลังปราณสวรรค์ของหมิงหยูน่าจะอยู่ที่ระดับที่ 8 ของขั้นทะลวงพิภพ แน่นอนว่าหมิงหยูแข็งแกร่งกว่าเขามาก ถ้าไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งทางกายภาพของโจวเหว่ยชิงนั้นไม่ธรรมดา ก่อนหน้านี้เขาคงจะต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่เป็นแน่

ขณะที่เขานึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า โจวเหว่ยก็ชิงมองหาโรงเตี๊ยมที่อยู่ใกล้ๆ ไปด้วย เขาตัดสินใจที่จะฟื้นฟูพลังปราณสวรรค์ของเขาก่อนจะหลอมรวมม้วนคัมภีร์ชุดศาสตรามณียุทธ์ระดับตำนานที่เขามีกับมณีของตน ส่วนพรุ่งนี้เขาจะมุ่งหน้าไปที่วังกักเก็บทักษะอีกครั้ง ด้วยอัตราการฟื้นฟูที่รวดเร็วของวิชาเทพอมตะ เขาน่าจะสามารถกักเก็บทักษะได้อีก 2 ครั้งโดยไม่มีปัญหาใด ๆ

2 วันถัดมา

แต่เดิมแล้วทางตะวันออกของเมืองเฟยหลี่เป็นส่วนที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดและดูเหมือนจะคึกคักจอแจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบๆ เขตโรงเรียนซึ่งอยู่ใกล้กับวังกักเก็บทักษะนั้นมีผู้คนพลุกพล่านมาก เหตุผลหลักคือวันนี้เป็นวันแรกของการลงทะเบียนเข้าเรียนประจำปีสำหรับโรงเรียนขนาดใหญ่หลายๆ แห่ง

ระยะเวลาการลงทะเบียนคือ 3 วัน โดยแต่ละโรงเรียนจะมีจำนวนนักเรียนที่รับเข้าและข้อกำหนดที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม มีกฎเพียงข้อเดียวในอาณาจักรเฟยหลี่ ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือชนชั้นสูง ทุกคนจะต้องผ่านการทดสอบของโรงเรียนนั้นๆ ก่อนจึงจะสามารถเข้าเรียนได้

มีโรงเรียนต่างๆ มากกว่า 10 แห่ง แต่ทว่าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดกลับมีแค่ 3 โรงเรียน นั่นก็คือ โรงเรียนทหารเฟยหลี่ โรงเรียนเจ้ามณีสวรรค์เฟยหลี่ และโรงเรียนราชสำนักเฟยหลี่

โรงเรียนราชสำนักเฟยหลี่มีชื่อเสียงในด้านการเป็นสถานที่สำหรับบ่มเพาะขุนนางระดับสูงหลายคน พวกเขายังมีกฏที่เข้มงวดที่สุดในบรรดาโรงเรียนทั้งหมด นักเรียนทุกคนจะถูกสงวนไว้เฉพาะพลเมืองของอาณาจักรเฟยหลี่เท่านั้น มีการจัดสอบทั้งหมด 3 วัน รวมทั้งหมด 9 หัวข้อที่แตกต่างกันไปในแต่ละด้าน ดังนั้นจึงมีเฉพาะนักเรียนหัวกะทิเท่านั้นที่จะได้รับการตอบรับเข้าเรียน นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีผู้คนมาสมัครเป็นจำนวนมากที่สุดในบรรดาโรงเรียนทั้งหมด แต่ทว่าอัตราการสอบเข้าได้นั้นมีน้อยกว่า 1 ใน 100 ด้วยซ้ำ

ขุนนางกว่า 8 ใน 10 ส่วนของอาณาจักรเฟยหลี่มักสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนราชสำนักเฟยหลี่ ดังนั้นทุกคนจึงรับรู้ได้ถึงอิทธิพลที่แท้จริงของโรงเรียนแห่งนี้

ในทางกลับกัน สิ่งที่ ‘ง่ายที่สุด’ แต่มีการสมัครเข้าเรียน ‘น้อยที่สุด’ คือโรงเรียนเจ้ามณีสวรรค์เฟยหลี่ มีเพียงข้อกำหนดเดียวในการรับสมัคร นั่นก็คือต้องเป็นจ้าวมณีสวรรค์และฐานะการเป็นพลเมืองของอาณาจักรนั้นไม่ถือว่าสำคัญใดๆ อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาเป็นประชาชนของอาณาจักรอื่น ข้อกำหนดคือการให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่ออาณาจักรเฟยหลี่ ปัจจุบันมีนักเรียนเพียง 100 คนหรือมากกว่านั้นเล็กน้อย โดยปกติแล้วการรับนักเรียนใหม่ได้ 8-10 คนทุกปีนั้นถือ ว่าเป็นสถิติที่ดีมากแล้ว โรงเรียนนี้มีชื่อเสียงในเรื่องการเป็นแหล่งกำเนิดของจ้าวมณีสวรรค์ที่ทรงพลังมากมาย ในช่วงที่พวกเขาเรียนอยู่ที่นี่ นักเรียนในโรงเรียนสามารถเข้าไปกักเก็บทักษะในวังกักเก็บทักษะได้โดยไม่ต้องเสียเงิน เงื่อนไขที่ดีเช่นนี้เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะดึงดูดจ้าวมณีสวรรค์รุ่นเยาว์จำนวนมากมาสมัครเข้าเรียน

สุดท้ายคือโรงเรียนทหารเฟยหลี่ โดยปกติแล้วจำนวนผู้สมัครจะอยู่ที่ประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนผู้สมัครโรงเรียนราชสำนักเฟยหลี่ แต่อัตราการรับเข้าเรียนของพวกเขานั้นสูงกว่ามาก อาจจะประมาณ 1 ใน 30 ส่วนได้ พวกเขามีชื่อเสียงในการปลุกปั้นแม่ทัพนายกองที่มีชื่อเสียงมากมาย และแน่นอนว่าที่นี่คือโรงเรียนที่โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิง   เอ๋อร์ต้องมาสมัครเรียน

เมื่อโจวเหว่ยชิงมาถึงทางเข้าโรงเรียนทหารเฟยหลี่ในตอนเช้าเขาก็ต้องมึนงงอยู่ครู่ใหญ่ ทั้งถนนคับคั่งไปไปด้วยผู้คน แล้วเช่นนี้เขาจะมองหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้อย่างไร! เนื่องจากไม่รู้จะทำอย่างไรดี โจวเหว่ยชิงจึงทำได้เพียงแค่ยืนอยู่ใกล้ๆ แถวรับสมัครอย่างเงอะงะ สายตาสอดส่องไปมาในฝูงชนอย่างต่อเนื่องเพื่อมองหาร่างของซ่างกวนปิงเอ๋อร์

ในขณะที่เขากำลังรออย่างใจจดจ่อ ทันใดนั้นเด็กหนุ่มร่างผอมคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเขาแล้วพูดว่า “พี่ชาย ต้องการแผ่นประกาศและกฎการสอบหรือไม่? หากมีสิ่งนี้ ท่านจะเตรียมพร้อมสำหรับการสอบได้ดีขึ้น ขายเฉพาะวันนี้เพียง 10 เหรียญทองเท่านั้น!”

เมื่อมองไปที่แผ่นกระดาษในมือของเขา โจวเหว่ยชิงก็กล่าวอย่างเคืองๆ “กระดาษเพียงแผ่นเดียวขาย 10 เหรียญทอง? ทำไมไม่ไปปล้นคนอื่นเสียเลย” ใครจะรู้ว่าเด็กผอมโซคนนั้นจะกล่าวว่า “การปล้นจะเทียบกับการทำเช่นนี้ได้อย่าง  ไร? รายได้ดีกว่า และยังปลอดภัยมากกว่า”

โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง “ได้ เอามาให้ข้าแผ่นนึง” จากนั้นเขาก็ยืนเฉยๆ อยู่ที่เดิม อย่างไรเสียเขาก็สูงถึง 1.9 เมตรและยืนอยู่ในที่ๆ ค่อนข้างมองเห็นได้อย่างชัดเจน ดังนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์น่าจะมองหาเขาได้ง่ายกว่าการที่เขามองหาเธอ

หลังจากจ่ายเงิน 10 เหรียญทองไปแล้ว เขาก็ยืนอยู่ที่เดิมและเปิดอ่านกระดาษที่เขาซื้อมา หลังจากที่เขาดูเนื้อหาในนั้น เขาก็รู้ทันทีว่าถูกหลอกเสียแล้ว หัวข้อของเนื้อหาในกระดาษคือ “กฏทั่วไปสำหรับการลงทะเบียน” เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้มอบให้กับทุกคนที่มาลงทะเบียน แต่เจ้าเด็กนั่นกลับหาเงินจากเขาได้ถึง 10 เหรียญทอง หึ! อย่างไรเสียก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมองหาเจ้าเด็กนั่นในบรรดาฝูงชนที่ดูวุ่นวายขนาดนี้

โจวเหว่ยชิงพูดไม่ออกไปชั่ววินาที เขาคิดกับตัวเองในใจว่า ถ้าตาแก่อันธพาลอยู่ที่นี่ เขาจะต้องด่าข้าจนตายแน่!

ความจริงแล้วสาเหตุที่เขาโดนหลอกไม่ใช่แค่เพราะเขาประมาท แต่เป็นเพราะเขากำลังกังวลเกี่ยวกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่ ภายในใจจึงรู้สึกกระสับกระส่ายและไม่อยากจะคิดอะไรให้หนักสมองอีก ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยเงินจำนวนหลายแสนเหรียญทองในกระเป๋าของเขา โจวเหว่ยชิงจึงไม่ได้คิดใส่ใจเงินทองก้อนเล็กๆ มากนัก

ถัดจากข้อความนั้นมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ “หลังจากลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้สมัครควรพกบัตรประจำตัวสอบและเข้าไปในโรงเรียนเพื่อรับการทดสอบ การสอบแบ่งออกเป็น 3 ส่วน แต่ละส่วนมีค่า 100 คะแนน การทดสอบได้แก่ ความสามารถในการต่อสู้ในสนามรบ ความรู้ทางทหาร และการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว ในขณะเดียวกันก็มีเขียนกำกับไว้ด้วยว่าหากมีคนสามารถทำคะแนนเต็มในการทดสอบใดๆ ก็ตาม พวกเขาจะสามารถเข้าเรียนได้ทันทีโดยไม่ต้องคำนึงถึงผลการทดสอบอีก 2 ชนิดที่เหลือ

ด้านล่างนั่นคือเกณฑ์คะแนนสอบผ่าน สำหรับขุนนางต้องมีคะแนนรวม 150 คะแนน และสำหรับสามัญชนต้องมีคะแนนรวม 180 คะแนน

ทันทีที่เขาเห็นสิ่งนั้น โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว สำหรับคำพูดที่ดูน่าเชื่อถือของอาณาจักรเฟยหลี่ที่ว่า      ‘ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดหรือยศไหน พวกเขาทุกคนล้วนต้องทำการทดสอบ’ นั้นฟังดูดีเกินไปจริงๆ ท้ายที่สุดแล้วความแตกต่างระหว่างชนชั้นก็เกิดขึ้นหลังจากการทดสอบอยู่ดี สงสัยนักว่าตำแหน่งขุนนางขั้นที่ 3 ของข้าในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์นั้นถือว่าเป็นขุนนางหรือสามัญชน? โจวเหว่ยชิงพลันขบคิดกับตัวเองในใจ

“เจ้ากำลังมองหาอะไรอยู่หรือ?” ขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังตรวจสอบกฎการสอบ เขาก็รู้สึกว่ามีใครบางคนสะกิดที่ไหล่ของเขา ทันทีที่เขาหันกลับไป เขาก็ได้รับการต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดใส คนตรงหน้าคือซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั่นเอง

โจวเหว่ยชิงตกตะลึงไปพักหนึ่ง เมื่อรู้สึกตัวเขาก็ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนโดยไม่รู้ตัวและโอบกอดเธอเอาไว้แน่น เรียกสายตาของผู้คนที่อยู่รอบๆ ให้จับจ้องได้เป็นอย่างดี

นับตั้งแต่ที่เขาได้เจอกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแยกกับเธอเป็นเวลานานขนาดนี้ ก่อนหน้าที่เขาเรียนและฝึกฝนอยู่กับฮูเหยียนเอ้าป๋อ ความรู้สึกของเขายังไม่ชัดเจนมากนักเพราะเขามุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้และฝึกฝนเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาออกจากเมืองภูเขาลอยฟ้า หัวใจและความคิดของเขาก็วนเวียนอยู่กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาโดยตลอด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมตอนนี้เขาถึงกระวนกระวายมาก  ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อได้พบกับตี้ฝูหยาเมื่อ 2 วันก่อน ความแตกต่างระหว่างผู้หญิงทั้ง 2 คนก็ทำให้เขาคิดถึงซ่างกวนปิงเอ๋อร์มากขึ้นจนกระทั่งอยากจะติดปีกบินไปหาเธอเดี๋ยวนั้นเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ในที่สุดเขาก็กลับมาพบเธออีกครั้ง เช่นนี้เขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร?

ด้านซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่ถูกเขากอดอย่างกะทันหันต่อหน้าฝูงชนก็รู้สึกอับอายมากเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อรู้สึกได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นแรงของโจวเหว่ยชิงและอุณหภูมิอ้อมแขนที่โอบกอดเธอเอาไว้อย่างแน่นหนา ความอึดอัดที่สะสมอยู่ในใจของเธอก็ค่อยๆ เบาบางลง วินาทีนั้นเธอจึงยกมือกอดเขากลับเช่นกัน ในอกพลันรู้สึกถึงได้ความสงบที่ซึมซาบเข้ามาในหัวใจ

ความจริงแล้วเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมาก็ทำให้เธออึดอัดใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้ขณะที่โจวเหว่ยชิงอยู่เคียงข้าง เธอก็ไม่ได้รู้สึกกับเขารุนแรงเช่นนี้มาก่อนเพราะเขาก็มักจะทำให้เธอโกรธด้วยการกลั่นแกล้งอยู่เป็นประจำ หลังจากที่เขาจากไป ในใจเธอก็คิดว่าตนจะได้อยู่อย่างสงบเสียที แต่ทว่าความสงบสุขนี้กลับทำให้เธอนึกถึงเขาตลอดเวลาไปเสียอย่างนั้น แม้ว่าเธอจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับมารดา แต่เธอก็ยังรู้สึกกระสับกระส่ายและอยู่ไม่เป็นสุขเสมอ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอกลัวว่าการไปหาโจวเหว่ยชิง  จะส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้วิธีสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ของเขา บางทีเธออาจจะไปหาเขาที่เมืองภูเขาลอยฟ้าก่อนหน้านี้แล้วก็เป็นได้

ก่อนหน้านี้เธอเห็นโจวเหว่ยชิงมาก่อนแล้วจากระยะไกลๆ เขากำลังยืนอยู่ที่นี่อย่างโง่เขลาและมองไปรอบๆอย่างวิตกกังวล ในขณะนั้น เธอก็รู้สึกได้ว่ามีความอบอุ่นสายหนึ่งกำลังแทรกซึมเข้ามาข้างในหัวใจของเธอช้าๆ หัวใจกำลังถูกเติมเต็มด้วยความรู้สึกดีๆ ที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะเบียดฝ่าฝูงชนเพื่อเข้าถึงตัวเขาได้

เมื่อพวกเขากลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ท่ามกลางกลุ่มคนมากมายความสุข และความตื่นเต้นได้ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของพวกเขา ทั้งคู่ไม่สนใจคนอื่นๆ อีกต่อไป ต่างจมจ่ออยู่ในโลกส่วนตัวของกันและกันราวกับโลกใบนี้ไม่มีผู้อื่นอีกแล้ว

“ปิงเอ๋อร์ ข้าคิดถึงเจ้ามาก โดยเฉพาะ 2-3 วันที่ผ่านมานี้ ข้าคิดถึงเจ้ามากจริงๆ” โจวเหว่ยชิงยกศีรษะของเขาขึ้นจากบ่าของเธอก่อนจะมองเห็นหญิงงามที่มีใบหน้าแดงก่ำเบื้องหน้าเขา ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกราวกับว่าสมองของเขาว่างเปล่า ลืมไปเสียสิ้นว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งเสียงตอบรับเบาๆและพูดว่า “ข้าก็คิดถึงเจ้าเหมือนกัน อ้วนน้อย เจ้าผอมลงมากจริงๆ…ข้าคิดถึงเจ้า” เมื่อโจวเหว่ยชิงได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาก็รู้สึกราวกับว่ามีลมหอบหนึ่งพัดเอาความโชคดีทั้งหมดบนโลกใบนี้มาสู่ใบหน้าของเขา เขายิ้มกว้างพลางกล่าวว่า “ข้าขอจูบเจ้าได้ไหม?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ผงะและพูดอย่างรวดเร็ว “ไม่”

แต่ทว่าเมื่อมองไปที่ใบหน้าเซื่องซึมของโจวเหว่ยชิง เธอก็ก้มหน้าลงและพูดเบาๆ อีกครั้งว่า “ไม่ใช่ที่นี่”

ดวงตาของโจวเหว่ยชิงสว่างวาบขึ้นทันที เขาขยับเข้ามาใกล้ใบหูของเธอแล้วกระซิบเบาๆ ว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าแดงก่ำ เธอฟาดไหล่เขา “เจ้าเข้าใจอะไร?”

โจวเหว่ยชิงยืดอกพลางหัวเราะ “เข้าใจก็หมายความว่าเข้าใจไง…ไปกันเถอะ พวกเราต้องรีบไปลงทะเบียน…” ในขณะที่เขาพูดเช่นนั้น เขาก็จับมือของซ่างกวนปิงเอ๋อร์และเริ่มเบียดตัวผ่านฝูงชนเข้าไปใกล้เป้าหมายของพวกเขา ร่างของโจวเหว่ยชิงสูงใหญ่และแข็งแรง ไม่นานพวกเขาก็สามารถฝ่าเข้าไปยังจุดลงทะเบียนแห่งหนึ่งได้

เมื่อเห็นนักเรียนรุ่นพี่ที่รับผิดชอบการลงทะเบียน เขาก็กล่าวว่า “พี่สาวสุดสวย พวกเรามาที่นี่เพื่อสมัครเรียน”

…………………………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา 39.3 จักรพรรดิสีเงิน (3)

Now you are reading Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา Chapter 39.3 จักรพรรดิสีเงิน (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พี่หยู รอข้าก่อน!” หลังจากตี้ฝูหยามองดูโจวเหว่ยชิงเดินจากไปด้วยสีหน้าตกตะลึง ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันที ก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็ไล่ตามหมิงหยูทัน “พี่หยู ข้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาเลยจริงๆ”

หมิงหยูพลันเอ่ยอย่างเฉยเมยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ตี้ฝูหยา เจ้าควรรู้นิสัยของข้า ข้าไม่ต้องการมีชื่อเป็นโจรขโมยภรรยาของผู้อื่น นอกจากนี้ข้ายังรักษาคำพูดมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นข้าจะมองข้ามความจริงที่ว่าเจ้าโกหกข้า จากนี้ไม่ต้องตามหาข้าอีกแล้ว มิเช่นนั้นเจ้าควรรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” หลังจากทิ้งคำพูดเหล่านั้นเอาไว้แล้ว เขาก็เดินเข้าไปในวังกักเก็บทักษะโดยไม่หันกลับไปมองด้านหลังแม้แต่น้อย ปล่อยให้ตี้ฝูหยายืนอยู่ที่เดิมด้วยความตกตะลึง

อารมณ์ดีๆ ของโจวเหว่ยชิงพังทลายลงอย่างสิ้นเชิงหลังพบกับตี้ฝูหยา ขณะที่เขาเดินทอดน่องไปตามถนนในเมืองเฟยหลี่ เขาก็พลันรู้สึกหงุดหงิดและฉุนเฉียวขึ้นมาไม่น้อย พ่อทูนหัวนะพ่อทูนหัว ไม่ใช่ว่าข้าอยากทำให้ท่านเสียหน้า แต่เมื่อเทียบกับปิงเอ๋อร์แล้ว ข้าก็ไม่อาจยอมรับตี้ฝูหยาได้หรอก! ความรู้สึกผิดต่อตี้เฟิงหลิงที่ยังหลงเหลืออยู่ในใจของเขาได้ถูกลบล้างไปแล้วจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่ เขาส่ายหัวอย่างแรง จากนั้นก็พึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเย็นชา “โมโห    ตี้ฝูหยาไปก็ไม่คุ้มเสีย!”

อย่างไรก็ตาม หลังได้สัมผัสกับการโจมตีของจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นกลาง โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกว่าตนยังขาดพลังอยู่อีกมาก พลังปราณสวรรค์ของหมิงหยูน่าจะอยู่ที่ระดับที่ 8 ของขั้นทะลวงพิภพ แน่นอนว่าหมิงหยูแข็งแกร่งกว่าเขามาก ถ้าไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งทางกายภาพของโจวเหว่ยชิงนั้นไม่ธรรมดา ก่อนหน้านี้เขาคงจะต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่เป็นแน่

ขณะที่เขานึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า โจวเหว่ยก็ชิงมองหาโรงเตี๊ยมที่อยู่ใกล้ๆ ไปด้วย เขาตัดสินใจที่จะฟื้นฟูพลังปราณสวรรค์ของเขาก่อนจะหลอมรวมม้วนคัมภีร์ชุดศาสตรามณียุทธ์ระดับตำนานที่เขามีกับมณีของตน ส่วนพรุ่งนี้เขาจะมุ่งหน้าไปที่วังกักเก็บทักษะอีกครั้ง ด้วยอัตราการฟื้นฟูที่รวดเร็วของวิชาเทพอมตะ เขาน่าจะสามารถกักเก็บทักษะได้อีก 2 ครั้งโดยไม่มีปัญหาใด ๆ

2 วันถัดมา

แต่เดิมแล้วทางตะวันออกของเมืองเฟยหลี่เป็นส่วนที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดและดูเหมือนจะคึกคักจอแจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบๆ เขตโรงเรียนซึ่งอยู่ใกล้กับวังกักเก็บทักษะนั้นมีผู้คนพลุกพล่านมาก เหตุผลหลักคือวันนี้เป็นวันแรกของการลงทะเบียนเข้าเรียนประจำปีสำหรับโรงเรียนขนาดใหญ่หลายๆ แห่ง

ระยะเวลาการลงทะเบียนคือ 3 วัน โดยแต่ละโรงเรียนจะมีจำนวนนักเรียนที่รับเข้าและข้อกำหนดที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม มีกฎเพียงข้อเดียวในอาณาจักรเฟยหลี่ ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือชนชั้นสูง ทุกคนจะต้องผ่านการทดสอบของโรงเรียนนั้นๆ ก่อนจึงจะสามารถเข้าเรียนได้

มีโรงเรียนต่างๆ มากกว่า 10 แห่ง แต่ทว่าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดกลับมีแค่ 3 โรงเรียน นั่นก็คือ โรงเรียนทหารเฟยหลี่ โรงเรียนเจ้ามณีสวรรค์เฟยหลี่ และโรงเรียนราชสำนักเฟยหลี่

โรงเรียนราชสำนักเฟยหลี่มีชื่อเสียงในด้านการเป็นสถานที่สำหรับบ่มเพาะขุนนางระดับสูงหลายคน พวกเขายังมีกฏที่เข้มงวดที่สุดในบรรดาโรงเรียนทั้งหมด นักเรียนทุกคนจะถูกสงวนไว้เฉพาะพลเมืองของอาณาจักรเฟยหลี่เท่านั้น มีการจัดสอบทั้งหมด 3 วัน รวมทั้งหมด 9 หัวข้อที่แตกต่างกันไปในแต่ละด้าน ดังนั้นจึงมีเฉพาะนักเรียนหัวกะทิเท่านั้นที่จะได้รับการตอบรับเข้าเรียน นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีผู้คนมาสมัครเป็นจำนวนมากที่สุดในบรรดาโรงเรียนทั้งหมด แต่ทว่าอัตราการสอบเข้าได้นั้นมีน้อยกว่า 1 ใน 100 ด้วยซ้ำ

ขุนนางกว่า 8 ใน 10 ส่วนของอาณาจักรเฟยหลี่มักสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนราชสำนักเฟยหลี่ ดังนั้นทุกคนจึงรับรู้ได้ถึงอิทธิพลที่แท้จริงของโรงเรียนแห่งนี้

ในทางกลับกัน สิ่งที่ ‘ง่ายที่สุด’ แต่มีการสมัครเข้าเรียน ‘น้อยที่สุด’ คือโรงเรียนเจ้ามณีสวรรค์เฟยหลี่ มีเพียงข้อกำหนดเดียวในการรับสมัคร นั่นก็คือต้องเป็นจ้าวมณีสวรรค์และฐานะการเป็นพลเมืองของอาณาจักรนั้นไม่ถือว่าสำคัญใดๆ อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาเป็นประชาชนของอาณาจักรอื่น ข้อกำหนดคือการให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่ออาณาจักรเฟยหลี่ ปัจจุบันมีนักเรียนเพียง 100 คนหรือมากกว่านั้นเล็กน้อย โดยปกติแล้วการรับนักเรียนใหม่ได้ 8-10 คนทุกปีนั้นถือ ว่าเป็นสถิติที่ดีมากแล้ว โรงเรียนนี้มีชื่อเสียงในเรื่องการเป็นแหล่งกำเนิดของจ้าวมณีสวรรค์ที่ทรงพลังมากมาย ในช่วงที่พวกเขาเรียนอยู่ที่นี่ นักเรียนในโรงเรียนสามารถเข้าไปกักเก็บทักษะในวังกักเก็บทักษะได้โดยไม่ต้องเสียเงิน เงื่อนไขที่ดีเช่นนี้เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะดึงดูดจ้าวมณีสวรรค์รุ่นเยาว์จำนวนมากมาสมัครเข้าเรียน

สุดท้ายคือโรงเรียนทหารเฟยหลี่ โดยปกติแล้วจำนวนผู้สมัครจะอยู่ที่ประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนผู้สมัครโรงเรียนราชสำนักเฟยหลี่ แต่อัตราการรับเข้าเรียนของพวกเขานั้นสูงกว่ามาก อาจจะประมาณ 1 ใน 30 ส่วนได้ พวกเขามีชื่อเสียงในการปลุกปั้นแม่ทัพนายกองที่มีชื่อเสียงมากมาย และแน่นอนว่าที่นี่คือโรงเรียนที่โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิง   เอ๋อร์ต้องมาสมัครเรียน

เมื่อโจวเหว่ยชิงมาถึงทางเข้าโรงเรียนทหารเฟยหลี่ในตอนเช้าเขาก็ต้องมึนงงอยู่ครู่ใหญ่ ทั้งถนนคับคั่งไปไปด้วยผู้คน แล้วเช่นนี้เขาจะมองหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้อย่างไร! เนื่องจากไม่รู้จะทำอย่างไรดี โจวเหว่ยชิงจึงทำได้เพียงแค่ยืนอยู่ใกล้ๆ แถวรับสมัครอย่างเงอะงะ สายตาสอดส่องไปมาในฝูงชนอย่างต่อเนื่องเพื่อมองหาร่างของซ่างกวนปิงเอ๋อร์

ในขณะที่เขากำลังรออย่างใจจดจ่อ ทันใดนั้นเด็กหนุ่มร่างผอมคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเขาแล้วพูดว่า “พี่ชาย ต้องการแผ่นประกาศและกฎการสอบหรือไม่? หากมีสิ่งนี้ ท่านจะเตรียมพร้อมสำหรับการสอบได้ดีขึ้น ขายเฉพาะวันนี้เพียง 10 เหรียญทองเท่านั้น!”

เมื่อมองไปที่แผ่นกระดาษในมือของเขา โจวเหว่ยชิงก็กล่าวอย่างเคืองๆ “กระดาษเพียงแผ่นเดียวขาย 10 เหรียญทอง? ทำไมไม่ไปปล้นคนอื่นเสียเลย” ใครจะรู้ว่าเด็กผอมโซคนนั้นจะกล่าวว่า “การปล้นจะเทียบกับการทำเช่นนี้ได้อย่าง  ไร? รายได้ดีกว่า และยังปลอดภัยมากกว่า”

โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง “ได้ เอามาให้ข้าแผ่นนึง” จากนั้นเขาก็ยืนเฉยๆ อยู่ที่เดิม อย่างไรเสียเขาก็สูงถึง 1.9 เมตรและยืนอยู่ในที่ๆ ค่อนข้างมองเห็นได้อย่างชัดเจน ดังนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์น่าจะมองหาเขาได้ง่ายกว่าการที่เขามองหาเธอ

หลังจากจ่ายเงิน 10 เหรียญทองไปแล้ว เขาก็ยืนอยู่ที่เดิมและเปิดอ่านกระดาษที่เขาซื้อมา หลังจากที่เขาดูเนื้อหาในนั้น เขาก็รู้ทันทีว่าถูกหลอกเสียแล้ว หัวข้อของเนื้อหาในกระดาษคือ “กฏทั่วไปสำหรับการลงทะเบียน” เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้มอบให้กับทุกคนที่มาลงทะเบียน แต่เจ้าเด็กนั่นกลับหาเงินจากเขาได้ถึง 10 เหรียญทอง หึ! อย่างไรเสียก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมองหาเจ้าเด็กนั่นในบรรดาฝูงชนที่ดูวุ่นวายขนาดนี้

โจวเหว่ยชิงพูดไม่ออกไปชั่ววินาที เขาคิดกับตัวเองในใจว่า ถ้าตาแก่อันธพาลอยู่ที่นี่ เขาจะต้องด่าข้าจนตายแน่!

ความจริงแล้วสาเหตุที่เขาโดนหลอกไม่ใช่แค่เพราะเขาประมาท แต่เป็นเพราะเขากำลังกังวลเกี่ยวกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่ ภายในใจจึงรู้สึกกระสับกระส่ายและไม่อยากจะคิดอะไรให้หนักสมองอีก ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยเงินจำนวนหลายแสนเหรียญทองในกระเป๋าของเขา โจวเหว่ยชิงจึงไม่ได้คิดใส่ใจเงินทองก้อนเล็กๆ มากนัก

ถัดจากข้อความนั้นมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ “หลังจากลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้สมัครควรพกบัตรประจำตัวสอบและเข้าไปในโรงเรียนเพื่อรับการทดสอบ การสอบแบ่งออกเป็น 3 ส่วน แต่ละส่วนมีค่า 100 คะแนน การทดสอบได้แก่ ความสามารถในการต่อสู้ในสนามรบ ความรู้ทางทหาร และการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว ในขณะเดียวกันก็มีเขียนกำกับไว้ด้วยว่าหากมีคนสามารถทำคะแนนเต็มในการทดสอบใดๆ ก็ตาม พวกเขาจะสามารถเข้าเรียนได้ทันทีโดยไม่ต้องคำนึงถึงผลการทดสอบอีก 2 ชนิดที่เหลือ

ด้านล่างนั่นคือเกณฑ์คะแนนสอบผ่าน สำหรับขุนนางต้องมีคะแนนรวม 150 คะแนน และสำหรับสามัญชนต้องมีคะแนนรวม 180 คะแนน

ทันทีที่เขาเห็นสิ่งนั้น โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว สำหรับคำพูดที่ดูน่าเชื่อถือของอาณาจักรเฟยหลี่ที่ว่า      ‘ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดหรือยศไหน พวกเขาทุกคนล้วนต้องทำการทดสอบ’ นั้นฟังดูดีเกินไปจริงๆ ท้ายที่สุดแล้วความแตกต่างระหว่างชนชั้นก็เกิดขึ้นหลังจากการทดสอบอยู่ดี สงสัยนักว่าตำแหน่งขุนนางขั้นที่ 3 ของข้าในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์นั้นถือว่าเป็นขุนนางหรือสามัญชน? โจวเหว่ยชิงพลันขบคิดกับตัวเองในใจ

“เจ้ากำลังมองหาอะไรอยู่หรือ?” ขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังตรวจสอบกฎการสอบ เขาก็รู้สึกว่ามีใครบางคนสะกิดที่ไหล่ของเขา ทันทีที่เขาหันกลับไป เขาก็ได้รับการต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดใส คนตรงหน้าคือซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั่นเอง

โจวเหว่ยชิงตกตะลึงไปพักหนึ่ง เมื่อรู้สึกตัวเขาก็ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนโดยไม่รู้ตัวและโอบกอดเธอเอาไว้แน่น เรียกสายตาของผู้คนที่อยู่รอบๆ ให้จับจ้องได้เป็นอย่างดี

นับตั้งแต่ที่เขาได้เจอกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแยกกับเธอเป็นเวลานานขนาดนี้ ก่อนหน้าที่เขาเรียนและฝึกฝนอยู่กับฮูเหยียนเอ้าป๋อ ความรู้สึกของเขายังไม่ชัดเจนมากนักเพราะเขามุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้และฝึกฝนเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาออกจากเมืองภูเขาลอยฟ้า หัวใจและความคิดของเขาก็วนเวียนอยู่กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาโดยตลอด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมตอนนี้เขาถึงกระวนกระวายมาก  ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อได้พบกับตี้ฝูหยาเมื่อ 2 วันก่อน ความแตกต่างระหว่างผู้หญิงทั้ง 2 คนก็ทำให้เขาคิดถึงซ่างกวนปิงเอ๋อร์มากขึ้นจนกระทั่งอยากจะติดปีกบินไปหาเธอเดี๋ยวนั้นเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ในที่สุดเขาก็กลับมาพบเธออีกครั้ง เช่นนี้เขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร?

ด้านซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่ถูกเขากอดอย่างกะทันหันต่อหน้าฝูงชนก็รู้สึกอับอายมากเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อรู้สึกได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นแรงของโจวเหว่ยชิงและอุณหภูมิอ้อมแขนที่โอบกอดเธอเอาไว้อย่างแน่นหนา ความอึดอัดที่สะสมอยู่ในใจของเธอก็ค่อยๆ เบาบางลง วินาทีนั้นเธอจึงยกมือกอดเขากลับเช่นกัน ในอกพลันรู้สึกถึงได้ความสงบที่ซึมซาบเข้ามาในหัวใจ

ความจริงแล้วเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมาก็ทำให้เธออึดอัดใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้ขณะที่โจวเหว่ยชิงอยู่เคียงข้าง เธอก็ไม่ได้รู้สึกกับเขารุนแรงเช่นนี้มาก่อนเพราะเขาก็มักจะทำให้เธอโกรธด้วยการกลั่นแกล้งอยู่เป็นประจำ หลังจากที่เขาจากไป ในใจเธอก็คิดว่าตนจะได้อยู่อย่างสงบเสียที แต่ทว่าความสงบสุขนี้กลับทำให้เธอนึกถึงเขาตลอดเวลาไปเสียอย่างนั้น แม้ว่าเธอจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับมารดา แต่เธอก็ยังรู้สึกกระสับกระส่ายและอยู่ไม่เป็นสุขเสมอ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอกลัวว่าการไปหาโจวเหว่ยชิง  จะส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้วิธีสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ของเขา บางทีเธออาจจะไปหาเขาที่เมืองภูเขาลอยฟ้าก่อนหน้านี้แล้วก็เป็นได้

ก่อนหน้านี้เธอเห็นโจวเหว่ยชิงมาก่อนแล้วจากระยะไกลๆ เขากำลังยืนอยู่ที่นี่อย่างโง่เขลาและมองไปรอบๆอย่างวิตกกังวล ในขณะนั้น เธอก็รู้สึกได้ว่ามีความอบอุ่นสายหนึ่งกำลังแทรกซึมเข้ามาข้างในหัวใจของเธอช้าๆ หัวใจกำลังถูกเติมเต็มด้วยความรู้สึกดีๆ ที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะเบียดฝ่าฝูงชนเพื่อเข้าถึงตัวเขาได้

เมื่อพวกเขากลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ท่ามกลางกลุ่มคนมากมายความสุข และความตื่นเต้นได้ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของพวกเขา ทั้งคู่ไม่สนใจคนอื่นๆ อีกต่อไป ต่างจมจ่ออยู่ในโลกส่วนตัวของกันและกันราวกับโลกใบนี้ไม่มีผู้อื่นอีกแล้ว

“ปิงเอ๋อร์ ข้าคิดถึงเจ้ามาก โดยเฉพาะ 2-3 วันที่ผ่านมานี้ ข้าคิดถึงเจ้ามากจริงๆ” โจวเหว่ยชิงยกศีรษะของเขาขึ้นจากบ่าของเธอก่อนจะมองเห็นหญิงงามที่มีใบหน้าแดงก่ำเบื้องหน้าเขา ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกราวกับว่าสมองของเขาว่างเปล่า ลืมไปเสียสิ้นว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งเสียงตอบรับเบาๆและพูดว่า “ข้าก็คิดถึงเจ้าเหมือนกัน อ้วนน้อย เจ้าผอมลงมากจริงๆ…ข้าคิดถึงเจ้า” เมื่อโจวเหว่ยชิงได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาก็รู้สึกราวกับว่ามีลมหอบหนึ่งพัดเอาความโชคดีทั้งหมดบนโลกใบนี้มาสู่ใบหน้าของเขา เขายิ้มกว้างพลางกล่าวว่า “ข้าขอจูบเจ้าได้ไหม?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ผงะและพูดอย่างรวดเร็ว “ไม่”

แต่ทว่าเมื่อมองไปที่ใบหน้าเซื่องซึมของโจวเหว่ยชิง เธอก็ก้มหน้าลงและพูดเบาๆ อีกครั้งว่า “ไม่ใช่ที่นี่”

ดวงตาของโจวเหว่ยชิงสว่างวาบขึ้นทันที เขาขยับเข้ามาใกล้ใบหูของเธอแล้วกระซิบเบาๆ ว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าแดงก่ำ เธอฟาดไหล่เขา “เจ้าเข้าใจอะไร?”

โจวเหว่ยชิงยืดอกพลางหัวเราะ “เข้าใจก็หมายความว่าเข้าใจไง…ไปกันเถอะ พวกเราต้องรีบไปลงทะเบียน…” ในขณะที่เขาพูดเช่นนั้น เขาก็จับมือของซ่างกวนปิงเอ๋อร์และเริ่มเบียดตัวผ่านฝูงชนเข้าไปใกล้เป้าหมายของพวกเขา ร่างของโจวเหว่ยชิงสูงใหญ่และแข็งแรง ไม่นานพวกเขาก็สามารถฝ่าเข้าไปยังจุดลงทะเบียนแห่งหนึ่งได้

เมื่อเห็นนักเรียนรุ่นพี่ที่รับผิดชอบการลงทะเบียน เขาก็กล่าวว่า “พี่สาวสุดสวย พวกเรามาที่นี่เพื่อสมัครเรียน”

…………………………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+