Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子]บทที่ 444 กลับสู่อู่ถัง

Now you are reading Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] Chapter บทที่ 444 กลับสู่อู่ถัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 444 กลับสู่อู่ถัง

บทที่ 444 กลับสู่อู่ถัง

“ทำไมพี่ชายของฉันถึงได้อ่อนเพลียขนาดนี้ล่ะ?” ทันทีที่จางเสี่ยวหยูเห็นสีหน้าเหนื่อยล้าของเซียวเฟิง คิ้วของเธอก็ขมวดแน่นและรีบถามด้วยเสียงที่ดังโดยเร็ว

“ฉิ่งเอ้อ! มาดูนี่หน่อย!”

ฉิ่งเอ้อ คือสตรีผู้ปกปิดใบหน้าไว้ด้วยผ้าบางสีฟ้า เธอปรากฏตัวในห้องของเซียวเฟิงทันทีที่ได้ยินจางเสี่ยวหยูเรียก ซึ่งมันทำให้หลิวเฉียงเหว่ยประหลาดใจมาก ๆ เนื่องจากเธอค่อนข้างมั่นใจว่าตนเองนั้นยืนขวางประตูห้องอยู่แน่ ๆ แต่เธอกลับไม่รู้สึกถึงการมาของหญิงสาวคนนี้เลย อย่างกับอากาศที่สามารถเข้ามาได้ตลอดเวลา

“นายน้อยลำดับที่ 3 เป็นอาการของคนที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงค่ะ” ฉิ่งเอ้อยืนตรงอยู่ข้างเตียงของเซียวเฟิง เธอยื่นมือไปและจับข้อมือของผู้นอนซมไว้ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก

“ไร้เรี่ยวแรง? เกิดอะไรขึ้นกันน่ะ?” ได้ยินเช่นนั้นจางเสี่ยวหยูก็ขมวดคิ้วด้วยความงุนงง

“ฉันจำได้ว่าเมื่อฉันมาที่นี่เมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเธอทั้งสามยังบริสุทธิ์อยู่ แต่พอมาวันนี้พวกเธอกลับไม่บริสุทธิ์แล้ว พวกเธอรีดน้ำนายลำดับที่ 3 จนหมดแรงขนาดนี้หรือเปล่า?”

หญิงสาวผู้ปกปิดใบหน้าไว้ด้วยผ้าบางสีน้ำเงินเงยหน้าขึ้นและหันไปมองหลิวเฉียงเหว่ยกับซือเยี่ยจิ๋ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความหวั่นไหวใด ๆ ทั้งสิ้น

“อ๊า!?” จางเสี่ยวหยูปิดปากด้วยความตกใจ เธอดูจะเขินอายกับเรื่องที่ได้ยิน สลับกับมองไปยังหลิวเฉียงเหว่ยต่อด้วยซือเยี่ยจิ๋งทีละคน

ซึ่งด้วยท่าทีนี้ ทั้งหลิวเฉียงเหว่ยและซือเยี่ยจิ๋งก็พากันเขินอายเช่นกัน เขินอายชนิดที่ว่าไม่กล้าพูดอะไรออกมาเลยทั้งสิ้น

“พี่เซียวน่ะ คึกอย่างกับวัวตอนอยู่บนเตียง พวกเราไม่มีทางรีดน้ำเขาได้จนตัวแห้งขนาดนี้หรอก”

โชคดีที่เฉียนโตวโตวหายจากอาการเขินอายก่อนแล้วรีบพูดให้ ซึ่งทำให้สาว ๆ อีกสองคนที่ตกเป็นจำเลยพลอยโล่งใจไปด้วย

“ฉันพูดเล่นน่ะ” ฉิ่งเอ้อพูดทิ้งท้ายหลังได้ยินเช่นนั้น เธอปล่อยให้สาว ๆ อีกสี่คนที่เหลือพากันพูดไม่ออกเนื่องจากมุกตลกของเธอนั้นไม่ได้ใช้น้ำเสียงที่ทำให้ดูตลกไปด้วย

“ร่างกายของนายน้อยลำดับที่ 3 แย่ลงมาก ๆ ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ไม่เพียงแต่จะเป็นอันตรายต่อสภาพจิตใจหรือสภาพทางกายเท่านั้น แต่มันจะพลอยลามไปถึงชีวิตด้วย! เรื่องนี้ไม่ได้พูดเล่นค่ะ”

ต่อจากมุกตลกที่ไร้ความตลก ฉิ่งเอ้อก็พูดเรื่องจริงจังออกมาด้วยน้ำเสียงเดียวกัน

“แล้วทำไมเขาถึงแย่ลงมาได้ล่ะ?” แววตาของจางเสี่ยวหยูแสดงความกังวลออกมา เช่นเดียวกับหลิวเฉียงเหว่ยและอีกสองสาวที่เริ่มจะคิดมากด้วยแล้ว

“น่าจะเป็นผลมาจากการต่อสู้ในโลกของเกมเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนค่ะ” ฉิ่งเอ้อพูด ซึ่งมันชัดเจนว่าเธอเองก็ให้ความสนใจกับโลกของเกมด้วย

“แมตช์ที่พี่ชายเจอกับเทพเจ้าสายฟ้าน่ะเหรอ?” ได้ยินเช่นนั้นจางเสี่ยวหยูก็นึกย้อนกลับไปทันที

“ใช่แล้วค่ะ ฉันเคยปะทะกับนายน้อยลำดับที่ 3 มาก่อน เพราะงั้นฉันจึงรู้ดีถึงพลังพิเศษที่นายน้อยมีอย่างการที่เขาสามารถเพิ่มความสามารถของร่างกายได้ในระดับสูง มันเป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยพบเจอมาก่อน และฉันเองก็มั่นใจว่า การที่ร่างกายเขาอยู่ในสภาพนี้ก็เพราะพลังที่ว่านั่น การเพิ่มความสามารถของร่างกาย ไม่ใช่ความสามารถที่จะใช้มันได้ตลอด ค่าใช้จ่ายของมันสูงมาก ซึ่งบางทีอาจจะเป็นชีวิต แลกเปลี่ยนชีวิตเพื่อเพิ่มความสามารถในระยะสั้น ๆ ถ้าฉันเข้าใจถูก สิ่งนี้นับว่าอันตรายมาก ๆ ความแข็งแกร่งที่พลังนั้นมอบให้นายน้อยลำดับ 3 มากพอที่จะเอาชนะฉันได้ ดังนั้นหากไม่ใช่ชีวิต ก็ไม่มีอะไรมีค่าพอจะแลกเอาพลังนั้นมาแล้ว เมื่อรอบที่เขาเผชิญหน้ากับเทพเจ้าสายฟ้า ฉันสังเกตเห็นได้ว่านายน้อยใช้พลังที่ว่านี่ไปเกือบ 10 นาทีเลย ผลลัพธ์ก็เลยออกมาอย่างที่เห็น ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจถูกกัดกินอย่างหนักเพื่อเค้นเอาพลังออกมาใช้ให้ได้มากที่สุด”

ฉิ่งเอ้ออธิบายต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ว่ายังไงนะ! เสียหายระดับนั้นเลยเหรอ!?” เมื่อรับรู้ว่าพลังที่ว่าแลกเปลี่ยนมาด้วยอะไรบ้าง จางเสี่ยวหยูก็ต้องยกมือปิดปากและอุทานออกมาด้วยความตกใจ

ซึ่งหลิวเฉียงเหว่ยกับสองสาวก็หันไปมองเซียวเฟิงในทันทีด้วยเช่นกัน สีหน้าที่เหนื่อยล้าของเซียวเฟิงทำให้พวกเธอใจไม่สู้ดี แม้จะอยู่ด้วยกันแต่พวกเธอก็ไม่เคยเห็นเซียวเฟิงอ่อนแอขนาดนี้มาก่อน โดยเฉพาะซือเยี่ยจิ๋งที่แอบกัดริมฝีปากล่างของเธอไว้ด้วยความกังวลมากที่สุด

“ถ้างั้นตอนนี้พวกเราทำอะไรได้บ้าง?” แม้จะยังวิตกอยู่แต่จางเสี่ยวหยูก็ไม่ลืมที่จะถามหาวิธี

“อาการนี้ยาน่าจะพอช่วยได้ค่ะ แต่แค่รักษาไม่ให้อยู่ในสภาวะโคม่าเท่านั้นน…” ขณะที่ฉิ่งเอ้อกำลังพูดถึงวิธีที่พอจะเยียวยาได้ จางเสี่ยวหยูก็รีบพูดขึ้นมาก่อนที่เจ้าตัวจะได้พูดจบประโยค

“ใช่แล้ว! ยาชูกำลัง! ฉันต้องกลับไปที่หุบเขาอู่ถังเดี๋ยวนี้เลย! กลับไปขอยาจากคุณลุงของฉัน!” ด้วยความกระโตกกระตากนี้ ทำให้จางเสี่ยวหยูดูขาดซึ่งความสงบอย่างที่เคยเป็นชัดเจน เธอดูเหมือนเด็กที่กำลังลนลานและพูดอะไรที่ดูไร้เดียงสาออกมา

“นายหญิงคะ ได้โปรดอย่าลืมด้วยค่ะว่าภารกิจที่พวกเรามาครั้งนี้คืออะไร” ฉิ่งเอ้อหาโอกาสย้ำเตือน

“อ๊ะ ใช่ ๆ! พี่หลิว พอจะตามตัวซางกวนจืออี้มาได้หรือเปล่า? ฉันมีเรื่องที่อยากให้เธอช่วยหน่อยน่ะ” ได้ยินคำเตือนจางเสี่ยวหยูก็รีบพูดอย่างเร่งรีบ

“เธอหมายถึงจืออี้น่ะเหรอ? เดี๋ยวไปตามให้นะ” แม้ตอนแรกจะดูสงสัยในคำพูดของเด็กสาว แต่กระนั้นเธอก็ยังตรงไปยังห้องของจืออี้อยู่ดี

เซียวเฟิงตื่นขึ้นมาหลังจากหลับไปถึงสามชั่วโมงเต็ม ดวงตาของเขาลืมตาโพลงขณะที่ยังคงนอนอยู่ สายตานั้นกวาดมองไปมาเพื่อระแวงระวังภัยรอบตัวหลังจากถูกตัดขาดจากโลกใบนี้ไปครู่ใหญ่ ๆ

สามชั่วโมงก่อนหน้านี้เซียวเฟิงรับรู้ได้เลยว่าร่างกายของเขามันร่ำร้องขนาดไหน แถมสัญชาตญาณการระวังตัวของตนก็พลอยหลับใหลไปพร้อมกันด้วย นี่ถือเป็นสภาวะที่อันตรายมาก ๆ และมันแสดงให้เห็นว่าร่างกายของเซียวเฟิงตอนนี้อ่อนแอมาก

“นายตื่นแล้วเหรอ?”

ซือเยี่ยจิ๋งที่เอนหัวนอนไปบนเตียงทักถาม น้ำเสียงของเธอแฝงไว้ด้วยความง่วงงุน เธอผล็อยหลับไปขณะปล่อยให้เซียวเฟิงนอนกอดขาเธอเช่นนี้ และเพราะการสะดุ้งที่รุนแรงของเขา มันเลยทำให้เธอตื่นขึ้นมาด้วยเช่นกัน

“ฉันหลับไปนานขนาดไหน?” เมื่อพบว่าตนเองยังคงนอนอยู่บนตักของซือเยี่ยจิ๋ง เซียวเฟิงก็ผงะไปครู่หนึ่ก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วถาม

“น่าจะเกือบ ๆ สามชั่วโมงได้มั้ง” ซือเยี่ยจิ๋งหันมองเวลาและตอบกลับ ระหว่างนั้นก็ค่อย ๆ ขยับขาที่เริ่มชาทีละนิด ๆ

“นี่เธอปล่อยให้ฉันนอนทับขาเธอตลอดเลยเหรอ? วันนี้กินยาผิดหรือไงน่ะ? หรือว่าเป็นวันที่พระอาทิตย์ขึ้นจากทางทิศตะวันตก?”

เพราะซือเยี่ยจิ๋งดูใจดีผิดปกติ เซียวเฟิงจึงรู้สึกแปลก

“นายนี่มัน!” ได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวก็ขมวดคิ้วแน่นพร้อมจะเกรี้ยวกราดทันที ทว่าเพียงครู่เดียว แววตาของเธอก็ค่อย ๆ อ่อนลง “ทำไมไม่พักผ่อนต่ออีกสักหน่อย?”

“มันไม่ปกติ ไม่ปกติมาก ๆ” เซียวเฟิงบ่นพึมพำกับตนเองก่อนจะส่ายหน้า “ฉันพักพอแล้ว นี่ถึงเวลาเล่นเกมแล้ว”

“แต่นี่มันเที่ยงแล้วนะ เคอเค่อเองก็ทำอาหารกลางวันเสร็จแล้วด้วย เพราะงั้นนายไปกินข้าวก่อนจะดีกว่า”

ซือเยี่ยจิ๋งคว้ามือเซียวเฟิงไว้ก่อนที่ปลายนิ้วของเขาจะได้แตะหมวกเล่นเกม

“…งั้นก็ได้” เซียวเฟิงคิดสักครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า ยังไงเสียตอนนี้ร่างกายของเขาก็ยังต้องการอาหารในปริมาณมาก ๆ การใช้ร่างกายอย่างหนักก่อนหน้านี้ทำเอาร่างกายของเขาฟื้นฟูช้ามาก ๆ เลย

ตั้งแต่ช่วงอีเวนต์เซิร์ฟเวอร์ชิงชัยจบลงช่วง 9 โมง เขาก็ออฟไลน์ตั้งแต่ช่วงนั้นจนถึงตอนนี้ที่ปาเข้าไปเที่ยงแล้ว เห็นทีคงจะต้องทานข้าวจริง ๆ

เซียวเฟิงลุกไปล้างหน้าแล้วเดินลงไปด้านล่างที่ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอาหารโชยไปมา กลิ่นของความอร่อยพวกนั้นล่องลอยมาจนถึงห้องนั่งเล่นอย่างชัดเจน

“พี่เซียว? ตื่นแล้วเหรอ? มาที่ห้องทานข้าวเร็ว พวกเรากำลังจะเสิร์ฟอาหารแล้ว!” เฉียนโตวโตวที่สวมผ้ากันเปื้อนยื่นหน้าออกมาจากห้องครัวหลังได้ยินเสียงฝีเท้าของเซียวเฟิงเดินลงมาด้านล่าง

เมื่อชายหนุ่มเข้าไปในห้องครัว เขาก็พบว่าบรรยากาศภายในนั้นค่อนข้างครึกครื้นมากเลยทีเดียว นอกจากหนิงเคอเค่อที่วุ่นกับงานครัวแล้ว หลิวเฉียงเหว่ยและเฉียนโตวโตวเองก็ดูจะวุ่นมากเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม เซียวเฟิงถูกกลิ่นที่โชยคลุ้งทั่วคฤหาสน์หลังโตนี่กระตุ้นต่อมอาหารมาพักใหญ่ ๆ แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่รอช้าที่จะเข้าไปนั่งรอในห้องอาหาร และเมื่ออาหารเซ็ตใหญ่มาเสิร์ฟบนโต๊ะ แววตาของเซียวเฟิงก็แสดงความพึงพอใจสุด ๆ ออกมา เนื่องจากเมื่อเช้านี้เขาได้ทานไม่เยอะสักเท่าไหร่

หลาย ๆ จานบนโต๊ะอาหารมื้อนี้ดูไม่น่าจะดีแบบสุด ๆ มองก็รู้ว่าคนทำนั้นฝีมือการทำอาหารอยู่ในระดับหายนะ เขายังไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำอาหารเหล่านี้ แต่มันไม่ใช่หนิงเคอเค่ออย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าในตอนที่เด็กสาวคนนี้มาแรก ๆ จะทำอาหารไม่เป็นเลยก็จริง แต่ด้วยการสั่งสอนของเซียวเฟิง ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานี้เธอก็พัฒนาฝีมือไปได้ไกลมากเลยทีเดียว

“เห็ดทอดนี่ ถึงจะดูน่ากลัวไปหน่อย แต่รสชาติก็ไม่ได้แปลกเกินไปหรอกนะ” เซียวเฟิงหยิบเอาชิ้นเห็ดที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาแล้วเคี้ยว ๆ เพื่อรับรู้รสชาติของมัน

“พี่เซียว นั่นมะละกอทอดที่พี่หลิวทำ!” เฉียนโตวโตวรีบเฉลยความจริงด้วยเสียงเบา

“หา? ไม่ใช่ว่ามะละกอมันต้องเป็นสีขาวหรอกเหรอ?” ได้ยินเช่นนั้นเซียวเฟิงก็ถึงกับนิ่งสงัดแล้วมองไปยังจานที่มีแต่ของทอดสีดำตรงหน้าใหม่อีกรอบ

“ลืม ๆ มันไปเถอะน่า!” หลิวเฉียงเหว่ยผู้เป็นเจ้าของอาหารจานนั้นรีบตักข้าวในถ้วยของตนเข้าปากด้วยตะเกียบแก้เขินทันที

“ก็ไม่ใช่ว่าจะกินไม่ได้เลยซะทีเดียว” เซียวเฟิงส่ายหน้า อย่างที่เขาว่า ใช่ว่ามันจะกินไม่ได้ เพียงแค่รูปร่างภายนอกมันดูไม่ถูกไม่ควร แต่อย่างน้อย ๆ มันก็ปรุงสุกแล้วแถมรสชาติมันก็ไม่ได้แปลกอะไรอีก

เซียวเฟิงในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับปอบลง เขาทานอาหารกว่าครึ่งที่ถูกจัดจานไว้บนโต๊ะด้วยตนเอง

“จะว่าไป จืออี้ไปไหนน่ะ? ยังเล่นเกมอยู่เหรอ?”

ทว่าเมื่อตอนที่ทานเกือบจะเสร็จแล้ว เซียวเฟิงก็เพิ่งจะรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนไม่ได้อยู่บนโต๊ะอาหาร เขาเลยไม่รอช้าที่จะถามด้วยความประหลาดใจ

“จืออี้… ถูกเสี่ยวหยูพาตัวไปน่ะ” หลิวเฉียงเหว่ยและเฉียนโตวโตวหันมองหน้ากันเองก่อนจะพูดด้วยความระมัดระวัง

“เสี่ยวหยู? เสี่ยวหยูมาที่นี่เหรอ? แล้วยัยนั่นพาจืออี้ไปทำอะไร?” ได้ยินเช่นนั้นเซียวเฟิงก็สงสัยขึ้นมา

“เอ่อ… เธอมาตอนที่นายยังไงอยู่ พวกเราก็ไม่รู้หรอกนะว่าเธอจะพาจืออี้ไปที่ไหน แต่พอจะได้ยินคร่าว ๆ ว่าเกี่ยวกับซีเหมินแล้วก็อู่ถังเนี่ยแหละ” หลิวเฉียงเหว่ยพูด

“ซีเหมิน! อู่ถัง!”

แววตาของเซียวเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาวางชามและตะเกียบลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าจริงจัง “แล้วทำไมเธอไม่ปลุกฉัน?”

“นายหลับสนิทอย่างกับซ้อมตาย” คำตอบนี้มาจากซือเยี่ยจิ๋ง เพราะก่อนหน้านี้เธอก็พยายามปลุกเขาอยู่หลายครั้งแล้วแต่เซียวเฟิงไม่ตื่นเลย ดังนั้นเธอจึงคิดว่าเซียวเฟิงคงจะเหนื่อยมาก ๆ เลยไม่รบกวนอีก

เซียวเฟิงถอนหายใจและหลับตาไป 3 วินาที ครั้นเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แววตานั้นก็เต็มไปด้วยความหนักแน่น เขาลุกขึ้นและออกจากห้องอาหารอย่างรวดเร็ว เขาเดินตรงไปยังประตูคฤหาสน์พร้อมกับพูดโดยไม่ได้หันหลังกลับมามอง

“ฉันจะไม่อยู่สักสองสามวัน ไม่ต้องรอฉันนะ”

ไม่มีเวลาให้เขาชักช้าอีกต่อไปแล้ว เพราะตอนนี้ซางกวนจืออี้อยู่ในมือของเสี่ยวหยู แม้ก่อนหน้านี้เขาจะคิดเตรียมการเรื่องของจืออี้ไว้แล้วก็จริง แต่ไม่คิดเลยว่าเรื่องมันจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้

ตัวตนของซางกวนจืออี้นั้นไม่ธรรมดา เธอเปรียบเสมือนเครื่องมือที่ตระกูลซางกวนใช้คานอำนาจโดยการส่งไปแต่งงานกับตระกูลซีเหมิน เซียวเฟิงคิดไว้ตั้งนานแล้วว่าหากมันจำเป็นโดยไม่มีทางเลือก เมื่อไหร่ที่จืออี้ถูกพาตัวไป เมื่อนั้นเขาคงต้องปะทะกับตระกูลใหญ่ถึงสองตระกูลแน่ ๆ

แต่กลายเป็นว่าคนที่มาพาซางกวนจืออี้ไปกลับเป็นจางเสี่ยวหยู แถมยังพาไปตอนที่เขาไม่รู้สึกตัวอีก นี่มันเป็นอะไรที่ทำให้เซียวเฟิงรู้สึกไม่สบายใจสุด ๆ

นอกจากนี้ นี่ยังแสดงให้เห็นด้วยว่า ตัวตนของเขาที่เป็นตระกูลจางกลายเป็นที่รับรู้กันแล้ว ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้คงไม่เกี่ยวกับอู่ถัง เพียงแค่ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าคนอื่นรับรู้ข่าวนี้มาจากไหน

“ท่านคะ!”

ขณะที่เซียวเฟิงกำลังเดินออกจากคฤหาสน์นั้นเอง ร่างของหญิงสาวสองคน คนหนึ่งมีสีแดงในขณะที่อีกคนหนึ่งมีสีฟ้าก็ปรากฏตัวขึ้น พวกเธอคุกเข่าลงต่อหน้าเซียวเฟิง ใช่แล้ว ทั้งสองคนนี้คือ สาวไฟและสาวน้ำแข็ง

“เตรียมรถให้ฉัน แล้วก็จองเที่ยวบินจากเฉิงไห่ไปหยงโจวที่เร็วที่สุดให้ด้วย ฉันจะไม่อยู่ที่นี่สักพัก พวกเธอต้องคอยดูแลคฤหาสน์หลังนี้ให้ดีขณะที่ฉันไม่อยู่” เซียวเฟิงออกคำสั่ง

“รับทราบค่ะ!”

ทั้งสาวไฟและสาวน้ำแข็งตอบรับทันทีที่สิ้นเสียงเซียวเฟิง ไม่นานนัก รถฮัมเมอร์คันงามก็วิ่งมายังประตูคฤหาสน์ ซึ่งคนขับคือคิงคอง เนื่องจากเจ้าตัวมีร่างกายที่ใหญ่โต มันเลยทำให้เขาสามารถขับได้เพียงรถที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้เท่านั้น

“ไปสนามบินให้เร็วที่สุด” เซียวเฟิงขึ้นไปนั่งที่เบาะด้านหลัง หลังจากที่บอกปลายทางไปเรียบร้อยแล้ว

เซียวเฟิงยังอยู่ในช่วงฟื้นพละกำลังอยู่ อันที่จริงตัวเขาค่อนข้างจะไม่อยากกลับไปยังหุบเขาอู่ถัง หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ บ้านตระกูลจาง เป็นอย่างมาก ถ้าไม่ติดว่าจางเสี่ยวหยูพาตัวซางกวนจืออี้มาที่นี่ ให้ตายยังไงเขาก็ไม่ยอมกลับมาเหยียบอีกเป็นอันขาด

เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ในเมื่อซางกวนจืออี้ถูกพาไปยังบ้านตระกูลจาง แสดงว่าหลังจากที่ตัวตนของเขาถูกเปิดเผย ตระกูลซีเหมินคงจะต้องไปยังตระกูลจางเพื่อตามหาใครสักคนแน่ ๆ ดังนั้นนี่ก็ถือเป็นคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับจืออี้ด้วย เขาต้องช่วยเธอให้ได้

สาวน้ำแข็งได้ส่งข้อมูลเที่ยวบินมาให้เซียวเฟิงทางโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว ในวันนี้มีเที่ยวบินเพียงสองเที่ยวเท่านั้นที่บินจากเฉิงไห่ไปยังหยงโจว เที่ยวแรกคือ 11 โมงเช้า ส่วนอีกรอบคือบ่าย 2 โมง หากเซียวเฟิงตื่นเช้ากว่านี้ เขาจะได้เที่ยวบินช่วง 11 โมงเช้า เพราะงั้นตอนนี้เขาเหลือเพียงรอบบ่ายเท่านั้น

การจะขึ้นเครื่องบินให้ได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องยากนักหรอก ด้วยความสามารถของเซียวเฟิงและคิงคองแล้ว ไม่มีอะไรยากเกินไปทั้งนั้น อันที่จริง หรือระบบการรักษาความปลอดภัยของประเทศนี้มันจะหละหลวมเกินไปนะ

เฉิงไห่และหยงโจวไม่ได้อยู่ห่างไกลกันมากนัก ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงกว่า ๆ ก็สามารถบินไปถึงสนามบินหยงโจวได้ หลังจากที่ทั้งสองลงมาจากเครื่องบินแล้ว เซียวเฟิงก็ไม่ได้หยุดพัก เขารีบเรียกแท็กซี่และมุ่งหน้าตรงไปยังหุบเขาอู่ถังต่อทันที

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *