Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子]บทที่ 558 แนวทางขั้นต่อไป

Now you are reading Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] Chapter บทที่ 558 แนวทางขั้นต่อไป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 558 แนวทางขั้นต่อไป

บทที่ 558 แนวทางขั้นต่อไป

เซียวเฟิงนั้นมั่นใจกับพละกำลังและความแข็งแรงของตัวเขาเองมาก ด้วยพลังที่เหนือมนุษย์นั้น แม้ตัวเองจะอาการสาหัสจากการฝืนสังขารมากไปถึงหนึ่งวันเต็ม ๆ ชายหนุ่มก็ยังคงแข็งแรงไม่ต่างจากชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ถึง 180 เซนติเมตรคนอื่น ๆ นัก

ทว่าถึงตัวชายหนุ่มจะมีศักยภาพในด้านกำลังที่สูงขนาดนั้น เซียวเฟิงก็ยังรู้สึกว่าวันนี้กลับรู้สึกเหนื่อยและอ่อนล้าเสียเหลือเกิน

ขณะนี้เซียวเฟิงกำลังนั่งรออยู่จุดสำหรับนั่งพักหน้าร้านค้าแบรนด์หรูแห่งหนึ่ง โดยที่ในมือมีเครื่องดื่มชูกำลังถูกเปิดและถือไว้ด้วย เขามองหลิวเฉียงเหว่ยและสาว ๆ ที่กำลังช็อปปิ้งกันอย่างสนุกสนานผ่านกระจกใสด้วยความงุนงง

ใช่แล้ว…เซียวเฟิงกำลังโดนสาว ๆ เหล่านี้ทรมาน เขาเดินตามพวกเธออยู่แบบนี้มา 3 ชั่วโมงแล้ว โดยที่ไม่ได้พักเลยด้วยซ้ำ! เพราะงั้นไม่ว่าจะแข็งแกร่งขนาดไหน เจอแบบนี้เข้าไปมันก็อดที่จะเหนื่อยล้าไม่ได้ ตัวเขาจำเป็นต้องนั่งพักด้วยร่างกายที่เหมือนถูกยาชาฉีดมาทั้งตัว ซึ่งผิดกับผู้หญิงเหล่านั้น ที่ดูไม่ได้มีแม้แต่ท่าทีเหนื่อยเลยแม้แต่นิด แถมยังเหมือนพวกหล่อนเพิ่งจะได้เริ่มช็อปปิ้งเองด้วย

ไม่เว้นแม้แต่เด็กสาวทั้งสองคน ทั้งเซียวหลิงและหนิงเคอเค่อต่างก็เปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา จะเดินจับจ่ายซื้อของอย่างไม่รู้จักเหน็จเหนื่อยเช่นกัน

สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เซียวเฟิงเริ่มตระหนักคิดว่ามันมีอะไรบางอย่างผิดปกติหรือเปล่า หรือข่าวลือเรื่องธรรมชาติของผู้หญิงนั่นจะเป็นเรื่องจริง?

“เซียวเฟิง มาลองชุดนี้หน่อยสิ”

หลิวเฉียงเหว่ยเดินออกมาหาเซียวเฟิงที่ด้านนอกพร้อมกับชุดสูทสีฟ้าในมือของเธอ

“ฉันลองมาร้อยกว่าชุดแล้วนะ แถมยังเลือกมาตั้งห้าชุดแล้วด้วย เธอไม่เหนื่อยบ้างหรือไง?” เซียวเฟิงพูดด้วยมุมปากที่สั่นเบา ๆ

“แต่ชุดนี้ดูดีมาก ๆ เลยนะ” หลิวเฉียงเหว่ยมองไปยังชุดที่ตนถือมาแล้วเกลี้ยกล่อมเซียวเฟิงอีกครั้ง

“พวกเราลองกันมานานมากแล้ว อีกอย่าง นี่ก็ 11 โมงแล้วด้วย ถ้าพวกเราไม่กลับไปตอนนี้ พวกเราจะพลาดข้าวกลางวันกันได้ อย่าลืมสิว่าคราวน์ปรินซ์ยอมลงทุนไปรับเราให้มาถึงก่อนเวลาก็เพราะการนี้เลยนะ”

โชคดีที่เซียวเฟิงสามารถหาเหตุผลที่ฟังขึ้นได้ทันเวลา อย่างน้อย ๆ เขาก็พอจะซื้อทางออกได้บ้าง

“เราซื้อของกันมานานขนาดนั้นแล้วเหรอ? งั้นต้องรีบแล้ว สาว ๆ วางของที่เลือกก่อน เราไม่มีเวลาแล้ว รีบกลับไปก่อนจะเที่ยง ไม่งั้นเราจะอดข้าวกลางวันกันนะ”

ซางกวน ซือเฟยที่อยู่ข้าง ๆ หลิวเฉียงเหว่ยได้ยินเช่นนั้นก็หันมองเวลาแล้วหันกลับไปบอกสาว ๆ คนอื่นที่กำลังช็อปปิ้งอยู่ทันที

สาว ๆ ที่เหลือรีบวางของแล้วเดินตามออกมา แต่อีกปัญหาหนึ่งที่ตามมาคือ แม้ว่าพวกเธอจะซื้อของกันอยู่หลายชั่วโมง แต่ในมือของเธอนั้นกลับไม่มีข้าวของอะไรกันเลย เพราะทุกอย่างมันมารวมอยู่ที่ตัวเซียวเฟิงหมด ไม่ว่าจะเป็นถุงหิ้วมากมายที่เต็มสองมือ หรือถุงหิ้วบางส่วนที่ต้องเอาไปคล้องคอเสริมด้วย

นี่มันหนักหนาสุด ๆ เลย!

“เจ้าแห่…โอ้ อยู่นี่กันเองเหรอครับ… ผมเกือบจะตะโกนเรียกแล้วหลังเคาะห้องแล้วไม่มีใครตอบ”

มันเป็นจังหวะพอดี ที่พอมาถึงห้องของตน เซียวเฟิงก็พบกับกลุ่มคนมากมายที่ท่ามกลางคนเหล่านั้นมีคราวน์ปรินซ์อยู่ด้วย คนเหล่านั้นหันมามองเซียวเฟิงที่มีสภาพเหมือนเบ๊หิ้วของสลับกับหลิวเฉียงเหว่ยและสาว ๆ คนอื่น ในพริบตาเดียวนั้น ทุกสายตาที่มองมาก็เปี่ยมไปด้วยความเห็นอกเห็นใจอย่างพร้อมเพรียงกัน

“ไปกินข้าวกันก่อน ฉันแทบจะยืนไม่ไหวแล้ว”

เซียวเฟิงเปิดห้องแล้วโยนถุงสินค้ามากมายไปกองไว้บนโซฟา จากนั้นเขาก็รีบออกมาและพูดกับกลุ่มคนที่อยู่หน้าห้อง ซึ่งสิ่งที่เขาพูดนั้นก็ไม่ได้เกินจริงเลย

เซียวเฟิงรู้สึกเหมือนแรงกำลังจะหมดไปจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนตอนอยู่ที่องค์กร ต่อให้ว่ายน้ำทั้งวี่ทั้งวันก็ยังไม่เคยเหนื่อยขนาดนี้เลยแท้ ๆ

“เรื่องนั้นพวกเราจัดการไว้ให้แล้วครับ เพียงแค่รอพวกคุณกลับมาอย่างเดียว…ไปกันเถอะ” คราวน์ปรินซ์รีบตอบรับและเดินนำพวกเขาไปยังลิฟต์ที่ขึ้นมาพอดี

“เชิญเลยครับ เชิญเลย เชิญเจ้าแห่งฮีลเลอร์เข้าไปก่อนเลย”

“สวัสดีครับท่านหัวหน้าเฉียงเหว่ย! คุณสมแล้วที่ได้ฉายาว่าเทพธิดาอันดับ 1 แห่งฮัวเซีย ไม่เกินไปเลยจริง ๆ!”

“ฉันเป็นแฟนตัวยงของจักรพรรดินีแห่งการสังหารเลย…”

“คุณเฉียน ฉันขอส่วนลดของอุปกรณ์เซ็ตล่าสุดที่เพิ่งซื้อไปหน่อยสิ ได้ไหม?”

“จืออี้ เจ้าแห่งฮีลเลอร์ดีกับเธอหรือเปล่า?”

กลุ่มของผู้คนมากมายออกมาจากลิฟต์ยามที่มันหยุด ณ ชั้นที่ 12 ของโรงแรม ที่ชั้นนั้นมีห้องอาหารที่มีลักษณะเป็นห้องส่วนตัวสุดหรูหราตั้งตระหง่านอยู่ อาหารมากมายถูกเสิรฟไว้ก่อนหน้าแล้ว ซึ่งดูเหมือนว่าคราวน์ปรินซ์จะติดต่อมายังห้องอาหารนี้ก่อนหน้าที่พวกเขาจะลงมาถึงเพื่อให้ได้อาหารที่ไม่เย็นจนเกินไป

พวกเขาแยกย้ายกันไปหาที่นั่ง ซึ่งเมื่อเซียวเฟิงเริ่มสังเกตมองคนอื่น ๆ เขาก็พบว่าผู้ที่มานี้ มีแต่คนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันทั้งหมดเลย มองข้ามสาว ๆ ทั้งหกของเซียวเฟิงไป ที่ไม่ต้องบอกก็รู้อยู่แล้วว่าใครบ้าง เริ่มจากหัวโต๊ะที่จะเป็นใครอื่นไม่ได้นอกเสียจากคราวน์ปรินซ์ จากนั้นก็ตามด้วย หัวหน้ากิลด์แจ็กด์…เซเบอร์ หัวหน้ากิลด์จักรวรรดิอมตะ…โซล หัวหน้ากิลด์วอร์สปิริตฮอลล์…เสี่ยวเต๋า หัวหน้ากิลด์ดูมส์เดย์ลีกส์…เทพสงคราม

และอีกหลาย ๆ คนที่เซียวเฟิงคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่แล้ว ซึ่งพวกเขาทั้งหมดเป็นถึงระดับผู้บริหารหรือหัวหน้ากิลด์กันทั้งสิ้น ไม่แปลกใจเลยที่คราวน์ปรินซ์เคยพูดไว้ว่างานในครั้งนี้ล้วนมีแต่คนคุ้นหน้าคุ้นตากันทั้งนั้น ซึ่งนั่นก็รวมถึงตัวเขาเองด้วย

อำนาจและอิทธิพลของคนที่ได้ร่วมโต๊ะกันในวันนี้ รวม ๆ กันแล้วก็มากพอจะสั่นสะเทือนเขตฮัวเซียครึ่งหนึ่งเลย เพราะที่นี่นั้นมีเจ้าผู้ปกครองรวมกันอยู่ถึงสามคนเลย หลิวเฉียงเหว่ยเองก็เป็นเจ้าผู้ปกครอง 1 ใน 7 คนจากทั่วทั้งเขตฮัวเซีย และ 2 ใน 3 คนที่มาในวันนี้ยังเป็นอันดับ 1 และอันดับ 2 ผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในฮัวเซีย

ในตอนแรกนั้น เซียวเฟิงคิดว่าเขาน่าจะได้มีโอกาสเจอกับไทแรนนี่ตัวจริง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาค่อนข้างจะสงสัยในตัวตนของอีกฝ่ายมาก ๆ และหวังจะได้ความกระจ่างในการเจอกันครั้งนี้ ทว่าไทแรนนี่กลับไม่ได้ปรากฏตัว มันทำให้เซียวเฟิงรู้สึกถึงความล้มเหลวที่ก่อตัวขึ้นในใจ

แม้ในตอนนี้จะมีผู้มากประสบการณ์มากมายมานั่งรวมกันอยู่ แต่พวกเขาก็ไม่ได้แสดงความหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีออกมาระหว่างที่อยู่ในมื้ออาหาร ทุกคนต่างเปิดกว้างและร่วมเล่าเรื่องตลกที่ได้พบเจอกันมาด้วยกันในเกมจนเกิดเสียงหัวเราะให้ได้ยินเป็นระยะ ๆ โชคยังดีที่แอลกอฮอล์ในมื้อนี้ถูกจำกัดไว้ ไม่งั้นล่ะก็คงจะได้ครื้นเครงกันกว่านี้แน่ ๆ

คงจะมีเพียงหนิงเคอเค่อเท่านั้นที่ไม่ได้ครื้นเครงไปกับบรรยากาศ เธอค่อนข้างสั่นกลัวในยามที่มีคนไม่รู้จักมากมายมาอยู่ในวงสนทนามาก ๆ เลยทีเดียว เธอยังบอบบางและตื่นกลัว แต่ในฐานะที่เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักท่ามกลางหนุ่มสาวคนใหญ่คนโต แทนที่เธอจะถูกเมิน เธอกลับเป็นที่สนใจและได้รับการประคบประหงมอย่างดีแทนเสียอย่างงั้น

ผิดกับเซียวหลิง ที่เธอไม่ได้รู้สึกกดดันจากการที่ต้องมาอยู่ในวงล้อมของผู้ใหญ่เลย เด็กสาวยื่นมือไปขโมยกุ้งล็อบสเตอร์จากชามของเฉียนโตวโตวมาทานหน้าตาเฉย โชคดีที่การกระทำนี้อยู่ในสายตาของคราวน์ปรินซ์ เขาเลยรีบสั่งล็อบสเตอร์มาเพิ่มให้อีกสองจาน

คนที่ถูกชวนให้ชนแก้วดื่มมากที่สุดในงานคงจะหนีไม่พ้นเซียวเฟิง แต่เซียวเฟิงก็ปฏิเสธทุกคนที่มาขอให้เขาดื่มเพื่อไม่ให้ตนเองเมา เพราะกลัวว่าถ้าเกิดเมาแล้วบรรยากาศอาจจะเสียเลยก็ได้

“ฮะ ๆๆ มาไม่ได้รับเชิญแบบนี้ฉันจะได้รับการต้อนรับหรือเปล่าเนี่ย? ไม่ต้องเชิญดื่มก็ได้นะ”

ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานจนภายในห้องอาหารส่วนตัวนี้มีเสียงหัวเราะเต็มไปหมด ร่างที่ปรากฏตัวขึ้นด้านนอกประตูนั้นส่งเสียงพูดทำให้ทุกคนรวมถึงเซียวเฟิงต้องหันไปมอง เขาคือ หวงฟูตงไลที่มาจากทางฝั่งตะวันออกของฮัวเซีย เขามาตัวคนเดียวโดยไม่มีใครตามมาด้วย

“เราจะไม่ต้อนรับท่านหัวหน้ากิลด์แอนติควิตี้ได้เหรอ? ฮะ ๆๆ นายไม่ใช่คนนอกเสียหน่อย เพราะงั้นเชิญมาหาที่นั่งก่อนเลย เดี๋ยวผมจะบอกบริกรให้หาจานชามช้อนมาให้” คราวน์ปรินซ์ยิ้มและลุกขึ้นออกจากโต๊ะ เขารู้สึกได้เลยว่าหวงฟูตงไลนั้นไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย ๆ

“ฉันต้องขอโทษทุกคนด้วยจริง ๆ นี่ก็เพิ่งจะลงเครื่องได้ไม่นานนี้เอง พอเครื่องถึงพื้นฉันก็รีบมาที่นี่เลย แต่ก็นะคนช้าก็คือคนช้า การขออภัยกับเรื่องที่ผิดไม่ใช่วิสัยฉันหรอก เพราะงั้นจะขอลงโทษตนเองด้วยการดื่มเพียว ๆ ก่อนเลยสามแก้ว!”

หวงฟูตงไลรีบหาที่นั่งที่ยังว่างแล้วรินแอลกอฮอลใส่จนเต็มเสมอขอบแก้วทันที

“หัวหน้าหวงฟูตงไลเป็นนักดื่มอยู่แล้ว เพราะงั้น เรามาชนแก้วกันหน่อยดีกว่า!”

“ได้เลย ท่านหัวหน้าวอร์มบลัด มาชนแก้ว!” เมื่อแอลกอฮอลเข้าปาก หวงฟูตงไลก็ดูจะอารมณ์ดีขึ้นในทีเดียว นั่นก็เพราะเขานั้นมักจะดื่มแอลกอฮอลจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เขาจึงไม่เกรงกลัวว่าตนจะเมาแต่อย่างใด

“ตงไล นายเพิ่งจะมาถึงเมืองหลวงงั้นเหรอ?” คราวน์ปรินซ์กล่าวถามออกมาหลังจากกลับมาจากการขอชุดช้อนส้อมเพิ่มแล้ว

“ใช่แล้ว บ้านของฉันอยู่ลึกไปในเขตเทือกเขานู่นแน่ะ การเดินทางไกลเลยไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไหร่ เวลาเดินทางแต่ละทีเลยใช้เวลาค่อนข้างมาก” หวงฟูตงไลถอนหายใจ

“ท่านหัวหน้าหวงฟู นี่ไม่ได้ล้อพวกเราเล่นใช่ไหมเนี่ย? ผู้ยิ่งใหญ่อย่างคุณอาศัยอยู่ในหุบเขาจริง ๆ เหรอ?”

หลาย ๆ คนที่ร่วมโต๊ะต่างก็แสดงสีหน้าประหลาดใจไม่ต่างกัน พวกเขามองหน้ากันเองด้วยความสงสัย แต่ด้วยประโยคที่คราวน์ปรินซ์พูดต่อจากนี้ มันก็ทำให้พวกเขาเชื่อได้ว่าหวงฟูตงไลไม่ได้พูดเล่น

“ในภูเขาน่ะมันเป็นพื้นที่ที่ดีนะ สำหรับการชุบเลี้ยงผู้คน” คราวน์ปรินซ์พูดลอย ๆ

“แต่ยังไงเขตเมืองก็ดีกว่า แถมเจริญกว่าด้วยน่ะนะ” หวงฟูตงไลตอบลอย ๆ เช่นกัน

การสนทนาที่ดูเรื่อยเปื่อยของทั้งสองทำให้เซียวเฟิงต้องไล่มองหวงฟูตงไลและคราวน์ปรินซ์ไปตาม ๆ กัน

ตัวหวงฟูตงไลนั้นดูไม่มีอะไรผิดปกติ เขายังคงกินและดื่มได้เหมือนไม่มีอะไรคาใจ หากแต่คราวน์ปรินซ์ต่างหากที่ดูผิดปกติ เขาเงียบไปกว่าสองนาทีโดยที่ไม่พูดไม่จาอะไรเลย

“หลงเติ้ง นายจงใจจัดงานเลี้ยงตั้งแต่เที่ยงวันแบบนี้ มันคงไม่ใช่แค่การกินเลี้ยงทั่ว ๆ ไปหรอก จริงไหม?”

เมื่อการกินเลี้ยงดำเนินมาจนถึงช่วงบั้นปลาย หวงฟูตงไลก็เช็ดปากตนด้วยผ้าเช็ดปากก่อนจะถามขึ้นมาตรง ๆ ส่วนหลงเติ้งนั้น คือชื่อจริงของคราวน์ปรินซ์ ในขณะที่ประมุขสูงสุดในฮัวเซียเองก็มีนามสกุลเดียวกันด้วย ดูท่านี่จะเป็นหลักฐานยืนยันระดับสถานะของคราวน์ปรินซ์ได้ดีเลยทีเดียว

เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น ทุกคนที่คิดว่างานเลี้ยงนี้เป็นการพบปะกันทั่ว ๆ ไปก็ได้สติขึ้นมาทันที พวกเขาหันมองไปยังคราวน์ปรินซ์อย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“ไม่เลย…งานเลี้ยงนี่จัดขึ้นเพื่อสดุดีแก่เจ้าแห่งฮีลเลอร์และหัวหน้าเฉียงเหว่ยโดยเฉพาะ ดังนั้นไม่มีจุดประสงค์อื่นหรอก” คราวน์ปรินซ์เลือกที่จะไม่คล้อยตาม

“ไม่เอาน่า อย่าพูดเหมือนเราไม่รู้จักกันสิ ถ้าเกิดนายไม่พูด ฉันจะพูดเองนะ แล้วฉันมันพวกปากพล่อยซะด้วยสิ กลัวจังเลยน้าจะเผลอพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกมาด้วย”

ไม่มั่นใจว่าหวงฟูตงไลดื่มมากเกินไปแล้ว หรือเพราะเขาเป็นพวกปากสว่างตั้งแต่กำเนิด แต่การพูดเช่นนี้ก็ทำให้คนอื่นหันไปคะยั้นคะยอคราวน์ปรินซ์เช่นกัน

“นั่นสินะ คราวน์ปรินซ์ บอกพวกเรามาเถอะ พวกเราเองก็ไม่ใช่คนนอกอะไรอยู่แล้ว” พวกเขาทุกคนเริ่มพูดไปในทางเดียวกัน

ได้ยินเช่นนั้นคราวน์ปรินซ์และเซเบอร์ก็มองหน้ากันเองก่อนจะพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ในเมื่อพวกนายอยากรู้ ผมเองก็คงจะปิดบังไว้ไม่ได้ จริง ๆ มันเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวภายในเกมช่วงต่อไปน่ะ”

“การเคลื่อนไหวภายในเกม? นายหมายถึง อีเวนต์น่ะเหรอ? ไม่ใช่ว่าสงครามระหว่างเขตแดนเพิ่งจะจบไปหรือไง? มันไม่น่าจะมีอีเวนต์อะไรเร็วขนาดนั้นนะ คราวน์ปรินซ์ นี่นายรู้ข้อมูลภายในจริง ๆ เหรอเนี่ย!?” ไฟในความอยากรู้อยากเห็นของทุกคนถูกจุดขึ้นแล้ว

“เปล่า ไม่ใช่อีเวนต์หรอก เกมนี้น่ะจะจัดอีเวนต์ทุก ๆ เดือน การที่สงครามระหว่างเขตแดนเพิ่งจะจบไปนั่นก็ทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีอีเวนต์ถูกประกาศขึ้นในเร็ว ๆ นี้แน่” คราวน์ปรินซ์ส่ายหน้า

“ถ้าอย่างงั้นนายรู้ข้อมูลอะไรมาล่ะ?” ใครสักคนพูดถามขึ้นมา

“จะเรียกเป็นข้อมูลเลยก็ไม่เชิงซะทีเดียว แต่มันค่อนไปทาง แนวทางใหม่ของมิธมากกว่า” คราวน์ปรินซ์เริ่มอธิบาย

“แนวทางใหม่งั้นเหรอ?”

“ในช่วงนี้ เหล่าผู้เล่นหลักก็พากันทยอยก้าวเข้าสู่เลเวล 50 และเปลี่ยนเป็นคลาส 3 กันหมดแล้ว จริงไหม? อย่างกิลด์พวกเราเองก็มีแต่ผู้เล่นเลเวล 50 เป็นขั้นต่ำกันอยู่แล้ว ถูกต้องหรือเปล่า?” คราวน์ปรินซ์ถามกลับ

“ใช่แล้ว กลุ่มผู้เล่นที่รั้งท้ายสุดตอนนี้ก็เลเวล 50 กันหมด ในขณะที่กลุ่มที่นำหน้าจะอยู่กันที่ 50 ปลาย ๆ เกือบ 60 และผู้เล่นระดับเทพเจ้าบางคนอย่างเจ้าแห่งฮีลเลอร์กำลังจะเปลี่ยนคลาสครั้งที่ 4 ได้ แล้วว่าแต่พวกนี้มันเกี่ยวอะไรกับแนวทางใหม่ที่นายว่าเหรอ?”

ใครบางคนวิเคราะห์แล้วถามต่อด้วยความสงสัย

เรื่องนี้ไม่มีใครพูดเปรยขึ้นมาก่อน เซียวเฟิงก็รับรู้อยู่แล้ว ต่อให้ตัวเองไม่ได้มา ชายหนุ่มก็เข้าใจดีว่าเกมกำลังจะสร้างพระเจ้าขึ้นมาใหม่หลังจากที่ผู้เล่นทั้งหมดก้าวเข้าสู่ระดับนี้กัน แต่ที่เขาเลือกที่จะไม่พูดอะไรก็เพราะอยากจะรู้ว่า สิ่งที่คราวน์ปรินซ์รู้มานาน ต่างกับที่เขารู้ขนาดไหน

“งั้นฉันมีอีกคำถาม ใครรู้บ้างว่า NPC การ์ดที่อยู่ในเมืองหลักระดับ 3 เลเวลสูงกันขนาดไหน?” คราวน์ปรินซ์ก็ยังคงเป็นคราวน์ปรินซ์ ต่อให้เขาเลือกที่จะบอก แต่เขาก็ไม่ได้บอกออกมาตรง ๆ และเลือกที่จะถามกลับอยู่เรื่อย ๆ

“เมืองหลักระดับ 3 เหรอ? ถ้าจำไม่ผิด เมืองระดับนั้น NPC เลเวลสูงสุดก็แค่ 50 เองนะ ในส่วนของเมืองที่เล็กกว่านั้นก็น่าจะสักเลเวล 30 กันได้…เดี๋ยวนะ หรือว่านายกำลังจะบอกว่า พวกเขาคิดจะย้ายเมืองหลักของระบบกันเหรอ?”

ใครบางคนตอบ และพวกเขาก็ตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ทันทีเมื่อคำพูดหลุดออกมาแล้ว สิ่งนี้ทำให้พวกเขาตกใจไปตาม ๆ กัน ทุกคนรีบหันหน้ามองคราวน์ปรินซ์อย่างพร้อมเพรียง

“มีผู้เล่นคิดอยากจะยึดเมืองหลักของระบบ? เรื่องพรรค์นี้จะเป็นไปได้เหรอ?”

เพียงแค่ถ้อยคำกระตุ้นเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ทำให้เหล่าผู้ยิ่งใหญ่แห่งฮัวเซียตอนนี้ต่างเข้าใจในสิ่งที่คราวน์ปรินซ์จะสื่อกันได้อย่างชัดเจน แต่พวกเขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อมากนัก

“ทำไมจะไม่มีล่ะ ยังไงซะตัวตนของมิธก็ไม่ได้มีรูปธรรมอยู่แล้วตั้งแต่แรก พวกเราในฐานะที่เป็นเจ้าในโลกของเกม ตราบใดก็ตามที่เรามีพลัง ท้ายสุดเราก็ต้องพัฒนาตนเองต่อไป”

โทนเสียงของคราวน์ปรินซ์นั้นทำให้ทุกคนรู้สึกอยู่เบื้องล่าง มันเต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่เกินกว่าจะขัดขืน

“นี่มัน…ถึงจะพูดอย่างงั้นก็เถอะ การที่เราเปลี่ยนเป็นคลาส 3 กันหมดแล้ว และมีพลังมากพอจะปะทะกับเมืองหลักของระบบก็จริง แต่การโจมตีเมืองหลักพวกนั้นน่ะ…มันจะมีผลลัพธ์ตามมาหนักหน่วงเลยไม่ใช่เหรอ?”

ใครบางคนยังคงกังวลเรื่องนี้อยู่

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *