Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子]บทที่ 563 ชูเมิ่งอิ๋งผู้เดียวดาย

Now you are reading Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] Chapter บทที่ 563 ชูเมิ่งอิ๋งผู้เดียวดาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 563 ชูเมิ่งอิ๋งผู้เดียวดาย

บทที่ 563 ชูเมิ่งอิ๋งผู้เดียวดาย

“ไม่มีใครคิดแบบนั้นหรอกน่า” เซียวเฟิงพูดแล้วหัวเราะ

“แต่ฉันคิดนะ!” ซือเยี่ยจิ๋งยังยืนกรานในความคิดของเธอ

“งั้นเธอมีแผนหรือเป้าหมายอะไรหรือเปล่า? ฉันจะช่วยเธอเต็มที่เลย” เซียวเฟิงส่ายหน้า เขาคิดว่าซือเยี่ยจิ๋งไม่น่าจะใช่พวกที่พูดเรื่องแบบนี้ออกมาเรื่อยเปื่อย เธอน่าจะมีเรื่องอะไรให้กังวลใจอยู่

“ฉันได้ยินมาจากพี่เฉียงเหว่ย ว่าในอนาคตโลกของเกมจะถูกปกครองด้วยผู้เล่นระดับพระเจ้า เพราะงั้น…ฉันเลยอยากจะเป็นผู้เล่นระดับพระเจ้าด้วย!”

มันเป็นอย่างที่เซียวเฟิงคาดเดาจริง ๆ ซือเยี่ยจิ๋งมีแผนของตนอยู่แล้ว

“เธออยากจะเป็นพระเจ้าเหรอ?” ชายหนุ่มแสดงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย

“แล้วฉันเป็นไม่ได้เหรอ?” เธอถามกลับ

“ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไม่ได้ แต่เธอต้องมีพื้นฐานและความเข้าใจ…” เซียวเฟิงลูบคางตนเองพลางครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะสรุปว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

“งั้นนายต้องช่วยฉันแล้ว!” ซือเยี่ยจิ๋งเร่งเร้า

“มันยากมาก ๆ เลยนะ” เขาย้ำ

“ฉันไม่กลัว!” นักฆ่าสาวยืนยัน

“งั้นถ้าเธออยากเป็นผู้เล่นระดับนั้น ขั้นแรกเลย เธอต้องเข้าใจก่อนว่า ผู้เล่นระดับพระเจ้าคืออะไร อย่างที่ฉันบอก เธอต้องมีความเข้าใจจริง ๆ ในคลาสของเธอ เมื่อไหร่ที่เธอเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ เธอจะแข็งแกร่งขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาอาวุธ อุปกรณ์ สัตว์เลี้ยงหรือแม้กระทั่งสกิลระดับตำนานด้วย” เซียวเฟิงพูดและเดินนำซือเยี่ยจิ๋งไปยังมุม ๆ หนึ่งในโถงงานเลี้ยงที่ค่อนข้างจะสงบกว่าจุดอื่น ๆ “มีผู้เล่นหลายพันล้านคนจากทั่วทุกเซิร์ฟเวอร์ ในขณะเดียวกันก็มีอาร์ติแฟกต์นับพันและสัตว์เลี้ยงอีกนับไม่ถ้วนถูกแสดงโชว์อยู่บนบอร์ดผู้นำ ถึงแม้ว่าสกิลระดับตำนานจะไม่ใช่สิ่งที่หาได้ทั่วไป แต่ผู้เล่นระดับตำนานหรือเทพเจ้านั้นหาได้ยากยิ่งกว่า พวกเขาเป็นเพียงกลุ่มคนเล็ก ๆ ที่มีศักยภาพสูงพอจะทำให้คนอื่น ๆ เห็นได้ว่า ปัจจัยภายนอกไม่มีผลต่อความแข็งแกร่งหรือกลายเป็นเทพเจ้าได้เลย เธออาจจะเป็นคนกลุ่มนั้นได้หากเธอแข็งแกร่งเพียงพอ เพียงแค่แข็งแกร่ง ก็เข้าเงื่อนไขแล้ว”

“งั้นถ้าแข็งแกร่งแล้วต้องทำยังไงต่อถึงจะได้เป็นระดับพระเจ้า?” ซือเยี่ยจิ๋งมองตามเซียวเฟิงที่เดินหาที่นั่งจนกระทั่งเขาได้โต๊ะสำหรับดื่มไว้กันสองคนและนั่งลงไปก่อน เธอจึงรีบเดินตามไปติด ๆ แล้วนั่งฝั่งตรงข้ามกับเขาทันที

“ทำตามฉัน วาดวงกลมซะ” เซียวเฟิงไม่อธิบายให้มากความ เขายกนิ้วจุ่มลงไปในแก้วไวน์ให้ปลายนิ้วเลอะก่อนจะมาตวัดวาดรูปวงกลมลงบนโต๊ะโดยไม่ใส่ใจอะไร ทว่าวงกลมที่ถูกวาดแบบทั่ว ๆ ไปนั้นกลับโค้งมนสวยกลายเป็นวงกลมที่กลมจริง ๆ ราวกับใช้วงเวียนตีขึ้นมาเลย ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่ปริมาณของไวน์ที่ตวัดเป็นเส้น ยังเท่ากันอย่างน่าเหลือเชื่อด้วย!

“นายทำได้ยังไงน่ะ!” ดวงตาสวยของซือเยี่ยจิ๋งเบิกโต

“เธอก็ลองทำบ้างสิ” เขายกนิ้วที่เลอะไว้ขึ้นมาดูดขณะชวนเธอให้ลองทำดูบ้าง

ใบหน้าสวยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลองจุ่มนิ้วชี้ลงไปในแก้วไวน์แล้วนำไวน์ที่ติดปลายนิ้วมาวาดรูปวงกลมบนโต๊ะดูบ้าง

แต่วงกลมของเธอนั้นไม่เพียงแต่บิดเบี้ยวเท่านั้น เส้นที่สร้างขึ้นด้วยไวน์ยังมีเล็กบ้างใหญ่บ้างเลย มันเหมือนกับหนังยางที่ไม่ผ่านมาตรฐานจากโรงงานก็มิปาน

“เอาน่า อย่างน้อยมันก็ยังเป็นวงกลมนะ” ซือเยี่ยจิ๋งแอบเขินอายเล็กน้อย แต่เซียวเฟิงก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาพยักหน้าแล้วกล่าวขึ้นมา

“ไอ้การวาดรูปวงกลมนี่มันเกี่ยวข้องกับการเป็นผู้เล่นระดับเทพเจ้าด้วยเหรอ?” ด้วยความเขินอายนั้น ซือเยี่ยจิ๋งถามกลับไปเพื่อกลบเกลื่อน

“เกี่ยว นี่เป็นเงื่อนไขแรกที่จะกลายเป็นพระเจ้าได้ เป็นหนึ่งในกระบวนการทั้งหมด ฉันเรียกมันว่า ความพิถีพิถัน ส่วนศัพท์ภายในเกม น่าจะเรียกว่า การควบคุมอิสระ เน้นไปที่ทำให้ตนสามารถควบคุมร่างกายได้ดั่งใจนึก ผสานจิตและวิญญาณเข้าด้วยกัน ทำได้เมื่อไหร่ ร่างกายเธอจะเคลื่อนไหวได้อย่างไร้ที่ติ ไม่ต่างกับควบคุมร่างกายในโลกจริง ๆ ของเธอเลย อาจจะยากหน่อย แต่นี่แหละคือก้าวแรก”

สิ่งที่เซียวเฟิงพูดถึงนั้นคือการควบคุมร่างกาย ที่ภายในเกมนั้นจะถูกตั้งค่าไว้สามแบบหลัก ๆ ผู้เล่นทั่วไปส่วนใหญ่จะเลือกแบบมาโคร หรือ การควบคุมหยาบ ๆ อย่างเช่น การเดิน หรือการเล็งสกิลทั่วไป ในขณะที่ระดับยอดฝีมือจะใช้รูปแบบไมโคร หรือ การควบคุมแบบละเอียด ที่จะสามารถกำหนดระยะสกิลหรือการโจมตีได้เอง และรูปแบบสุดท้าย การควบคุมอิสระ ที่ผู้เล่นระดับพระเจ้าเลือกใช้กัน ซึ่งมันจะช่วยให้เขาควบคุมตัวละครของตนเองได้โดยสมบูรณ์เหมือนเป็นร่างกายอีกร่างหนึ่งก็มิปาน

หญิงสาวพยักหน้าเข้าใจ “ถ้างั้น แสดงว่าพวกคนเก่ง ๆ ในเกมส่วนใหญ่ก็จะเปิดรูปแบบอิสระกันใช่ไหม?”

“ใช่แล้ว เกมคือสิ่งที่สะท้อนโลกของความจริง เพียงแค่โยนภาระทุกอย่างไปให้ระบบเป็นคนคิดแทนเท่านั้น แต่ยังไงเสียถ้าเธอสามารถเป็นตัวเธอเองได้มากที่สุดในโลกของเกม มันก็ย่อมจะดีกว่าอยู่แล้ว”

เซียวเฟิงพูดตอบ จังหวะนั้นสายตาเขาก็เหลือบไปเห็นหานเฟิงที่กำลังเดินไปทั่วงานเลี้ยงอยู่พอดี เขาจึงหันไปถามซือเยี่ยจิ๋งต่อ “เธอเคยเห็นตอนหมอนั่นใช้สกิลฝนธนูหรือเปล่า?”

“ไอ้หมาเกรียนนั่นน่ะเหรอ? เคยเห็นอยู่บ้างตอนสงครามระหว่างเขตแดน ห่าฝนธนูของหมอนั่นค่อนข้างจะดูเวอร์อยู่เอาการ เหมือนกับว่า ธนูทุกดอกมีตาเป็นของตัวเอง พวกมันมองเห็นเป้าหมายอยู่ตลอด ทำให้ไม่มีธนูดอกไหนที่พลาดเป้าเลย เป็นไปได้ว่า ต่อให้ฉันที่อยู่ในโหมดล่องหนพยายามเข้าใกล้เขา บางทีฉันเองก็อาจจะถูกธนูเหล่านั้นโจมตีด้วยก็ได้”

ซือเยี่ยจิ๋งมองไปยังหานเฟิงที่อยู่ไกล ๆ แม้ว่าเธอจะดูถูกเขา แต่ก็ต้องยอมรับว่าฝีมือของเขานั้นไม่ใช่เล่น ๆ เขาเป็นคนที่เก่งกาจคนหนึ่ง

“นั่นเป็นผลของการเปิดโหมดอิสระ แม้จะเป็นสกิลที่เหมือน ๆ กับคนอื่น แต่หากควบคุมด้วยตนเองแล้ว ก็ย่อมสามารถประยุกต์ใช้ให้เข้ากับตนเองได้ ซึ่งในบรรดาผู้เล่นระดับพระเจ้า สกิลทั่ว ๆ ไปนี้ ยิ่งอันตรายกว่าที่เธอเคยเจออีกเป็นร้อยเท่า ยิ่งพวกเขาควบคุมร่างกายได้อิสระมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งประยุกต์ใช้สกิลได้มากขึ้นเท่านั้น” เซียวเฟิงอธิบาย

“เดี๋ยวนะ นายกำลังจะบอกว่า หมอนั่นก็ใช้โหมดอิสระอยู่เหรอ?” สีหน้าของซือเยี่ยจิ๋งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเธอไม่เชื่อ

“ใช้ได้ แต่นิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นหมอนั่นก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นผู้เล่นระดับเทพเจ้าได้อยู่ ไม่ว่าจะด้วยความเพียรหรือความคิดอ่าน ตอนนี้เขากำลังอยู่ในจุดเดียวกับเธอแล้ว อยู่ที่หน้าประตูเพื่อจะไปต่อยังเขตแดนของพระเจ้า โชคร้ายหน่อยที่เขาน่าจะยังไม่รู้ว่าควรจะไปต่ออย่างไร” เซียวเฟิงส่ายหน้าและหันมองไปทางอื่น “อ้อ ใช่ อย่างที่สองที่พึงมี คือ ความคิดอ่าน นี่เองก็เป็นเงื่อนไขด้วย”

“ฉันจะปล่อยแก้วไวน์นี่ลงมา เธอต้องจับมันให้ได้ตั้งแต่ที่มันอยู่กลางอากาศ คิดว่าจะทำได้หรือเปล่า?” เขาพูดเสริมพร้อมกับยกแก้วไวน์ขึ้นสูง

“ฉันจะลองดู!” ซือเยี่ยจิ๋งไม่ถามอะไรให้มากความ เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะขยับหัวไหล่ไปมาเพื่อเตรียมพร้อม

“งั้นฉันปล่อยแล้วนะ” เซียวเฟิงให้สัญญาณ ทว่าเขากลับไม่ได้ปล่อยแก้วไวน์ลงมาจริง ๆ ทำให้ซือเยี่ยจิ๋งที่พร้อมจะรับแก้วแล้วต้องผงะ

แต่แล้วจังหวะที่เธอกำลังผงะนั้นเอง เซียวเฟิงก็ปล่อยแก้วไวน์ลงมา ซึ่งด้วยน้ำหนักของมัน เพียงพริบตาเดียวมันก็แทบจะถึงพื้นแล้ว ดังนั้นซือเยี่ยจิ๋งจึงไม่ทันที่จะตอบสนองอะไรเลยทั้งสิ้น

แก้วไวน์ที่ดิ่งลงพื้นนั้นไม่ไหวติง มันเตรียมที่จะกระทบพื้นในทุกวินาที ทว่าก่อนที่มันจะได้ทำหน้าที่เสริม เซียวเฟิงก็ก้มตัวลงไปแล้วคว้ามันขึ้นมาไว้อย่างแม่นยำและวางแก้วใบเดิมลงบนโต๊ะอย่างที่เคยเป็น ซึ่งถ้าหากมองทันล่ะก็ เซียวเฟิงเพียงแค่ใช้ปลายนิ้วสัมผัสแก้วเบา ๆ เหมือนตอนหยิบออกมาจากถาดเองด้วย มันเลยทำให้แก้วไม่ได้เสียหาย รวมถึงไวน์ในแก้วก็ไม่ได้หกออกมาแต่อย่างใด เขาจึงยังสามารถกระดกดื่มต่อได้เมื่อวางบนโต๊ะแล้ว

“การคิดอ่าน ประกอบด้วย การตอบสนอง การคาดเดา และอื่น ๆ อีกมากมาย ฉันเรียกรวม ๆ ว่าการคิดอ่าน ซึ่งถือเป็นอย่างที่สองถัดจากการฝึกฝนอย่างพิถีพิถัน”

“นะ…นายมันขี้โกง! ฉันก็นึกว่านายจะปล่อยมันลงมาเลย!” ซือเยี่ยจิ๋งดูกระอักกระอ่วนมาก ๆ กับเหตุการณ์เมื่อครู่ นั่นเพราะเธอค่อนข้างมั่นใจเลยว่า ด้วยความเร็วของแก้วที่ตกลงมานั้น เธอไม่มีทางรับพลาดแน่ ๆ ยังไงเสียเธอก็เป็นผู้เล่นระดับสูงคนหนึ่งเลยนะ!

“ขณะที่เธอต่อสู้ ไม่มีศัตรูคนไหนให้สัญญาณเธอว่าจะโจมตีเมื่อไหร่หรอกนะ” เซียวเฟิงหัวเราะ

“ฉะ…ฉันเข้าใจแล้ว…มีอย่างอื่นอีกไหม?” เมื่อคิดตาม ซือเยี่ยจิ๋งก็รู้สึกว่ามันเป็นไปได้ เพราะงั้นเธอเลยทำใจให้สงบแล้วถามต่อ

“ตอนนี้เธอทำสองสิ่งนี้ให้ได้ก่อน แค่นี้ก็งานหนักแล้ว เธออาจจะได้เปรียบคนอื่นเรื่องประสบการณ์ในการสังหารผู้เล่น เพราะงั้นก็ใช้มันให้เป็นประโยชน์ แต่อย่าลืมว่าสิ่งนี้ก็เป็นข้อจำกัดของเธอเช่นกัน อย่าพยายามหยุดอยู่กับที่ วิธีต่อสู้แบบเดิม ๆ บางครั้งก็ใช้กับศัตรูคนเดิมไม่ได้เสมอไป ระวังข้อนี้ไว้ให้ดี ระวังมันจะกลายเป็นข้อบกพร่องของเธอเอง” ชายหนุ่มส่ายหน้าเพื่อบอกว่าไม่มีอะไรอื่นแล้ว

อันที่จริงมันยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างสำคัญมากหากจะเป็นผู้เล่นระดับพระเจ้า ซึ่งเขายังไม่ได้บอกซือเยี่ยจิ๋ง นั่นก็คือ พลังจิต ยิ่งสกิลที่รุนแรงมากขนาดไหน ก็ยิ่งจำเป็นต้องฝึกควบคุมให้ได้มากที่สุด เพราะสกิลเหล่านี้ก็เหมือนม้าที่กำลังพยศ ลำพังเพียงความพยายามฝึกฝนและการคิดอ่าน ยังไม่สามารถดึงศักยภาพออกมาได้จนถึงระดับพระเจ้าหรอก

ยกตัวอย่างเหตุการณ์ล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครั้งที่ซีเหมินชุยเสวียปะทะกับเทพเจ้าสายฟ้า สกิลดาบอนันต์ของซีเหมินชุยเสวียสามารถควบคุมดาบจำนวนนับไม่ถ้วนได้อย่างอิสระเพื่อรับการโจมตีจากคลื่นสายฟ้าของศัตรู

หากผู้เล่นธรรมดามีสกิลนี้ คิดว่าเขาจะใช้มันรับมือทะเลสายฟ้าได้เหรอ? ไม่มีทางเลย

ดังนั้นเซียวเฟิงรู้เรื่องความแข็งแกร่งของผู้เล่นระดับพระเจ้ามาก่อนผู้อื่นตั้งนานมากแล้ว และรู้ด้วยว่าหากตั้งใจจะเป็นผู้เล่นระดับนี้ จะต้องอยู่เหนือผู้เล่นทุกระดับที่มีอยู่ให้ได้ เมื่อครั้งตอนที่เขาได้ปะทะประมือกับคิมจงฮัน ผู้เป็นอันดับ 1 ในเขตฮันกึล เซียวเฟิงสามารถตัดสินได้ทันทีว่าคิมจงฮัน เป็นเพียงผู้เล่นทั่ว ๆ ไปที่มีฝีมือเท่านั้น อย่างมากเขาก็เป็นได้แค่สมมุติเทพ เว้นเสียแต่ทุกคนในเกมนี้ล้วนเป็นคนธรรมดา เขาก็อาจจะกลายเป็นเทพเจ้าได้ในสักวันหนึ่ง

ทว่าในเกมมันไม่ใช่อย่างนั้น เทพเจ้าของแต่ละเขต ไม่ว่าจะเป็น ไทแรนนี่ หรือ เทพเจ้าสายฟ้า หรือคนอื่น ๆ ก็สามารถบดขยี้คิมจงฮันได้โดยไม่ต้องออกแรงอะไรเลยด้วยซ้ำ

แต่ในกรณีของซือเยี่ยจิ๋งมันต่างกัน นั่นเพราะเธอมีอาชีพเป็นนักฆ่า นั่นหมายถึง เธอเพียงต้องการความเพียรและความการฝึกปรือเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้พลังจิตมากมายอะไร ด้วยเหตุนี้ เซียวเฟิงจึงแอบมั่นใจแล้วว่า เขาน่าจะสามารถปั้นเธอให้เป็นผู้เล่นระดับพระเจ้าได้

“เช่นนั้นฉันคงต้องขอรบกวนนายให้ช่วยสอนเรื่องพวกนี้ให้กับฉันด้วย นายอยากจะให้ฉันเรียกนายว่าอาจารย์หรือเปล่า?” ซือเยี่ยจิ๋งพยักหน้ารับแล้วถามกลับด้วยคำถามกึ่งมุกตลก

“ฟังดูน่าขนลุกชมัด… ถ้าเธอเรียกแบบนั้นฉันทิ้งเธอไว้กลางทางจริง ๆ ด้วย” เซียวเฟิงทำหน้าหยี

“ฮะ ๆๆ ดูนั่นสิ พี่เฉียงเหว่ยเนี่ย มีคนชอบเยอะจังนะ” หญิงสาวหัวเราะก่อนจะหันไปมองยังส่วนกลางของงานเลี้ยง เธอพูดขึ้นหลังจากเห็นว่าผู้คนส่วนใหญ่ต่างเข้าไปรุมล้อมหลิวเฉียงเหว่ยเอาไว้ แน่นอนว่านี่มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ไม่ว่าจะด้วยรูปลักษณ์หรือสถานะของเธอ หลิวเฉียงเหว่ยสมควรที่จะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้โดยไม่มีข้อกังขาใด ๆ

อย่างไรก็ตาม ตัวหลิวเฉียงเหว่ยเองก็ดูจะไม่สันทัดกับสถานการณ์เช่นนี้นัก ด้วยบุคลิกที่เป็นคนเย็นชาของเธอ มันทำให้เธอเริ่มจะอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย โชคยังดีที่ข้าง ๆ เธอมีซางกวน ซือเฟยคอยช่วยเหลือในสถานการณ์เช่นนี้ด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีเฉียนโตวโตวที่คอยรับมือกับคนที่โถมเข้ามาใกล้สาวงามอยู่เรื่อย ๆ ด้วย ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าเด็กสาวคนนี้ แม้จะมีอายุอ่อนที่สุดในบรรดาสี่สาว แต่เธอก็ฉลาดและน่ากลัวเอาการ

“ฮึ่ม!”

ขณะนั้นเอง เซียวเฟิงรับรู้ได้ถึงแสงจากเบื้องหลังที่เหมือนมีคนเดินตัดผ่าน พร้อมกับเสียงพ่นลมหายใจอย่างไม่พอใจราวกับเจ้าของเสียงนั้นไม่พอใจเซียวเฟิงอยู่อย่างมาก เพราะงั้นเขาจึงหันกลับไปดู

ซึ่งผู้ที่อยู่ด้านหลังเขานั้น ก็คือ ชูเมิ่งอิ๋ง ที่ได้รับบัตรเชิญให้มาร่วมงานในวันนี้ เธอยังคงโดดเด่นและงดงามดังเดิม ทว่ารอบกายเธอกลับไม่มีใคร สีหน้านั้นแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังเคว้งคว้างและเบื่อไปกับงานนี้ ไม่งั้นแล้วเธอคงจะไม่เดินเข้ามาหาเซียวเฟิงด้วยอารมณ์บูดบึ้งเช่นนี้

“อ้าว ว่าไง แม่เทพธิดาระดับชาติ ตรงนี้ไม่ใช่จุดสนใจของงานเลี้ยงสักหน่อย ขืนมาอยู่ตรงนี้ จะไม่มีคนได้เห็นเทพธิดาคนงามกันนะ” เซียวเฟิงพูดด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

ซือเยี่ยจิ๋งที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันกลับมามองด้วย เธอรู้จักชูเมิ่งอิ๋งอยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าให้อีกฝ่ายแทนคำทักทายโดยไม่ได้พูดอะไร และเลือกที่จะมองดูเซียวเฟิงสลับกับสาวอีกคนแทน

“แหม เจ้าแห่งฮีลเลอร์หนีมานั่งดื่มอยู่ที่มุมนี้ทั้งที ให้สาวน้อยอย่างฉันร่วมโต๊ะดื่มด้วยไม่ได้เหรอ?” ยิ่งเธอเขยิบเข้ามาใกล้ สีหน้าของสาวงามผู้นี้ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าตนไม่มีความสุขสักเท่าไหร่ หลังจากที่พยักหน้ารับซือเยี่ยจิ๋งแล้ว เธอก็รีบลากเก้าอี้จากโต๊ะข้าง ๆ มาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ร่างเพรียวบางนั่งลงพร้อมกับวางแก้วไวน์ของตนลงบนโต๊ะของเซียวเฟิงด้วย

“เป็นกระถางดอกไม้ที่ไม่มีใครเชยชมก็ลำบากหน่อยนะ” ชายหนุ่มยิ้มให้อีกฝ่าย

ในฐานะที่เป็นถึงเทพธิดาระดับชาติ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชูเมิ่งอิ๋งนั้นสวยขนาดไหน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เธอเป็นดาราแนวหน้า แถมยังเป็นผู้มีชื่อเสียงในวงการนักข่าวด้วยอีก ชูเมิ่งอิ๋งน่าจะคุ้นชินกับงานจำพวกนี้เป็นอย่างดีมานานแล้ว แต่มันก็สมกับชื่อเสียงของเธอดีแล้วล่ะนะ

แต่นั่นแหละปัญหา เนื่องจากคนที่มาร่วมงานนี้ล้วนแต่เป็นคนใหญ่คนโตระดับเจ้าของกิลด์ เจ้าของบริษัทใหญ่ ๆ และในสายตาของพวกเขา ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นเงินเป็นทอง และเมื่อพวกเขาเจอกัน มันก็มีแต่คุยกันเรื่องธุรกิจด้วยบทสนทนาเดิม ๆ เท่านั้น

เพราะงั้นคราวน์ปรินซ์ที่พอจะเดาสถานการณ์ได้ก่อนหน้า จึงชวนทั้งนักข่าวที่มีชื่อเสียงให้มาปะปนกับกลุ่มของนักธุรกิจเหล่านี้ ทว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเดิมเลย เพราะท้ายสุดแล้ว กลุ่มของนักข่าวก็จะจับกลับกันเองเพื่อคุยเรื่องวงในของพวกตน ซึ่งพวกเขาไม่ได้กระจายตัวไปอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของงานเลี้ยงอย่างที่คราวน์ปรินซ์วางแผนไว้

ในกรณีของชูเมิ่งอิ๋งที่คุ้นชินกับงานเลี้ยงเป็นอย่างดีก็ไม่มีข้อยกเว้น เธอเข้ากับใครในงานไม่ได้เลย แม้ว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายเข้ามาคุยกับเธอก่อนก็จริง แต่ด้วยหัวข้อการสนทนานั้นไม่ใช่สิ่งที่เธอสนใจนัก ท้ายสุดเธอก็เลือกที่จะเบี่ยงตัวออกจากพวกเขาด้วยความสุภาพ หญิงสาวทำเช่นนี้มาตลอดทั้งงานเลี้ยง จะมีเพียงคนที่เธอรู้จักเป็นการส่วนตัวเท่านั้นที่อาจจะคุยด้วยมากหน่อย

ในสายตาของเธอ กลุ่มของนักธุรกิจก็ยังคงคุยกันแค่เรื่องธุรกิจเหมือนเดิม ไม่มีใครสนใจที่จะผูกมิตรกันจริง ๆ ต่อให้พวกเขาจะต้องทำงานร่วมกัน ในบทสนทนาของทั้งสองฝ่าย ก็ยังไม่มีเรื่องมิตรภาพแทรกอยู่เลย

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *