Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子]บทที่ 612 สถานการณ์ความคืบหน้าในเกม

Now you are reading Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] Chapter บทที่ 612 สถานการณ์ความคืบหน้าในเกม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 612 สถานการณ์ความคืบหน้าในเกม

บทที่ 612 สถานการณ์ความคืบหน้าในเกม

ในห้องอาหาร

เซียวเฟิงนั่งอยู่หัวโต๊ะ ขณะคีบอาหารใส่จานของตัวเองเรื่อย ๆ ส่วนเค่อเค่อก็คอยเสิร์ฟอาหารอยู่ไม่ขาดสาย ในขณะที่หลิวเฉียงเหว่ยกับสาว ๆ อีกสี่คนที่เหลือต่างก็นั่งประจำที่ฝั่งเก้าอี้ซ้ายขวาอย่างพร้อมหน้ากัน

ทว่าพวกเธอกลับไม่มีท่าทีอยากอาหาร ดังนั้นอาหารที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าจึงยังคงไม่ถูกแตะต้องตั้งแต่ถูกเสิร์ฟ

ที่จริง มันควรจะเป็นงานเลี้ยงฉลองที่น่าสนุกสนานและตื่นเต้นแท้ ๆ แต่เพราะแต่ละคนยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังคาใจอยู่ และจนกว่ามันจะคลายตัวลง บรรยากาศที่น่ารื่นเริงก็คงจะไม่เกิดขึ้นมาแน่ ๆ

“ท่านเซียว การที่คุณจู่ ๆ ก็หายตัวไปกว่าสามเดือนแบบนี้ ในเมื่อกลับมาแล้วก็คงรู้นะคะว่าต้องพูดอะไรบ้าง?”

ซางกวนซือเฟยเป็นคนถามเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน เธอวางตะเกียบในมือ พลางประสานมือเท้าคางมองชายหนุ่มเหมือนตำรวจกำลังสอบสวนผู้ต้องหา ซึ่งได้เปลี่ยนบรรยากาศภายในห้องอาหารให้กลายเป็นห้องสอบถามในทันใด

จู่ ๆ เซียวเฟิงก็หายตัวไปนานถึงสามเดือนโดยไม่บอกไม่กล่าวอะไรทั้งนั้น ทั้งยังปล่อยให้สาว ๆ ต้องใช้ชีวิตด้วยความกังวล บางคนก็ถึงกับเหงาหงอยไปเลย

“ฉันทำอะไรผิดหรือไง?” ชายหนุ่มเงยหน้ามองด้วยแววตาประหลาดใจ

“ไม่มีอะไรอยากจะพูดหน่อยเหรอคะ? นี่ท่านเซียวคิดว่าพวกเราเป็นอะไรกันน่ะ?” ริมฝีปากสีชมพูแสนเซ็กซี่ของซือเฟยเม้มแน่นก่อนจะถามคำถามที่ตรงกับใจของทุกคนในเวลานี้

“ฉันเคยพูดไปแล้ว” เขาวางตะเกียบลงแล้วสบตากับทุกคน “พวกเธอสำคัญตัวเองมากไปหรือเปล่า? คิดว่าฉันพาพวกเธอมารวมตัวกันที่นี่เพื่ออะไร? พวกเธอก็แค่มีประโยชน์กับฉันในตอนนี้เท่านั้น กำลังคาดหวังอะไรกันอยู่? จะรอไปก็เสียเวลาเปล่า หลังจากนั้นพวกเธอจะไม่ได้เจอฉันอีก”

เมื่อกล่าวจบ เซียวเฟิงก็ละสายตาออกจากทุกคนแล้วก้มหน้าก้มตาทานอาหารตรงหน้าดังเดิม ชายหนุ่มรู้ว่าคำพูดนี้จะต้องทำให้ทุกคนสติแตกแน่ ๆ ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง หญิงสาวทั้งหลายกลับไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก

จะมีก็แต่เฉียนโตวโตวที่โวยวายออกมา

“โห่วววว ฉันคิดว่าพี่เซียวจะมองพวกเราเป็นครอบครัวแล้วซะอีก!”

หลิวเฉียงเหว่ยกับซางกวนซือเฟยยังคงทำตัวปกติ จะมีก็แต่ซื่อเยี่ยจิ้งที่ดูไร้อารมณ์ ทว่าก็พอสัมผัสได้ว่าเธอไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่

“แสดงว่าตราบใดก็ตามที่พวกเรายังมีประโยชน์กับท่านเซียวได้ ท่านก็จะต้องการพวกเราตลอดไปสินะคะ?” ซางกวนซือเฟยยกยิ้มขี้เล่นและเย้ายวน

“บอกเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ฉันควรรู้ในตอนนี้ที ข้อมูลเกี่ยวกับอาณาจักรแห่งทวยเทพทั้งหมดฉันอ่านมาหมดแล้ว”

ชายหนุ่มเมินคำพูดของซางกวนซือเฟยก่อนจะหันไปพูดกับหลิวเฉียงเหว่ยแทน

“เซียวหลิง…” หลิวเฉียงเหว่ยดูลังเลราวกับไม่รู้ว่าควรจะพูดดีหรือไม่ แม้ว่าเธอจะคิดได้แล้วว่าหลายเดือนผ่านไปแล้ว แต่เซียวหลิงก็ยังเป็นคนที่ทำให้พวกเธอหนักใจได้เสมอ เพราะหลังจากที่เธอถูกบังคับย้ายไป สติจึงไม่ได้อยู่กับร่างและมีสภาพไม่ต่างกับผักที่อยู่บนเตียง

“เซียวหลิงเพิ่งจะถูกโอนย้ายไป ไม่ต้องกังวลมากหรอก เดี๋ยวฉันจะพาเธอกลับมาเอง”

เซียวเฟิงได้ไปเยี่ยมเซียวหลิงในห้องมาแล้ว ซึ่งภายในห้องนั้นก็มีเพียงร่างของเซียวหลิงที่ถูกคนจากองค์กรเฮลล์นำกลับมาจากยุโรป ร่างของเด็กสาวในตอนนี้ถูกเก็บรักษาอย่างดีและต่อสายให้สารอาหารโดยตรง

ร่างเดิมของเซียวหลิงเป็นเพียงแค่ร่างโคลนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่มันก็เป็นภาชนะชั้นเยี่ยมในการย้ายวิญญาณของเธอกลับมาเช่นกัน

“นายสามารถพาเธอกลับมายังโลกใบนี้ได้ แม้ว่าเธอจะถูกโอนย้ายไปแล้วงั้นเหรอ?” หลิวเฉียงเหว่ยและคนอื่น ๆ ต่างตกใจกับคำพูดของชายหนุ่ม

“ตราบใดที่ร่างกายยังถูกรักษาเอาไว้ มันก็มีโอกาสเสมอ ฉันจะพาเซียวหลิงกลับมาเอง”

มันคือการโกหก เซียวหลิงนั้นไม่ได้ถูกโอนย้ายแต่อย่างใด เธอได้ตายไปแล้ว ในขณะเดียวกัน สิ่งที่เขาพูดไว้อย่างการพาเซียวหลิงกลับมานั้นก็คือเรื่องจริงเช่นกัน

“ในเมื่อพี่เซียวพูดแบบนั้น แสดงว่ามันไม่มีปัญหาอะไรแน่ ๆ ดีเลย! ดีแล้วล่ะ…”

เฉียนโตวโตวถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนที่ใบหน้าของเธอจะแสดงความดีใจออกมา พร้อมกันนั้นเธอก็แสดงความตื่นเต้นให้เห็นอีกด้วย

“งั้น เสี่ยวจิ้ง เรื่องเมื่อกลางวันเป็นยังไงบ้าง?”

ด้วยข่าวที่น่ายินดีนี้ มันทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเริ่มผ่อนคลายลง และหลิวเฉียงเหว่ยก็เลือกที่จะถามขึ้นอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่กรรมาธิการจางมาขอร้องซื่อเยี่ยจิ้ง

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก เดี๋ยวฉันจะส่งคนไปเตือนให้เอง”

เซียวเฟิงตอบแทน เพราะเขาพอจะรับรู้ได้จากแววตาของซื่อเยี่ยจิ้งที่มองมาทางตน เธอพยายามหลบสายตาทุกครั้งที่เขามองไปและเอาแต่ทำหน้าไร้อารมณ์อยู่ตลอด

“สถานการณ์ในตอนนี้คลี่คลายแล้ว ส่วนเรื่องราวภายในเกมตอนนี้ คือ เมื่อสามเดือนที่ผ่านมา ได้มีกองกำลังที่เกิดขึ้นใหม่กับเหล่าผู้เล่นที่แข็งแกร่งเกิดขึ้นในทุกเขต รวมถึงเขตฮัวเซียเองก็ด้วย กองกำลังมากมายได้รับการสับเปลี่ยนกันในช่วงที่ผ่านมา…”

หัวหน้ากิลด์มิดซัมเมอร์เริ่มพูดถึงสถานการณ์ในโลกเดอะมิธ “…พวกเราไม่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ในเขตแดนอื่นมากนัก รู้แค่ว่ามีกองกำลังที่ตั้งขึ้นโดยผู้เล่นระดับพระเจ้ากำลังเติบใหญ่ขึ้นมา พวกเขาล้มล้างกองกำลังเดิม ๆ มากมาย รวมไปถึงแทนที่แล้วก็ผนวกรวมด้วย จุดเด่นของกองกำลังเหล่านี้คือมีพลังต่อสู้ที่สูงจนรับมือได้ยาก ถึงแม้ว่าจำนวนสมาชิกจะไม่ได้มากมายเท่ากับพวกเรา แต่ก็ไม่อาจประมาทได้ และจากที่ได้ยินมา กองกำลังเหล่านี้ไม่ขึ้นตรงต่อกิลด์ผู้ปกครองในเขตนั้น ๆ ด้วย”

เซียวเฟิงพยักหน้า

เป็นอย่างที่คิด กองกำลังกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยในแต่ละประเทศนั้นค่อนข้างซับซ้อน มีหลายประเทศที่ไม่อาจจะควบคุมคนจากทั่วทั้งประเทศได้ มันจึงกลายเป็นเรื่องปกติหากกิลด์พวกนี้จะปีนเกลียวกันเอง ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น กลุ่มของคนที่มีอิทธิพลที่รวมตัวกันเอง พวกเขามีพลัง มีอำนาจ เมื่อดูจากสถานการณ์แล้ว มันยิ่งเห็นได้ชัดว่ามีหลายกิลด์ที่เบื้องหลังนั้นเป็นกลุ่มคนที่ไม่อยู่ภายใต้อำนาจรัฐ พวกเขาได้ตั้งรกรากในโลกของเกมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของเจ้าหน้าที่รัฐ กลุ่มนายทุนผู้ทรงอิทธิพล หรือแม้แต่กลุ่มองค์กรสงครามและทหารรับจ้างเองก็ด้วย

“เขตฮัวเซียของพวกเราก็ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วยเหมือนกัน กิลด์เดอะวูลฟ์ถูกกำจัดออกไปแล้ว ตอนนี้กิลด์ขนาดใหญ่อยู่ภายใต้อำนาจของกิลด์ไดนัสตี้ นอกจากอาณาจักรเอลฟ์ ทุกอย่างก็ได้กลายเป็นของไดนัสตี้แล้ว พวกเขาครอบครองฮัวเซียไปถึงสามส่วน”

หลิวเฉียงเหว่ยพูดเรื่องที่ทำให้เซียวเฟิงถึงกับตกตะลึงขึ้นมา

“กิลด์เดอะวูลฟ์? ใครเป็นคนกำจัดพวกนั้นกัน?” สีหน้าของชายหนุ่มแสดงความประหลาดใจออกมา

กิลด์เดอะวูลฟ์นั้นขึ้นชื่อว่าเป็นกลุ่มทหารกรำศึก และเป็นหนึ่งในผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ของเขตฮัวเซีย พวกเขาควบคุมพื้นที่อาณาจักรออร์คทั้งหมด แถมยังได้ชื่อว่าเป็นยักษ์ที่ล้มไม่ตายด้วยในช่วงที่สงครามเริ่มขึ้น ทว่าทำไมตอนนี้พวกเขาถึงถูกกำจัดได้?

“การล่มสลายของกิลด์เดอะวูลฟ์ยังคงเป็นปริศนา แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับความเชื่อในกิลด์ของพวกเขาด้วย” หลิวเฉียงเหว่ยส่ายหน้า “ว่ากันว่าคนที่กำจัดกิลด์เดอะวูลฟ์เป็นเพียงกลุ่มคนเล็ก ๆ เอง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะกิลด์เดอะวูลฟ์นั้นเติบโตเร็วเกินไป สมาชิกที่เข้าออกกิลด์จึงไม่คงที่และมีการสับเปลี่ยนตลอดเวลา โดยเฉพาะพวกที่เข้าร่วมใหม่ ซึ่งมีคุณสมบัติส่วนใหญ่ไม่ตามมาตรฐานนัก และตั้งแต่ต้น ก็เป็นกลุ่มคนธรรมดาเหล่านี้ที่ยกพวกตีกับกิลด์ขนาดเล็กเหล่านั้น ซึ่งอาจเพราะชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของกิลด์เดอะวูลฟ์ที่พวกเขาต้องรักษาเอาไว้ แต่ภายหลังที่กิลด์เดอะวูลฟ์เริ่มถอนตัวออกไป ความขัดแย้งในกลุ่มคนก็เพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขได้ สงครามดำเนินมาร่วมเดือน ก่อนจะกระจายไปทั่วทั้งอาณาจักรออร์ค ในท้ายสุด เมืองหลักที่เป็นที่ตั้งของกิลด์เดอะวูลฟ์ก็ถูกทำลายไปถึงเจ็ดครั้ง พวกเขาเพลี้ยงพล้ำและไม่สามารถฟื้นกลับมาได้อีก”

“แค่กลุ่มคนเล็ก ๆ ถึงกับถล่มกิลด์เดอะวูลฟ์ได้เลยเหรอ?”

ชายหนุ่มประหลาดใจขึ้นมาอีกครั้ง

“ถึงแม้ว่ากิลด์เดอะวูลฟ์จะเป็นกิลด์ระดับผู้ปกครอง พวกเขากลับไม่มีสมาชิกที่เป็นผู้เล่นระดับพระเจ้าเลย แต่กลุ่มเล็ก ๆ นั้นกลับมี…” เทพธิดาอันดับหนึ่งแห่งฮัวเซียอธิบาย

เซียวเฟิงพยักหน้าเข้าใจ กิลด์เดอะวูลฟ์นั้นเป็นที่เลื่องลือในผู้ทำสงครามที่มีประสบการณ์การต่อสู้ในเกมอย่างโชกโชน แต่จำนวนผู้เล่นที่มีความสามารถจริง ๆ กลับไม่ได้มีมากนัก ดังนั้นตอนนี้จึงไม่แปลกหากพวกเขาจะโดนคนอื่น ๆ ตามทัน มีผู้เล่นหลักร้อยล้านคนในเขตฮัวเซีย และกิลด์เดอะวูลฟ์นั้นยิ่งใหญ่แค่ในอาณาจักรออร์ค การพัฒนาอย่างรวดเร็วของพวกเขาย่อมต้องซ่อนปัญหาไว้อยู่แล้ว

สิ่งนี้คือสิ่งที่หลิวเฉียงเหว่ยมองว่ามันเป็นการ ‘ลอยตัวเหนือปัญหา’ และนั่นหมายถึงการเชื้อเชิญหายนะให้เข้ามาใกล้ตนมากขึ้นเรื่อย ๆ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กระทบที่สุดในการเป็นเจ้าผู้ปกครองที่แท้จริง เห็นจะเป็น พลังต่อสู้ระดับพระเจ้า ในช่วงที่เกิดสงครามระหว่างเขตแดนนั้น เซียวเฟิงได้เห็นแล้วว่าผู้เล่นที่มีพลังระดับพระเจ้านั้นเป็นอย่างไร หลังจากผ่านมาหลายเดือน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจำนวนของผู้เล่นประเภทนี้จะมีมากขึ้น

“การเคลื่อนไหวของเทพเจ้าพวกนั้นทำให้เขตตะวันตกแตกตื่นก่อนจะสงบลงในเวลาไม่นาน นอกจากนี้ ดินแดนทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือได้ถูกคนเหล่านั้นยึดครองไปแล้ว และเขตตะวันตกของฮัวเซียในตอนนี้ก็อยู่ในการปกครองของพวกนั้นเช่นกัน ส่วนกิลด์มิดซัมเมอร์ยังไม่มีอะไรมากนัก และยังคงปกครองดินแดนทางใต้เหมือนเดิม แต่เขตตะวันตกเฉียงใต้ได้มีพวกฮวงกุมารังควานบ้าง แต่ก็ต้านไว้ได้ ตอนนี้เขาทำได้เพียงปกครองตะวันออกกับตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น”

“ในเวลานี้ พื้นที่ที่ยังไม่มีใครเป็นเจ้าของได้ของเขตฮัวเซีย มีเพียงส่วนกลางที่เป็นที่ตั้งของเมืองจักรพรรดิเท่านั้น แต่พื้นที่ส่วนนี้ก็ถือเป็นใจกลางของเขตฮัวเซีย จึงเป็นเรื่องที่อ่อนไหวอย่างมาก แต่ถึงจะมีกองกำลังมากมายหวังครอบครองพื้นที่จุดนี้ ทว่าก็ไม่มีใครกล้าที่จะเปิดฉากยึดครองก่อน เพราะมันจะทำให้พวกเขาต้องรับมือกับแรงกดดันจากกิลด์อื่น ๆ ที่อยู่ในเขตกลางนั้น”

หลิวเฉียงเหว่ยพูดต่อ

“นอกจากนี้ ความคืบหน้าในโลกของเกมตอนนี้ เขตแดนทั้งหมดเตรียมจะเปิดเส้นทางเข้าหากันแล้ว แต่ผู้ปกครองเขตหลักทั้งหลายดูจะไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก เพราะพวกเขากำลังให้ความสนใจกับอาณาจักรแห่งทวยเทพ หากอ้างอิงตามการวิเคราะห์ของนักวิจารณ์เกมและผู้เล่นอาวุโสละก็ เส้นทางระหว่างเขตแดนดูเหมือนจะถูกเปิดขึ้นพร้อมกับอาณาจักรแห่งทวยเทพ เพราะการเปิดตัวอาณาจักรแห่งทวยเทพสามารถลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างเขตแดนได้ เพราะโลกเดอะมิธได้กลายเป็นโลกที่ต้องเอาชีวิตรอดให้ได้ ไม่ใช่ว่าจะมีเขตแดนใดที่จะระงับความขัดแย้งระหว่างกันได้ แต่เพราะการมีอยู่ของอาณาจักรแห่งทวยเทพนั้นพิเศษเกินไป จึงทำให้ทุกเขตแดนไม่อยากจะพลาดโอกาสดี ๆ นี้”

ในตอนท้าย หลิวเฉียงเหว่ยก็พูดเสริมขึ้นว่า “ฉันเดาว่าข้อมูลบางส่วนของอาณาจักรแห่งทวยเทพคงถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว นั่นคือ เหล่าผู้เล่นระดับพระเจ้าจากทั่วทั้งเซิร์ฟเวอร์นั้นยังคงอยู่ในสภาวะคอขวด จึงไม่มีใครสามารถอัปเกรดเป็นคลาส 4 ได้เลยในช่วงเวลาที่ผ่านมา”

“เกิดอะไรขึ้นกับผู้เล่นระดับพระเจ้าพวกนั้นกัน? นี่มันก็สามเดือนกว่าแล้วนะ ยังไม่มีใครขยับไปคลาส 4 อีกเหรอ?”

ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย เพราะหลังจากสงครามระหว่างเขตแดนครั้งล่าสุด เหล่าผู้เล่นระดับพระเจ้าก็ได้แสดงศักยภาพกันแล้ว เลเวลของพวกเขาส่วนใหญ่ก็สูงถึง 60 กันแล้ว ซึ่งทิ้งห่างจากผู้เล่นระดับสูงที่อยู่เลเวล 50 ตั้งสิบเลเวล ในบรรดาผู้เล่นระดับพระเจ้าด้วยกัน เซียวเฟิงเองยังมีเลเวลสูงถึง 65 เลย

แต่ตอนนี้ ผ่านมาตั้งสามเดือนกว่าแล้ว ยังไม่มีใครไปถึงเลเวล 70 และกลายเป็นคลาส 4 ได้อย่างไร?

“ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากจะเปลี่ยนคลาสหรอก เดี๋ยวให้เสี่ยวจิ้งอธิบายสถานการณ์ส่วนนี้ให้นายฟังดีกว่า เพราะเธอคลุกคลีกับอยู่กับพวกผู้เล่นระดับพระเจ้ามากกว่าฉัน ดังนั้นน่าจะรับรู้สถานการณ์ทางนู้นได้ดีกว่า”

หลิวเฉียงเหว่ยส่ายหน้าก่อนจะโยนคำถามนี้ไปให้ซื่อเยี่ยจิ้งแทน บางทีอาจจะเป็นเพราะเธอเริ่มคอแห้งแล้ว ดังนั้นจึงเริ่มตักซุปขึ้นมาจิบแทน

เซียวเฟิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเหลือบตาไปมองซื่อเยี่ยจิ้งที่กำลังตักอาหารทานเป็นคำ ๆ

เมื่อเห็นชายหนุ่มหันมาหาเธอ ซื่อเยี่ยจิ้งก็วางตะเกียบลง หยิบผ้าเช็ดปากมาเช็ดมุมปากตนเองก่อนจะเริ่มพูด

“ปัจจุบันมีผู้เล่นระดับพระเจ้าอยู่ 72 คนจากทุกเซิร์ฟเวอร์ ทั้งหมดเป็นผู้เล่นที่เลเวล 69 ทั้งสิ้น ซึ่งนายเป็นอันดับที่ 72” ซื่อเยี่ยจิ้งเหลือบมองชายหนุ่มบ้าง

เขาพยักหน้าเข้าใจและแสดงท่าทีให้เธอพูดต่อ ก่อนที่เขาจะหายตัวไปเมื่อสามเดือนก่อน เขาขึ้นมาอยู่ที่เลเวล 69 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เพราะยังอัปเกรดไม่ถึงเวล 70 ค่าประสบการณ์ของเขาในเวลานั้นจึงถูกนำมาจัดอันดับด้วย และตอนนี้เขาคงถูกคนอื่นแซงหน้าไปไกลโขแล้ว

“และตั้งแต่อันดับที่ 73 เป็นต้นไป เป็นผู้เล่นระดับสูงที่มีเลเวลสูงสุดอยู่ที่ 65 เท่านั้น ซึ่งยังพอมีระยะห่างอยู่บ้าง แต่ก็มากพอจะให้เรียกว่าระยะห่างระหว่างผู้เล่นระดับพระเจ้าและผู้เล่นทั่วไป”

สิ่งที่ซื่อเยี่ยจิ้งพูดนั้นไม่ใช่เรื่องที่เกินจริง เพราะหลังจากที่ผ่านเลเวล 50 มาได้แล้ว ค่าประสบการณ์ที่จำเป็นต้องใช้สำหรับผ่านเลเวลต่อไปนั้นมีจำนวนมากพอสมควร ระยะห่างระหว่างเลเวล 65 มายังเลเวล 69 ยังคงต้องใช้เวลากว่าเดือนหรือสองเดือนเลยกว่าจะตามทัน!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด