NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง 1313 เหนือจินตนาการ

Now you are reading NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง Chapter 1313 เหนือจินตนาการ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ หลี่ฝางไม่รู้เลยจริงๆ ว่าตัวเองนั้นโชคดีหรือว่าโชคร้ายกันแน่ เมื่อมองไปที่คางคกอัปลักษณ์ตัวนั้น คิ้วของเขาพลันขมวดแน่นจนปูดโปนออกมา แล้วถามอย่างไม่แน่ใจนักว่า “จริงหรือ”

“พลังของนายแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเราทั้งหมด ทำไมฉันต้องหลอกนายเรื่องนี้ด้วย หากนายไม่เชื่อฉันก็ได้ แต่หากถึงเวลาแล้วขาดส่วนผสมยาไปขนานหนึ่ง นายก็อย่าหาว่าฉันไม่บอกก็แล้วกัน” อูหลิงกลอกตาแล้วไม่กล่าวอะไรอีก

“หลี่ฝาง พวกเราจัดการคางคกตัวนี้ให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยไปเถิด พี่ดูสายตาของมันสิ มันเห็นพวกเราเป็นเหยื่อของมันตั้งแต่แรกแล้ว”

กู่ยี่เทียนปัดโคลนที่ติดตามตัวของตนออกอย่างง่ายๆ แล้วเงยหน้าหรี่ตามองไปยังคางคกที่กำลังจ้องมองมาทางพวกเขา

พิจารณาจากขนาดของคางคกตัวนี้แล้ว อายุคงจะมากกว่าพันปีแล้วและก็คงจะไม่ได้ผจญเรื่องระทึกเช่นนี้มานานแล้ว จึงไม่ง่ายนักที่วันนี้จะจับเหยื่ออย่างพวกเขามาได้ แล้วมันจะปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ ได้อย่างไร

การต่อสู้นองเลือดคงมิอาจหลีกเลี่ยงพ้นแล้ว

หลี่ฝางเองก็สังเกตเห็นความกระหายในสายตาของคางคกตัวนี้ จึงแอบถอนใจ แล้วเอ่ยกับคางคกด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่

“ตอนแรกพวกเราก็ไม่อยากต่อสู้กับแกหรอก แต่ใครให้แกเป็นส่วนผสมทำยาของฉันเล่า ดูท่าฉันคงต้องส่งแกเดินทางครั้งสุดท้ายแล้ว”

เมื่อกล่าวจบประโยค หลี่ฝางก็ออกแรงที่เท้าแล้วพุ่งทะยานไปยังคางคกตัวนั้น กู่ยี่เทียนก็ตามหลังไปติดๆ

บนท้องฟ้าปรากฏเพียงเงาของทั้งสองร่าง การต่อสู้ทำให้คางคกส่งเสียงร้องกระหึ่ม คางคกที่มีชีวิตมากว่าพันปีย่อมมีจิตรับรู้ เมื่อเห็นว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ฝางก็พ่นไอพิษออกมาแล้วรีบมุดลงไปในบึงน้ำ

“แย่แล้ว มันกำลังจะหนี! รีบจับขามันไว้เร็วเข้า!” กู่ยี่เทียนรีบตะโกนร้อง เมื่อเห็นคางคกมุดลงไปในบึงน้ำได้ครึ่งตัว

“คิดหนี? ฉันอนุญาตรึยัง!” คางคกนั้นว่องไวมาก แต่ยังคงเร็วไม่เท่าหลี่ฝางกับกู่ยี่เทียน

พวกเขาทั้งสองช่วยกันดึงขาหลังข้างหนึ่งของคางคกขึ้นมา คางคกที่มุดลงไปในบึงน้ำได้ครึ่งตัวก็ถูกดึงกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

พวกหลี่ฝางได้โยนคางคกลงกระแทกกับพื้นดังตึ้ง เสียงกระแทกซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้โคลนสาดกระเซ็น คางคกถูกเหวี่ยงจนขาทั้งสี่ข้างชี้ฟ้าโด่ เผยหน้าท้องสีขาวให้พวกหลี่ฝางมีโอกาสได้เห็น

เมื่อเหยื่อตกอยู่ในมือแล้วก็ไร้เหตุผลที่จะปล่อยไป หลี่ฝางแหวกท้องคางคกด้วยมือเปล่า แล้วควักเอาอวัยวะด้านในออกมาจากตัวของมัน

หลังจากคางคกถูกแหวกท้องแล้วก็ดิ้นพล่านอยู่สองสามทีก่อนจะหมดลมหายใจไป เมื่อเสี่ยวหลินตังเห็นมันตายอย่างน่าเวทนาเช่นนั้นก็คลื่นไส้อาเจียนอยู่อีกด้านหนึ่ง

ส่วนไขจี๋เออกับ ไขบู๊เกอก็กำลังถกเถียงกันอยู่ว่า เนื้อของคางคกตัวนี้จะกินได้หรือไม่

“อูหลิง นี่คืออวัยวะของมันใช่หรือไม่” หลี่ฝางมองสิ่งที่มีขนาดเท่าไข่ห่านและมีสีเขียวมรกตในมือ แล้วเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ

ตอนนี้อูหลิงกำลังหาของมีค่าอย่างอื่นด้านในตัวของคางคก แล้วหันไปเหลือบมองไข่มุกสีเขียวในมือของหลี่ฝางคร่าวๆ แล้วก็พยักหน้าอย่างครุ่นคิด

“ถูกต้อง คางคกตัวนี้มีชีวิตอยู่มาไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันปี อวัยวะภายในจึงหลอมรวมกันเป็นมุกทิพย์ วันนี้ถือเป็นคราวซวยของมันที่ได้มาเจอพวกนาย มันต้องบำเพ็ญตบะมาหลายร้อยปีกว่าจะได้กลายเป็นภูต”

ภูตคืออะไร? เป็นครั้งแรกที่พวกหลี่ฝางได้ยินคำๆ นี้

“พวกนายไม่รู้จักคำว่าภูตหรอกหรือ” อูหลิงหันมามองทุกคนที่กำลังจ้องมาที่ตนอย่างสับสนแล้วกล่าวอธิบาย

“ไม่รู้” หลี่ฝางส่ายหน้าแล้วตอบตามตรง

เขาเพิ่งเป็นนักรบได้เพียงไม่กี่ปี เรื่องราวที่เกี่ยวกับการรบก็ยังไม่ทันจะเข้าใจถ่องแท้ แล้วจะให้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับภูตได้อย่างไร

“คำว่าภูตนั้นหมายถึงสัตว์ธรรมดาที่ผ่านการบำเพ็ญตบะมาเป็นเวลานาน เหตุในการบำเพ็ญตบะนั้นไม่ต่างจากนักรบอย่างพวกเรา เพียงแค่ไม่ได้มีระดับขั้นมากเท่าพวกเราก็เท่านั้น”

กู่ยี่เทียนเคยอ่านเรื่องราวที่เกี่ยวกับภูตมาบ้าง เมื่อเขาเห็นหลี่ฝางกับพวกมีสีหน้าล่องลอยจึงอาสาเล่าเรื่องให้พวกหลี่ฝางฟังเอง

“สรรพสัตว์บนโลกใบนี้เมื่อได้ดูดซับพลังจากตะวันและจันทรา ก็จะสามารถเลื่อนขั้นขึ้นไปเป็นสัตว์ในระดับขั้นที่สูงขึ้นได้ ทว่าความเป็นไปได้ต่ำมาก ในบรรดามนุษย์ที่มีพรสวรรค์ย่อมสามารถเป็นนักรบได้ และในบรรดานักรบที่มีพรสวรรค์มากกว่าก็สามารถเลื่อนขั้นไปสู่เขตแดนที่สูงกว่าได้”

“ในบรรดาสัตว์ก็ปรากฏเรื่องเช่นนี้เหมือนกัน แต่พวกมันจะเลื่อนขั้นยากกว่ามนุษย์หลายเท่าตัว แถมเวลาที่ใช้ในการบำเพ็ญตบะก็ยาวนานกว่ามนุษย์ โดยมากแล้วต้องใช้เวลามากกว่าพันปีกว่าจะได้เลื่อนขั้น”

“สัตว์ธรรมดาที่ได้ดูดซับพลังงานจากตะวันและจันทราจนได้เลื่อนขั้นแล้ว จะถูกเรียกขานว่าภูต สติปัญญาและความรู้ของภูตจะได้รับการยกระดับขึ้นมาก ถึงขั้นสามารถนำไปเปรียบเทียบกับเด็กอายุสิบขวบได้เลย”

“และเมื่อพ้นระดับภูตขึ้นไปแล้ว ก็ยังมีสัตว์เซียน สัตว์เซียนสามารถพูดภาษามนุษย์ได้ สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ สติปัญญาเทียบเท่ากับมนุษย์วัยผู้ใหญ่ และหลังจากเป็นสัตว์เซียนก็ยังมีสัตว์เทพ สัตว์เทพไม่เพียงพูดได้เท่านั้น แต่ยังสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ด้วย”

“ประเทศจีนของพวกเรามีการร่ำลือสืบต่อกันมาตั้งแต่โบราณแล้วว่า มังกรกับหงสาถือเป็นสัตว์เทพ แต่อันที่จริงแล้วไม่ถูกต้อง พวกมังกรกับหงสานั้นมีพรสวรรค์มากกว่าสัตว์ธรรมดาทั่วไปมากนัก ทำให้พวกมันบำเพ็ญตบะได้ง่ายกว่าสัตว์ธรรมดามาก”

“ตั้งแต่โลกถือกำเนิดขึ้น มีเพียงมังกรและหงสาเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถเลื่อนขั้นเป็นสัตว์เทพได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นนักรบหรือสัตว์ เมื่อกลายเป็นเทพแล้วจะไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของมนุษย์ได้ ดังนั้นเรื่องราวของเทพกับสัตว์เทพจึงกลายเป็นเพียงตำนานเท่านั้น”

หลังจากได้ฟังเรื่องเล่าจากปากของกู่ยี่เทียน หลี่ฝางรู้สึกราวกับตนได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ ตั้งแต่เล็กจนโต เขาเข้าใจผิดมาตลอดว่ามังกรกับหงสา ไหนจะพวกสัตว์อย่างหงส์แดงและเต่าดำเป็นเพียงสัตว์ประหลาดที่คนโบราณแต่งขึ้นมาเองเท่านั้น

นึกไม่ถึงเลยว่าพวกมันจะมีตัวตนอยู่จริงๆ เป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการอย่างยิ่ง

“พวกแกเป็นใคร ถึงกล้าบุกเข้ามาในเขตแดนเผ่ากู่ของพวกเรา” และในช่วงเวลานั้นเอง กลุ่มคนสวมชุดดำและมีรอยสักประหลาดบนร่างก็ได้เข้ามาล้อมพวกหลี่ฝางเอาไว้

“คุณชายน้อยอูหลิง? เหตุใดถึงไปอยู่กับคนพวกนั้นได้” สตรีค่อนข้างสูงวัยที่นำอยู่ด้านหน้าเมื่อเห็นอูหลิง ก็เอ่ยถามขึ้นอย่างประหลาดใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง 1313 เหนือจินตนาการ

Now you are reading NO.1 คุณชายอันดับหนึ่ง Chapter 1313 เหนือจินตนาการ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ หลี่ฝางไม่รู้เลยจริงๆ ว่าตัวเองนั้นโชคดีหรือว่าโชคร้ายกันแน่ เมื่อมองไปที่คางคกอัปลักษณ์ตัวนั้น คิ้วของเขาพลันขมวดแน่นจนปูดโปนออกมา แล้วถามอย่างไม่แน่ใจนักว่า “จริงหรือ”

“พลังของนายแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเราทั้งหมด ทำไมฉันต้องหลอกนายเรื่องนี้ด้วย หากนายไม่เชื่อฉันก็ได้ แต่หากถึงเวลาแล้วขาดส่วนผสมยาไปขนานหนึ่ง นายก็อย่าหาว่าฉันไม่บอกก็แล้วกัน” อูหลิงกลอกตาแล้วไม่กล่าวอะไรอีก

“หลี่ฝาง พวกเราจัดการคางคกตัวนี้ให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยไปเถิด พี่ดูสายตาของมันสิ มันเห็นพวกเราเป็นเหยื่อของมันตั้งแต่แรกแล้ว”

กู่ยี่เทียนปัดโคลนที่ติดตามตัวของตนออกอย่างง่ายๆ แล้วเงยหน้าหรี่ตามองไปยังคางคกที่กำลังจ้องมองมาทางพวกเขา

พิจารณาจากขนาดของคางคกตัวนี้แล้ว อายุคงจะมากกว่าพันปีแล้วและก็คงจะไม่ได้ผจญเรื่องระทึกเช่นนี้มานานแล้ว จึงไม่ง่ายนักที่วันนี้จะจับเหยื่ออย่างพวกเขามาได้ แล้วมันจะปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ ได้อย่างไร

การต่อสู้นองเลือดคงมิอาจหลีกเลี่ยงพ้นแล้ว

หลี่ฝางเองก็สังเกตเห็นความกระหายในสายตาของคางคกตัวนี้ จึงแอบถอนใจ แล้วเอ่ยกับคางคกด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่

“ตอนแรกพวกเราก็ไม่อยากต่อสู้กับแกหรอก แต่ใครให้แกเป็นส่วนผสมทำยาของฉันเล่า ดูท่าฉันคงต้องส่งแกเดินทางครั้งสุดท้ายแล้ว”

เมื่อกล่าวจบประโยค หลี่ฝางก็ออกแรงที่เท้าแล้วพุ่งทะยานไปยังคางคกตัวนั้น กู่ยี่เทียนก็ตามหลังไปติดๆ

บนท้องฟ้าปรากฏเพียงเงาของทั้งสองร่าง การต่อสู้ทำให้คางคกส่งเสียงร้องกระหึ่ม คางคกที่มีชีวิตมากว่าพันปีย่อมมีจิตรับรู้ เมื่อเห็นว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ฝางก็พ่นไอพิษออกมาแล้วรีบมุดลงไปในบึงน้ำ

“แย่แล้ว มันกำลังจะหนี! รีบจับขามันไว้เร็วเข้า!” กู่ยี่เทียนรีบตะโกนร้อง เมื่อเห็นคางคกมุดลงไปในบึงน้ำได้ครึ่งตัว

“คิดหนี? ฉันอนุญาตรึยัง!” คางคกนั้นว่องไวมาก แต่ยังคงเร็วไม่เท่าหลี่ฝางกับกู่ยี่เทียน

พวกเขาทั้งสองช่วยกันดึงขาหลังข้างหนึ่งของคางคกขึ้นมา คางคกที่มุดลงไปในบึงน้ำได้ครึ่งตัวก็ถูกดึงกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

พวกหลี่ฝางได้โยนคางคกลงกระแทกกับพื้นดังตึ้ง เสียงกระแทกซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้โคลนสาดกระเซ็น คางคกถูกเหวี่ยงจนขาทั้งสี่ข้างชี้ฟ้าโด่ เผยหน้าท้องสีขาวให้พวกหลี่ฝางมีโอกาสได้เห็น

เมื่อเหยื่อตกอยู่ในมือแล้วก็ไร้เหตุผลที่จะปล่อยไป หลี่ฝางแหวกท้องคางคกด้วยมือเปล่า แล้วควักเอาอวัยวะด้านในออกมาจากตัวของมัน

หลังจากคางคกถูกแหวกท้องแล้วก็ดิ้นพล่านอยู่สองสามทีก่อนจะหมดลมหายใจไป เมื่อเสี่ยวหลินตังเห็นมันตายอย่างน่าเวทนาเช่นนั้นก็คลื่นไส้อาเจียนอยู่อีกด้านหนึ่ง

ส่วนไขจี๋เออกับ ไขบู๊เกอก็กำลังถกเถียงกันอยู่ว่า เนื้อของคางคกตัวนี้จะกินได้หรือไม่

“อูหลิง นี่คืออวัยวะของมันใช่หรือไม่” หลี่ฝางมองสิ่งที่มีขนาดเท่าไข่ห่านและมีสีเขียวมรกตในมือ แล้วเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ

ตอนนี้อูหลิงกำลังหาของมีค่าอย่างอื่นด้านในตัวของคางคก แล้วหันไปเหลือบมองไข่มุกสีเขียวในมือของหลี่ฝางคร่าวๆ แล้วก็พยักหน้าอย่างครุ่นคิด

“ถูกต้อง คางคกตัวนี้มีชีวิตอยู่มาไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันปี อวัยวะภายในจึงหลอมรวมกันเป็นมุกทิพย์ วันนี้ถือเป็นคราวซวยของมันที่ได้มาเจอพวกนาย มันต้องบำเพ็ญตบะมาหลายร้อยปีกว่าจะได้กลายเป็นภูต”

ภูตคืออะไร? เป็นครั้งแรกที่พวกหลี่ฝางได้ยินคำๆ นี้

“พวกนายไม่รู้จักคำว่าภูตหรอกหรือ” อูหลิงหันมามองทุกคนที่กำลังจ้องมาที่ตนอย่างสับสนแล้วกล่าวอธิบาย

“ไม่รู้” หลี่ฝางส่ายหน้าแล้วตอบตามตรง

เขาเพิ่งเป็นนักรบได้เพียงไม่กี่ปี เรื่องราวที่เกี่ยวกับการรบก็ยังไม่ทันจะเข้าใจถ่องแท้ แล้วจะให้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับภูตได้อย่างไร

“คำว่าภูตนั้นหมายถึงสัตว์ธรรมดาที่ผ่านการบำเพ็ญตบะมาเป็นเวลานาน เหตุในการบำเพ็ญตบะนั้นไม่ต่างจากนักรบอย่างพวกเรา เพียงแค่ไม่ได้มีระดับขั้นมากเท่าพวกเราก็เท่านั้น”

กู่ยี่เทียนเคยอ่านเรื่องราวที่เกี่ยวกับภูตมาบ้าง เมื่อเขาเห็นหลี่ฝางกับพวกมีสีหน้าล่องลอยจึงอาสาเล่าเรื่องให้พวกหลี่ฝางฟังเอง

“สรรพสัตว์บนโลกใบนี้เมื่อได้ดูดซับพลังจากตะวันและจันทรา ก็จะสามารถเลื่อนขั้นขึ้นไปเป็นสัตว์ในระดับขั้นที่สูงขึ้นได้ ทว่าความเป็นไปได้ต่ำมาก ในบรรดามนุษย์ที่มีพรสวรรค์ย่อมสามารถเป็นนักรบได้ และในบรรดานักรบที่มีพรสวรรค์มากกว่าก็สามารถเลื่อนขั้นไปสู่เขตแดนที่สูงกว่าได้”

“ในบรรดาสัตว์ก็ปรากฏเรื่องเช่นนี้เหมือนกัน แต่พวกมันจะเลื่อนขั้นยากกว่ามนุษย์หลายเท่าตัว แถมเวลาที่ใช้ในการบำเพ็ญตบะก็ยาวนานกว่ามนุษย์ โดยมากแล้วต้องใช้เวลามากกว่าพันปีกว่าจะได้เลื่อนขั้น”

“สัตว์ธรรมดาที่ได้ดูดซับพลังงานจากตะวันและจันทราจนได้เลื่อนขั้นแล้ว จะถูกเรียกขานว่าภูต สติปัญญาและความรู้ของภูตจะได้รับการยกระดับขึ้นมาก ถึงขั้นสามารถนำไปเปรียบเทียบกับเด็กอายุสิบขวบได้เลย”

“และเมื่อพ้นระดับภูตขึ้นไปแล้ว ก็ยังมีสัตว์เซียน สัตว์เซียนสามารถพูดภาษามนุษย์ได้ สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ สติปัญญาเทียบเท่ากับมนุษย์วัยผู้ใหญ่ และหลังจากเป็นสัตว์เซียนก็ยังมีสัตว์เทพ สัตว์เทพไม่เพียงพูดได้เท่านั้น แต่ยังสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ด้วย”

“ประเทศจีนของพวกเรามีการร่ำลือสืบต่อกันมาตั้งแต่โบราณแล้วว่า มังกรกับหงสาถือเป็นสัตว์เทพ แต่อันที่จริงแล้วไม่ถูกต้อง พวกมังกรกับหงสานั้นมีพรสวรรค์มากกว่าสัตว์ธรรมดาทั่วไปมากนัก ทำให้พวกมันบำเพ็ญตบะได้ง่ายกว่าสัตว์ธรรมดามาก”

“ตั้งแต่โลกถือกำเนิดขึ้น มีเพียงมังกรและหงสาเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถเลื่อนขั้นเป็นสัตว์เทพได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นนักรบหรือสัตว์ เมื่อกลายเป็นเทพแล้วจะไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของมนุษย์ได้ ดังนั้นเรื่องราวของเทพกับสัตว์เทพจึงกลายเป็นเพียงตำนานเท่านั้น”

หลังจากได้ฟังเรื่องเล่าจากปากของกู่ยี่เทียน หลี่ฝางรู้สึกราวกับตนได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ ตั้งแต่เล็กจนโต เขาเข้าใจผิดมาตลอดว่ามังกรกับหงสา ไหนจะพวกสัตว์อย่างหงส์แดงและเต่าดำเป็นเพียงสัตว์ประหลาดที่คนโบราณแต่งขึ้นมาเองเท่านั้น

นึกไม่ถึงเลยว่าพวกมันจะมีตัวตนอยู่จริงๆ เป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการอย่างยิ่ง

“พวกแกเป็นใคร ถึงกล้าบุกเข้ามาในเขตแดนเผ่ากู่ของพวกเรา” และในช่วงเวลานั้นเอง กลุ่มคนสวมชุดดำและมีรอยสักประหลาดบนร่างก็ได้เข้ามาล้อมพวกหลี่ฝางเอาไว้

“คุณชายน้อยอูหลิง? เหตุใดถึงไปอยู่กับคนพวกนั้นได้” สตรีค่อนข้างสูงวัยที่นำอยู่ด้านหน้าเมื่อเห็นอูหลิง ก็เอ่ยถามขึ้นอย่างประหลาดใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+