Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ 30.5 ตอนยาวพิเศษ : เหตุประท้วงบนทวิสุริยันจันทราและที่อื่น)

Now you are reading Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ Chapter 30.5 ตอนยาวพิเศษ : เหตุประท้วงบนทวิสุริยันจันทราและที่อื่น) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ณ วิหารหินอ่อนขาวอันเป็นที่พำนักของเทพสูงสุดสุริทรา
“เราไม่ยอม !”
“เราไม่ยอม !”
“ใช่ เราไม่ยอม !”
แล้วเทพผู้ชี้นำนับร้อยจากเผ่าจันทราก็ยกแถบผ้าอาคมของตัวเองชูขึ้นเหนือศีรษะโดยพร้อมเพรียงกัน มีข้อความหลากหลายที่ปรากฏอยู่บนนั้น อาทิเช่น
‘เต็งหนึ่งออกไป’
‘สุริยันขี้โกง’
‘เราไม่ยอม’
‘โลกต้องเปลี่ยนแปลง’
เป็นต้น
พวกเขารวมตัวกันมาชุมนุมประท้วงที่หน้าวิหารของท่านเทพสูงสุดเป็นเวลา 10 วัน 10 คืนแล้ว เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ตนเองและเรียกร้องความสมดุลกลับมาสู่โลก
“ใจเย็นก่อนทุกท่าน ตอนนี้เทพผู้นำสภาสุริยันและเทพผู้นำสภาจันทรากำลังปรึกษาหารือกับท่านเทพสูงสุดอยู่ พวกเราควรแยกย้ายกันไปก่อน”
เทพชราจากฝ่ายสุริยันลอยตัวสูงกลางอากาศเพื่อไกล่เกลี่ยให้ความวุ่นวายนี้จบลงโดยเร็ว เบื้องล่างของเขามีเทพผู้ชี้นำฝ่ายสุริยันอีกนับร้อยที่มาช่วยต้านการชุมนุม
“พอได้แล้ว ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก”
“ใช่ เราไม่ยอม !”
“เราไม่ยอม !”
“เราไม่ยอม !”
แล้วเสียงเซ็งแซ่ของเหล่าเทพผู้ชี้นำฝ่ายจันทราก็ยังคงดังก้องต่อไป
ภายในวิหารท่านเทพสูงสุดก็กำลังมีการประชุมกันอย่างเคร่งเครียดเช่นกัน องค์ประชุมมีเพียง 4 เทพเท่านั้น ได้แก่ ท่านเทพสูงสุดที่มีครึ่งซ้ายเป็นชายครึ่งขวาเป็นหญิง เทพผู้นำสภาสุริยัน เทพผู้นำสภาจันทรา และเทพพยากรณ์
“ท่านได้ยินเสียงจากข้างนอกแล้วใช่ไหม สุดท้ายเทพผู้นำฝึกหัดของสุริยันก็ทำให้เกิดเรื่องบานปลายจนได้”
เทพผู้นำสภาจันทราถอนหายใจออกมาก่อนจะเสกกระดาษข้อมูลจำนวนมากให้ปรากฏออกมากลางโต๊ะประชุม จากนั้นเขาก็สาธยายเรื่องราวทั้งหมด
“เนื่องจากการประชุมคราวที่แล้วท่านเทพสูงสุดได้ตัดสินว่าเทพผู้ชี้นำฝึกหัดเต็งหนึ่งไม่มีความผิด พวกเราจึงปล่อยไป แต่เราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พวกเราเฝ้าติดตามดูมนุษย์คนนั้นอย่างใกล้ชิดเพื่อศึกษาผลดีและผลเสีย แต่สุดท้าย…มนุษย์ผู้นั้นพัฒนาความแข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างก้าวกระโดดเกินไป
พวกท่านอ่านดูจากข้อมูลนี้ได้ นี่เป็นรายละเอียดเปรียบเทียบระดับประสบการณ์ของเขากับสัตว์อสูรทั้งหมดที่เขาฆ่าไป รวมถึงสถิติการต่อสู้กับมนุษย์ด้วยกัน พวกมันล้วนมากเกินไป นี่เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เขาจะทำให้โลกมนุษย์เสียสมดุลในวันหนึ่ง พวกเราจึงต้องมาคัดค้านให้เรื่องนี้ยุติลงเสียที เราต้องริบความสามารถในการใช้แท็บเล็บนั่นซะ”
“ท่านพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก เชิญทุกท่านดูข้อมูลจากข้าหน่อยเป็นไร”
เมื่อกล่าวจบเทพผู้นำสภาสุริยันก็เสกกระดาษข้อมูลอีกปึกหนึ่งลงบนโต๊ะด้วยเช่นกัน เขาก็เตรียมตัวมาอย่างดีเช่นกัน
“นี่คือข้อมูลเปรียบเทียบปริมาณการบริโภควัตถุดิบล้ำค่าของมนุษย์ทั้งสามแคว้น”
เทพผู้นำสภาสุริยันหยุดเว้นชั่วขณะเพื่อให้เทพทั้งสามได้มีเวลาพิจารณาข้อมูล เมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วเขาจึงพูดต่อ
“พวกท่านคงเห็นแล้วว่าปริมาณวัตถุดิบล้ำค่าที่เหนือภพซื้อมาจากแท็บเล็ตนั้นเทียบไม่ได้เลยกับปริมาณที่มนุษย์ชั้นสูงในหลาย ๆ เมืองได้กินเข้าไป นี่ พวกท่านดูที่หน้านี้ มนุษย์ชั้นสูงที่มีกำลังทรัพย์และอำนาจไม่ว่าจะเป็นผู้มีพรสวรรค์หรือผู้ไร้พรสวรรค์ก็ตาม พวกเขาต่างสรรหาวัตถุดิบล้ำค่ามากินกันแทบทุกวัน แต่สำหรับเหนือภพแล้ว เขาซื้อจากแท็บเล็ตเพียงไม่กี่ชิ้นในรอบ 6 ปีของโลกมนุษย์
ดังนั้นคำกล่าวอ้างที่ว่าเหนือภพทำให้โลกมนุษย์เสียสมดุล เป็นคำกล่าวอ้างที่เลื่อนลอย ข้าว่าเหล่ามนุษย์ภายใต้การชี้นำของพวกท่านไร้ความสามารถในการพัฒนาตนมากกว่า เหนือภพจึงดูโดดเด่นขึ้นมาได้”
เทพผู้นำสภาสุริยันละเว้นคำพูดที่เกี่ยวกับมนุษย์คนอื่นภายใต้การชี้นำของพวกสุริยัน ที่แม้จะเป็นผู้มีพรสวรรค์เกือบทั้งหมด แต่ก็ยังไม่สามารถพัฒนาตนจนก้าวกระโดดอย่างเหนือภพได้
“แต่เขามีทักษะแบบผู้ไร้พรสวรรค์ มีเหล็กไหลราชันย์พิภพไหลเวียนในกาย มียันต์อาคมยักษ์สามตน มีวิชาการต่อสู้พหุยุทธ์ แถมยังมีแท็บเล็ตที่สามารถซื้อของชั้นเลิศได้ตลอดเวลา นั่นสมควรแล้วหรือ”
“ท่านต้องการอะไรกันแน่”
“ริบแท็บแล็ตคืนซะ”
“จะทำได้อย่างไร เมื่อผู้ชี้นำมอบความสามารถให้แก่มนุษย์แล้วไม่อาจเรียกคืนได้”
“ถ้าเช่นนั้นก็…”
“หยุดเถิด ท่านทั้งสอง”
นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านเทพสูงสุดแย้มโอษฐ์เอ่ยออกมา ท่านรับรู้และรับฟังมามากพอแล้ว แม้ว่าฝ่ายสุริยันและฝ่ายจันทราจะชอบทะเลาะวิวาทกันเป็นประจำ แต่ท่านก็พร้อมไกล่เกลี่ยและช่วยตัดสินด้วยรอยยิ้มประดับใบหน้าเสมอ
“ข้าเห็นควรให้เทพพยากรณ์ได้เพ่งจิตดูว่า เรื่องนี้สำคัญมากน้อยแค่ไหน เชิญ”
จากนั้นท่านเทพสูงสุดก็ผายมือให้เทพพยากรณ์ที่มีภาพลักษณ์เป็นหญิงชราได้เริ่มทำการพยากรณ์ ดวงแก้วแสงสว่างดวงหนึ่งลอยออกมาจากฝ่ามือของท่านเทพสูงสุดแล้วมันก็ลอยหายลับเข้าไปยังจุดกึ่งกลางหน้าผากของเทพพยากรณ์
เทพพยากรณ์หลับตาเหี่ยวย่นลงทันที เพียงเสี้ยววินาทีต่อมาเธอก็ขมวดคิ้ว หยาดเหงื่อเริ่มซึมออกมาเต็มใบหน้าและลำคอ อาการเช่นนี้มักเป็นอาการยามที่เธอเห็นนิมิตแห่งลางร้าย เทพผู้นำทั้งสองฝ่ายเห็นเช่นนั้นก็เริ่มมีอาการไม่สู้ดี ส่วนท่านเทพสูงสุดยังคงรักษาความสงบบนใบหน้าไว้ได้
จู่ ๆ เทพพยากรณ์ก็เหลือกตาขึ้นสูง แววตาเลื่อนลอยขณะเอ่ยคำพยากรณ์
“ผืนดินครืนครั่นคล้าย ปริแตก ฤาลาง
สัตว์เก่าเผ่าแผกแทรก เคลื่อนย้าย
มิให้ก่อกวนแยก ต้านร่วม กันนา
เพียงร่วมหัวจมท้าย เรื่องร้ายรอดเอย”
สิ้นคำพยากรณ์เธอก็ฟุบก้มหน้า สติคืนกลับมาดังเดิม เมื่อเทพสูงสุดเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยถามอย่างผ่อนคลายว่า
“ท่านเห็นอะไรบ้าง เทพพยากรณ์”
“เรียนท่านเทพสูงสุด ข้าเห็นจักรวาลอันกว้างใหญ่ ณ ที่ห่างไกล เมฆหมอกแห่งความมืดกำลังพัดย้อนหวนมาหาเรา”
เทพสูงสุดยังคงนิ่งเฉย แต่เทพผู้นำสภาสุริยันและเทพผู้นำสภาจันทรากลับมีท่าทีตรงกันข้าม พวกเขาทั้งสองมองสบตากันขณะเอ่ยทวนคำพยากรณ์
“หรือว่า สัตว์เก่าเผ่าแผก นั้นจะเป็นพวกอสูรงั้นหรอ”
“พวกนั้นจะกลับมาอีกทำไม”
เทพสูงสุดสุริทราปิดดวงเนตรชั่วครู่ เพื่อเพ่งหาความเป็นจริงของเรื่องนี้
อสูร ในความเข้าใจของดินแดนทวิสุริยันจันทราคือสิ่งมีชีวิตจำพวกหนึ่งที่สามารถแบ่งแยกรูปลักษณ์ได้หลากหลายเผ่า เช่น อสูรวัว ก็จะมีรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่มีหัวเหมือนวัว อสูรหมี ก็จะมีรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่มีหัวเหมือนหมี แต่สิ่งที่พวกเขามีเหมือนกันก็คือสติปัญญาและความแข็งแกร่ง
พวกเขามีสติปัญญาสามารถคิดคำนวณได้เหมือนมนุษย์ หรืออาจจะเหนือกว่าในบางแง่ด้วยซ้ำ เนื่องจากเผ่าพันธุ์อสูรมีการคิดค้นและพัฒนาวิทยาการได้ล้ำหน้าเผ่าพันธุ์อื่น ๆ จนสามารถเดินทางข้ามดวงดาวได้
แต่พวกเขาก็มีข้อเสีย และเป็นข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้ปั่นป่วนไปทั้งจักรวาล นั่นคือ การขยายพันธุ์
อสูรเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีการสืบพันธุ์และอัตราการเกิดสูงมาก มากจนถึงขั้นที่ว่าดาวเคราะห์ทั้งดวงไม่มีพื้นที่และทรัพยากรเพียงพอสำหรับประชากรอสูรทั้งหมด นั่นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อสูรแบ่งประชากรของตัวเองไปอยู่ตามดาวเคราะห์ต่าง ๆ ที่พอจะอยู่อาศัยได้ แม้จะเกิดความขัดแย้งกับสิ่งมีชีวิตดั้งเดิม แต่สุดท้ายอสูรก็มักเป็นผู้ชนะ และสามารถกวาดล้างสิ่งมีชีวิตดั้งเดิมทิ้งไป
นานหลายล้านปีมาแล้วที่อสูรเคยพากันเดินทางมาที่โลกของบุตรแห่งสุริทรา โลกที่เหนือภพอยู่อาศัย แต่ในครั้งนั้นเหล่าเทพสุริยันจันทราและมนุษย์ได้ร่วมมือกันต่อต้าน จนสามารถปิดเส้นทางมิติที่อสูรใช้เดินทางผ่าน โลกนี้จึงเหลือรอดมาได้
อสูรส่วนใหญ่จึงล่าถอยกลับไปหาดาวดวงอื่นอยู่อาศัยแทน แต่กลับมีอสูรบางส่วนเหลือรอดอยู่บนโลกใบนี้ นานวันเข้าอสูรก็เริ่มผสมพันธุ์กับสัตว์ท้องถิ่นของโลกจนกลายเป็นสัตว์อสูรมากมาย
ในปัจจุบันนี้เหลือเพียงสัตว์อสูรที่ไร้สติปัญญา สายเลือดของอสูรค่อย ๆ จางลง ส่วนสัญชาตญาณแบบสัตว์ป่าก็ค่อย ๆ คืนกลับมา เหล่าสัตว์อสูรจึงดุร้าย ทั้งชีวิตรู้จักแต่เพียงกิน นอน สืบพันธุ์ ฆ่า และก็เอาตัวรอด มีสัตว์อสูรส่วนน้อยมาก ๆ ที่ยังคงระดับสติปัญญาไว้ได้ แต่พวกนี้มักจะแข็งแกร่งมากและเก็บตัวหลีกเร้นจากความวุ่นวาย
เทพสูงสุดยังคงเพ่งต่อไปท่ามกลางความเงียบ
ตอนนี้เผ่าอสูรได้ยึดครองดวงดาวเกือบทั้งหมดในจักรวาลแล้ว และพวกเขายังคงมุ่งหน้ายึดครองต่อไป เพราะประชากรล้นอีกแล้ว ทว่าพวกเขากลับติดแนวต้านแนวหนึ่งที่ไม่อาจไปต่อ ที่นั่นคือโลกแห่งทางช้างเผือก
โลกแห่งทางช้างเผือก เป็นดาวเคราะห์ดวงเล็กที่อยู่ไกลจากที่นี่มาก ที่นั่นมีมนุษย์และสัตว์อยู่อาศัยเฉกเช่นเดียวกัน แม้มนุษย์ที่นั่นจะอ่อนแอ ไร้พลังอาคม ไร้กำลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง วิทยาการก็พอมีบ้างแต่ก็ไม่อาจเทียบเท่าเผ่าอสูรได้ แล้วเหตุใดอสูรจึงยังมิอาจยึดครองพวกเขา
นั่นเป็นเพราะมนุษย์โลกแห่งทางช้างเผือกมีความเชื่อ ความเคารพและความศรัทธาต่อเทพเจ้าอย่างเข้มข้น หากนับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์มนุษย์ พวกเขาก็มีการกราบไว้บูชาเทพเจ้ามากมายนับพันนับหมื่นองค์แล้ว
ไม่มีผู้ใดรู้แน่ชัดว่าเพราะมีเทพเจ้าจึงมีความเชื่อ หรือเพราะมีความเชื่อจึงมีเทพเจ้า สองสิ่งนี้เกี่ยวพันกันอย่างลึกล้ำ แต่ที่แน่ ๆ คือความเชื่อและความศรัทธาอย่างแรงกล้าเหล่านี้ก่อให้เกิดพลังปาฏิหาริย์ได้
ดังนั้นมวลพลังงานศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ปกคลุมโลกใบนั้นไว้จึงแข็งแกร่งมาก ยากที่เผ่าอสูรจะฝ่าเข้าไปได้
จะว่าไปก็ถือเป็นเรื่องแปลก มนุษย์โลกแห่งทางช้างเผือกต่างพยายามและใฝ่ฝันอยากพบเจอกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พวกเขาทำกลับเป็นการผลักไสสิ่งมีชีวิตนั้นออกไป นับเป็นโชคดีเพราะความบังเอิญโดยแท้
แต่พวกเขาสิจะโชคร้าย เมื่อเผ่าอสูรไปต่อไม่ได้ พวกมันก็จะย้อนกลับมาหาดาวดวงเดิมที่ยังเหลืออยู่ อีกไม่นานมันจะกลับมาชิงพื้นที่อีกครั้ง
เทพสูงสุดสุริทราลืมดวงเนตรขึ้นมา พร้อมกับส่งยิ้มอ่อนโยนให้เทพผู้นำทั้งสองและเทพพยากรณ์
“พวกท่านมีอะไรจะถามเทพพยากรณ์อีกมั๊ย”
เทพสูงสุดเอ่ยเพียงเท่านั้น ท่านไม่ได้บอกสิ่งที่รู้ทั้งหมดให้พวกเขาฟัง บางเรื่องก็ควรปล่อยไปตามครรลองของแต่ละชีวิต
“มีขอรับ”
“ท่านเทพพยากรณ์ สรุปว่าอสูรจะกลับมาอีกใช่ไหม”
“แล้วอสูรจะกลับมาเมื่อไหร่”
เมื่อเห็นว่าเทพผู้นำทั้งสองเริ่มร้อนใจ เทพพยากรณ์ชราจึงตอบอย่างอ่อนโยน หมายให้ทั้งสองสงบใจ
“ใช่ อสูรกำลังมา แต่ครั้งนี้พวกเรายังมีทางรอด หากพวกเราร่วมมือกันโดยไม่แบ่งแยกว่าใครคือสุริยัน ใครคือจันทรา”
เมื่อเทพผู้นำทั้งสองได้ยินเช่นนั้นก็มองสบตากันและกัน
“เห็นทีเรื่องนี้จะใหญ่กว่าที่คิด ในฐานะเทพผู้นำสภาสุริยันขอเสนอให้พวกเราไปตกลงกันในสภาใหญ่”
“ข้าเห็นด้วย”
เมื่อเห็นว่าเทพผู้นำทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้แล้ว เทพสูงสุดก็พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต
“เราไม่ยอม !”
“เราไม่ยอม !”
บรรยากาศภายนอกยังคงวุ่นวาย จนกระทั่งเทพผู้นำทั้งสองฝ่ายก้าวออกมาจากวิหาร
“ทุกท่านได้โปรดอยู่ในความสงบ ขอให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่สภากลางด้วย”
ในเมื่อเทพผู้นำสภาจันทราเอ่ยปากเองเช่นนั้น บรรดาผู้ประท้วงทั้งหลายจึงพากันสลายตัวไป
เทพผู้นำสภาสุริยันยืนมองเทพฝ่ายจันทราที่กำลังจากไปด้วยแววตาครุ่นคิด
“ท่านเต็งหนึ่ง”
“ครับ ผมมาแล้วครับ”
“จากเรื่องของมนุษย์ภายใต้การชี้นำของเจ้า มันนำพาไปสู่เรื่องที่ใหญ่กว่าแล้ว นั่นคือ…….”
จากนั้นเทพผู้นำสภาสุริยันก็เล่าเรื่องราวให้เต็งหนึ่งฟังอย่างละเอียด
“ไม่นะ ท่าน”
“อย่าเพิ่งตกใจไป เต็งหนึ่ง เรื่องแบบนี้พวกเราเคยผ่านมาแล้ว หากต้องเจออีกสักครั้งจะเป็นไรไป แต่เรื่องที่ข้าเป็นห่วงมากกว่าคือ ฝ่ายจันทราจะใช้ประเด็นของเด็กเหนือภพมาอ้าง เพื่อประโยชน์อย่างอื่นของพวกเขา เรื่องนี้เจ้าจะว่าอย่างไร”
เต็งหนึ่งนิ่งไปชั่วครู่
“ถ้าหากว่าพวกเขาคิดว่าเหนือภพพัฒนาได้ไวเกินไป ผมก็จะเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ รับรองว่าพวกเขาจะคัดค้านไม่ได้อีกครับ”
“กลยุทธ์มันคืออะไรหรือ”
เทพผู้นำสภาสุริยันขมวดคิ้วถามทันทีเมื่อได้ยินคำพูดประหลาด
“คือยังงี้ครับท่าน ผมเคยเรียนรู้เรื่องการเป็นผู้บริหารในองค์กรใหญ่มาบ้าง ดังนั้นผมจึงลองนำมาฝึกบริหารมนุษย์ภายใต้การชี้นำ เผื่อในอนาคตผมมีมนุษย์ภายใต้การดูแลมากขึ้น ผมจะได้ช่วยชี้นำพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกลยุทธ์ระดับกลุ่มองค์กรมีอยู่สี่อย่างคือ กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการเจริญเติบโต กลยุทธ์การรักษาเสถียรภาพ กลยุทธ์การถอนตัว และกลยุทธ์ผสมผสาน”
เทพผู้นำสภาสุริยันเริ่มตาลอย ในขณะที่เต็งหนึ่งยังคงอธิบายต่อไปอย่างตื่นเต้น
“ตอนแรกผมใช้กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการเจริญเติบโต แต่ตอนนี้ผมจะเปลี่ยนมาใช้ กลยุทธ์การรักษาเสถียรภาพ มันเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะจะนำมาประยุกต์ใช้กับการพัฒนามนุษย์แบบไม่ให้ก้าวกระโดด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญมากนัก แต่เป็นแบบเรื่อย ๆ ค่อยเป็นค่อยไป
ความจริงแล้วกลยุทธ์รักษาเสถียรภาพมีการแบ่งแยกย่อยได้อีกสามกลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์การยับยั้ง กลยุทธ์การไม่เปลี่ยนแปลง และกลยุทธ์การทำกำไร แต่ผมจะใช้กลยุทธ์การยับยั้งผสมกับกลยุทธ์การไม่เปลี่ยนแปลง และก็อย่างอื่นอีกเล็กน้อย ให้เกิดเป็นรูปแบบเฉพาะของผมเอง”
เต็งหนึ่งยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกลิงโลด เขารู้ว่าเขาจะแก้ปัญหาได้อย่างแน่นอน โดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าเทพผู้นำสภาสุริยันกำลังใช้มือนวดขมับทั้งสองข้าง
“แล้วมันสรุปได้ว่ายังไง ขอสั้น ๆ ข้าจะได้นำไปเสนอในสภากลางได้”
เต็งหนึ่งยิ้มกว้างให้เทพผู้นำก่อนตอบคำถามอย่างสั้นกระชับ
“ผมจะจำกัดการซื้อสินค้าในแท็บแล็ตให้ลดน้อยลง เหนือภพยังสามารถซื้อได้เหมือนเดิม สุ่มดวงเหมือนเดิม แต่ข้าย่อมไม่ให้เขาเสียผลประโยชน์”
เต็งหนึ่งยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
“เข้าใจละ เจ้าไปได้ ไว้เจอกันที่สภากลาง”
“ครับ”
เมื่อเต็งหนึ่งเดินจากไป เทพผู้นำสภาสุริยันก็ถอนหายใจออกมา
‘เจ้านี่พูดอะไรก็ไม่รู้ปวดหัวเสียจริง ไม่รู้ไปร่ำเรียนมาจากอาจารย์คนไหนทำไมถึงได้ประหลาดนัก’
ย้อนคิดถึงครานั้น สภาสุริยันเกิดขาดแคลนเทพผู้ชี้นำ เขาจึงดึงดวงจิตจากดวงดาวที่ไกลแสนไกลมาช่วย แต่ไม่นึกว่าจะได้เทพผู้ชี้นำที่เพี้ยนแบบนี้
ณ ดวงจันทร์ไททัน
“ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าเราไม่ควรเสนอตัวมาอยู่ทัพหน้า”
สิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่มีหัวเหมือนกระต่ายบ่นพึมพำขณะกำลังขัดถูฐานสร้างประจุพลังงาน
“ใครจะไปรู้ว่าเรื่องจะกลายแบบนี้”
สิ่งมีชีวิตแบบเดียวกันแต่มีหัวเหมือนเต่าตอบกลับอย่างเซ็ง ๆ ขณะช่วยอสูรกระต่ายเติมเชื้อเพลิงเหลวใส่ช่องกระบอกโลหะ
“ทีนี้เราจะเอายังไงกันต่อล่ะ สภาอสูรคงไม่รับเรากลับเข้าตำแหน่งเดิมแน่”
“เราก็ทน ๆ รับโทษไปก่อนละกัน ยังไงตระกูลอสูรเต่าของข้าก็ยังพอมีเส้นสายอยู่ในสภาอสูรบ้าง พวกเราล้มเหลวครั้งเดียว มันไม่เป็นไรมากหรอกน่า”
“ก็จริง แต่ข้ายังสงสัยอยู่ว่าทำไมพวกเราถึงฝ่าทะลุเข้าไปไม่ได้”
“เจ้ากระต่ายโง่เอ๊ย สงสัยไปแล้วจะได้อะไร พวกเรามาช่วยกันคิดแผนการหาทางเข้าร่วมทัพในครั้งต่อไปดีกว่า ข้าได้ข่าวมาว่าสภาอสูรจะส่งทัพกลับไปยึดดาวเก่าแก่ดวงนั้น”
อสูรกระต่ายได้ยินดังนั้นก็ตบหัวอสูรเต่าดังฉาด
“ยัง ยังจะหาเรื่องเข้าตัวอีกเรอะ”
“เอ๊ะ เจ้านี่มัน..”
ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้ทะเลาะกันต่อ ก็มีเสียงเรียกจากนายทหารอสูรม้าเสียก่อน
“พวกเจ้าทั้งสองมานี่หน่อย มาช่วยเข็นแกนพลังงานเข้าไปที่ห้องประชุมหมายเลขหนึ่งหน่อย”
“รับทราบ !”
“รับทราบ !”
จากนั้นอสูรกระต่ายกับอสูรเต่าก็ช่วยกันเข็นแกนพลังงานไปด้วยความทุลักทุเล แม้ว่าพวกเขาจะแข็งแรงมาก แต่แกนพลังงานนี้มันไม่ธรรมดา เพราะมันคือแกนพลังงานของยานฝ่าทะลุห้วงมิติ มันจึงมีขนาดใหญ่มาก คือกว้าง 10 เมตร สูง 10 เมตร เป็นลูกบาศก์ผลึกสีฟ้าใสที่มีความสำคัญต่ออสูรทุกตนบนดาวดวงนี้ หากมันถูกทำลายหรือเกิดไม่ทำงานขึ้นมา พวกอสูรทุกตนก็จะไม่สามารถเดินทางออกจากที่นี่ได้
“นี่เจ้าเต่า ถ้าพวกเราได้เจอกับพวกท่านนายพล เจ้าต้องทำหน้านิ่ง ๆ ยืนตัวตรง ๆ ไว้นะ”
“ทำไมล่ะ”
“บร๊ะ ก็ท่านนายพลจะได้เห็นว่าพวกเรามีระเบียบวินัยน่าชื่นชม คราวหน้าเวลาเราไปสมัครร่วมทัพหน้า เราจะได้ผ่านยังไงล่ะ”
“ข้าไม่อยากไปแล้ว”
“แล้วเจ้าจะเอาเงินที่ไหนเลี้ยงลูกเต่าทั้ง 200 ตนนั้น”
“เออ นั่นสิ ลูกข้ายิ่งกินเก่งอยู่ด้วย”
“นั่นแหละ เจ้าจะมัวแต่พึ่งพาตระกูลไม่ได้ เจ้าต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง ส่วนข้าก็จะต้องหาเลี้ยงลูก ๆ เหมือนกัน ทำตามที่ข้าบอกเถอะ แล้วพวกเราจะได้เป็นคู่หูนายพลกันสักวันหนึ่ง”
“ได้”
พวกเขามาหยุดอยู่ที่หน้าประตูโลหะยักษ์บานหนึ่ง อสูรกระต่ายสอดนิ้วมือเข้าไปในช่องว่างหน้าประตูเพื่อสแกนพันธุกรรม ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีประตูก็เปิดออกโดยไม่ต้องมีใครคอยควบคุม
ภายในห้องประชุมหมายเลขหนึ่ง มีอสูรทหารยืนเรียงรายอยู่เกือบห้าสิบตน เมื่ออสูรกระต่ายกับอสูรเต่าเข็นแกนพลังงานไปไว้ที่กลางห้อง นายทหารทั้งหมดก็มายืนล้อมรอบแกนพลังงานเป็นวงกลม
“ช่วยดูให้หน่อยว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
นายพลอสูรพยัคฆ์ยืนยืดอกเอามือไขว้หลังขณะเอ่ยสั่งทีมวิจัยและซ่อมแซม ซึ่งประกอบไปด้วยวิศวกรอสูรบีเวอร์ นักวิทยาศาสตร์อสูรลิง และนักปราชญ์อสูรช้าง
อสูรบีเวอร์ในชุดเครื่องแบบนายช่างเดินไปก้ม ๆ เงย ๆ แล้วก็ช่วยอสูรลิงเอาเครื่องมือโลหะพิเศษบางอย่างตรวจวัดแกนพลังงาน ส่วนอสูรช้างนั้นเพียงสังเกตรายละเอียดอยู่ห่าง ๆ แล้วก็เปิดตำราประกอบการวิเคราะห์
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
“เรียนท่านนายพล ข้าคิดว่าแกนพลังงานน่าจะรวน”
“ขยายความคำว่า รวน หน่อย”
นายพลอสูรพยัคฆ์ยืนจ้องอสูรบีเวอร์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม อสูรบีเวอร์นิ่งไป เขาก็ไม่รู้จะขยายความอย่างไรให้ตรงกับสถานการณ์ตรงหน้า แต่ยังดีที่อสูรช้างช่วยพูดให้
“แกนพลังงานคงได้รับผลกระทบจากคลื่นพลังงานสีทองของโลกที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ดวงนั้น ในตอนนี้แกนพลังงานยังทำงานได้ เพียงแต่ว่ามันทำงานอย่างผิดปกติ”
เมื่ออสูรช้างเงียบไป อสูรลิงก็ช่วยเสริม
“พวกเราสามารถปรับจูนคลื่นพลังงานใหม่ได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย”
“ใช้เวลาเท่าไหร่”
“ราว ๆ สามเดือนขอรับ”
“ดี จัดการเลย”
ท่านนายพลพูดแค่นั้น แล้วก็หันหน้าไปสั่งการลูกน้องที่ยืนอยู่รายล้อม
“อสูรสิงโตเตรียมเสบียง อสูรจระเข้เตรียมยุทโธปกรณ์ทั้งหมด อสูรพิราบจัดเตรียมระบบสื่อสารให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา อสูรแมวป่าตรวจนับกำลังพลรอบสุดท้าย อสูรผึ้งเก็บข้าวของทั้งหมด อสูรบีเวอร์เตรียมยานพาหนะและเชื้อเพลิง ทุกอย่างต้องพร้อมภายในสามเดือนนี้ พวกเราจะเดินทางกลับไปรวมกับทัพใหญ่ที่ไอซี 1101”
จบคำสั่งของท่านนายพล ทุกคนก็ตอบรับด้วยเสียงดังก้องอย่างพร้อมเพรียงกัน
“รับทราบ !”
อสูรกระต่ายและอสูรเต่าลอบสบตากันแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ
เมื่อท่านนายพลสั่งแยกย้าย ทุกฝ่ายก็ต่างวิ่งวุ่นทำงานตามคำสั่ง หากตั้งจุดหมายไว้ที่ไอซี 1101 แล้วล่ะก็ เชื่อได้เลยว่ามันจะต้องเป็นการเดินทางที่ยาวนานเป็นปีแน่ เพราะมันอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณหมื่นปีแสง
“พวกเจ้ามานี่หน่อยสิ”
อสูรกระต่ายกับอสูรเต่าหันมาตามคำเรียกแล้วก็ชี้หน้าตัวเองอย่างงงงวย
“ใช่ พวกเจ้านั่นแหละ ยืนนิ่งอยู่ทำไม มาช่วยข้าคัดกรองจดหมายหน่อย”
“รับทราบ !”
“รับทราบ !”
‘ทำไมพวกเราถึงต้องตกอับเช่นนี้’
อสูรกระต่ายได้แต่เดินตามไปอย่างคอตก หน้าม่อย ใครกันนะที่ดันไปรู้เห็นวัฒนธรรมการส่งจดหมายด้วยกระดาษจากต่างเผ่าพันธุ์มา แถมยังตื่นเต้นอยากลองส่งจดหมายกลับไปหาครอบครัว แล้วใครกันที่ต้องลำบาก ก็พวกเขาไงล่ะ
“พวกเจ้าเปิดอ่านทุกแผ่นเลยนะ ถ้าไม่มีอะไรก็แยกไว้กองหนึ่ง แต่ถ้ามีใครเขียนถึงข้อมูลลับเฉพาะของกองทัพก็คัดออกเลย”
“รับทราบ !”
“รับทราบ !”
สี่ชั่วโมงผ่านไป
อสูรผู้ตกอับทั้งสองยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือกองกระดาษจดหมายที่สูงท่วมตัวจนเกือบถึงเพดานห้องแล้ว
“เจ้าพวกนี้นี่ยังไงนะ จะส่งข่าวด้วยวิธีปกติไม่ได้รึไง ลำแสงคลื่นเสียงน่ะ รู้จักมั๊ย”
“อย่าบ่นมากเลย เจ้ากระต่าย จะว่าไปการแอบอ่านเรื่องคนอื่นนี่ก็สนุกดีนะ”
“เจ้าเจอเรื่องอะไรน่าสนใจหรอ เจ้าเต่า”
“นี่ไง ท่านนายพลพยัคฆ์น่ะมีลูกคนที่ 455 แล้วนะ”
“ว้าว สุดยอดไปเลย ถ้าเราได้เป็นนายพลบ้างก็คงจะร่ำรวย มีเงินมากพอที่จะเลี้ยงลูกมากมาย”
“ใช่ เจ้ากระต่าย ข้าอยากมีลูกสัก 1,000 ตน”
“ชิ อ่อนหัด ข้าตั้งเป้าไว้สัก 1,500 ตนนู่น”
“ดี ฮ่า ๆ ๆ”
“ฮ่า ๆ”
แล้วทั้งสองก็กอดคอกันหัวเราะต่อไปอย่างบ้าคลั่ง ความหวัง ความฝันของเหล่าอสูรยังคงสดใสเสมอ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ 30.5 ตอนยาวพิเศษ : เหตุประท้วงบนทวิสุริยันจันทราและที่อื่น)

Now you are reading Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ Chapter 30.5 ตอนยาวพิเศษ : เหตุประท้วงบนทวิสุริยันจันทราและที่อื่น) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ณ วิหารหินอ่อนขาวอันเป็นที่พำนักของเทพสูงสุดสุริทรา
“เราไม่ยอม !”
“เราไม่ยอม !”
“ใช่ เราไม่ยอม !”
แล้วเทพผู้ชี้นำนับร้อยจากเผ่าจันทราก็ยกแถบผ้าอาคมของตัวเองชูขึ้นเหนือศีรษะโดยพร้อมเพรียงกัน มีข้อความหลากหลายที่ปรากฏอยู่บนนั้น อาทิเช่น
‘เต็งหนึ่งออกไป’
‘สุริยันขี้โกง’
‘เราไม่ยอม’
‘โลกต้องเปลี่ยนแปลง’
เป็นต้น
พวกเขารวมตัวกันมาชุมนุมประท้วงที่หน้าวิหารของท่านเทพสูงสุดเป็นเวลา 10 วัน 10 คืนแล้ว เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ตนเองและเรียกร้องความสมดุลกลับมาสู่โลก
“ใจเย็นก่อนทุกท่าน ตอนนี้เทพผู้นำสภาสุริยันและเทพผู้นำสภาจันทรากำลังปรึกษาหารือกับท่านเทพสูงสุดอยู่ พวกเราควรแยกย้ายกันไปก่อน”
เทพชราจากฝ่ายสุริยันลอยตัวสูงกลางอากาศเพื่อไกล่เกลี่ยให้ความวุ่นวายนี้จบลงโดยเร็ว เบื้องล่างของเขามีเทพผู้ชี้นำฝ่ายสุริยันอีกนับร้อยที่มาช่วยต้านการชุมนุม
“พอได้แล้ว ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก”
“ใช่ เราไม่ยอม !”
“เราไม่ยอม !”
“เราไม่ยอม !”
แล้วเสียงเซ็งแซ่ของเหล่าเทพผู้ชี้นำฝ่ายจันทราก็ยังคงดังก้องต่อไป
ภายในวิหารท่านเทพสูงสุดก็กำลังมีการประชุมกันอย่างเคร่งเครียดเช่นกัน องค์ประชุมมีเพียง 4 เทพเท่านั้น ได้แก่ ท่านเทพสูงสุดที่มีครึ่งซ้ายเป็นชายครึ่งขวาเป็นหญิง เทพผู้นำสภาสุริยัน เทพผู้นำสภาจันทรา และเทพพยากรณ์
“ท่านได้ยินเสียงจากข้างนอกแล้วใช่ไหม สุดท้ายเทพผู้นำฝึกหัดของสุริยันก็ทำให้เกิดเรื่องบานปลายจนได้”
เทพผู้นำสภาจันทราถอนหายใจออกมาก่อนจะเสกกระดาษข้อมูลจำนวนมากให้ปรากฏออกมากลางโต๊ะประชุม จากนั้นเขาก็สาธยายเรื่องราวทั้งหมด
“เนื่องจากการประชุมคราวที่แล้วท่านเทพสูงสุดได้ตัดสินว่าเทพผู้ชี้นำฝึกหัดเต็งหนึ่งไม่มีความผิด พวกเราจึงปล่อยไป แต่เราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พวกเราเฝ้าติดตามดูมนุษย์คนนั้นอย่างใกล้ชิดเพื่อศึกษาผลดีและผลเสีย แต่สุดท้าย…มนุษย์ผู้นั้นพัฒนาความแข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างก้าวกระโดดเกินไป
พวกท่านอ่านดูจากข้อมูลนี้ได้ นี่เป็นรายละเอียดเปรียบเทียบระดับประสบการณ์ของเขากับสัตว์อสูรทั้งหมดที่เขาฆ่าไป รวมถึงสถิติการต่อสู้กับมนุษย์ด้วยกัน พวกมันล้วนมากเกินไป นี่เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เขาจะทำให้โลกมนุษย์เสียสมดุลในวันหนึ่ง พวกเราจึงต้องมาคัดค้านให้เรื่องนี้ยุติลงเสียที เราต้องริบความสามารถในการใช้แท็บเล็บนั่นซะ”
“ท่านพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก เชิญทุกท่านดูข้อมูลจากข้าหน่อยเป็นไร”
เมื่อกล่าวจบเทพผู้นำสภาสุริยันก็เสกกระดาษข้อมูลอีกปึกหนึ่งลงบนโต๊ะด้วยเช่นกัน เขาก็เตรียมตัวมาอย่างดีเช่นกัน
“นี่คือข้อมูลเปรียบเทียบปริมาณการบริโภควัตถุดิบล้ำค่าของมนุษย์ทั้งสามแคว้น”
เทพผู้นำสภาสุริยันหยุดเว้นชั่วขณะเพื่อให้เทพทั้งสามได้มีเวลาพิจารณาข้อมูล เมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วเขาจึงพูดต่อ
“พวกท่านคงเห็นแล้วว่าปริมาณวัตถุดิบล้ำค่าที่เหนือภพซื้อมาจากแท็บเล็ตนั้นเทียบไม่ได้เลยกับปริมาณที่มนุษย์ชั้นสูงในหลาย ๆ เมืองได้กินเข้าไป นี่ พวกท่านดูที่หน้านี้ มนุษย์ชั้นสูงที่มีกำลังทรัพย์และอำนาจไม่ว่าจะเป็นผู้มีพรสวรรค์หรือผู้ไร้พรสวรรค์ก็ตาม พวกเขาต่างสรรหาวัตถุดิบล้ำค่ามากินกันแทบทุกวัน แต่สำหรับเหนือภพแล้ว เขาซื้อจากแท็บเล็ตเพียงไม่กี่ชิ้นในรอบ 6 ปีของโลกมนุษย์
ดังนั้นคำกล่าวอ้างที่ว่าเหนือภพทำให้โลกมนุษย์เสียสมดุล เป็นคำกล่าวอ้างที่เลื่อนลอย ข้าว่าเหล่ามนุษย์ภายใต้การชี้นำของพวกท่านไร้ความสามารถในการพัฒนาตนมากกว่า เหนือภพจึงดูโดดเด่นขึ้นมาได้”
เทพผู้นำสภาสุริยันละเว้นคำพูดที่เกี่ยวกับมนุษย์คนอื่นภายใต้การชี้นำของพวกสุริยัน ที่แม้จะเป็นผู้มีพรสวรรค์เกือบทั้งหมด แต่ก็ยังไม่สามารถพัฒนาตนจนก้าวกระโดดอย่างเหนือภพได้
“แต่เขามีทักษะแบบผู้ไร้พรสวรรค์ มีเหล็กไหลราชันย์พิภพไหลเวียนในกาย มียันต์อาคมยักษ์สามตน มีวิชาการต่อสู้พหุยุทธ์ แถมยังมีแท็บเล็ตที่สามารถซื้อของชั้นเลิศได้ตลอดเวลา นั่นสมควรแล้วหรือ”
“ท่านต้องการอะไรกันแน่”
“ริบแท็บแล็ตคืนซะ”
“จะทำได้อย่างไร เมื่อผู้ชี้นำมอบความสามารถให้แก่มนุษย์แล้วไม่อาจเรียกคืนได้”
“ถ้าเช่นนั้นก็…”
“หยุดเถิด ท่านทั้งสอง”
นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านเทพสูงสุดแย้มโอษฐ์เอ่ยออกมา ท่านรับรู้และรับฟังมามากพอแล้ว แม้ว่าฝ่ายสุริยันและฝ่ายจันทราจะชอบทะเลาะวิวาทกันเป็นประจำ แต่ท่านก็พร้อมไกล่เกลี่ยและช่วยตัดสินด้วยรอยยิ้มประดับใบหน้าเสมอ
“ข้าเห็นควรให้เทพพยากรณ์ได้เพ่งจิตดูว่า เรื่องนี้สำคัญมากน้อยแค่ไหน เชิญ”
จากนั้นท่านเทพสูงสุดก็ผายมือให้เทพพยากรณ์ที่มีภาพลักษณ์เป็นหญิงชราได้เริ่มทำการพยากรณ์ ดวงแก้วแสงสว่างดวงหนึ่งลอยออกมาจากฝ่ามือของท่านเทพสูงสุดแล้วมันก็ลอยหายลับเข้าไปยังจุดกึ่งกลางหน้าผากของเทพพยากรณ์
เทพพยากรณ์หลับตาเหี่ยวย่นลงทันที เพียงเสี้ยววินาทีต่อมาเธอก็ขมวดคิ้ว หยาดเหงื่อเริ่มซึมออกมาเต็มใบหน้าและลำคอ อาการเช่นนี้มักเป็นอาการยามที่เธอเห็นนิมิตแห่งลางร้าย เทพผู้นำทั้งสองฝ่ายเห็นเช่นนั้นก็เริ่มมีอาการไม่สู้ดี ส่วนท่านเทพสูงสุดยังคงรักษาความสงบบนใบหน้าไว้ได้
จู่ ๆ เทพพยากรณ์ก็เหลือกตาขึ้นสูง แววตาเลื่อนลอยขณะเอ่ยคำพยากรณ์
“ผืนดินครืนครั่นคล้าย ปริแตก ฤาลาง
สัตว์เก่าเผ่าแผกแทรก เคลื่อนย้าย
มิให้ก่อกวนแยก ต้านร่วม กันนา
เพียงร่วมหัวจมท้าย เรื่องร้ายรอดเอย”
สิ้นคำพยากรณ์เธอก็ฟุบก้มหน้า สติคืนกลับมาดังเดิม เมื่อเทพสูงสุดเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยถามอย่างผ่อนคลายว่า
“ท่านเห็นอะไรบ้าง เทพพยากรณ์”
“เรียนท่านเทพสูงสุด ข้าเห็นจักรวาลอันกว้างใหญ่ ณ ที่ห่างไกล เมฆหมอกแห่งความมืดกำลังพัดย้อนหวนมาหาเรา”
เทพสูงสุดยังคงนิ่งเฉย แต่เทพผู้นำสภาสุริยันและเทพผู้นำสภาจันทรากลับมีท่าทีตรงกันข้าม พวกเขาทั้งสองมองสบตากันขณะเอ่ยทวนคำพยากรณ์
“หรือว่า สัตว์เก่าเผ่าแผก นั้นจะเป็นพวกอสูรงั้นหรอ”
“พวกนั้นจะกลับมาอีกทำไม”
เทพสูงสุดสุริทราปิดดวงเนตรชั่วครู่ เพื่อเพ่งหาความเป็นจริงของเรื่องนี้
อสูร ในความเข้าใจของดินแดนทวิสุริยันจันทราคือสิ่งมีชีวิตจำพวกหนึ่งที่สามารถแบ่งแยกรูปลักษณ์ได้หลากหลายเผ่า เช่น อสูรวัว ก็จะมีรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่มีหัวเหมือนวัว อสูรหมี ก็จะมีรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่มีหัวเหมือนหมี แต่สิ่งที่พวกเขามีเหมือนกันก็คือสติปัญญาและความแข็งแกร่ง
พวกเขามีสติปัญญาสามารถคิดคำนวณได้เหมือนมนุษย์ หรืออาจจะเหนือกว่าในบางแง่ด้วยซ้ำ เนื่องจากเผ่าพันธุ์อสูรมีการคิดค้นและพัฒนาวิทยาการได้ล้ำหน้าเผ่าพันธุ์อื่น ๆ จนสามารถเดินทางข้ามดวงดาวได้
แต่พวกเขาก็มีข้อเสีย และเป็นข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้ปั่นป่วนไปทั้งจักรวาล นั่นคือ การขยายพันธุ์
อสูรเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีการสืบพันธุ์และอัตราการเกิดสูงมาก มากจนถึงขั้นที่ว่าดาวเคราะห์ทั้งดวงไม่มีพื้นที่และทรัพยากรเพียงพอสำหรับประชากรอสูรทั้งหมด นั่นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อสูรแบ่งประชากรของตัวเองไปอยู่ตามดาวเคราะห์ต่าง ๆ ที่พอจะอยู่อาศัยได้ แม้จะเกิดความขัดแย้งกับสิ่งมีชีวิตดั้งเดิม แต่สุดท้ายอสูรก็มักเป็นผู้ชนะ และสามารถกวาดล้างสิ่งมีชีวิตดั้งเดิมทิ้งไป
นานหลายล้านปีมาแล้วที่อสูรเคยพากันเดินทางมาที่โลกของบุตรแห่งสุริทรา โลกที่เหนือภพอยู่อาศัย แต่ในครั้งนั้นเหล่าเทพสุริยันจันทราและมนุษย์ได้ร่วมมือกันต่อต้าน จนสามารถปิดเส้นทางมิติที่อสูรใช้เดินทางผ่าน โลกนี้จึงเหลือรอดมาได้
อสูรส่วนใหญ่จึงล่าถอยกลับไปหาดาวดวงอื่นอยู่อาศัยแทน แต่กลับมีอสูรบางส่วนเหลือรอดอยู่บนโลกใบนี้ นานวันเข้าอสูรก็เริ่มผสมพันธุ์กับสัตว์ท้องถิ่นของโลกจนกลายเป็นสัตว์อสูรมากมาย
ในปัจจุบันนี้เหลือเพียงสัตว์อสูรที่ไร้สติปัญญา สายเลือดของอสูรค่อย ๆ จางลง ส่วนสัญชาตญาณแบบสัตว์ป่าก็ค่อย ๆ คืนกลับมา เหล่าสัตว์อสูรจึงดุร้าย ทั้งชีวิตรู้จักแต่เพียงกิน นอน สืบพันธุ์ ฆ่า และก็เอาตัวรอด มีสัตว์อสูรส่วนน้อยมาก ๆ ที่ยังคงระดับสติปัญญาไว้ได้ แต่พวกนี้มักจะแข็งแกร่งมากและเก็บตัวหลีกเร้นจากความวุ่นวาย
เทพสูงสุดยังคงเพ่งต่อไปท่ามกลางความเงียบ
ตอนนี้เผ่าอสูรได้ยึดครองดวงดาวเกือบทั้งหมดในจักรวาลแล้ว และพวกเขายังคงมุ่งหน้ายึดครองต่อไป เพราะประชากรล้นอีกแล้ว ทว่าพวกเขากลับติดแนวต้านแนวหนึ่งที่ไม่อาจไปต่อ ที่นั่นคือโลกแห่งทางช้างเผือก
โลกแห่งทางช้างเผือก เป็นดาวเคราะห์ดวงเล็กที่อยู่ไกลจากที่นี่มาก ที่นั่นมีมนุษย์และสัตว์อยู่อาศัยเฉกเช่นเดียวกัน แม้มนุษย์ที่นั่นจะอ่อนแอ ไร้พลังอาคม ไร้กำลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง วิทยาการก็พอมีบ้างแต่ก็ไม่อาจเทียบเท่าเผ่าอสูรได้ แล้วเหตุใดอสูรจึงยังมิอาจยึดครองพวกเขา
นั่นเป็นเพราะมนุษย์โลกแห่งทางช้างเผือกมีความเชื่อ ความเคารพและความศรัทธาต่อเทพเจ้าอย่างเข้มข้น หากนับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์มนุษย์ พวกเขาก็มีการกราบไว้บูชาเทพเจ้ามากมายนับพันนับหมื่นองค์แล้ว
ไม่มีผู้ใดรู้แน่ชัดว่าเพราะมีเทพเจ้าจึงมีความเชื่อ หรือเพราะมีความเชื่อจึงมีเทพเจ้า สองสิ่งนี้เกี่ยวพันกันอย่างลึกล้ำ แต่ที่แน่ ๆ คือความเชื่อและความศรัทธาอย่างแรงกล้าเหล่านี้ก่อให้เกิดพลังปาฏิหาริย์ได้
ดังนั้นมวลพลังงานศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ปกคลุมโลกใบนั้นไว้จึงแข็งแกร่งมาก ยากที่เผ่าอสูรจะฝ่าเข้าไปได้
จะว่าไปก็ถือเป็นเรื่องแปลก มนุษย์โลกแห่งทางช้างเผือกต่างพยายามและใฝ่ฝันอยากพบเจอกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พวกเขาทำกลับเป็นการผลักไสสิ่งมีชีวิตนั้นออกไป นับเป็นโชคดีเพราะความบังเอิญโดยแท้
แต่พวกเขาสิจะโชคร้าย เมื่อเผ่าอสูรไปต่อไม่ได้ พวกมันก็จะย้อนกลับมาหาดาวดวงเดิมที่ยังเหลืออยู่ อีกไม่นานมันจะกลับมาชิงพื้นที่อีกครั้ง
เทพสูงสุดสุริทราลืมดวงเนตรขึ้นมา พร้อมกับส่งยิ้มอ่อนโยนให้เทพผู้นำทั้งสองและเทพพยากรณ์
“พวกท่านมีอะไรจะถามเทพพยากรณ์อีกมั๊ย”
เทพสูงสุดเอ่ยเพียงเท่านั้น ท่านไม่ได้บอกสิ่งที่รู้ทั้งหมดให้พวกเขาฟัง บางเรื่องก็ควรปล่อยไปตามครรลองของแต่ละชีวิต
“มีขอรับ”
“ท่านเทพพยากรณ์ สรุปว่าอสูรจะกลับมาอีกใช่ไหม”
“แล้วอสูรจะกลับมาเมื่อไหร่”
เมื่อเห็นว่าเทพผู้นำทั้งสองเริ่มร้อนใจ เทพพยากรณ์ชราจึงตอบอย่างอ่อนโยน หมายให้ทั้งสองสงบใจ
“ใช่ อสูรกำลังมา แต่ครั้งนี้พวกเรายังมีทางรอด หากพวกเราร่วมมือกันโดยไม่แบ่งแยกว่าใครคือสุริยัน ใครคือจันทรา”
เมื่อเทพผู้นำทั้งสองได้ยินเช่นนั้นก็มองสบตากันและกัน
“เห็นทีเรื่องนี้จะใหญ่กว่าที่คิด ในฐานะเทพผู้นำสภาสุริยันขอเสนอให้พวกเราไปตกลงกันในสภาใหญ่”
“ข้าเห็นด้วย”
เมื่อเห็นว่าเทพผู้นำทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้แล้ว เทพสูงสุดก็พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต
“เราไม่ยอม !”
“เราไม่ยอม !”
บรรยากาศภายนอกยังคงวุ่นวาย จนกระทั่งเทพผู้นำทั้งสองฝ่ายก้าวออกมาจากวิหาร
“ทุกท่านได้โปรดอยู่ในความสงบ ขอให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่สภากลางด้วย”
ในเมื่อเทพผู้นำสภาจันทราเอ่ยปากเองเช่นนั้น บรรดาผู้ประท้วงทั้งหลายจึงพากันสลายตัวไป
เทพผู้นำสภาสุริยันยืนมองเทพฝ่ายจันทราที่กำลังจากไปด้วยแววตาครุ่นคิด
“ท่านเต็งหนึ่ง”
“ครับ ผมมาแล้วครับ”
“จากเรื่องของมนุษย์ภายใต้การชี้นำของเจ้า มันนำพาไปสู่เรื่องที่ใหญ่กว่าแล้ว นั่นคือ…….”
จากนั้นเทพผู้นำสภาสุริยันก็เล่าเรื่องราวให้เต็งหนึ่งฟังอย่างละเอียด
“ไม่นะ ท่าน”
“อย่าเพิ่งตกใจไป เต็งหนึ่ง เรื่องแบบนี้พวกเราเคยผ่านมาแล้ว หากต้องเจออีกสักครั้งจะเป็นไรไป แต่เรื่องที่ข้าเป็นห่วงมากกว่าคือ ฝ่ายจันทราจะใช้ประเด็นของเด็กเหนือภพมาอ้าง เพื่อประโยชน์อย่างอื่นของพวกเขา เรื่องนี้เจ้าจะว่าอย่างไร”
เต็งหนึ่งนิ่งไปชั่วครู่
“ถ้าหากว่าพวกเขาคิดว่าเหนือภพพัฒนาได้ไวเกินไป ผมก็จะเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ รับรองว่าพวกเขาจะคัดค้านไม่ได้อีกครับ”
“กลยุทธ์มันคืออะไรหรือ”
เทพผู้นำสภาสุริยันขมวดคิ้วถามทันทีเมื่อได้ยินคำพูดประหลาด
“คือยังงี้ครับท่าน ผมเคยเรียนรู้เรื่องการเป็นผู้บริหารในองค์กรใหญ่มาบ้าง ดังนั้นผมจึงลองนำมาฝึกบริหารมนุษย์ภายใต้การชี้นำ เผื่อในอนาคตผมมีมนุษย์ภายใต้การดูแลมากขึ้น ผมจะได้ช่วยชี้นำพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกลยุทธ์ระดับกลุ่มองค์กรมีอยู่สี่อย่างคือ กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการเจริญเติบโต กลยุทธ์การรักษาเสถียรภาพ กลยุทธ์การถอนตัว และกลยุทธ์ผสมผสาน”
เทพผู้นำสภาสุริยันเริ่มตาลอย ในขณะที่เต็งหนึ่งยังคงอธิบายต่อไปอย่างตื่นเต้น
“ตอนแรกผมใช้กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการเจริญเติบโต แต่ตอนนี้ผมจะเปลี่ยนมาใช้ กลยุทธ์การรักษาเสถียรภาพ มันเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะจะนำมาประยุกต์ใช้กับการพัฒนามนุษย์แบบไม่ให้ก้าวกระโดด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญมากนัก แต่เป็นแบบเรื่อย ๆ ค่อยเป็นค่อยไป
ความจริงแล้วกลยุทธ์รักษาเสถียรภาพมีการแบ่งแยกย่อยได้อีกสามกลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์การยับยั้ง กลยุทธ์การไม่เปลี่ยนแปลง และกลยุทธ์การทำกำไร แต่ผมจะใช้กลยุทธ์การยับยั้งผสมกับกลยุทธ์การไม่เปลี่ยนแปลง และก็อย่างอื่นอีกเล็กน้อย ให้เกิดเป็นรูปแบบเฉพาะของผมเอง”
เต็งหนึ่งยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกลิงโลด เขารู้ว่าเขาจะแก้ปัญหาได้อย่างแน่นอน โดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าเทพผู้นำสภาสุริยันกำลังใช้มือนวดขมับทั้งสองข้าง
“แล้วมันสรุปได้ว่ายังไง ขอสั้น ๆ ข้าจะได้นำไปเสนอในสภากลางได้”
เต็งหนึ่งยิ้มกว้างให้เทพผู้นำก่อนตอบคำถามอย่างสั้นกระชับ
“ผมจะจำกัดการซื้อสินค้าในแท็บแล็ตให้ลดน้อยลง เหนือภพยังสามารถซื้อได้เหมือนเดิม สุ่มดวงเหมือนเดิม แต่ข้าย่อมไม่ให้เขาเสียผลประโยชน์”
เต็งหนึ่งยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
“เข้าใจละ เจ้าไปได้ ไว้เจอกันที่สภากลาง”
“ครับ”
เมื่อเต็งหนึ่งเดินจากไป เทพผู้นำสภาสุริยันก็ถอนหายใจออกมา
‘เจ้านี่พูดอะไรก็ไม่รู้ปวดหัวเสียจริง ไม่รู้ไปร่ำเรียนมาจากอาจารย์คนไหนทำไมถึงได้ประหลาดนัก’
ย้อนคิดถึงครานั้น สภาสุริยันเกิดขาดแคลนเทพผู้ชี้นำ เขาจึงดึงดวงจิตจากดวงดาวที่ไกลแสนไกลมาช่วย แต่ไม่นึกว่าจะได้เทพผู้ชี้นำที่เพี้ยนแบบนี้
ณ ดวงจันทร์ไททัน
“ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าเราไม่ควรเสนอตัวมาอยู่ทัพหน้า”
สิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่มีหัวเหมือนกระต่ายบ่นพึมพำขณะกำลังขัดถูฐานสร้างประจุพลังงาน
“ใครจะไปรู้ว่าเรื่องจะกลายแบบนี้”
สิ่งมีชีวิตแบบเดียวกันแต่มีหัวเหมือนเต่าตอบกลับอย่างเซ็ง ๆ ขณะช่วยอสูรกระต่ายเติมเชื้อเพลิงเหลวใส่ช่องกระบอกโลหะ
“ทีนี้เราจะเอายังไงกันต่อล่ะ สภาอสูรคงไม่รับเรากลับเข้าตำแหน่งเดิมแน่”
“เราก็ทน ๆ รับโทษไปก่อนละกัน ยังไงตระกูลอสูรเต่าของข้าก็ยังพอมีเส้นสายอยู่ในสภาอสูรบ้าง พวกเราล้มเหลวครั้งเดียว มันไม่เป็นไรมากหรอกน่า”
“ก็จริง แต่ข้ายังสงสัยอยู่ว่าทำไมพวกเราถึงฝ่าทะลุเข้าไปไม่ได้”
“เจ้ากระต่ายโง่เอ๊ย สงสัยไปแล้วจะได้อะไร พวกเรามาช่วยกันคิดแผนการหาทางเข้าร่วมทัพในครั้งต่อไปดีกว่า ข้าได้ข่าวมาว่าสภาอสูรจะส่งทัพกลับไปยึดดาวเก่าแก่ดวงนั้น”
อสูรกระต่ายได้ยินดังนั้นก็ตบหัวอสูรเต่าดังฉาด
“ยัง ยังจะหาเรื่องเข้าตัวอีกเรอะ”
“เอ๊ะ เจ้านี่มัน..”
ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้ทะเลาะกันต่อ ก็มีเสียงเรียกจากนายทหารอสูรม้าเสียก่อน
“พวกเจ้าทั้งสองมานี่หน่อย มาช่วยเข็นแกนพลังงานเข้าไปที่ห้องประชุมหมายเลขหนึ่งหน่อย”
“รับทราบ !”
“รับทราบ !”
จากนั้นอสูรกระต่ายกับอสูรเต่าก็ช่วยกันเข็นแกนพลังงานไปด้วยความทุลักทุเล แม้ว่าพวกเขาจะแข็งแรงมาก แต่แกนพลังงานนี้มันไม่ธรรมดา เพราะมันคือแกนพลังงานของยานฝ่าทะลุห้วงมิติ มันจึงมีขนาดใหญ่มาก คือกว้าง 10 เมตร สูง 10 เมตร เป็นลูกบาศก์ผลึกสีฟ้าใสที่มีความสำคัญต่ออสูรทุกตนบนดาวดวงนี้ หากมันถูกทำลายหรือเกิดไม่ทำงานขึ้นมา พวกอสูรทุกตนก็จะไม่สามารถเดินทางออกจากที่นี่ได้
“นี่เจ้าเต่า ถ้าพวกเราได้เจอกับพวกท่านนายพล เจ้าต้องทำหน้านิ่ง ๆ ยืนตัวตรง ๆ ไว้นะ”
“ทำไมล่ะ”
“บร๊ะ ก็ท่านนายพลจะได้เห็นว่าพวกเรามีระเบียบวินัยน่าชื่นชม คราวหน้าเวลาเราไปสมัครร่วมทัพหน้า เราจะได้ผ่านยังไงล่ะ”
“ข้าไม่อยากไปแล้ว”
“แล้วเจ้าจะเอาเงินที่ไหนเลี้ยงลูกเต่าทั้ง 200 ตนนั้น”
“เออ นั่นสิ ลูกข้ายิ่งกินเก่งอยู่ด้วย”
“นั่นแหละ เจ้าจะมัวแต่พึ่งพาตระกูลไม่ได้ เจ้าต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง ส่วนข้าก็จะต้องหาเลี้ยงลูก ๆ เหมือนกัน ทำตามที่ข้าบอกเถอะ แล้วพวกเราจะได้เป็นคู่หูนายพลกันสักวันหนึ่ง”
“ได้”
พวกเขามาหยุดอยู่ที่หน้าประตูโลหะยักษ์บานหนึ่ง อสูรกระต่ายสอดนิ้วมือเข้าไปในช่องว่างหน้าประตูเพื่อสแกนพันธุกรรม ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีประตูก็เปิดออกโดยไม่ต้องมีใครคอยควบคุม
ภายในห้องประชุมหมายเลขหนึ่ง มีอสูรทหารยืนเรียงรายอยู่เกือบห้าสิบตน เมื่ออสูรกระต่ายกับอสูรเต่าเข็นแกนพลังงานไปไว้ที่กลางห้อง นายทหารทั้งหมดก็มายืนล้อมรอบแกนพลังงานเป็นวงกลม
“ช่วยดูให้หน่อยว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
นายพลอสูรพยัคฆ์ยืนยืดอกเอามือไขว้หลังขณะเอ่ยสั่งทีมวิจัยและซ่อมแซม ซึ่งประกอบไปด้วยวิศวกรอสูรบีเวอร์ นักวิทยาศาสตร์อสูรลิง และนักปราชญ์อสูรช้าง
อสูรบีเวอร์ในชุดเครื่องแบบนายช่างเดินไปก้ม ๆ เงย ๆ แล้วก็ช่วยอสูรลิงเอาเครื่องมือโลหะพิเศษบางอย่างตรวจวัดแกนพลังงาน ส่วนอสูรช้างนั้นเพียงสังเกตรายละเอียดอยู่ห่าง ๆ แล้วก็เปิดตำราประกอบการวิเคราะห์
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
“เรียนท่านนายพล ข้าคิดว่าแกนพลังงานน่าจะรวน”
“ขยายความคำว่า รวน หน่อย”
นายพลอสูรพยัคฆ์ยืนจ้องอสูรบีเวอร์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม อสูรบีเวอร์นิ่งไป เขาก็ไม่รู้จะขยายความอย่างไรให้ตรงกับสถานการณ์ตรงหน้า แต่ยังดีที่อสูรช้างช่วยพูดให้
“แกนพลังงานคงได้รับผลกระทบจากคลื่นพลังงานสีทองของโลกที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ดวงนั้น ในตอนนี้แกนพลังงานยังทำงานได้ เพียงแต่ว่ามันทำงานอย่างผิดปกติ”
เมื่ออสูรช้างเงียบไป อสูรลิงก็ช่วยเสริม
“พวกเราสามารถปรับจูนคลื่นพลังงานใหม่ได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย”
“ใช้เวลาเท่าไหร่”
“ราว ๆ สามเดือนขอรับ”
“ดี จัดการเลย”
ท่านนายพลพูดแค่นั้น แล้วก็หันหน้าไปสั่งการลูกน้องที่ยืนอยู่รายล้อม
“อสูรสิงโตเตรียมเสบียง อสูรจระเข้เตรียมยุทโธปกรณ์ทั้งหมด อสูรพิราบจัดเตรียมระบบสื่อสารให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา อสูรแมวป่าตรวจนับกำลังพลรอบสุดท้าย อสูรผึ้งเก็บข้าวของทั้งหมด อสูรบีเวอร์เตรียมยานพาหนะและเชื้อเพลิง ทุกอย่างต้องพร้อมภายในสามเดือนนี้ พวกเราจะเดินทางกลับไปรวมกับทัพใหญ่ที่ไอซี 1101”
จบคำสั่งของท่านนายพล ทุกคนก็ตอบรับด้วยเสียงดังก้องอย่างพร้อมเพรียงกัน
“รับทราบ !”
อสูรกระต่ายและอสูรเต่าลอบสบตากันแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ
เมื่อท่านนายพลสั่งแยกย้าย ทุกฝ่ายก็ต่างวิ่งวุ่นทำงานตามคำสั่ง หากตั้งจุดหมายไว้ที่ไอซี 1101 แล้วล่ะก็ เชื่อได้เลยว่ามันจะต้องเป็นการเดินทางที่ยาวนานเป็นปีแน่ เพราะมันอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณหมื่นปีแสง
“พวกเจ้ามานี่หน่อยสิ”
อสูรกระต่ายกับอสูรเต่าหันมาตามคำเรียกแล้วก็ชี้หน้าตัวเองอย่างงงงวย
“ใช่ พวกเจ้านั่นแหละ ยืนนิ่งอยู่ทำไม มาช่วยข้าคัดกรองจดหมายหน่อย”
“รับทราบ !”
“รับทราบ !”
‘ทำไมพวกเราถึงต้องตกอับเช่นนี้’
อสูรกระต่ายได้แต่เดินตามไปอย่างคอตก หน้าม่อย ใครกันนะที่ดันไปรู้เห็นวัฒนธรรมการส่งจดหมายด้วยกระดาษจากต่างเผ่าพันธุ์มา แถมยังตื่นเต้นอยากลองส่งจดหมายกลับไปหาครอบครัว แล้วใครกันที่ต้องลำบาก ก็พวกเขาไงล่ะ
“พวกเจ้าเปิดอ่านทุกแผ่นเลยนะ ถ้าไม่มีอะไรก็แยกไว้กองหนึ่ง แต่ถ้ามีใครเขียนถึงข้อมูลลับเฉพาะของกองทัพก็คัดออกเลย”
“รับทราบ !”
“รับทราบ !”
สี่ชั่วโมงผ่านไป
อสูรผู้ตกอับทั้งสองยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือกองกระดาษจดหมายที่สูงท่วมตัวจนเกือบถึงเพดานห้องแล้ว
“เจ้าพวกนี้นี่ยังไงนะ จะส่งข่าวด้วยวิธีปกติไม่ได้รึไง ลำแสงคลื่นเสียงน่ะ รู้จักมั๊ย”
“อย่าบ่นมากเลย เจ้ากระต่าย จะว่าไปการแอบอ่านเรื่องคนอื่นนี่ก็สนุกดีนะ”
“เจ้าเจอเรื่องอะไรน่าสนใจหรอ เจ้าเต่า”
“นี่ไง ท่านนายพลพยัคฆ์น่ะมีลูกคนที่ 455 แล้วนะ”
“ว้าว สุดยอดไปเลย ถ้าเราได้เป็นนายพลบ้างก็คงจะร่ำรวย มีเงินมากพอที่จะเลี้ยงลูกมากมาย”
“ใช่ เจ้ากระต่าย ข้าอยากมีลูกสัก 1,000 ตน”
“ชิ อ่อนหัด ข้าตั้งเป้าไว้สัก 1,500 ตนนู่น”
“ดี ฮ่า ๆ ๆ”
“ฮ่า ๆ”
แล้วทั้งสองก็กอดคอกันหัวเราะต่อไปอย่างบ้าคลั่ง ความหวัง ความฝันของเหล่าอสูรยังคงสดใสเสมอ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+