Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ 45 ตายแล้ว โอ๊ย ๆ

Now you are reading Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ Chapter 45 ตายแล้ว โอ๊ย ๆ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
“ให้ข้าช่วยท่านเอง”
เหนือภพเอ่ยพลางมองสลับระหว่างบุษย์น้ำเพชรและบุษย์น้ำทองอย่างแค้นใจ ในเมื่ออยากแย่งอำนาจกันนักเขาก็จะส่งเสริม ดวงตาของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาต จากนั้นกะพริบตาครั้งเดียวดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า สดใสตามฉบับของเขา
เหนือภพกระโดดเข้าไปถึงกลางเวที แม้พื้นเวทีจะพังทลายแตกร้าวไปบ้าง แต่เขาก็ไม่สนใจ
องค์รัชทายาทมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างเห็นได้ชัด แต่หลังจากที่พยัคฆ์คีรีเอนกายเข้าไปกระซิบเล่าเรื่องเหนือภพให้องค์รัชทายาทรับรู้พอสังเขป เขาก็คลายใจลง ใบหน้าเขาปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อยอย่างให้กำลังใจ แล้วยื่นคบเพลิงเปล่าที่ปราศจากแสงไฟในมือให้แก่เหนือภพ
ส่วนองค์หญิงบุษย์น้ำเพชรกลับมีสีหน้าประหลาดใจ เธอไม่คิดว่าเหนือภพจะกล้าแทรกมือเข้ามายุ่งกับเรื่องของราชวงศ์เช่นนี้ เธอก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเหนือภพจะทำเช่นไร เพราะตอนนี้คบเพลิงของจริงถูกดับไปแล้ว และหากต้องกลับไปเอาคบเพลิงสีทองศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมง เพื่อไปเอาเพลิงสีทองศักดิ์สิทธิ์จากแท่นเพลิงสุริยันในพระราชวังของเมืองนิรันดร์กาล เมื่อถึงตอนนั้นก็จะเลยฤกษ์ที่เป็นมงคลไป ถึงจะจุดติดก็ไม่ได้มีค่าเท่าครั้งแรก
ทั้งองค์หญิงบุษย์น้ำเพชรและองค์รัชทายาทต่างก็ยืนเฉยไม่ห้ามปราม เพราะอยากจะรู้ว่าเหนือภพจะทำเช่นไรต่อไป
ทว่าเหนือภพไม่ใช่คนที่ชอบทำตามพิธีการ ในสายตาของเขาพิธีการพวกนี้มันบ้าบอสิ้นดี เขาก็แค่อยากหักหน้าพวกองค์หญิงเท่านั้น
จู่ ๆ มือขวาที่ใช้ถือคบเพลิงเปล่าของเขาก็เกิดความร้อนสูงจนมีไอร้อนพวยพุ่ง ทำให้คบเพลิงศักดิ์สิทธิ์เกิดประกายไฟ
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ
เปลวเพลิงสีส้มเข้มลุกพรึ่บบนยอดคบเพลิง แต่มันก็เปล่งแสงแค่ชั่วระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนมันจะดับลงไป
เหนือภพขมวดคิ้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความสามารถพอ แต่เขาคาดไม่ถึงว่าคบเพลิงศักดิ์สิทธิ์จะพิเศษถึงขนาดนี้ จึงไม่ได้ใส่เต็มความสามารถ เขาหลับตาทำสมาธิ มือขวาจับคบเพลิงไว้จนแน่น ขณะที่ร่างกายของเขาเริ่มปลดปล่อยไอร้อน จนองครักษ์ต้องพาองค์รัชทายาทก้าวถอยหลังไประยะหนึ่งเพื่อความปลอดภัย
เมื่อร่างกายของเหนือภพปลดปล่อยความร้อนออกมาถึงจุดหนึ่ง ผิวหนังของเขาก็เกิดการเปล่งแสง เสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างกายเกิดประกายคล้ายสะเก็ดไฟอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่เปลวเพลิงสีทองจะลุกพรึ่บทั่วทั้งตัวของเหนือภพลามไปถึงคบเพลิงในมือ เขาตกใจมากพลางใช้มือข้างที่ว่างตบตามตัวเพื่อดับเปลวเพลิงที่ลุกไหม้เสื้อผ้าของตัวเอง แต่มันไม่ได้ผล
เหนือภพวิ่งลนลานกระโดดโหยงเหยงไปรอบ ๆ เวที
“ตายแล้ว โอ๊ย ๆ ไม่นะ”
เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอย่างที่ปากเขาร้องคร่ำครวญ แต่ความรู้สึกทางใจของเขานั้นเจ็บปวดมาก เสื้อผ้าชั้นดีตัวที่เขาใส่มางานในวันนี้มีมูลค่าตั้ง 300 เหรียญเงินเชียวนะ แม้เขาจะไม่ได้ซื้อเองก็เถอะ เขาอุตส่าห์ดูแลมันอย่างทะนุถนอม กะว่าพ้นงานประมูลนี้เขาจะเอาไปขายแลกเงินสักหน่อย แต่แล้วเขากลับกำลังทำมันไหม้
ด้วยเหตุนี้ผู้ชมจึงเห็นภาพแสนตลกขบขันของเหนือภพที่วิ่งไปรอบ ๆ เวทีประมูลพร้อมถือคบเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่มีเปลวไฟสีทองลุกโชติช่วง
อย่างไรก็ตามผู้มีอำนาจส่วนใหญ่ไม่ได้รู้สึกขำเหมือนพวกผู้ชมธรรมดา พวกเขาล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม ดูระแวดระวัง และมีท่าทีที่เปลี่ยนไป
‘เพลิงสุริยัน’
แค่มองพวกเขาก็รู้ว่าเปลวเพลิงสีทองในมือของเหนือภพนั้น ไม่ใช่สิ่งที่คนสามัญจะครอบครองมันได้ มันคือสิ่งที่ได้รับจากการกินแก่นชีวิตหิ่งห้อยสุริยัน หนึ่งในสัตว์อสูรที่มีความสามารถสร้างไฟที่มีความร้อนแรงเทียบเคียงเพลิงแห่งดวงตะวันได้ ดังนั้นเบื้องหลังของเหนือภพอาจมีผู้มีอำนาจหนุนอยู่ก็เป็นได้
และแล้วผู้มีอำนาจบางส่วนก็เริ่มเอนเอียงมาทางองค์รัชทายาท บางทีองค์รัชทายาทอาจจะได้รับการสนับสนุนจากองค์จักรพรรดินีเพลิงก็เป็นได้ เพราะมีแค่จักรวรรดิเงาสุริยันเท่านั้นที่จะมีคนที่ใช้เพลิงสุริยันได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงการต่อต้านหรือตีตัวออกห่างองค์รัชทายาทก็มีแต่จะทำให้พวกเขาเดินเข้าไปสู่ความหายนะ
เสื้อผ้าของเหนือภพถูกเผาไหม้ไปทีละน้อยจนหมด โชคดีที่มีเปลวเพลิงลุกท่วมตัวดุจสวมอาภรณ์แห่งเพลิงทำให้ผู้ชมไม่เห็นภาพอุจาดตาของเหนือภพ
องค์รัชทายาทกวาดตามองไปรอบ ๆ พื้นเวทีและเครื่องตกแต่งอื่น ๆ พรมสีแดงหนาอยู่ในสภาพไหม้เกรียมเป็นหย่อม ๆ เพลิงสุริยันเป็นเพลิงประเภทเดียวที่หากไม่มีปราณอาคมหล่อเลี้ยงพวกมันก็จะดับไปเอง แต่น่าแปลกคือเหนือภพเป็นผู้ไร้พรสวรรค์แท้ ๆ แต่ทำไมเขาถึงยังคงเปลวเพลิงสุริยันเอาไว้ได้ แล้วความคิดขององค์รัชทายาทก็หยุดลงเมื่อได้ยินเสียง
“อะแฮ่ม”
เหนือภพกระแอมเล็กน้อยแล้วยื่นคบเพลิงให้องค์รัชทายาท จากนั้นองค์รัชทายาทและองครักษ์ก็ลอยขึ้นไปจุดคบเพลิงที่ยอดดอกบัวบาน เพลิงสีทองสว่างวาบ เปลวเพลิงพุ่งขึ้นบนฟ้าเกือบถึงเมตร
ฟรึ่บ ตูม ตูม ตูม
หลังจากองค์รัชทายาทจุดเพลิงบูชาเทพสุริยัน พลุสีสันสวยงามก็ถูกจุดขึ้นฟ้าไล่เรียงกันไป มันแตกกระจายตัวออกเป็นรูปต่าง ๆ อันเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองของเมืองทั้งห้าสิบเมืองที่มารวมตัวกันอยู่ในที่นี้
“ว้าว”
“อลังการจริง ๆ ไม่คิดว่านิรันดร์กาลนครจะทุ่มทุนขนาดนี้”
ท่ามกลางการจุดพลุมากมายราวกับไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ดนตรีพื้นเมืองก็ค่อย ๆ บรรเลงแทรกขึ้นมาอย่างเชื่องช้า พร้อม ๆ กับเหล่านางระบำสวมเครื่องแต่งกายเต็มชุดนับร้อย ตั้งแถวเป็นสองแถวเยื้องย่างขึ้นมาบนเวทีด้วยท่าย่อกายตั้งวงจีบมืออย่างชดช้อย แล้วเหล่านางระบำก็ย่ำเท้าแปรขบวนกระจายแถวกันอยู่ทั่วเวทีตามเสียงกลองโทนที่ค่อย ๆ รัวเร็วขึ้น ปี่ โหม่ง ฉิ่ง กรับ และเครื่องดนตรีอื่น ๆ ต่างบรรเลงสอดประสานไปกับอก เอว สะโพกที่ส่ายไปมาอย่างเข้าจังหวะ เป็นท่าระบำที่ดูสนุกสนานแต่ก็ดูเย้ายวนในเวลาเดียวกัน
พวกเธอทุกคนล้วนเป็นสาวงามที่ถูกคัดสรรมาจากหอหมื่นบุปผา หอคณิกาที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงอมตะนคร ดังนั้นความสวย ความสาว เสน่ห์เย้ายวนใจชายของพวกเธอแต่ละคนจึงทำให้ผู้ชมถึงกับเคลิบเคลิ้ม มองตาค้างกันแทบทุกคน ไม่เว้นแม้แต่บุษย์น้ำเพชร องค์รัชทายาท องครักษ์ และเหนือภพที่ยังคงยืนรวมกลุ่มกันอยู่กลางเวที โดยมีนางระบำล้อมรอบ
ผ้าคล้องแขนหลากสีสันของพวกเธอถูกโบกสะบัดไปมา ดูพลิ้วไหวราวกับสายน้ำหลากสี วงดนตรีรัวเร็ว ๆ ขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับต้องการกระชากหัวใจของผู้ชมให้สูงขึ้นไป แล้วกลองก็หยุดตีปล่อยให้หัวใจของผู้ชมหยุดนิ่งกลางคัน เหล่านางระบำแปรขบวนอย่างรวดเร็ว โดยแบ่งแยกเป็นสองฝั่ง เกิดเป็นเส้นทางโล่งผ่าตัดกลางเวที
ณ มุมปลายสุดของเส้นทางปรากฏกลุ่มนางรำในชุดผ้านุ่งจับจีบซ้อนชั้นหนาสีชมพูเหลือบทองอร่ามไปทั้งตัว ยังไม่รวมความอลังการของปิ่นนางรำ ต่างหู จี้นาง กำไลมือ กำไลเท้าที่ล้วนทำมาจากอัญมณีสูงค่าทั้งสิ้น นางรำผู้มาใหม่ทั้งสามคนคือดาวเด่นที่มีชื่อเสียงเลื่องลือทั้งแผ่นดิน นั่นคือเนตรกัญญา บุษบา และพราวจันทร์
เมื่อพวกเธอเยื้องย่างมาถึงกลางเวทีก็มีการโปรยกลีบดอกไม้สีแดง สีเหลือง สีขาว ฟุ้งกระจายลงมาจากชั้นบนสุด แล้วเสียงดนตรีเริ่มบรรเลงอีกครั้ง พร้อมกับดาวเด่นทั้งสามที่เป็นผู้นำในการระบำชุดต่อไป
“โอ้ ในที่สุดข้าก็ได้ยลโฉมเนตรกัญญา”
“ข้า ข้า …”
“บุษบาจ๋า”
“พราวจันทร์ของข้า”
ชายมากมายล้วนจ้องมองตาค้าง พร่ำเพ้อด้วยความปรารถนาที่ไม่เคยเป็นจริง มีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่ยังพอจะคุ้นเคยกับสามดาวเด่นอยู่บ้าง
จนถึงตอนนี้องค์หญิงบุษย์น้ำเพชรและพวกองค์รัชทายาทต่างก็ถอยออกไปจากเวทีแล้ว คงเหลือเพียงเหนือภพที่ยังยืนนิ่งค้างอยู่บนเวทีพร้อมกับเปลวไฟบนผิวหนังที่ค่อย ๆ มอดลง เขาได้กลิ่นนี้อีกแล้ว มันคือกลิ่นของนางมารที่ขโมยพรหมจรรย์ของเขา เธอต้องเป็นหนึ่งในสามสาวนี้แน่นอน
เหนือภพยืนจ้องสามสาวอยู่เช่นนั้นโดยไม่แยแสว่าใครจะมองเขาอย่างไร มีทั้งเสียงตะโกนขับไล่ และออกคำสั่งเรียกตัวเหนือภพกลับ แต่ทั้งหมดนี้ล้วนไม่เข้าหูเหนือภพแม้แต่น้อย
“เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
ฮันเตอร์แรงค์ D ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ดูแลเวทีประมูล ร้องเรียกเหนือภพอยู่ด้านข้างเวที เมื่อเห็นว่าเหนือภพไม่ยอมทำตามคำสั่ง เขาจึงพุ่งตัวเข้ามายืนใกล้ ๆ หมายจับตัวเหนือภพออกไป แต่เขายังแตะต้องตัวเหนือภพไม่ได้เพราะสะเก็ดเปลวไฟยังมีอยู่บนผิวของเหนือภพ
เหนือภพหัวใจเต้นแรง ม่านตาเบิกกว้าง ตัวชาดิกไปในทันที ไม่ใช่เพราะเขากลัวฮันเตอร์คนนี้ แต่เป็นเพราะว่าเขาจำได้แล้ว กลิ่นนี้เหมือนกลิ่นตัวของกลิ่นจันทน์ไม่มีผิด
‘เป็นเจ้าหรือ เจ้ายังมีชีวิตอยู่จริง ๆ ใช่ไหม’
“กลิ่นจันทน์ !”
เหนือภพตะโกนเรียกชื่อคนรักในอดีตของเขา เพื่อจับพิรุธว่ากลิ่นจันทน์ นางมาร และนางระบำดาวเด่น เป็นคนคนเดียวกันหรือไม่
เมื่อเหนือภพตะโกนออกไปทั้งเนตรกัญญา บุษบา และพราวจันทร์ต่างก็หันขวับมามองเหนือภพด้วยสายตาแบบเดียวกัน นั่นคือสายตาแห่งความตกตะลึง
“เอ่อ นี่เจ้า เปลวไฟมอดหมดแล้ว”
ฮันเตอร์แรงค์ D คนนั้นสะกิดไหล่เหนือภพยิก ๆ เหนือภพหันมามองอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะเขายังแยกไม่ออกว่าผู้หญิงที่เขาตามหาคือใครกันแน่
“มีอะไร”
“เจ้าจะออกไปเองดี ๆ หรือจะให้ข้าลากตัวเจ้าออกไป”
หากไม่ถึงที่สุดเขาก็ไม่อยากลงมือกับคนที่น่าจะเป็นลูกน้องขององค์รัชทายาทให้หมางใจกัน
“ข้าไม่ไป”
เหนือภพพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง แล้วก็ยกมือขึ้นกอดอก ทันใดนั้นเมื่อเขาสัมผัสได้ว่ากำลังกอดอกเปล่าเปลือยของตัวเอง เขาก็สะดุ้งโหยงขณะก้มมองร่างกายของตัวเอง
“โอ๊ย ตายแล้ว”
เหนือภพกระโจนหนีลงจากเวทีทันที นี่เขาทำเรื่องน่าขายหน้าต่อหน้าผู้คนตั้งมากมายขนาดนี้ได้ยังไง
‘ฝากไว้ก่อนเถอะ ข้าจะตามหาเจ้าให้ได้ กลิ่นจันทน์’
“เอาเสื้อผ้าให้เขา”
องค์รัชทายาทเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเหนือภพคงไม่มีเสื้อผ้าสำรองติดมาด้วย และเขาก็คิดจะใช้โอกาสนี้ประกาศว่าเหนือภพเป็นคนของเขาไปด้วยในตัว นั่นคงสร้างฐานอำนาจให้เขาได้ไม่น้อย
เหนือภพเอาผ้าคลุมขององครักษ์มาปิดตัวไว้อย่างลวก ๆ พลางหันไปดูการระบำบนเวทีที่ยังคงแสดงต่อไปอย่างตระการตา แล้วเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรง เขาคงทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้ แต่สิ่งที่ทำได้เลยในตอนนี้ ในตอนที่องค์รัชทายาทยังยืนอยู่เบื้องหน้าเขาก็คือการเจรจา
เหนือภพล้วงกระดาษในถุงสัมภาระมาแผ่นหนึ่ง เขาขีดเขียนลงไปแล้วพับมันยื่นให้กับองค์รัชทายาทด้วยรอยยิ้มกระจ่างใส
“มันคืออะไร”
เมื่อเหนือภพไม่ตอบ องค์รัชทายาทจึงเปิดอ่านกระดาษอาคม เขามีสีหน้าเหลือเชื่อ เมื่อเห็นตัวอักษรตัวโตกลางหน้ากระดาษ
ใบเรียกเก็บเงิน
ค่าเสื้อผ้า – 300 เหรียญเงิน
ค่าจุดไฟ – 100 เหรียญเงิน
ค่าช่วยหักหน้าองค์หญิง – 500 เหรียญเงิน
รวม 900 เหรียญเงิน
องค์รัชทายาทยื่นกระดาษใบนั้นให้พยัคฆ์คีรีอ่าน เมื่อพยัคฆ์คีรีได้อ่านแล้ว เขาก็ยิ้มและส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ จากนั้นเขาก็พยักให้องค์รัชทายาท
องค์รัชทายาทจึงมีคำสั่งให้มอบเงินแก่เหนือภพ 1,000 เหรียญทอง พร้อมกับเสื้อผ้าเนื้อดีที่มีคุณภาพเช่นเดียวกับเสื้อผ้าของราชนิกุล
“โอ้”
เหนือภพตาเบิกกว้าง เขาไม่คิดเลยว่าองค์รัชทายาทจะใจป้ำขนาดนี้ เขาโอบกอดเสื้อผ้าและถุงเงินเอาไว้แนบแน่นด้วยความดีใจจนลืมกล่าวขอบคุณองค์รัชทายาทด้วยซ้ำ
ส่วนองค์รัชทายาทก็ได้แต่มองเหนือภพอย่างครุ่นคิด แม้จะรู้เรื่องเหนือภพจากพยัคฆ์คีรีมาบ้าง แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจคนผู้นี้อย่างถ่องแท้ เขาคือพวกเห็นแก่เงินหรือเปล่า หรือนั่นเป็นเพียงท่าทีของคนที่ไม่เคยเห็นเงินจำนวนมากกันแน่ อย่างไรก็ตามเขาถือคติที่ว่า หากไม่เข้าใจก็ไม่อาจไว้วางใจคนเช่นนี้ได้
‘เหนือภพ ในใจเจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่’

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ 45 ตายแล้ว โอ๊ย ๆ

Now you are reading Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ Chapter 45 ตายแล้ว โอ๊ย ๆ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
“ให้ข้าช่วยท่านเอง”
เหนือภพเอ่ยพลางมองสลับระหว่างบุษย์น้ำเพชรและบุษย์น้ำทองอย่างแค้นใจ ในเมื่ออยากแย่งอำนาจกันนักเขาก็จะส่งเสริม ดวงตาของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาต จากนั้นกะพริบตาครั้งเดียวดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า สดใสตามฉบับของเขา
เหนือภพกระโดดเข้าไปถึงกลางเวที แม้พื้นเวทีจะพังทลายแตกร้าวไปบ้าง แต่เขาก็ไม่สนใจ
องค์รัชทายาทมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างเห็นได้ชัด แต่หลังจากที่พยัคฆ์คีรีเอนกายเข้าไปกระซิบเล่าเรื่องเหนือภพให้องค์รัชทายาทรับรู้พอสังเขป เขาก็คลายใจลง ใบหน้าเขาปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อยอย่างให้กำลังใจ แล้วยื่นคบเพลิงเปล่าที่ปราศจากแสงไฟในมือให้แก่เหนือภพ
ส่วนองค์หญิงบุษย์น้ำเพชรกลับมีสีหน้าประหลาดใจ เธอไม่คิดว่าเหนือภพจะกล้าแทรกมือเข้ามายุ่งกับเรื่องของราชวงศ์เช่นนี้ เธอก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเหนือภพจะทำเช่นไร เพราะตอนนี้คบเพลิงของจริงถูกดับไปแล้ว และหากต้องกลับไปเอาคบเพลิงสีทองศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมง เพื่อไปเอาเพลิงสีทองศักดิ์สิทธิ์จากแท่นเพลิงสุริยันในพระราชวังของเมืองนิรันดร์กาล เมื่อถึงตอนนั้นก็จะเลยฤกษ์ที่เป็นมงคลไป ถึงจะจุดติดก็ไม่ได้มีค่าเท่าครั้งแรก
ทั้งองค์หญิงบุษย์น้ำเพชรและองค์รัชทายาทต่างก็ยืนเฉยไม่ห้ามปราม เพราะอยากจะรู้ว่าเหนือภพจะทำเช่นไรต่อไป
ทว่าเหนือภพไม่ใช่คนที่ชอบทำตามพิธีการ ในสายตาของเขาพิธีการพวกนี้มันบ้าบอสิ้นดี เขาก็แค่อยากหักหน้าพวกองค์หญิงเท่านั้น
จู่ ๆ มือขวาที่ใช้ถือคบเพลิงเปล่าของเขาก็เกิดความร้อนสูงจนมีไอร้อนพวยพุ่ง ทำให้คบเพลิงศักดิ์สิทธิ์เกิดประกายไฟ
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ
เปลวเพลิงสีส้มเข้มลุกพรึ่บบนยอดคบเพลิง แต่มันก็เปล่งแสงแค่ชั่วระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนมันจะดับลงไป
เหนือภพขมวดคิ้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความสามารถพอ แต่เขาคาดไม่ถึงว่าคบเพลิงศักดิ์สิทธิ์จะพิเศษถึงขนาดนี้ จึงไม่ได้ใส่เต็มความสามารถ เขาหลับตาทำสมาธิ มือขวาจับคบเพลิงไว้จนแน่น ขณะที่ร่างกายของเขาเริ่มปลดปล่อยไอร้อน จนองครักษ์ต้องพาองค์รัชทายาทก้าวถอยหลังไประยะหนึ่งเพื่อความปลอดภัย
เมื่อร่างกายของเหนือภพปลดปล่อยความร้อนออกมาถึงจุดหนึ่ง ผิวหนังของเขาก็เกิดการเปล่งแสง เสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างกายเกิดประกายคล้ายสะเก็ดไฟอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่เปลวเพลิงสีทองจะลุกพรึ่บทั่วทั้งตัวของเหนือภพลามไปถึงคบเพลิงในมือ เขาตกใจมากพลางใช้มือข้างที่ว่างตบตามตัวเพื่อดับเปลวเพลิงที่ลุกไหม้เสื้อผ้าของตัวเอง แต่มันไม่ได้ผล
เหนือภพวิ่งลนลานกระโดดโหยงเหยงไปรอบ ๆ เวที
“ตายแล้ว โอ๊ย ๆ ไม่นะ”
เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอย่างที่ปากเขาร้องคร่ำครวญ แต่ความรู้สึกทางใจของเขานั้นเจ็บปวดมาก เสื้อผ้าชั้นดีตัวที่เขาใส่มางานในวันนี้มีมูลค่าตั้ง 300 เหรียญเงินเชียวนะ แม้เขาจะไม่ได้ซื้อเองก็เถอะ เขาอุตส่าห์ดูแลมันอย่างทะนุถนอม กะว่าพ้นงานประมูลนี้เขาจะเอาไปขายแลกเงินสักหน่อย แต่แล้วเขากลับกำลังทำมันไหม้
ด้วยเหตุนี้ผู้ชมจึงเห็นภาพแสนตลกขบขันของเหนือภพที่วิ่งไปรอบ ๆ เวทีประมูลพร้อมถือคบเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่มีเปลวไฟสีทองลุกโชติช่วง
อย่างไรก็ตามผู้มีอำนาจส่วนใหญ่ไม่ได้รู้สึกขำเหมือนพวกผู้ชมธรรมดา พวกเขาล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม ดูระแวดระวัง และมีท่าทีที่เปลี่ยนไป
‘เพลิงสุริยัน’
แค่มองพวกเขาก็รู้ว่าเปลวเพลิงสีทองในมือของเหนือภพนั้น ไม่ใช่สิ่งที่คนสามัญจะครอบครองมันได้ มันคือสิ่งที่ได้รับจากการกินแก่นชีวิตหิ่งห้อยสุริยัน หนึ่งในสัตว์อสูรที่มีความสามารถสร้างไฟที่มีความร้อนแรงเทียบเคียงเพลิงแห่งดวงตะวันได้ ดังนั้นเบื้องหลังของเหนือภพอาจมีผู้มีอำนาจหนุนอยู่ก็เป็นได้
และแล้วผู้มีอำนาจบางส่วนก็เริ่มเอนเอียงมาทางองค์รัชทายาท บางทีองค์รัชทายาทอาจจะได้รับการสนับสนุนจากองค์จักรพรรดินีเพลิงก็เป็นได้ เพราะมีแค่จักรวรรดิเงาสุริยันเท่านั้นที่จะมีคนที่ใช้เพลิงสุริยันได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงการต่อต้านหรือตีตัวออกห่างองค์รัชทายาทก็มีแต่จะทำให้พวกเขาเดินเข้าไปสู่ความหายนะ
เสื้อผ้าของเหนือภพถูกเผาไหม้ไปทีละน้อยจนหมด โชคดีที่มีเปลวเพลิงลุกท่วมตัวดุจสวมอาภรณ์แห่งเพลิงทำให้ผู้ชมไม่เห็นภาพอุจาดตาของเหนือภพ
องค์รัชทายาทกวาดตามองไปรอบ ๆ พื้นเวทีและเครื่องตกแต่งอื่น ๆ พรมสีแดงหนาอยู่ในสภาพไหม้เกรียมเป็นหย่อม ๆ เพลิงสุริยันเป็นเพลิงประเภทเดียวที่หากไม่มีปราณอาคมหล่อเลี้ยงพวกมันก็จะดับไปเอง แต่น่าแปลกคือเหนือภพเป็นผู้ไร้พรสวรรค์แท้ ๆ แต่ทำไมเขาถึงยังคงเปลวเพลิงสุริยันเอาไว้ได้ แล้วความคิดขององค์รัชทายาทก็หยุดลงเมื่อได้ยินเสียง
“อะแฮ่ม”
เหนือภพกระแอมเล็กน้อยแล้วยื่นคบเพลิงให้องค์รัชทายาท จากนั้นองค์รัชทายาทและองครักษ์ก็ลอยขึ้นไปจุดคบเพลิงที่ยอดดอกบัวบาน เพลิงสีทองสว่างวาบ เปลวเพลิงพุ่งขึ้นบนฟ้าเกือบถึงเมตร
ฟรึ่บ ตูม ตูม ตูม
หลังจากองค์รัชทายาทจุดเพลิงบูชาเทพสุริยัน พลุสีสันสวยงามก็ถูกจุดขึ้นฟ้าไล่เรียงกันไป มันแตกกระจายตัวออกเป็นรูปต่าง ๆ อันเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองของเมืองทั้งห้าสิบเมืองที่มารวมตัวกันอยู่ในที่นี้
“ว้าว”
“อลังการจริง ๆ ไม่คิดว่านิรันดร์กาลนครจะทุ่มทุนขนาดนี้”
ท่ามกลางการจุดพลุมากมายราวกับไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ดนตรีพื้นเมืองก็ค่อย ๆ บรรเลงแทรกขึ้นมาอย่างเชื่องช้า พร้อม ๆ กับเหล่านางระบำสวมเครื่องแต่งกายเต็มชุดนับร้อย ตั้งแถวเป็นสองแถวเยื้องย่างขึ้นมาบนเวทีด้วยท่าย่อกายตั้งวงจีบมืออย่างชดช้อย แล้วเหล่านางระบำก็ย่ำเท้าแปรขบวนกระจายแถวกันอยู่ทั่วเวทีตามเสียงกลองโทนที่ค่อย ๆ รัวเร็วขึ้น ปี่ โหม่ง ฉิ่ง กรับ และเครื่องดนตรีอื่น ๆ ต่างบรรเลงสอดประสานไปกับอก เอว สะโพกที่ส่ายไปมาอย่างเข้าจังหวะ เป็นท่าระบำที่ดูสนุกสนานแต่ก็ดูเย้ายวนในเวลาเดียวกัน
พวกเธอทุกคนล้วนเป็นสาวงามที่ถูกคัดสรรมาจากหอหมื่นบุปผา หอคณิกาที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงอมตะนคร ดังนั้นความสวย ความสาว เสน่ห์เย้ายวนใจชายของพวกเธอแต่ละคนจึงทำให้ผู้ชมถึงกับเคลิบเคลิ้ม มองตาค้างกันแทบทุกคน ไม่เว้นแม้แต่บุษย์น้ำเพชร องค์รัชทายาท องครักษ์ และเหนือภพที่ยังคงยืนรวมกลุ่มกันอยู่กลางเวที โดยมีนางระบำล้อมรอบ
ผ้าคล้องแขนหลากสีสันของพวกเธอถูกโบกสะบัดไปมา ดูพลิ้วไหวราวกับสายน้ำหลากสี วงดนตรีรัวเร็ว ๆ ขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับต้องการกระชากหัวใจของผู้ชมให้สูงขึ้นไป แล้วกลองก็หยุดตีปล่อยให้หัวใจของผู้ชมหยุดนิ่งกลางคัน เหล่านางระบำแปรขบวนอย่างรวดเร็ว โดยแบ่งแยกเป็นสองฝั่ง เกิดเป็นเส้นทางโล่งผ่าตัดกลางเวที
ณ มุมปลายสุดของเส้นทางปรากฏกลุ่มนางรำในชุดผ้านุ่งจับจีบซ้อนชั้นหนาสีชมพูเหลือบทองอร่ามไปทั้งตัว ยังไม่รวมความอลังการของปิ่นนางรำ ต่างหู จี้นาง กำไลมือ กำไลเท้าที่ล้วนทำมาจากอัญมณีสูงค่าทั้งสิ้น นางรำผู้มาใหม่ทั้งสามคนคือดาวเด่นที่มีชื่อเสียงเลื่องลือทั้งแผ่นดิน นั่นคือเนตรกัญญา บุษบา และพราวจันทร์
เมื่อพวกเธอเยื้องย่างมาถึงกลางเวทีก็มีการโปรยกลีบดอกไม้สีแดง สีเหลือง สีขาว ฟุ้งกระจายลงมาจากชั้นบนสุด แล้วเสียงดนตรีเริ่มบรรเลงอีกครั้ง พร้อมกับดาวเด่นทั้งสามที่เป็นผู้นำในการระบำชุดต่อไป
“โอ้ ในที่สุดข้าก็ได้ยลโฉมเนตรกัญญา”
“ข้า ข้า …”
“บุษบาจ๋า”
“พราวจันทร์ของข้า”
ชายมากมายล้วนจ้องมองตาค้าง พร่ำเพ้อด้วยความปรารถนาที่ไม่เคยเป็นจริง มีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่ยังพอจะคุ้นเคยกับสามดาวเด่นอยู่บ้าง
จนถึงตอนนี้องค์หญิงบุษย์น้ำเพชรและพวกองค์รัชทายาทต่างก็ถอยออกไปจากเวทีแล้ว คงเหลือเพียงเหนือภพที่ยังยืนนิ่งค้างอยู่บนเวทีพร้อมกับเปลวไฟบนผิวหนังที่ค่อย ๆ มอดลง เขาได้กลิ่นนี้อีกแล้ว มันคือกลิ่นของนางมารที่ขโมยพรหมจรรย์ของเขา เธอต้องเป็นหนึ่งในสามสาวนี้แน่นอน
เหนือภพยืนจ้องสามสาวอยู่เช่นนั้นโดยไม่แยแสว่าใครจะมองเขาอย่างไร มีทั้งเสียงตะโกนขับไล่ และออกคำสั่งเรียกตัวเหนือภพกลับ แต่ทั้งหมดนี้ล้วนไม่เข้าหูเหนือภพแม้แต่น้อย
“เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
ฮันเตอร์แรงค์ D ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ดูแลเวทีประมูล ร้องเรียกเหนือภพอยู่ด้านข้างเวที เมื่อเห็นว่าเหนือภพไม่ยอมทำตามคำสั่ง เขาจึงพุ่งตัวเข้ามายืนใกล้ ๆ หมายจับตัวเหนือภพออกไป แต่เขายังแตะต้องตัวเหนือภพไม่ได้เพราะสะเก็ดเปลวไฟยังมีอยู่บนผิวของเหนือภพ
เหนือภพหัวใจเต้นแรง ม่านตาเบิกกว้าง ตัวชาดิกไปในทันที ไม่ใช่เพราะเขากลัวฮันเตอร์คนนี้ แต่เป็นเพราะว่าเขาจำได้แล้ว กลิ่นนี้เหมือนกลิ่นตัวของกลิ่นจันทน์ไม่มีผิด
‘เป็นเจ้าหรือ เจ้ายังมีชีวิตอยู่จริง ๆ ใช่ไหม’
“กลิ่นจันทน์ !”
เหนือภพตะโกนเรียกชื่อคนรักในอดีตของเขา เพื่อจับพิรุธว่ากลิ่นจันทน์ นางมาร และนางระบำดาวเด่น เป็นคนคนเดียวกันหรือไม่
เมื่อเหนือภพตะโกนออกไปทั้งเนตรกัญญา บุษบา และพราวจันทร์ต่างก็หันขวับมามองเหนือภพด้วยสายตาแบบเดียวกัน นั่นคือสายตาแห่งความตกตะลึง
“เอ่อ นี่เจ้า เปลวไฟมอดหมดแล้ว”
ฮันเตอร์แรงค์ D คนนั้นสะกิดไหล่เหนือภพยิก ๆ เหนือภพหันมามองอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะเขายังแยกไม่ออกว่าผู้หญิงที่เขาตามหาคือใครกันแน่
“มีอะไร”
“เจ้าจะออกไปเองดี ๆ หรือจะให้ข้าลากตัวเจ้าออกไป”
หากไม่ถึงที่สุดเขาก็ไม่อยากลงมือกับคนที่น่าจะเป็นลูกน้องขององค์รัชทายาทให้หมางใจกัน
“ข้าไม่ไป”
เหนือภพพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง แล้วก็ยกมือขึ้นกอดอก ทันใดนั้นเมื่อเขาสัมผัสได้ว่ากำลังกอดอกเปล่าเปลือยของตัวเอง เขาก็สะดุ้งโหยงขณะก้มมองร่างกายของตัวเอง
“โอ๊ย ตายแล้ว”
เหนือภพกระโจนหนีลงจากเวทีทันที นี่เขาทำเรื่องน่าขายหน้าต่อหน้าผู้คนตั้งมากมายขนาดนี้ได้ยังไง
‘ฝากไว้ก่อนเถอะ ข้าจะตามหาเจ้าให้ได้ กลิ่นจันทน์’
“เอาเสื้อผ้าให้เขา”
องค์รัชทายาทเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเหนือภพคงไม่มีเสื้อผ้าสำรองติดมาด้วย และเขาก็คิดจะใช้โอกาสนี้ประกาศว่าเหนือภพเป็นคนของเขาไปด้วยในตัว นั่นคงสร้างฐานอำนาจให้เขาได้ไม่น้อย
เหนือภพเอาผ้าคลุมขององครักษ์มาปิดตัวไว้อย่างลวก ๆ พลางหันไปดูการระบำบนเวทีที่ยังคงแสดงต่อไปอย่างตระการตา แล้วเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรง เขาคงทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้ แต่สิ่งที่ทำได้เลยในตอนนี้ ในตอนที่องค์รัชทายาทยังยืนอยู่เบื้องหน้าเขาก็คือการเจรจา
เหนือภพล้วงกระดาษในถุงสัมภาระมาแผ่นหนึ่ง เขาขีดเขียนลงไปแล้วพับมันยื่นให้กับองค์รัชทายาทด้วยรอยยิ้มกระจ่างใส
“มันคืออะไร”
เมื่อเหนือภพไม่ตอบ องค์รัชทายาทจึงเปิดอ่านกระดาษอาคม เขามีสีหน้าเหลือเชื่อ เมื่อเห็นตัวอักษรตัวโตกลางหน้ากระดาษ
ใบเรียกเก็บเงิน
ค่าเสื้อผ้า – 300 เหรียญเงิน
ค่าจุดไฟ – 100 เหรียญเงิน
ค่าช่วยหักหน้าองค์หญิง – 500 เหรียญเงิน
รวม 900 เหรียญเงิน
องค์รัชทายาทยื่นกระดาษใบนั้นให้พยัคฆ์คีรีอ่าน เมื่อพยัคฆ์คีรีได้อ่านแล้ว เขาก็ยิ้มและส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ จากนั้นเขาก็พยักให้องค์รัชทายาท
องค์รัชทายาทจึงมีคำสั่งให้มอบเงินแก่เหนือภพ 1,000 เหรียญทอง พร้อมกับเสื้อผ้าเนื้อดีที่มีคุณภาพเช่นเดียวกับเสื้อผ้าของราชนิกุล
“โอ้”
เหนือภพตาเบิกกว้าง เขาไม่คิดเลยว่าองค์รัชทายาทจะใจป้ำขนาดนี้ เขาโอบกอดเสื้อผ้าและถุงเงินเอาไว้แนบแน่นด้วยความดีใจจนลืมกล่าวขอบคุณองค์รัชทายาทด้วยซ้ำ
ส่วนองค์รัชทายาทก็ได้แต่มองเหนือภพอย่างครุ่นคิด แม้จะรู้เรื่องเหนือภพจากพยัคฆ์คีรีมาบ้าง แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจคนผู้นี้อย่างถ่องแท้ เขาคือพวกเห็นแก่เงินหรือเปล่า หรือนั่นเป็นเพียงท่าทีของคนที่ไม่เคยเห็นเงินจำนวนมากกันแน่ อย่างไรก็ตามเขาถือคติที่ว่า หากไม่เข้าใจก็ไม่อาจไว้วางใจคนเช่นนี้ได้
‘เหนือภพ ในใจเจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่’

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+