Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ 59 ปะทะทีมมือปราบหลวง

Now you are reading Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ Chapter 59 ปะทะทีมมือปราบหลวง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ

 

ตอนที่ 59 ปะทะทีมมือปราบหลวง

 

“น่าเสียดายมากเลยนะเจ้าคะ ทีมตระกูลใต้และทีมบ้าน ลานเงินถูกทีมเทพเจ้าแย่งสร้อยไปได้ในเวลารวดเร็วเลยค่ะ ทั้งยังสูญเสียผู้ร่วมทีมไปถึงสองคน ดูท่าทางทั้งสองทีมคงจะแย่งสร้อยกลับมาได้ยาก

 

พิธีกรสาวบรรยายสถานการณ์ในครอบแก้วปาวสันต์ ทําให้ทุกคนรู้สึกเสียดายและเห็นใจทั้งสองทีมเป็นอย่างมาก เพียงไม่กี่นาทีพวกเขาก็ถูกแย่งสร้อยคอและเกิดการบาดเจ็บล้มตาย เมื่อต้องเจอเข้ากับทีมเทพเจ้าที่รวบรวมตัวเก็งระดับแคว้นไว้งสามคน

 

ผู้ชมทั้งหมดต่างรู้เห็นตําแหน่งที่อยู่ของทุกทีม หลายๆตระกูลต่างส่งเสียงเชียร์ เสียงบอกทางเสียงเตือนอย่างสุดใจ ทว่าเสียงเหล่านั้นกลับไม่สามารถทะลุเข้าไปได้เลย

 

“หืม ใครปล่อยให้ศิษย์น้องสามเข้าไปในนั้น”

 

วัฏจักรถามราตรีด้วยน้ําเสียงเรียบนิ่ง ราตรีมองค้อนเขาเล็กน้อย หากไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับศิษย์พี่ศิษย์น้อง เขาก็คงจะไม่ยอมเปิดปากคุยกับเธอเลยสินะ

 

“ท่านก็ดูสิ ที่ตึกลําธารมีใครมาที่ไหน”

 

วัฏจักรเหลียวมองไปที่ห้องรับ

 

รองของตึกลําธารก็พบว่ามันว่างเปล่า ไม่มีคนเลยสักคน แม้แต่เขาเองก็ยังมาช้า จึงไม่แปลกที่เหนือภพจะคิดเองเออเองโดยไม่มีใครให้คําปรึกษา ความจริงแล้วเขาไม่จําเป็นเอาตัวเองไปเสี่ยงถึงเพียงนั้นก็ได้ วัฏจักรหันกลับมาจ้องครอบแก้วที่อยู่กลางเวที นานมากแล้วที่เขาไม่มีความรู้สึกลุ้นระทึกขนาดนี้

 

“ช่างเถอะ”

 

จากนั้นวัฏจักรก็ไม่พูดอะไรอีก เขาและราตรีจะดูอยู่ห่างๆเช่นนั้น ถึงอย่างไรเหนือภพก็คงไม่ได้รับอันตรายถึงชีวิต พวกเขามั่นใจ

 

“อ๊าก ไหนว่ามีแค่ 11 ทีมไง”

 

ตุม !!

 

สัตว์อสูรคิงคองยักษ์ปรากฏกายขึ้น พร้อมกําปั้นยักษ์ทั้งสองข้างทุบลงไปที่พื้นดักหน้าเฮงเฮงที่กําลังวิ่งไปตามชายป่า ต้นไม้ล้มระเนระนาด ฝุ่นดินฟุ้งกระจายขึ้นสูง แต่เฮงเฮงก็พลิ้วกายหลบได้อย่างชํานาญ มีท่อนไม้เพียงท่อนเดียวเท่านั้นที่ฟาดมาโดนหลังของเขา

 

“ลืมบอกไปเจ้าค่ะ ภายในครอบแก้วปาวสันต์ไม่ได้มีเพียงยอดฝีมือทั้ง 33 คน แต่ยังมีสัตว์อสูรแรงค์ E และแรงค์ D อยู่เป็นจํานวนมาก ดูเหมือนการประมูลรอบนี้จะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นมากเลยนะเจ้าคะ”

 

สิ้นเสียงของเธอ ทุกคนก็เห็นว่าแต่ละทีมล้วนกําลังเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรหลากหลายรูปแบบ ไม่เพียงผู้เข้าแข่งขันเท่านั้นที่ตื่นตกใจ แม้แต่ผู้ชมก็ยังลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น ไม่นึกว่าคณะผู้จัดงานจะเอาสัตว์อสูรระดับสูงพวกนี้ใส่เข้าไปด้วย งานเทศกาลที่มีนิรันดร์กาลนครเป็นเจ้าภาพช่างยิ่งใหญ่โดยแท้

 

ยอดฝีมือที่ยังมีชีวิตผ่านช่วงเวลา 10 นาทีแรกมาได้ ล้วนมีฝีมือไม่ธรรมดา แต่มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถกําจัดสัตว์อสูรที่ปรากฏขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น ส่วนมากพวกเขาจะหลบหนีไป เพราะเป้าหมายคือสร้อยคอไม่ใช่การล่าสัตว์อ

 

เมื่อเหนือภพที่กําลังติดตามอยู่ด้านหลังเห็นเฮงเฮงวิ่งย้อนกลับมา เขาก็ต้องตื่นตะลึงกับภาพคิงคองยักษ์ผิวเกราะสูงอย่างน้อยแปดเมตรกําลังไล่ทุบเฮงเฮงที่กําลังหลบหนี

 

ไร้ชื่อเห็นศัตรูแล้ว ไม่จําเป็นต้องมีคําสั่งหรือคําพูดใด เขาพุ่งออกไปราวกับลูกศรหลุดจากแล่ง ดาบทรงไทยที่อยู่ด้านหลังถูกชักดึงออกมาฟันไปยังคิงคองยักษ์จากระยะไกล กระแสปราณอาคมก่อตัวเป็นรูปดาบหมุนติ้วพุ่งโจมตีใส่คิงคองไม่หยุด

 

ขณะที่ไร้ชื่อเขยิบกายเข้าใกล้ด้วยการวิ่งตรงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดภาพร่างสัตว์อสูรเจ็ดชนิดซ้อนหลังเขา พวกมันกําลังขู่คํารามอย่างเดือดดาลพร้อมกับไร้ชื่อพุ่งตัวไต่ไปตามตัวของคิงคองยักษ์ ก่อนจะตัดหัวของมันขาดภายในดาบเดียว

 

เฮงเฮงโล่งอก เขาเคลื่อนตัวหนีตามปกติจนสะดุดเข้ารากไม้ที่โผล่พ้นพื้นดินจนล้มคว่า ขณะที่ร่างของคิงคองยักษ์ล้มทับเข้าอีกที เป็นภาพที่น่าตลกขบขันมากสําหรับผู้ชมที่อยู่ข้างนอก

 

ร่างกายไร้หัวของคิงคองยักษ์ล้มครืน แผ่นดินไหวสะเทือนเล็กน้อย ในตอนนี้พวกเขาคงไม่อาจปิดบังตําแหน่งของตนได้อีก

 

เหนือภพไม่ได้เคลื่อนไหว เขาเพียงยืนนิ่งกวาดสายตามองไปรอบๆ ขณะที่ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีส้มทอง

 

พิธีกรบอกว่าสร้อยแต่ละเส้นถูกเคลือบไว้ด้วยแร่สองสี ดังนั้นมันไม่ยากเลยที่เขาจะหาสร้อยแต่ละเส้น ต้องขอบคุณเหล็กไหลราชันย์พิภพ แต่หากไม่จวนตัว หรือตกอยู่สถานการณ์รีบเร่ง เขาก็ไม่อยากจะใช้ความสามารถพิเศษนี้

 

“มีหนึ่งทีมกําลังมุ่งมาทางเรา”

 

เหนือภพเอ่ยเสียงเข้ม ทัศนวิสัยของเขาในตอนนี้คือความมืดทึบ แต่ภายในความมืดนั้นมีจุดแสงหลากหลายสีที่น่าจะเกิดจากอุปกรณ์ฮันเตอร์ที่ผ่านการเคลือบแร่มีสีกําลังเคลื่อนกายเข้ามาด้วยความรวดเร็ว และค่อยๆช้าลงคล้ายกับว่าไม่อยากให้ทีมเขารู้ตัว

 

ดวงตาเหนือภพกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ขณะตะเบ็งเสียงดังไปถึงฮันเตอร์ผู้นั้น

 

“พี่ชายมาถึงแล้วก็ออกมาเถอะ ทําตัวหลบๆซ่อนไปทําไม”

 

ร่างกายที่ล่องหนอยู่ด้วยอาคมพรางตาของทีมมือปราบหลวงค่อยๆปรากฏขึ้น นําทีมโดยขุนเจษ ชายหนุ่มที่เคยไล่ล่าเหนือภพ เขาจ้องมองเหนือภพสลับกับมองพญานาคที่แม้ตัวจะไม่ได้ใหญ่โตเท่ากับตํานาน แต่เพียงแค่นี้ก็ทําให้เขารู้สึกกังวลใจ ทว่าด้วยความหนักแน่นในใจที่ยึดถือคุณธรรมและกฎหมายทําให้เขายังคงไร้ความกลัวที่ต่อสู้กับพวกอยุติธรรม

 

งบ 1.1 “ครั้งนี้ข้าไม่ปล่อยเจ้าให้รอดไปแน่”

 

ขุนเจษแสดงเจตจํานงของตัวเอง ไม่มีใครรู้ว่าเขาทําเช่นนี้เพื่อแย่งสร้อยคอ หรือเพื่อนําเหนือภพไปลงโทษตามกฎหมายกันแน่ แต่ที่แน่ๆคือขุนเจษเป็นชายหนุ่มที่มีความสามารถเลิศล้ํา เขาสามารถไต่เต้าไปสู่ตําแหน่งขุนได้ด้วยอายุเพียง 20 ปี เพียงเท่านี้ก็บ่งบอกอะไรได้มากมาย

 

แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรต่อ ไร้ชื่อก็ปรากฏกายขวางหน้าเขาแล้ว ไร้ชื่อไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน เขาไม่คิดจะพูดหรือเจรจากับใคร หากทําตัวเป็นปฏิปักษ์แล้วคนคนนั้นก็คือศัตรู

 

“ศัตรู ต้องฆ่า”

 

ไร้ชื่อฟันดาบใส่อากาศ ขณะที่กระแสอาคมภายในตัวเขาก่อตัวเป็นรูปดาบอาคมหมุนติ้วเข้าใส่มือปราบทั้งสามคน โดยเฉพาะขุนเจษที่เพียงแค่ไม่กี่สิบวินาที ดาบอาคมจํานวนมากกว่าสิบเล่มก็หมุนคว้างเข้าหาเขาไม่หยุด ทําให้เขาจําเป็นต้องถอยร่นเพื่อลดทอนความเสียหาย ขุนเจษมีใจคิดอยากจะปะทะกับเหนือภพ แต่เขากลับไม่มีโอกาสนั้นเมื่อไร้ชื่อได้จองตัวเขาไว้แล้ว

 

ขุนเจษไม่นึกว่าไร้ชื่อจะมีฝีมือมากขนาดนี้ เพราะคราวที่แล้วไร้ชื่อเพียงวิ่งหนีตามเหนือภพไปเท่านั้น ดังนั้นขุนเจษจึงต้องทุ่มสมาธิต่อสู้พัวพันกับไร้ชื่ออยู่เช่นนั้น

 

หมื่นเปรมปรีดิ์ มองไปยังพญานาคลําตัวเท่าต้นกล้วยที่พันอยู่รอบกายเหนือภพก็รู้สึกขนลุก เขารู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้กับเหนือภพ และคงไม่สามารถเข้าไปแย่งสร้อยคอมาจากพญานาคได้ เขาจึงเลือกโจมตีเฮงเฮงที่กําลังคลานออกมาจากใต้ตัว คิงคองยักษ์แทน

 

ส่วน ขุนวราธร สมาชิกคนที่สามของทีมมือปราบหลวง เขาไม่ได้รู้จักกับขุนเจษเป็นการส่วนตัว แม้จะเป็นมือปราบเมืองหลวงเหมือนกันแต่ก็ทํางานคนละหน่วย เขาเพียงแค่ถูกไหว้วานจากผู้มีพระคุณ หน้าที่ของเขามีเพียงอย่างเดียวคือชิงสร้อยมาให้ได้มากที่สุด ดังนั้นเป้าหมายของเขาจึงไม่ใช่การมุ่งต่อสู้เอาชนะใคร

 

“เจ้าส่งสร้อยมาให้ข้า แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป”

 

ขุนวราธรกล่าวด้วยความใจเย็น เขาไม่แสดงท่าที่ก้าวร้าวหรือคุกคามใดใด ไม่แม้แต่ถืออาวุธขึ้นมาข่มขู่เหนือภพ

 

เหนือภพมองเขาอย่างพิจารณา ก่อนจะนิ่วหน้า คนผู้นี้ดูใจเย็นเกินไป ใจเย็นมากจนเขารู้สึกว่ามันไม่ปกติ เมื่ออยู่ต่อหน้าพญานาคแม้แต่ขุนเจษยังมีแววตากังวล แต่คนผู้นี้กลับต่างออกไป

 

“ก็ได้”

 

เหนือภพพ่นลมหายใจออกมาอย่างตัดใจ เขาคว้าพญานาคที่พันอยู่รอบตัวของเขา ก่อนจะเหวี่ยงมันออกไปทางขุนวราธร

 

“เจ้าไปแกะเอาจากตัวมันเองละกัน”

 

“เฮ้ย !”

 

ขุนวราธรเห็นพญานาคพุ่งเข้ามาหาทั้งตัวแบบนั้นก็มีใบหน้าหน้าซีดเผือด ใครจะคิดว่าเหนือภพจะเล่นกันแบบนี้ วินาทีต่อมาเขาเห็นสร้อยคอรัดแน่นอยู่ที่คอของพญานาคใกล้เข้ามา เขาหลบไม่ทันเสียแล้ว แต่ด้วยปฏิกิริยาตอบสนองที่ฉับไว ทําให้หอกสั้นคู่ที่ซ้อนอยู่ด้านหลังดีดพุ่งออกมา ก่อนจะถูกคว้าไว้โดยขุนวราธร เขาใช้มันต้านรับหางเท่าลําต้นกล้วยที่กําลังสะบัดฟาดเข้าใส่

 

ร่างกายเขาถูกฟาด จนครูดลากกระเด็นกระดอนไปกับพื้นโดยไม่อาจต้านทานได้

 

พิธีกรหญิงกระโดดตัวโยนด้วยอารมณ์ลุ้นระทึก

 

“โอ้โฮ ดูทีมบ้านรุ่งโรจน์ร่ํารวยเงินทองไหลมาเทมาทุกๆวินาทีนั่นสิเจ้าคะ”

 

เธอพักหายใจครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อไปว่า

 

“ไม่คิดว่าพวกเขาจะใช้แผนนี้ ข้าน้อยคิดว่าให้แย่งสร้อยมาจากตัวผู้เข้าแข่งขันด้วยกัน ยังดีกว่าให้แย่งมาจากสัตว์อสูรในตํานานอย่างพญานาคนะเจ้าคะ เท่าที่ข้าน้อยรู้ ตัวตนแท้จริงของพญานาคตัวนี้คือนาคราชห้าเศียร คาดว่าต่อให้ทีมเทพเจ้ามาเองก็คงหืดขึ้นคอแน่เลยเจ้าค่ะ”

 

เธอบรรยายสถานการณ์ได้อย่างน่าตื่นเต้น แต่นั่นกลับทําให้รองผู้บัญชาการมือปราบเมืองหลวงที่กําลังมองไปยังห้องรับรองของผู้มีอํานาจถึงกับแสดงความกังวลออกมาทางสายตา การต่อสู้นี้ถูกตัดสินแล้ว

 

ส่วนทางด้านตระกูลนาคราชนั้นกลับตรงกันข้าม พวกเขายิ้มแย้มอย่างพอใจที่เห็นเหนือภพและนาคราชห้าเศียรร่วมมือร่วมใจกันได้ดีเพียงนั้น แม้เหนือภพจะอยู่คนละทีมกับทีมตระกูลนาคราช แต่พวกเขาก็ไม่วิตก เพราะพวกเขาได้เตรียมแผนการบางอย่างไว้กับตัวแทนผู้แข่งขันของตนเรียบร้อยแล้ว

 

เหนือภพเลือกกระโดดขึ้นไปนั่งดูเรื่องสนุกบนกิ่งไม้ใหญ่ ขณะที่เขาหลับตาลงแล้วก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มกวาดมองไปรอบๆ เพื่อสังเกตทีมอื่นๆ แต่น่าเสียดายที่นอกจากจุดแสงบนตัวของมือปราบหลวงสามคนนี้ก็ไม่มีจุดแสงอื่นอีกเลย และใช่ว่าเขาจะนั่งเฉยๆคอยตรวจตราเพียงอย่างเดียว เขาลอบเกร็งกล้ามเนื้อตัวเองรอ หากมีใครเข้ามาใกล้ไม่ว่าสัตว์อสูรหรือทีมอื่น รับรองได้เจอกําปั้นกระแทกอากาศระดับ 12 ของเขาแน่

ทางด้านเฮงเฮงนั้น เขาหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่วพร้อมกับการสวนกลับที่น่าตื่นตะลึง เฮงเฮงได้รับบาดเจ็บจากทุกการโจมตีของหมื่นเปรมปรีดิ์ แต่ก็เป็นบาดแผลเล็กน้อย เฮงเฮงสามารถหลบเลี่ยงการบาดเจ็บในจุดสําคัญบนร่างกาย ผิดกับหมื่นเปรมปรีดิ์ที่มีบาดแผลบริเวณจุดสําคัญบนร่างกายหลายจุด และหากเฮงเฮงไม่ออมฝีมือเอาไว้ บางทีหมื่นเปรมปรีดิ์คงจะตายไปนานแล้ว

 

หมื่นเปรมปรีดิ์เพิ่งตระหนักได้ว่าเฮงเฮงที่ดูเงอะงะซุ่มซ่าม ดวงตาล่อกแลกไปมาคล้ายคนเมายา แต่ความเป็นจริงแล้วฝีมือการต่อสู้ของเขานั้นน่าจะสูงกว่าทุกคนในทีมที่มีชื่อยาวเป็นบ้านั่น มันเป็นคนที่อันตรายที่สุด

 

ความคิดสุดท้ายของหมื่นเปรมปรีดิ์จบลงพร้อมกับร่างที่ร่วงหล่นตกลงสู่พื้นอย่างสิ้นสภาพ เขายังมีลมหายใจอยู่ แต่ก็เพียงรวยรินเท่านั้น ขณะที่เฮงเฮงต่อไหล่ขวาที่หลุดของตัวเองเข้าที่อย่างชํานาญ พร้อมกับร้องครางอย่างเจ็บปวดออกมาโดยไม่ปิดบังความรู้สึก

 

การต่อสู้ของเฮงเฮงถูกคนระดับสูงจับตาดูอย่างถี่ถ้วน มีบ้านฮันเตอร์หลายแห่งต่างชื่นชม และอยากได้เฮงเฮงมาเป็นสมาชิกในบ้านของตน พวกเขาเห็นแล้วว่าเฮงเฮงแทบจะเชี่ยวชาญการใช้อาวุธทุกชนิด ปราณอาคมก็ไม่ธรรมดา หนําซ้ําทักษะการเคลื่อนตัวหลบหลีกยังอยู่ในระดับเป็นเลิศ

 

แม้พวกเขาจะยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดบุคคลที่ฝีมือระดับนี้จึงยอมถูกทําร้ายจนเจ็บตัว แต่พวกเขากลับไม่สนใจมากนัก แค่คาดคิดกันไปต่างๆนานาว่าเฮงเฮงอาจจะมีรสนิยมชอบถูกทําร้ายก็เป็นได้ หรือไม่ก็เขานี่แหละคนเก่งจริงที่ยอมบาดเจ็บเพื่อหลอกล่อศัตรูให้หลงกล แล้วค่อยตามไปปิดฉากชัยชนะทีหลัง

 

“เขาช่างน่าสนใจนัก”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ 59 ปะทะทีมมือปราบหลวง

Now you are reading Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ Chapter 59 ปะทะทีมมือปราบหลวง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ

 

ตอนที่ 59 ปะทะทีมมือปราบหลวง

 

“น่าเสียดายมากเลยนะเจ้าคะ ทีมตระกูลใต้และทีมบ้าน ลานเงินถูกทีมเทพเจ้าแย่งสร้อยไปได้ในเวลารวดเร็วเลยค่ะ ทั้งยังสูญเสียผู้ร่วมทีมไปถึงสองคน ดูท่าทางทั้งสองทีมคงจะแย่งสร้อยกลับมาได้ยาก

 

พิธีกรสาวบรรยายสถานการณ์ในครอบแก้วปาวสันต์ ทําให้ทุกคนรู้สึกเสียดายและเห็นใจทั้งสองทีมเป็นอย่างมาก เพียงไม่กี่นาทีพวกเขาก็ถูกแย่งสร้อยคอและเกิดการบาดเจ็บล้มตาย เมื่อต้องเจอเข้ากับทีมเทพเจ้าที่รวบรวมตัวเก็งระดับแคว้นไว้งสามคน

 

ผู้ชมทั้งหมดต่างรู้เห็นตําแหน่งที่อยู่ของทุกทีม หลายๆตระกูลต่างส่งเสียงเชียร์ เสียงบอกทางเสียงเตือนอย่างสุดใจ ทว่าเสียงเหล่านั้นกลับไม่สามารถทะลุเข้าไปได้เลย

 

“หืม ใครปล่อยให้ศิษย์น้องสามเข้าไปในนั้น”

 

วัฏจักรถามราตรีด้วยน้ําเสียงเรียบนิ่ง ราตรีมองค้อนเขาเล็กน้อย หากไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับศิษย์พี่ศิษย์น้อง เขาก็คงจะไม่ยอมเปิดปากคุยกับเธอเลยสินะ

 

“ท่านก็ดูสิ ที่ตึกลําธารมีใครมาที่ไหน”

 

วัฏจักรเหลียวมองไปที่ห้องรับ

 

รองของตึกลําธารก็พบว่ามันว่างเปล่า ไม่มีคนเลยสักคน แม้แต่เขาเองก็ยังมาช้า จึงไม่แปลกที่เหนือภพจะคิดเองเออเองโดยไม่มีใครให้คําปรึกษา ความจริงแล้วเขาไม่จําเป็นเอาตัวเองไปเสี่ยงถึงเพียงนั้นก็ได้ วัฏจักรหันกลับมาจ้องครอบแก้วที่อยู่กลางเวที นานมากแล้วที่เขาไม่มีความรู้สึกลุ้นระทึกขนาดนี้

 

“ช่างเถอะ”

 

จากนั้นวัฏจักรก็ไม่พูดอะไรอีก เขาและราตรีจะดูอยู่ห่างๆเช่นนั้น ถึงอย่างไรเหนือภพก็คงไม่ได้รับอันตรายถึงชีวิต พวกเขามั่นใจ

 

“อ๊าก ไหนว่ามีแค่ 11 ทีมไง”

 

ตุม !!

 

สัตว์อสูรคิงคองยักษ์ปรากฏกายขึ้น พร้อมกําปั้นยักษ์ทั้งสองข้างทุบลงไปที่พื้นดักหน้าเฮงเฮงที่กําลังวิ่งไปตามชายป่า ต้นไม้ล้มระเนระนาด ฝุ่นดินฟุ้งกระจายขึ้นสูง แต่เฮงเฮงก็พลิ้วกายหลบได้อย่างชํานาญ มีท่อนไม้เพียงท่อนเดียวเท่านั้นที่ฟาดมาโดนหลังของเขา

 

“ลืมบอกไปเจ้าค่ะ ภายในครอบแก้วปาวสันต์ไม่ได้มีเพียงยอดฝีมือทั้ง 33 คน แต่ยังมีสัตว์อสูรแรงค์ E และแรงค์ D อยู่เป็นจํานวนมาก ดูเหมือนการประมูลรอบนี้จะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นมากเลยนะเจ้าคะ”

 

สิ้นเสียงของเธอ ทุกคนก็เห็นว่าแต่ละทีมล้วนกําลังเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรหลากหลายรูปแบบ ไม่เพียงผู้เข้าแข่งขันเท่านั้นที่ตื่นตกใจ แม้แต่ผู้ชมก็ยังลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น ไม่นึกว่าคณะผู้จัดงานจะเอาสัตว์อสูรระดับสูงพวกนี้ใส่เข้าไปด้วย งานเทศกาลที่มีนิรันดร์กาลนครเป็นเจ้าภาพช่างยิ่งใหญ่โดยแท้

 

ยอดฝีมือที่ยังมีชีวิตผ่านช่วงเวลา 10 นาทีแรกมาได้ ล้วนมีฝีมือไม่ธรรมดา แต่มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถกําจัดสัตว์อสูรที่ปรากฏขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น ส่วนมากพวกเขาจะหลบหนีไป เพราะเป้าหมายคือสร้อยคอไม่ใช่การล่าสัตว์อ

 

เมื่อเหนือภพที่กําลังติดตามอยู่ด้านหลังเห็นเฮงเฮงวิ่งย้อนกลับมา เขาก็ต้องตื่นตะลึงกับภาพคิงคองยักษ์ผิวเกราะสูงอย่างน้อยแปดเมตรกําลังไล่ทุบเฮงเฮงที่กําลังหลบหนี

 

ไร้ชื่อเห็นศัตรูแล้ว ไม่จําเป็นต้องมีคําสั่งหรือคําพูดใด เขาพุ่งออกไปราวกับลูกศรหลุดจากแล่ง ดาบทรงไทยที่อยู่ด้านหลังถูกชักดึงออกมาฟันไปยังคิงคองยักษ์จากระยะไกล กระแสปราณอาคมก่อตัวเป็นรูปดาบหมุนติ้วพุ่งโจมตีใส่คิงคองไม่หยุด

 

ขณะที่ไร้ชื่อเขยิบกายเข้าใกล้ด้วยการวิ่งตรงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดภาพร่างสัตว์อสูรเจ็ดชนิดซ้อนหลังเขา พวกมันกําลังขู่คํารามอย่างเดือดดาลพร้อมกับไร้ชื่อพุ่งตัวไต่ไปตามตัวของคิงคองยักษ์ ก่อนจะตัดหัวของมันขาดภายในดาบเดียว

 

เฮงเฮงโล่งอก เขาเคลื่อนตัวหนีตามปกติจนสะดุดเข้ารากไม้ที่โผล่พ้นพื้นดินจนล้มคว่า ขณะที่ร่างของคิงคองยักษ์ล้มทับเข้าอีกที เป็นภาพที่น่าตลกขบขันมากสําหรับผู้ชมที่อยู่ข้างนอก

 

ร่างกายไร้หัวของคิงคองยักษ์ล้มครืน แผ่นดินไหวสะเทือนเล็กน้อย ในตอนนี้พวกเขาคงไม่อาจปิดบังตําแหน่งของตนได้อีก

 

เหนือภพไม่ได้เคลื่อนไหว เขาเพียงยืนนิ่งกวาดสายตามองไปรอบๆ ขณะที่ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีส้มทอง

 

พิธีกรบอกว่าสร้อยแต่ละเส้นถูกเคลือบไว้ด้วยแร่สองสี ดังนั้นมันไม่ยากเลยที่เขาจะหาสร้อยแต่ละเส้น ต้องขอบคุณเหล็กไหลราชันย์พิภพ แต่หากไม่จวนตัว หรือตกอยู่สถานการณ์รีบเร่ง เขาก็ไม่อยากจะใช้ความสามารถพิเศษนี้

 

“มีหนึ่งทีมกําลังมุ่งมาทางเรา”

 

เหนือภพเอ่ยเสียงเข้ม ทัศนวิสัยของเขาในตอนนี้คือความมืดทึบ แต่ภายในความมืดนั้นมีจุดแสงหลากหลายสีที่น่าจะเกิดจากอุปกรณ์ฮันเตอร์ที่ผ่านการเคลือบแร่มีสีกําลังเคลื่อนกายเข้ามาด้วยความรวดเร็ว และค่อยๆช้าลงคล้ายกับว่าไม่อยากให้ทีมเขารู้ตัว

 

ดวงตาเหนือภพกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ขณะตะเบ็งเสียงดังไปถึงฮันเตอร์ผู้นั้น

 

“พี่ชายมาถึงแล้วก็ออกมาเถอะ ทําตัวหลบๆซ่อนไปทําไม”

 

ร่างกายที่ล่องหนอยู่ด้วยอาคมพรางตาของทีมมือปราบหลวงค่อยๆปรากฏขึ้น นําทีมโดยขุนเจษ ชายหนุ่มที่เคยไล่ล่าเหนือภพ เขาจ้องมองเหนือภพสลับกับมองพญานาคที่แม้ตัวจะไม่ได้ใหญ่โตเท่ากับตํานาน แต่เพียงแค่นี้ก็ทําให้เขารู้สึกกังวลใจ ทว่าด้วยความหนักแน่นในใจที่ยึดถือคุณธรรมและกฎหมายทําให้เขายังคงไร้ความกลัวที่ต่อสู้กับพวกอยุติธรรม

 

งบ 1.1 “ครั้งนี้ข้าไม่ปล่อยเจ้าให้รอดไปแน่”

 

ขุนเจษแสดงเจตจํานงของตัวเอง ไม่มีใครรู้ว่าเขาทําเช่นนี้เพื่อแย่งสร้อยคอ หรือเพื่อนําเหนือภพไปลงโทษตามกฎหมายกันแน่ แต่ที่แน่ๆคือขุนเจษเป็นชายหนุ่มที่มีความสามารถเลิศล้ํา เขาสามารถไต่เต้าไปสู่ตําแหน่งขุนได้ด้วยอายุเพียง 20 ปี เพียงเท่านี้ก็บ่งบอกอะไรได้มากมาย

 

แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรต่อ ไร้ชื่อก็ปรากฏกายขวางหน้าเขาแล้ว ไร้ชื่อไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน เขาไม่คิดจะพูดหรือเจรจากับใคร หากทําตัวเป็นปฏิปักษ์แล้วคนคนนั้นก็คือศัตรู

 

“ศัตรู ต้องฆ่า”

 

ไร้ชื่อฟันดาบใส่อากาศ ขณะที่กระแสอาคมภายในตัวเขาก่อตัวเป็นรูปดาบอาคมหมุนติ้วเข้าใส่มือปราบทั้งสามคน โดยเฉพาะขุนเจษที่เพียงแค่ไม่กี่สิบวินาที ดาบอาคมจํานวนมากกว่าสิบเล่มก็หมุนคว้างเข้าหาเขาไม่หยุด ทําให้เขาจําเป็นต้องถอยร่นเพื่อลดทอนความเสียหาย ขุนเจษมีใจคิดอยากจะปะทะกับเหนือภพ แต่เขากลับไม่มีโอกาสนั้นเมื่อไร้ชื่อได้จองตัวเขาไว้แล้ว

 

ขุนเจษไม่นึกว่าไร้ชื่อจะมีฝีมือมากขนาดนี้ เพราะคราวที่แล้วไร้ชื่อเพียงวิ่งหนีตามเหนือภพไปเท่านั้น ดังนั้นขุนเจษจึงต้องทุ่มสมาธิต่อสู้พัวพันกับไร้ชื่ออยู่เช่นนั้น

 

หมื่นเปรมปรีดิ์ มองไปยังพญานาคลําตัวเท่าต้นกล้วยที่พันอยู่รอบกายเหนือภพก็รู้สึกขนลุก เขารู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้กับเหนือภพ และคงไม่สามารถเข้าไปแย่งสร้อยคอมาจากพญานาคได้ เขาจึงเลือกโจมตีเฮงเฮงที่กําลังคลานออกมาจากใต้ตัว คิงคองยักษ์แทน

 

ส่วน ขุนวราธร สมาชิกคนที่สามของทีมมือปราบหลวง เขาไม่ได้รู้จักกับขุนเจษเป็นการส่วนตัว แม้จะเป็นมือปราบเมืองหลวงเหมือนกันแต่ก็ทํางานคนละหน่วย เขาเพียงแค่ถูกไหว้วานจากผู้มีพระคุณ หน้าที่ของเขามีเพียงอย่างเดียวคือชิงสร้อยมาให้ได้มากที่สุด ดังนั้นเป้าหมายของเขาจึงไม่ใช่การมุ่งต่อสู้เอาชนะใคร

 

“เจ้าส่งสร้อยมาให้ข้า แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป”

 

ขุนวราธรกล่าวด้วยความใจเย็น เขาไม่แสดงท่าที่ก้าวร้าวหรือคุกคามใดใด ไม่แม้แต่ถืออาวุธขึ้นมาข่มขู่เหนือภพ

 

เหนือภพมองเขาอย่างพิจารณา ก่อนจะนิ่วหน้า คนผู้นี้ดูใจเย็นเกินไป ใจเย็นมากจนเขารู้สึกว่ามันไม่ปกติ เมื่ออยู่ต่อหน้าพญานาคแม้แต่ขุนเจษยังมีแววตากังวล แต่คนผู้นี้กลับต่างออกไป

 

“ก็ได้”

 

เหนือภพพ่นลมหายใจออกมาอย่างตัดใจ เขาคว้าพญานาคที่พันอยู่รอบตัวของเขา ก่อนจะเหวี่ยงมันออกไปทางขุนวราธร

 

“เจ้าไปแกะเอาจากตัวมันเองละกัน”

 

“เฮ้ย !”

 

ขุนวราธรเห็นพญานาคพุ่งเข้ามาหาทั้งตัวแบบนั้นก็มีใบหน้าหน้าซีดเผือด ใครจะคิดว่าเหนือภพจะเล่นกันแบบนี้ วินาทีต่อมาเขาเห็นสร้อยคอรัดแน่นอยู่ที่คอของพญานาคใกล้เข้ามา เขาหลบไม่ทันเสียแล้ว แต่ด้วยปฏิกิริยาตอบสนองที่ฉับไว ทําให้หอกสั้นคู่ที่ซ้อนอยู่ด้านหลังดีดพุ่งออกมา ก่อนจะถูกคว้าไว้โดยขุนวราธร เขาใช้มันต้านรับหางเท่าลําต้นกล้วยที่กําลังสะบัดฟาดเข้าใส่

 

ร่างกายเขาถูกฟาด จนครูดลากกระเด็นกระดอนไปกับพื้นโดยไม่อาจต้านทานได้

 

พิธีกรหญิงกระโดดตัวโยนด้วยอารมณ์ลุ้นระทึก

 

“โอ้โฮ ดูทีมบ้านรุ่งโรจน์ร่ํารวยเงินทองไหลมาเทมาทุกๆวินาทีนั่นสิเจ้าคะ”

 

เธอพักหายใจครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อไปว่า

 

“ไม่คิดว่าพวกเขาจะใช้แผนนี้ ข้าน้อยคิดว่าให้แย่งสร้อยมาจากตัวผู้เข้าแข่งขันด้วยกัน ยังดีกว่าให้แย่งมาจากสัตว์อสูรในตํานานอย่างพญานาคนะเจ้าคะ เท่าที่ข้าน้อยรู้ ตัวตนแท้จริงของพญานาคตัวนี้คือนาคราชห้าเศียร คาดว่าต่อให้ทีมเทพเจ้ามาเองก็คงหืดขึ้นคอแน่เลยเจ้าค่ะ”

 

เธอบรรยายสถานการณ์ได้อย่างน่าตื่นเต้น แต่นั่นกลับทําให้รองผู้บัญชาการมือปราบเมืองหลวงที่กําลังมองไปยังห้องรับรองของผู้มีอํานาจถึงกับแสดงความกังวลออกมาทางสายตา การต่อสู้นี้ถูกตัดสินแล้ว

 

ส่วนทางด้านตระกูลนาคราชนั้นกลับตรงกันข้าม พวกเขายิ้มแย้มอย่างพอใจที่เห็นเหนือภพและนาคราชห้าเศียรร่วมมือร่วมใจกันได้ดีเพียงนั้น แม้เหนือภพจะอยู่คนละทีมกับทีมตระกูลนาคราช แต่พวกเขาก็ไม่วิตก เพราะพวกเขาได้เตรียมแผนการบางอย่างไว้กับตัวแทนผู้แข่งขันของตนเรียบร้อยแล้ว

 

เหนือภพเลือกกระโดดขึ้นไปนั่งดูเรื่องสนุกบนกิ่งไม้ใหญ่ ขณะที่เขาหลับตาลงแล้วก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มกวาดมองไปรอบๆ เพื่อสังเกตทีมอื่นๆ แต่น่าเสียดายที่นอกจากจุดแสงบนตัวของมือปราบหลวงสามคนนี้ก็ไม่มีจุดแสงอื่นอีกเลย และใช่ว่าเขาจะนั่งเฉยๆคอยตรวจตราเพียงอย่างเดียว เขาลอบเกร็งกล้ามเนื้อตัวเองรอ หากมีใครเข้ามาใกล้ไม่ว่าสัตว์อสูรหรือทีมอื่น รับรองได้เจอกําปั้นกระแทกอากาศระดับ 12 ของเขาแน่

ทางด้านเฮงเฮงนั้น เขาหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่วพร้อมกับการสวนกลับที่น่าตื่นตะลึง เฮงเฮงได้รับบาดเจ็บจากทุกการโจมตีของหมื่นเปรมปรีดิ์ แต่ก็เป็นบาดแผลเล็กน้อย เฮงเฮงสามารถหลบเลี่ยงการบาดเจ็บในจุดสําคัญบนร่างกาย ผิดกับหมื่นเปรมปรีดิ์ที่มีบาดแผลบริเวณจุดสําคัญบนร่างกายหลายจุด และหากเฮงเฮงไม่ออมฝีมือเอาไว้ บางทีหมื่นเปรมปรีดิ์คงจะตายไปนานแล้ว

 

หมื่นเปรมปรีดิ์เพิ่งตระหนักได้ว่าเฮงเฮงที่ดูเงอะงะซุ่มซ่าม ดวงตาล่อกแลกไปมาคล้ายคนเมายา แต่ความเป็นจริงแล้วฝีมือการต่อสู้ของเขานั้นน่าจะสูงกว่าทุกคนในทีมที่มีชื่อยาวเป็นบ้านั่น มันเป็นคนที่อันตรายที่สุด

 

ความคิดสุดท้ายของหมื่นเปรมปรีดิ์จบลงพร้อมกับร่างที่ร่วงหล่นตกลงสู่พื้นอย่างสิ้นสภาพ เขายังมีลมหายใจอยู่ แต่ก็เพียงรวยรินเท่านั้น ขณะที่เฮงเฮงต่อไหล่ขวาที่หลุดของตัวเองเข้าที่อย่างชํานาญ พร้อมกับร้องครางอย่างเจ็บปวดออกมาโดยไม่ปิดบังความรู้สึก

 

การต่อสู้ของเฮงเฮงถูกคนระดับสูงจับตาดูอย่างถี่ถ้วน มีบ้านฮันเตอร์หลายแห่งต่างชื่นชม และอยากได้เฮงเฮงมาเป็นสมาชิกในบ้านของตน พวกเขาเห็นแล้วว่าเฮงเฮงแทบจะเชี่ยวชาญการใช้อาวุธทุกชนิด ปราณอาคมก็ไม่ธรรมดา หนําซ้ําทักษะการเคลื่อนตัวหลบหลีกยังอยู่ในระดับเป็นเลิศ

 

แม้พวกเขาจะยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดบุคคลที่ฝีมือระดับนี้จึงยอมถูกทําร้ายจนเจ็บตัว แต่พวกเขากลับไม่สนใจมากนัก แค่คาดคิดกันไปต่างๆนานาว่าเฮงเฮงอาจจะมีรสนิยมชอบถูกทําร้ายก็เป็นได้ หรือไม่ก็เขานี่แหละคนเก่งจริงที่ยอมบาดเจ็บเพื่อหลอกล่อศัตรูให้หลงกล แล้วค่อยตามไปปิดฉากชัยชนะทีหลัง

 

“เขาช่างน่าสนใจนัก”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+