องครักษ์เสื้อแพร 1018 ลำบากใจ

Now you are reading องครักษ์เสื้อแพร Chapter 1018 ลำบากใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไม่รู้เกิดจากอันใด ในเมืองหลวงหลายประตูเมือง กรมทหารล้วนส่งคนจับตาดู หากเป็นเอกสารไปมาของพวกเขา ล้วนต้องขอดูก่อน

หากเป็นคนจากทัพใหญ่ปราบตะวันออก คนกรมทหารล้วนส่งคนนำตัวไปยังที่ทำการรายงานข่าว ไม่ให้เสียเวลาอันใด แต่ข่าวย่อมส่งเข้าวังก่อน คนกรมทหารแน่นอนรู้งาน นำคนไปยังหน้าประตูวัง ขันทีรออยู่หน้าประตูวังหลวง พอได้ข่าวก็นำทูลฮ่องเต้ว่านลี่ทันที

นี่เป็นเรื่องแปลก คนนำฎีกามาใช่ว่าไม่รู้ทาง ไยต้องทำเช่นนี้ แต่มีเรื่องหนึ่ง เมื่อก่อนเป็นธรรมเนียมแผ่นดินหมิง หากเป็นชัยชนะใหญ่ คนนำข่าวมาถึงประตูเมืองหลวงก็จะตะโกนประกาศดังก้อง กลัวแต่ไม่มีคนรู้

“พี่ๆ น้องๆ ทุกท่านไม่รู้ นี่เป็นเพราะในวังเป็นห่วงว่านายท่านนำชัยชนะใหญ่มา ประกาศให้ใต้หล้าได้รู้ ในวังจะวางตัวลำบาก?”

ในจวนหวังทง ซ่งฉานฉานกับบรรดาสตรีของหวังทงกำลังคุยกัน หานเสียกับจางหงอิงล้วนเห็นโลกมาไม่น้อย ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์เป็นคนฉลาด มีแต่หลูรั่วเหมยที่ไม่เข้าใจ ถามอย่างแปลกใจขึ้นว่า

“พี่ซ่ง ทำไมไม่ให้ประกาศเล่า?”

“ตอนนี้นายท่านเป็นโหวแล้ว ยังเป็นผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร สถานะสูงส่ง หากสร้างความชอบใหญ่อีก ไม่รู้จะพระราชทานความชอบอย่างไรแล้ว ข่าวปิดไว้ ในวังคิดหาทางก่อนค่อยว่ากัน ให้เหมาะสมสักหน่อย”

หลูรั่วเหมยยังเหมือนไม่เข้าใจ หากก็พยักหน้า ซ่งฉานฉานเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า

“ฮูหยินหงอิง พวกท่านพรุ่งนี้ไปเทียนจินเถอะ พาคุณชายน้อยไปด้วย บอกกับคนอื่นว่าไปคารวะกงกง ไปแสดงความกตัญญูท่าน”

หานเสียพยักหน้า ในอ้อมกอดมีหวังเซี่ยที่ลืมตาโตมองซ้ายมองขวาอย่างสนใจอยากรู้ แม้ว่าเดินและพูดได้แล้ว แต่อายุยังน้อย ไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ หานเสียอุ้มกล่อมหวังเซี่ยไปมา ก่อนจะเรียกแม่นมด้านนอกเข้ามา พาหวังเซี่ยออกไปเล่น รอในห้องเหลือกันแต่ภรรยาหวังทงห้าคน หานเสียก็ลุกขึ้นหันไปคำนับซ่งฉานฉานกล่าวว่า

“พี่ซ่ง ข้ากับน้องทั้งสามไม่รู้อะไรมากนัก ความอยู่รอดจวนนี้ก็ขอฝากไว้กับพี่ซ่งแล้ว”

ซ่งฉานฉานรีบลุกขึ้นประคองหานเสีย ยิ้มกล่าวว่า

“ฮูหยินไยกล่าวเช่นนี้ ล้วนครอบครัวเดียวกัน ไม่มีอันตรายใด นายท่านคิดการไว้รอบคอบแล้ว ฮูหยินกับน้องทั้งสามไม่ต้องเป็นห่วงอันใด”

***************

หอประชุมเหวินเยียนเก๋อในวัง คณะเสนาบดีใหญ่ขาดแค่หวังซีเจวี๋ย ก็เงียบไปมาก พอเข้าเดือนห้า  ขันทีสำนักเครื่องใช้ในวังก็นำช่างมาเปลี่ยนหน้าต่างและเครื่องใช้ในหอประชุมเหวินเยียนเก๋อ จากของใช้หน้าหนาวเป็นของใช้ฤดูใบไม้ผลิ

เรื่องเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เงินที่ทัพใหญ่ปราบตะวันออกใช้ไปกับที่เมืองเหลียวโจว ราชสำนักไม่กดดันมาก บรรดาขุนนางคณะเสนาบดีใหญ่ล้วนผ่อนคลาย

วันที่ 7 เดือนห้า เทศกาลไหว้บะจ่างผ่านมาได้สองวัน การประชุมราชสำนักกำลังจะเสร็จ ก็มีขันทีน้อยนำฎีกาจากเหลียวตงมา ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้รั้งทุกคนให้ประชุมต่อ หากเสด็จกลับไปยังห้องทรงอักษร บรรดาขุนนางในคณะเสนาบดีใหญ่และหกกรมกองยังคงปกติ

กล่าวว่าปกติ ความจริงนั้นไม่ปกติ ตอนประชุมราชสำนัก ขันทีวิ่งนำข่าวชัยชนะกองกำลังหู่เวยมา ข่าวการสังหารหัวหน้าโจรมา

“หากเมื่อห้าปีก่อนมีคนบอกข่าวนี้ ข้าคงโดดตัวลอยจากเก้าอี้ ตอนนี้กลับรู้สึกไม่เห็นมีอะไร”

“ห้าปีก่อนยังเร็วไป หากหกปีก่อนเจ็ดปีก่อนสิ มีคนบอกว่าตัดหัวหัวหน้าโจรได้ ข่าวมาถึงกรมทหาร กรมทหารคงต้องตื่นเต้นรีบส่งคนไปตรวจสอบ คนสังหารได้ย่อมมีอนาคตไกล เจ้านำหัวหัวหน้าโจรกลับมา  ใช่ว่าไปหาซื้อมาจากที่ไหนหรือไม่ หากตอนนี้ ? สำหรับหวังทง ชัยชนะใหญ่ไม่ใช่เรื่องแปลก”

“…เสิ่นหยางสามหมื่น ไล่ไปถึงกองกำลังเถี่ยหลิ่งรายงานอีกหมื่น ครั้งนี้ออกนอกกำแพงเมืองก็อีกสองหมื่น หกหมื่นหัว หากรวมกับเซวียนฝู่  ต้าถง จี้โจว เหลียวโจว กองกำลังหู่เวยทำความชอบครานี้ยิ่งใหญ่นัก ต้องให้ตำแหน่งเท่าไร ให้เงินทองพระราชทานมากเท่าไรกัน…”

“ตลอดชีวิตหม่าฟางก็แค่สองสามหมื่นหัว ก็ได้เป็นโหวแล้ว หวังทงทำความชอบเช่นนี้จะให้อย่างไร?  นอกจากหัวแล้ว ความชอบอื่นอีก ตอนนี้เขาก็เป็นถึงโหวแล้ว…”

พูดถึงตรงนี้  ทุกคนล้วนเงียบกริบ  เซินสือหังที่อ่านฎีกาเงียบอยู่นานตั้งแต่เริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ยามนี้ค่อยๆ เงยหน้ากล่าวว่า

“เรื่องเช่นนี้เป็นพระราชอำนาจ พวกเราเป็นขุนนางไม่ควรวิจารณ์”

ถูกเซินสือหังตำหนิ ทุกคนจึงได้รู้ตัวว่าลืมตัวไป พากันกระแอมไอ กลับไปนั่งที่ ทำงานของตนเองไป

*****************

หอประชุมเหวินเยียนเก๋อวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา แต่ในห้องทรงอักษรกลับเงียบไปมาก ใช่ว่าเงียบแล้วไม่วิพากษ์วิจารณ์ เพียงแต่ที่นี่ไม่อาจคุยกันได้

เถียนอี้และโจวอี้ล้วนตรวจอนุมัติฎีกาด้วยท่าทีนอบน้อม เจ้าจินเลี่ยงก็เข้าๆ ออกๆ  นำเอกสารเข้ามาส่งให้แล้วนำออกไป แม้เป็นงานจิปาถะ แต่ตอนนี้ในวังข้างพระวรกายฮ่องเต้ว่านลี่ก็มีแต่เจ้าจินเลี่ยง แม้แต่เถียนอี้กับโจวอี้ล้วนไม่ได้ใกล้ชิดเช่นนี้

ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดพระขนง ทอดพระเนตรฎีกา ทรงตำหนิออกมาว่า

“เรื่องเล็กน้อยพวกนี้ส่งมาให้เราทำไม ราชสำนักให้เบี้ยหวัดเลี้ยงดูเพื่อให้เขาเขียนฎีกามันทุกเรื่องหรือไง?”

“เหลวไหล! เขาคิดว่าเราไม่รู้เรื่องที่เจียงซีหรือไง กลับกล้ารายงานภัยแล้งมาถึงเราได้ ให้องครักษ์เสื้อแพรไปตรวจสอบ ดูว่าเป็นองครักษ์เสื้อแพรผิดพลาด หรือว่าเป็นพวกเขาเมืองจิ่วเจียงผิดพลาด!”

ทรงอารมณ์ไม่ดียิ่ง คนที่เหลือพากันระวังตัว กลัวว่าจะทรงกริ้วใส่ พออ่านฎีกาไปสองสามฉบับ ฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ ๆทรงเอ่ยขึ้นถามขึ้น

“ทัพหวังทงสร้างผลงานใหญ่เช่นนี้ ควรพระราชทานความชอบอย่างไรดี?”

ที่ทรงถามขึ้นเป็นเรื่องที่ทุกคนในห้องทรงอักษรคาดไว้แล้ว ตามลำดับตำแหน่ง แน่นอนควรเป็นเถียนอี้ตอบ แต่ทว่าเถียนอี้ยามนี้ย่อมไม่อยากออกหน้า หากฮ่องเต้ถามขึ้น ก็ได้แต่ถวายคำนับทูลตอบว่า

“ฝ่าบาท ใต้เท้าหวังตอนนี้เป็นโหวแล้ว ครั้งนี้ควรเป็นกั๋วกงแล้ว เรื่องพระราชทานรางวัลนี้กระหม่อมในสองสามวันนี้จะจัดให้หน่วยงานต่างๆ เตรียมการ ตอนนี้ในวังใช้จ่ายสบายแล้ว ขอฝ่าบาทอย่าได้ทรงเป็นห่วง”

“เรื่องพวกนี้ไยต้องให้เจ้าพูด เราตอนอยู่ลานฝึกหู่เวยก็รู้แล้วควรพระราชทานอันใด ความดีความชอบหวังทงเช่นนี้ ตามหลักก็ควรได้พระราชทานตำแหน่งกั๋วกง จากนั้นก็ให้ที่นาเงินทอง ใต้หล้าจะมองเราอย่างไร จะพูดถึงเราอย่างไร  พระราชทานรางวัล เงินทองที่พระราชทานไม่ใช่เงินทองทีได้จากเงินก้อนจินฮวาเทียนจินหรือไง!!”

ฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ๆ ก็ระเบิดอารมณ์ออกมา เถียนอี้รีบคุกเข่าโขกศีรษะขออภัยโทษกล่าวว่า

“ฝ่าบาทโปรดระงับความกริ้ว  กระหม่อมคิดการไม่รอบคอบเองพะยะค่ะ”

แต่ทว่าเถียนอี้ก้มหน้าลงพื้น คนอื่นๆ มองไม่เห็นสีหน้า จะมีสีหน้าเสียใจที่กล่าวไปหรือไม่ก็กล่าวได้ยาก ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่สนพระทัย ตบโต๊ะอย่างทนไม่ไหวตรัสว่า

“คุกเข่าไปคุกเข่ามา คุกเข่าแล้วได้อะไรกัน ลุกขึ้นมา โจวอี้ เจ้าว่าอย่างไร?”

“ฝ่าบาท เรื่องนี้…กระหม่อมคิดว่า ความชอบหวังทงเหมือนเทียบกับสวีต๋าและหลี่ซ่านฉาง …กระหม่อมคิดว่า ความชอบหวังทงจะยิ่งใหญ่เพียงใดก็ยังคงเป็นขุนนางข้าฝ่าพระบาท ฝ่าบาทคิดพระราชทานอันใด เขาก็ย่อมซาบซึ้งน้อมรับ”

โจวอี้กล่าวได้สองคำก็ลอบมองเห็นท่าทางฮ่องเต้ว่านลี่ที่แปรเปลี่ยน รีบเปลี่ยนคำทูล ก่อนจะทิ้งมือแนบตัวก้มหน้านิ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่จ้องมองโจวอี้ ก่อนตรัสถามไปยังเจ้าจินเลี่ยงที่ยืนคัดแยกฎีกาอยู่ไกลออกไปว่า

“เสี่ยวเลี่ยง หวังทงสร้างความดีความชอบใหญ่เช่นนี้ เจ้าว่าควรพระราชทานอันใดดี”

“ใต้หล้าเป็นของฝ่าบาท ฝ่าบาททรงคิดพระราชทานอันใด ก็อันนั้นพะยะค่ะ!”

เจ้าจินเลี่ยงตอบเหมือนไม่ลังเลอันใด สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่พอพระทัยพยักพระพักตร์ แต่ทว่าก็ส่ายพระพักตร์ทันที เหมือนมีอันใดยังกล่าวไม่จบ

ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้ทรงถามต่อ ถึงกับไม่ส่งคนไปถามจากคณะเสนาบดีใหญ่

แต่ทว่าวันรุ่งขึ้นในวังก็มีข่าวแพร่ออกไปว่า หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ขันทีเถียนอี้กลับไปที่พักกล่าวกับคนสนิทว่า

“อีก 20  ปี ดีไม่ดีไม่ถึง 20 ปี หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ก็คงเป็นเจ้าจินเลี่ยงแล้ว”

เรื่องนี้ที่จริงไม่ต้องพูด ทุกคนรู้ดีแก่ใจ คนสนิทเช่นนี้ หลายครั้งในเวลาคับขันก็ยังตามเสด็จไม่ห่าง และตั้งแต่จางเฉิงไปถึงโจวอี้ก็นับว่าเป็นผู้ใหญ่ของเขา คนเช่นนี้วันหน้าย่อมเป็นอยู่ในตำแหน่งใหญ่แห่งสำนักส่วนพระองค์ไปอีกนาน  และเจ้าจินเลี่ยงตอนนี้ความจริงนั้นเป็นพ่อบ้านตำหนักเฉียนชิงกงของฮ่องเต้ สถานะยิ่งไม่ธรรมดา ดีไม่ดี  รัชทายาทก็อาจเป็นเขาได้ดูแล

แต่ทว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ที่น่าตกใจก็คือเป็นเถียนอี้ไปถวายพระพรไทเฮาฉือเซิ่งที่จวนอู่ชิงโหว ข่าวนี้เก็บเป็นความลับยิ่ง นอกจากฮ่องเต้ว่านลี่ก็มีเพียงโจวอี้รู้ คนอื่นเห็นแค่ว่าฮ่องเต้ส่งขันทีไปจวนอู่ชิงโหวถามไถ่ เดิมที่ทำไปเป็นเรื่องไม่กตัญญูแล้ว การส่งขันทีไปก็แต่ทำไปเพื่อรักษาหน้าตาเท่านั้น

แต่เรื่องพระราชทานรางวัล ฮ่องเต้ว่านลี่ตัดสินพระทัยไม่ได้ ต้องไปทูลถามไทเฮา ทรงทำเช่นนี้ทำเอาโจวอี้หนาวสันหลังวาบ หากจางเฉิงก่อนจากไปเคยกำชับไว้แล้ว เขาคิดการอื่นใดไม่ได้การแล้ว จางเฉิงตอนนั้นกล่าวได้ถูกต้อง ไทเฮากับฝ่าบาทอย่างไรก็เป็นแม่ลูกแท้ๆ ไม่มีอันใดไม่อาจกล่าวกันได้ แต่ฝ่าบาทที่ต้องป้องกันก็ต้องป้องกันอยู่ดี เราเป็นบ่าววางใจให้เป็นปกติก็พอ

ฎีกาหวังซีเจวี๋ยมาถึงเมืองหลวง ฎีกากล่าวบรรยายความร่ำรวยเมืองเหลียวโจว บรรยายข้อเสียของการให้อำนาจขุนพลทหารปกครอง และยังกล่าวถึงชายแดนทั้งเก้าล้วนรับมือศัตรูหนึ่งทาง แต่เมืองเหลียวโจวต้องรับมือหลายทาง ทั้งมองโกล ทั้งเผ่าหนี่ว์เจิน ทั้งเกาหลี หากให้คนเดียวดูแลก็จะเกิดปัญหาง่าย รับมือไม่ไหว

ดังนั้นหวังซีเจวี๋ยเสนอให้แบ่งเมืองเหลียวโจวออกเป็นสามตำแหน่งผู้บัญชาการ เหลียวตง เหลียวหนานและเหลียวเป่ย แต่ละคนดูแลพื้นที่ทางตน ทำงานง่าย และเขายังกล่าวว่าเมืองเหลียวโจวกว้างใหญ่ ดินอุดมสมบูรณ์ มีที่นาผืนใหญ่ยังไม่ได้บุกเบิกพื้นที่ เหมาะแก่การให้ราษฎรยากจนในด่านไปที่นั่น ตอนนี้นอกกำแพงเมืองเริ่มบุกเบิกกันแล้ว เรื่องราวเกี่ยวกับราษฎรมีมาก ควรจะจัดตั้งเป็นมณฑลปกติให้ขุนนางบุ๋นไปดูแล

หวังซีเจวี๋ยมีคำพูดหนึ่งน่าสนใจว่า ราษฎรนอกด่านไม่เหมือนในด่าน ควรส่งคนที่รู้งานกระจ่างไปรับตำแหน่ง ผู้ตรวจการเขต ผู้ว่าการมณฑล แน่นอนใช้พวกบัณฑิตจวี่เหริน แต่คนพวกนี้ดีที่สุดให้เลือกมาจากเทียนจิน ในเวลาอันเฉพาะกาลนี้จะได้จัดการเรื่องราวเฉพาะกิจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด