องครักษ์เสื้อแพร 835 ส่งข่าว

Now you are reading องครักษ์เสื้อแพร Chapter 835 ส่งข่าว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 835 ส่งข่าว

หวังทงไม่ค่อยดื่มสุรา ทว่าคอแข็งอยู่ พ่อค้าเนี่ยจินดื่มมากไปแล้ว หวังทงยังดี ได้ฟังเนี่ยจินเล่าเรื่องแดนใต้ ก็รู้สึกสนุกขึ้นมา

เรื่องแดนใต้ที่เนี่ยจินเล่ามา ย่อมไม่มีในรายงานข่าวเป็นทางการของสำนักองครักษ์เสื้อแพร เรื่องจริงก็คือ การข่าวใต้หล้าขององครักษ์เสื้อแพรเน้นเมืองหลวงเป็นหลัก พอมาถึงแดนใต้ การข่าวก็อ่อนลง

เขตปกครองใต้ รับผิดชอบโดยนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหนานจิง  นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหนานจิงล้วนเป็นคนที่ปฐมฮ่องเต้จูหยวนจางจัดไว้

นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรที่อื่นล้วนส่งมาจากเมืองหลวง แต่ที่หนานจิงไม่เหมือนกัน ที่หนานจิงนายกองพันเป็นตำแหน่งสืบทอดเดิมในพื้นที่  พอนายกองพันขาด ทางหนานจิงก็จะส่งรายชื่อแต่งตั้งไปเมืองหลวง ให้ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรเลือก

ในนี้นั้นก็มี ขันทีใหญ่ประจำหนานจิงมีอำนาจออกความเห็น หลายปีมานี้ องครักษ์เสื้อแพรหนานจิงเป็นระบบ ทางเมืองหลวงไม่อาจแทรกตัวเข้าจัดการ

คิดถึงอิทธิพลตระกูลใหญ่ที่แทรกซึมไปทั่ว องครักษ์เสื้อแพรแดนใต้แท้จริงแล้วได้รับผลกระทบไปด้วยหรือมนั้นแค่คิดก็รู้ได้ ย่อมไม่มีข่าวอันใดที่ไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาส่งไปยังเมืองหลวงแน่

ที่จริงแล้วราชสำนักเข้าใจแดนใต้มาก ไม่อาศัยองค์กรสายลับรายงานข่าว หากส่งขันทีออกมาสืบข่าวกลับไป ถึงกับเป็นที่มาของข่าวที่ขุนนางบัณฑิตกับขุนนางบุ๋นยื่นฎีกา

ทว่าข่าวพวกนี้ก็มีที่มาเหมือนกัน ตระกูลสูงไม่ได้ขัดประโยชน์อันใดกับพวกเขา  เรื่องบางเรื่องก็หลับตาข้างหนึ่งเสียบ้าง เดี๋ยวก็ผ่านไป

ที่จริงแล้วสำหรับหวังทง เรื่องพวกนี้ก็แค่ข่าวลือได้ยินมา ไม่มีความจำเป็นต้องไปสนใจ

พ่อค้าแซ่เนี่ยดื่มมากไป กลับถึงเรือก็กรนคร่อกหลับไป คืนนี้มีทหารยาม เงียบสงบจนถึงฟ้าสว่าง

ฟ้าสว่างรำไร เรือบนลำน้ำก็เริ่มมากแล้ว  เนี่ยจินก็ตื่นแล้ว อย่างไรก็กล่าววาจาเกรงใจตามมารยาท จากนั้นก็นำเรือออกไป หวังทงกลับไม่เร่ง ตามระเบียบเดินทัพ ไปทำอาหารเช้าที่เมืองซาโจว ตรวจเรืองแล้วค่อยออกเดินทาง

การเดินเรือวันนี้ทั้งวันน่าเบื่อมาก พระอาทิตย์ไปทางตะวันตกก็เข้าสู่พื้นที่เขตปกครองใต้ ฟ้าใกล้มืดก็ถึงแถวอำเภอเพ่ย

ที่จริงเรือยังมีต้องแล่นอีกระยะ แต่ทว่าทางจากนี้แคบมาก อำเภอเพ่ยมีตั้งด่านส่วนตัว เรือชาวบ้านผ่านไปมาก็ต้องจ่ายภาษี พอผ่านด่านอำเภอเพ่ย อีกครึ่งวันก็จะถึงเมืองสวีโจวแล้ว

ขบวนเรือหวังทงแม้เปลี่ยนเป็นเรือชาวบ้าน แต่พอพบด่านก็ยังต้องแสดงสถานะทางการ ไม่เช่นนั้น ทางการขึ้นมาตรวจค้นเรื่องมาก เห็นอาวุธและเกราะบนเรือ ก็ต้องเคลื่อนกำลังทหารมาจัดการ

หากในความเป็นจริงนั้น ยังไม่ทันได้แสดงสถานะผู้แทนพระองค์ ก็มีคนเห็นป้ายประจำตัวนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพร สำหรับนายอำเภอเพ่ย นายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรก็เป็นตำแหน่งขุนนางใหญ่แล้ว ย่อมต้องรีบปล่อยไป ไม่กล้าล่วงเกิน

ขบวนหวังทงไม่เร่งเดินทาง ฟ้ามืดที่ไหนก็พักที่นั่น  มีบางคนแอบขึ้นฝั่งไปหาซื้อเนื้อสุนัขมาเคี้ยวเล่นไม่ให้ทุกคนเหงาปากตอนกลางคืน

ข่าวจากเมืองหลวงมา ย่อมไม่ไล่ตามทาทางคลองส่งน้ำ อำเภอเพ่ยเป็นจุดหนึ่ง พอเรือเทียบท่า ก็มีคนนำกล่องเหล็กมาส่งให้หวังทง

เดือนแปด อำเภอเพ่ยร้อนอบอ้าวมาก พอตกดึกอากาศร้อนยังคงไม่ซาลง หวังทงขี้เกียจขึ้นฝั่ง จุดตะเกียงนั่งอ่านอยู่ในเรือ

เมืองหลวงไม่มีเรื่องใด ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวทั้งหลายโต้เถียงกันเรื่องตระกูลหลี่เมืองเหลียวโจวควรได้รับพระราชทานรางวัลใด ทุกคนในตระกูลหลี่ควรได้บรรดาศักดิ์หรือไม่ เรื่องเล็กพรรค์นี้ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง

ส่วนเรื่องการเคลื่อนไหวในราชสำนัก ก็มีเรื่องหลี่จื๋อผู้ตรวจการเขตปกครองส่งจดหมายหลายฉบับไปยังเมืองผูโจวให้จางซื่อเหวยที่ไว้ทุกข์อยู่ หลี่จื๋อนั้นเป็นลูกศิษย์คนสนิทจางซื่อเหวย ตอนนั้นต่อสู้กับพวกที่เหลือของจางจวีเจิ้งกับเฝิงเป่า หลี่จื๋อนับเป็นแนวหน้า ยื่นฎีกาโจมตี ออกแรงมากสุด

พอจางซื่อเหวยได้เป็นมหาอำมาตย์ หลี่จื๋อก็พลอยได้ดีไปด้วย ได้กลายเป็นผู้ตรวจการเขตปกครองขุนนางในเขตปกครองเหนือเรียกได้ว่ามีอำนาจแท้จริง

ในวงการขุนนางมีธรรมเนียมว่าเมื่อจากไปก็ย่อมชาเย็นชืด จางซื่อเหวยกลับบ้านไปไว้ทุกข์บิดา หลี่จื๋อที่เดิมถูกผู้คนยกยอไว้สูง ก็ย่อมถูกละเลย  เดิมยังทระนงในสถานะตน แต่ตอนนี้กลับได้แต่ไปร่วมวงกับพวกขุนนางบัณฑิตชิงหลิว ออกมาส่งเสียงหาเรื่องสร้างชื่อ สัมพันธ์กับจางซื่อเหวยเรียกได้ว่าเยียบเย็นกว่าเมื่อก่อนมาก แต่อย่างไรก็ยังเป็นศิษย์อาจารย์  จดหมายไปมาหาสู่กันก็ต้องมีบ้าง แต่ก็แค่เป็นตามธรรมเนียม ความกตัญญูแบบเมื่อก่อนนั้นไม่มากแล้ว

ดังนั้นเมื่ออยู่ ๆ หลี่จื๋อส่งจดหมายไปหลายฉบับก็ย่อมดูว่าผิดปกติ ควรค่าแก่การรายงานหวังทง

หวังทงก็แค่อ่านผ่านๆ   ไม่ได้จดจำอันใด หวังทงจดจำขุนนางบุ๋นได้มีไม่กี่คน นอกจากเซินสือหัง จางเสวียเหยียน กับหยางเหว่ย หวังหลิน ส่วนคนที่ไม่ได้อยู่ในส่วนกลาง ก็จำหลี่ซานไฉกับกู้เซี่ยนเฉิงได้

สองคนนี้ไม่มีผู้ใหญ่หนุนหลัง กลับสร้างสถานการณ์ในเมืองหลวงเช่นนั้นได้ และยังหาได้ยากอีกเรื่องก็คือ สองคนนี้รู้งานการควรไม่ควร แม้ก่อเรื่องใหญ่โต แต่ไม่เคยลงไปร่วมลึกนัก  ทุกคนที่เกิดการโต้แย้ง พวกเขาก็จะได้ผลประโยชน์ ไม่เคยถูกภัยไปด้วย

กำลังอ่านอยูนั้น ก็ได้ยินบนฝั่งมีคนตะโกนมาว่า

“นายท่านอู๋เอ้อร์อยู่ไหม ตระกูลเหลียงแห่งอำเภอเพ่ยขอพบ!!”

พอขบวนเรือหวังทงเทียบท่า เรือสิบกว่าลำก็มากันครบ  เรืออื่นๆ ย่อมหลบไป เห็นคนตะโกนจากท่าก็ย่อมมาทางนี้แล้ว

กำลังงงอยู่นั้น อู๋เอ้อร์ก็มารายงานด้านนอกว่า

“นายท่าน บนฝั่งเป็นคนรู้จักเก่าแก่ของข้าน้อยเอง  ทำการค้าทางน้ำมานานปี   การข่าวไวมาก ข้าน้อยขอไปพบได้ไหม?”

หวังทงนิ่งไปก่อนกล่าวว่า

“ข้าไปกับเจ้า!”

ที่แท้คำว่า นายท่าน นั้นเรียก อู๋เอ้อร์ จริง หวังทงกำลังว่างไม่มีอะไรทำ จึงเปลี่ยนชุดสั้น ตามออกไปด้วย

“รายงานนายท่านก่อน พี่น้องตระกูลเหลียงทำมาหากินบนแม่น้ำ ขายของไปยังจี่หนาน เคยเสียเปรียบมา ข้าน้อยช่วยเอาไว้  กลับมาปลอดภัย ก็นับว่าคบหากันดี เทศกาลก็ไปมาหาสู่กัน”

“หากคุยส่วนตัว เดี๋ยวข้าค่อยกลับมาเอง”

หวังทงพยักหน้าตอบ เขาแต่งตัวง่ายๆ อายุก็น้อยกว่าอู๋เอ้อร์มาก ดูแล้วยังเป็นคนติดตามอู๋เอ้อร์มากว่า ไม่มีอะไรทำออกมาเที่ยวเล่นนี้ หากอีกฝ่ายคุยเรื่องส่วนตัวกัน หวังทงก็ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อ

สองคนลงจากเรือไปทักทายกัน ชายขี่ม้ากำลังรออยู่รีบลงจากหลังม้า วิ่งเข้ามา ชายผู้นั้นดูผิวดำกำยำ แขนขายาว มองแล้วก็เหมือนคนหากินบนท้องน้ำ

“หากไม่ใช่คนของข้าเห็นพี่อู๋เอ้อร์ ก็คงพลาดโอกาสได้เจอกันแล้ว”

ชายผู้นั้นยิ้มทักก่อน จากนั้นก็เข้ามาคำนับ อู๋เอ้อรเกรงใจ ชายผู้นี้นามว่าเหลียงเจี๋ย เป็นน้องสามของตระกูลเหลียง  เหลียงเจี๋ยมองหวังทง ไม่ได้สนใจอันใด กระซิบถามขึ้นว่า

“พี่รองครั้งนี้ออกมาปฏิบัติหน้าที่หรือ?”

แม้ว่าเรือทางการเปลี่ยนเป็นเรือชาวบ้าน แต่ตระกูลเหลียงรู้ว่าตอนนี้ตระกูลอู๋ทำงานให้องครักษ์เสื้อแพร และยังทำการค้าบนคลองส่งน้ำมานานหลายปี สายตาก็ย่อมเฉียบคม  ดูจากพวกหวังทงแล้วก็พอเดาออกบ้าง

อีกฝ่ายถามเช่นนี้ อู๋เอ้อร์กลับไม่อาจตอบกระจ่าง ได้แต่พยักหน้าเงียบๆ เป็นการยอมรับ เหลียงเจี๋ยยิ้ม ประสานมือกล่าวว่า

“พี่รอง มาอำเภอเพ่ย เราพี่น้องต้องต้อนรับสักหน่อย ทว่าในเมื่อมาปฏิบัติหน้าที่ ก็ไม่รั้งท่านแล้ว พี่ข้าสั่งว่าให้ไถ่ถามสุขทุกข์พี่รอง ให้เขาของฝากมามอบให้ รับรองท่านบกพร่องแล้ว”

“ไหนกัน ไหนกัน เจ้าพี่น้องอย่าได้เอาแต่อยู่ที่อำเภอเพ่ยนี่ ไปเที่ยวเทียนจินบ้าง ถึงตอนนั้นไปเที่ยวบ้านข้าให้ได้ต้อนรับพวกเจ้าบ้าง”

วาจามารยาทกล่าวกันจบ เหลียงเจี๋ยก็เดินเข้ามาใกล้กระซิบเบาๆ ว่า

“พี่รอง ข้าได้ข่าวมาว่า ลงใต้ไปอีก 30 ลี้ จะมีคนลงมือกับท่านบนแม่น้ำ”

อู๋เอ้อร์ตาโต ได้สติหันไปมองหวังทง ก่อนหันกลับมากล่าวอีกว่า

“ลงใต้ไปอีก 30 ลี้ ที่นั่นห่างจากเมืองพีโจวไม่ไกล เมืองพีโจวมีค่ายทหาร 2,000 นาย พวกเขากล้าลงมือ?”

“พี่รอง เงินทองบนเรือเปิดเผยไปแล้ว ตั้งแต่ที่เมืองจี่หนิงก็มีคนจับตาท่านแล้ว ตอนนี้รีบแล่นเรือเร็วไปนำหน้าท่านแล้ว รอลงมืออยู่”

หวังทงนำทองคำมาด้วยไม่น้อย กินกันอิ่มหมีพีมัน และยังมีสินค้ามาอีก สายตาคนนอกมองมาก็กระจ่าง แต่อู๋เอ้อร์ยังงง ทหาร 2,000 ที่เมืองพีโจวเป็นทหารไว้ดูแลการค้าเกลือ เป็นทหารเก่ง ถึงกับมีโจรแม่น้ำกล้าลงมือ ช่างเหิมเกริมยิ่ง อย่างไรก็ต้องถามสักหน่อย เหลียงเจี๋ยลังเลครู่หนึ่ง เขยิบเข้าไปใกล้ถามว่า

“เหมือนว่าสองปีก่อนจึงมีคนกลุ่มนี้ คนรายงานทางการไม่น้อย แต่ไม่มีทางออกมาปราบ พี่น้องหากินทางน้ำยังไม่รู้ว่าพวกเขามาจากไหนกัน บ้างก็ว่าเป็นทหารทางการ บ้างก็ว่าเป็นโจรค้าเกลือเถื่อนจากทางไห่โจว อย่างไรก็คงมีสายสัมพันธ์ทางการไม่น้อย พี่รอง พี่ตอนนี้เป็นคนทางการ บางวาจาน้องไม่สะดวกเอ่ย”

อู๋เอ้อร์มองหวังทง ถามขึ้นเบาๆ ว่า

“รอบๆ นี้มีคนจับตาดูไหม เจ้ามารายงานข่าว พวกเขาย่อมรู้ตัว ก็คงไม่กล้าลงมือแตะต้องแล้วมั้ง!”

“พวกเขาทำงานไม่ละเอียดรอบคอบเท่าไร ตอนบ่ายมีเรือสองลำจากซานตงไปเจียซิงล่ม ช่วยขึ้นมาได้สองสามคน บอกว่ามีคนขึ้นเรือมาเค้นถาม ว่าไปที่ใด  หากไม่ใช่ว่าข้าเคยเจอพี่รอง ข้าก็คงไม่มา พวกที่เมืองพีโจวไม่ได้สนใจพี่น้องระหว่างทางเราเลย ครึ่งชั่วยามก่อน เรือพวกเขาเพิ่งผ่านไป เดาว่าเพราะเรือพี่รองกำลังมา ยังมาจากทางเมืองหลวง คงไม่ได้รับแจ้งเตือนอันใดกระมัง!”

“บอกน้องเหลียงเลย ปีนี้หลังเดือนสิบ ต้องไปเมืองหลวงสักครา ข้าจะเลี้ยงดูอย่างดี”

หวังทงข้างๆ ที่นิ่งเงียบ อยู่ ๆ ก็กล่าวขึ้น เหลียงเจี๋ยอึ้งไป เขาคิดไปเองจริงๆ ว่าหวังทงเป็นลูกน้องอู๋เอ้อร์ เห็นหวังทงเดินขึ้นเรือไป อู๋เอ้อร์ยกมือไปตบบ่าเหลียงเจี๋ย กล่าวสัพยอกว่า

“น้องเหลียง ดวงเจ้ามาแล้ว!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด