องครักษ์เสื้อแพร 1088 ขุนนางคอยประคอง

Now you are reading องครักษ์เสื้อแพร Chapter 1088 ขุนนางคอยประคอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แล้งน้ำใจที่สุดก็คือราชวงศ์ เสด็จแม่แท้ๆ ก็ยังอาจก่อการได้ ฮ่องเต้ว่านลี่กับไทเฮาฉือเซิ่งเป็นเช่นนี้ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย  สองฝ่ายทานอำนาจกัน  สองฝ่ายทำสงครามเย็นกัน  จนสุดท้ายที่ฮ่องเต้ว่านลี่แตกหัก ให้ไทเฮาออกจากวัง  เรื่องมาถึงตอนนี้ ไทเฮากลับวังมาแล้ว

เมื่อก่อน พระกระยาหารเช้าค่ำของฮ่องเต้ว่านลี่ล้วนเสวยตอนมาถวายพระพรไทเฮา  ต้องเป็นเพื่อนทรงเสวยทั้งวัน แต่ตอนนี้ ทุกเดือนฮ่องเต้ว่านลี่มาเพียงสามครั้ง และไม่ค่อยอยู่เสวยต่อ

ไทเฮาเองไม่ว่าคิดเช่นไร แต่นานวันเข้า พระนางก็ปรับตัวได้ คนในวังที่อยู่มาเกินห้าปีล้วนรำลึกความหลังได้ว่า ไทเฮาก่อนออกจากวังนั้นพระเกศาดำขลับ พระพักตร์ราวสตรีอายุ 30 กว่า แต่ตอนนี้ล้วนทรงชราลงมาก พระเกศาขาว พระพักตร์ก็ยังมีแต่ริ้วรอยเหี่ยวย่น

หากกล่าวว่าไม่เหมือนก่อน มีขันทีเก่าแอบสนทนากันว่า เดิมตำหนักฉือหนิงกงเข้าไปในห้องไทเฮา ก็จะรู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่รู้ตัว ระวังตัวอย่างมาก ไทเฮาทรงบารมีข่มอย่างมาก แต่ตอนนี้รู้สึกเงียบมาก บางครั้งเข้าไปยิ่งใกล้ก็ยิ่งรู้สึกถึงการไม่มีตัวตน

ผ่านเรื่องมากมาย เป็นตายผ่านพ้น เห็นโลกมามาก ในใจก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปเช่นนั้นเช่นนี้ มาคิดให้ดีก็เหมือนเป็นวัฏจักร

ฮ่องเต้ว่านลี่มาเสวยพระกระยาหารตำหนักฉือหนิงกง แม้ไทเฮาท่าทีไม่กระตือรือร้นอันใด แต่ก็หาได้ยากที่จะเปลี่ยนฉลองพระองค์ใหม่ แต่ให้นางกำนัลคนสนิทไปห้องเครื่องกำชับทางนั้นว่า ให้ทำอาหารที่ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงโปรด

แต่มีของบางอย่าง เสียแล้วก็เสียไป ไม่มีทางกลับคืนมาได้ เดิมสองคนทานอาหารกันก็จะเป็นโต๊ะกลมเล็กๆ แม่ลูกใกล้ชิด  แต่ตอนนี้ฮ่องเต้ว่านลี่มีพระประสงค์ให้ตำหนักฉือหนิงกงจัดโต๊ะสี่เหลี่ยมยาวแบบตะวันตกในยามเสวยพระกระยาหาร  ไทเฮานั่งด้านหนึ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่นั่งอีกด้านหนึ่ง  มีโต๊ะยาวกั้นกลาง ไม่มีวาจาใดกล่าวกัน

ยามเสวยพระกระยาหารก็เงียบมาก ขันทีกับนางกำนัลข้างๆ วิ่งกันคีบและเก็บอาหาร งานนี้เป็นงานที่พวกในวังไม่อยากทำที่สุด

เพราะบรรยากาศกดดันจริง ทุกคนด้านในล้วนรู้สึกหวาดกลัว กลัวว่าผิดพลาดแล้วหัวจะหลุดจากบ่า แต่ความจริงนั้นก็ไม่ได้น่ากลัวเพียงนั้น เพราะเคร่งเครียดจึงมีคนทำชามตกแตก ไทเฮากับฮ่องเต้ก็เพียงแค่มองมา สั่งให้เปลี่ยนใหม่ก็เท่านั้น แต่คนในวังก็ยังคงรู้สึกหวาดกลัวอยู่ดี

ฮ่องเต้ว่านลี่เสวยข้าวคำสองคำในชาม จากนั้นก็ดื่มสุราโอสถอีกถ้วยเล็กๆ ไทเฮาคิดจะให้ฮ่องเต้ว่านลี่กินมากอีกหน่อย แต่คิดแล้วก็ไม่ได้กล่าวอันใด

โจวอี้ที่รับใช้ข้าง ๆ เห็นฮ่องเต้ว่านลี่โบกพระหัตถ์ รีบให้คนในห้องออกไป เขาเป็นคนสุดท้ายที่ปิดประตูห้องลง

“วันนี้มาพบเสด็จแม่ มีเรื่องอยากขอทูลถาม โจรวัวโค่วรุกรานเกาหลี แผ่นดินหมิงต้องนำทัพออกรบ แต่ผู้ใดเป็นแม่ทัพ ตอนนี้ลูกยังไม่อาจตัดสินใจได้ เป็นหวังทงดี หรือว่าเป็นหลี่หรูซงเหมาะ?”

ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสครึ่งแรก พระเนตรไทเฮาฉือเซิ่งก็จางลง  หากยังคงตรัสเรียบๆ ว่า

“ฝ่าบาททรงคิดตัวเลือกได้นานแล้วกระมัง? หวังทงเก่งกล้าเกรียงไกร เขาไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะที่สุดหรือ?”

ฮ่องเต้ว่านลี่หยิบกาน้ำผลไม้ด้านหน้า เทใส่ถ้วยพระองค์อย่างสนใจธรรมเนียมใด ดื่มไปแล้วก็เงียบไปก่อนตรัสว่า

“เป็นดังที่เสด็จแม่ว่ามา แต่ทว่าหวังทงผู้นี้ ลูกไม่กล้าตัดสินใจอยู่เรื่อย บอกไม่ได้เหมือนกัน?”

“เด็กน้อย อดีตฮ่องเต้แต่ไรไม่เคยลังเลเช่นนี้….”

คำถามตอบนี้ทำให้ไทเฮาเหมือนกลับไปยังสมัยก่อนอีกครั้ง แต่พอตรัสออกมาก็รู้พระองค์หยุดลง ฮ่องเต้ว่านลี่ไยต้องรอบคอบและระแวงมาก สาเหตุจากอะไร ทุกคนล้วนเข้าใจดี

บรรยากาศห้องเสวยเริ่มอึดอัด เงียบไปพักหนึ่ง ไทเฮาก็ตรัสเรียบๆ ขึ้นว่า

“แม่ไม่ได้รู้ว่าอะไรดี แม่หลายปีนี้พบเรื่องราวมามากมาย ล้วนไม่อาจกล่าวว่าไม่เกี่ยวข้องกับหวังทง แต่ทว่าฝ่าบาท หวังทงยอมสู้กับแม่เพื่อฝ่าบาทกับ ก็เพียงพอแสดงให้เห็นถึงความภักดีแล้ว ก่อนยกทัพปราบตะวันออกเจี้ยนโจวก็ปราบเผ่าอันต๋า ลงแดนใต้ทำคดี เทียนจินเปิดท่าการค้า เข้าวังอารักขาความปลอดภัย ความดีความชอบสั่งสมมากมาย ปราบเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวก็เหมือนว่าขึ้นสูงสุดแล้ว หากเขาต้องการทำอันใดจริง ก็ควรทำไปแล้ว เขาคิดจะทำอันใดกับฝ่าบาท ก็ควรทำไปในตอนนั้นแล้ว แต่หวังทงกลับหนีไปยังเมืองซงเจียง ฝ่าบาทลองคิดดู หากเป็นคนอื่น จะทำเช่นนี้ไหม…”

ในห้องเริ่มเงียบ…

*******************

วันที่ 25 เดือนสิบ ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 20 พระตำหนักข้างพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินในการประชุมขุนนางมหาอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยออกมากราบทูล ยกทัพปราบวัวโค่วที่เกาหลีเป็นภารกิจสำคัญ ต้องให้ขุนพลเก่งกล้านำทัพ ต้องมีชัยเท่านั้น

ฮ่องเต้ว่านลี่เห็นด้วยกับมหาอำมาตย์ ขอหวังซีเจวี๋ยเสนอชื่อแม่ทัพ หวังซีเจวี๋ยคิดว่าตอนนี้เหลียวกั๋วกงหวังทงกำลังว่างอยู่ที่เมืองซงเจียงเหมาะสมที่สุด ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็พอพระทัยการเสนอของหวังซีเจวี๋ย ราชสำนักขุนนางใหญ่ไม่มีคำโต้แย้งอีก จากนั้นก็มีราชโองการไป ให้หวังทงรวมกำลังพลนำทัพใหญ่ออกศึก

ราชโองการเร่งร้อนไปถึงเมืองซงเจียง เดาว่าตอนราชโองการอยู่ระหว่างทาง หวังทงก็มีฎีกามาถึง ในนั้นกล่าวถึงความเห็นต่อการรบเกาหลี ค่อนข้างเป็นที่ยอมรับ

มีข้อหนึ่งกล่าวได้กระจ่าง ก็คือตอนนี้สถานการณ์ผ่านพ้นเวลาที่ดีที่สุดแห่งการโจมตีไปแล้ว ในฎีกาหวังทงบอกว่า นำทัพสำคัญที่รวดเร็ว ต้องแย่งชิงความได้เปรียบก่อน  ทัพใหญ่โจรวัวโค่วตอนนี้เริ่มค่อยๆ ปักหลักมั่นคงในเกาหลีแล้ว ทหารแผ่นดินหมิงไม่ควรเอาแต่มองดูอีกฝ่ายจากแม่น้ำยาลู ควรจะรีบเร่งเคลื่อนกำลังโจมตี

โจรวัวโค่วในเกาหลีเกือบสองแสน เหลียวหนิงเคลื่อนกลังมาก็ได้แค่หกหมื่นกว่า ส่วนทหารที่สู้รบได้ของแผ่นดินหมิงจริงๆ ก็มีแค่หมื่นห้า กำลังเช่นนี้หากบุ่มบ่ามบุกไป ก็ย่อมเหมือนน้อยตีมาก ถูกอีกฝ่ายได้เปรียบเรื่องกำลังทหารโอบล้อมไว้ก็ย่อมนำมาซึ่งการพ่ายศึกที่น่าอนาถ

ความเป็นไปได้นี้ หวังทงเองก็ได้ทำการวิเคราะห์ว่า พื้นที่เกาหลีแคบ และเขามาก เมืองเปียงยางไปทางตะวันตกถึงริมทะเลจึงจะค่อนข้างเป็นพื้นที่ราบ พื้นที่ราบเกาหลีคือครึ่งหนึ่งของเกาะค่อนไปทางใต้และตะวันตก แต่นับว่าเล็กแคบมาก

ทัพใหญ่ออกศึก ไม่อาจขยายการรบจากพื้นที่เขาได้ ได้แต่ต้องทำการรบบนพื้นราบกว้าง ในเมื่อเช่นนี้สองฝ่ายก็เหมือนกับการปะทะกันในตรอกซอยแคบ ไม่ว่ามีคนเท่าไร ข้ามีคนเท่าไร ทุกคนเผชิญหน้ากันก็มีกำลังที่จำกัด ทหารมากไม่ได้ประโยชน์ได้เปรียบใดในพื้นที่นี้ ทหารเหลียวหนิงหกหมื่นในพื้นที่ทุ่มเข้าสนามรบก็ใช่ว่าต้องปะทะกำลังสองแสน

หลังวิเคราะห์เช่นนี้ หวังทงรายงานราชสำนัก กล่าวว่านำทัพสำคัญที่รวดเร็ว ต้องให้ทหารที่นำไปรวมตัวเข้ากับทหารในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วในพื้นที่เป้าหมายและออกรบ ราชสำนักควรเลือกผู้บัญชาการเมืองเซวียนฝู่หลี่หรูซงนำทัพ นำกำลังทหารม้าเข้าเหลียวหนิง ไปจัดการประสานกำลังกับกองกำลังเหลียวหนิงแต่ละกองก่อน ก่อนจะออกศึกกับทัพใหญ่โจรวัวโค่ว

และเพื่อให้ปลอดภัยไว้ก่อน เพิ่มความมั่นใจในชัยชนะใหญ่ ราชสำนักไม่ควรเคลื่อนกำลังหานกังกองกำลังหู่เวยประจำเมืองหย่งผิงเข้าสู่เหลียวหนิง

ฎีกานี้ตอนนี้ดูแล้วเหมือนโง่มาก เห็นๆ ว่าราชสำนักมอบตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ให้แก่เจ้าแล้ว วันหน้าความชอบได้ไปคนเดียว เข้ายังมาเสนอให้หลี่หรูซงออกศึก ให้เขาประสานกำลังเหลียวหนิงให้บุกไปก่อน นี่ไม่ใช่ว่ามอบความชอบให้ตระกูลหลี่ไปเปล่าๆ หรือ?

หากเจ้าเป็นแม่ทัพบัญชาการทหารหลี่หรูซง สถานการณ์ก็ย่อมแตกต่าง ถึงตอนนั้นความดีความชอบก็ย่อมเป็นเจ้าเจ้าบัญชาการได้ดี

สถานการณ์ตอนนี้ หลี่หรูซงย่อมถูกส่งไปเกาหลี และย่อมประสานกำลังทหารเหลียวหนิง ในสายตาคนนอกรู้สึกว่าความดีความชอบเป็นของหลี่หรูซง เกี่ยวอันใดกับเจ้าหวังทงเล่า

แต่เวลาที่ยื่นฎีกาจึงกลายเป็นเรื่องที่ราชสำนักและวังให้ความสนใจ นับดูเส้นทางเมืองหลวงไปเมืองซงเจียง ก็หมายความว่า ราชสำนักยังไม่ทันมีราชโองการให้หวังทงนำทัพใหญ่ออกศึก หวังทงก็ยื่นฎีกามาแล้ว แสดงให้เห็นว่าอะไร ก็หมายความว่าหวังทงไม่สนใจเรื่องผลประโยชน์ส่วนตน ล้วนคิดเพื่อแผ่นดินหมิงทั้งสิ้น เรื่องเล็กๆ นี้ยิ่งแสดงให้เห็นชัดว่าหวังทงจงรักภักดี ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าราชสำนักตัดสินใจได้ถูกต้อง

การทหารเร่งด่วน ฎีกาหวังทงล้วนกล่าวเรื่องจริง ราชสำนักรีบดำเนินการ มีราชโองการไปยังผู้บัญชาการเมืองเซวียนฝู่หลี่หรูซงนำกำลังทหารกล้าห้าพันเข้าสู่เหลียวหนิงโจมตีวัวโค่ว ขุนนางใหญ่ราชสำนักหลังผลักกันไปมา ผู้ใดก็ไม่อยากไปรับตำแหน่งนี้ที่เหลียวหนิง สุดท้ายทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ให้ผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงสวีกว่างกั๋วคุมการทหาร เป็นขุนนางบุ๋นคุมกำลังเมืองเซวียนฝู่กับกองกำลังสามทัพเหลียวหนิง รอหวังทงไปถึงค่อยจัดการต่อ

เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องตลกทั่วเมืองหลวง ราชสำนักพากันแพร่ออกมาว่า ตอนที่เดาไม่ออกว่าเหลียวหนิงมีชัยหรือไม่เรื่องหนึ่ง แต่พอเป็นหวังทงนำทัพ คนก็แย่งกันไปเป็นขุนนางบุ๋นผู้บัญชาการที่ปรึกษาทัพ มีเรื่องเล่าว่า รองอำมาตย์เสิ่นแต่ไรสัมพันธ์ดีกับทุกฝ่าย เตรียมจะรับหน้าที่นี้

***************

ราชโองการมาถึงเมืองซงเจียง จวนเหลียวกั๋วกงจัดที่รับราชโองการ รับราชโองการ

ราชโองการกล่าวไว้ง่ายมากว่า มีคำสั่งให้หวังทงนำทหารไปปราบโจรที่เกาหลี  ราชสำนักมอบอำนาจให้หวังทงมาก ให้เขาเลือกกองกำลังแผ่นดินหมิงจากที่ต่างๆ มารวมเป็นทัพใหญ่ได้เอง ตลอดเส้นทางเดินทัพและเสบียงต่างๆ ก็ให้เขาจัดการเอง การระดมเสบียงก็ล้วนหวังทงตัดสินใจเอง

อำนาจเช่นนี้เทียบกับตำแหน่งแม่ทัพออกศึกที่เป็นเพียงสัญลักษณ์แล้วเรียกได้ว่าน่ากลัวมากยิ่งขึ้น เท่ากับทัพใหญ่นี้ งานต่างๆ อยู่ในมือหวังทงสั่งการทั้งหมด เขาไม่จำเป็นรับหน้าที่จากขุนนางบุ๋น หากรับคำสั่งจากฮ่องเต้โดยตรง รับหน้าที่จากโอรสสวรรค์

ธรรมเนียมบรรพชนล้วนไม่ปรากฏในราชโองการนี้ น่าแปลกก็น่าแปลกอยู่ จากเมืองหลวงไปถึงท้องที่ ถึงกับมีคนกล่าวถึงเรื่องนี้ เพราะหลายปีมานี้ ทุกคนล้วนรู้ว่าด้วยสถานะตำแหน่งหวังทง ก็ควรเป็นเช่นนี้ ย่อมไม่ประมาทให้เกิดข้อผิดพลาดใด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด