องครักษ์เสื้อแพร 853 ผู้แทนพระองค์เข้าเขตมาอย่างไรต้องมอบของขวัญ

Now you are reading องครักษ์เสื้อแพร Chapter 853 ผู้แทนพระองค์เข้าเขตมาอย่างไรต้องมอบของขวัญ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 853 ผู้แทนพระองค์เข้าเขตมาอย่างไรต้องมอบของขวัญ

“มารดามันสิ เอาไปฝังไปเป็นปุ๋ยด้านหลังวัดเรา ที่นี่มีเรื่องต้องจัดการต่ออีก!”

ร่างกายเย็นชืดของหญิงอ่อนแอไร้ลมหายใจ พระรูปหนึ่งกำลังปลดเชือกออกจากคอของศพ ยกลงจากคาน ด่าไปบ่นไป พระอีกรูปหันไปมองหลายคนที่กำลังค้นห้องอยู่ สีหน้าดำคล้ำ มือปราบผู้หนึ่งกล่าวว่า

“ไต้ซือฝูหู่ รอสักครู่ คนตายไปแล้วต้องรายงานทางการ  ทำให้เสร็จเรื่องราว พี่ใหญ่จัดการทางนี้เสร็จก็เรียบร้อย”

“พี่รอง ไม่มีของที่ไต้ซือหาอยู่”

ไม่นาน ก็มีคนที่กำลังค้นหาของมารายงาน มือปราบพยักหน้า หันไปมองพระข้างๆ  ยิ้มแห้งๆ กล่าวว่า

“ไต้ซือเจี้ยงหลง เอาไงต่อ?”

พระสีหน้ายิ่งดำคล้ำลงไปอีก สบถกล่าวว่า

“ข้าว่ายังตั้งใจหาไม่เต็มที่ ของสำคัญเช่นนี้ย่อมต้องซ่อนลึกลับ”

มือปราบข้างๆ ยิ้มคำนับ กล่าวว่า

“ไต้ซือผู่หยวนสั่งการเรื่องมา พี่น้องเราจะทำงานไม่ตั้งใจได้อย่างไร คนที่มาค้นหาของก็ล้วนเป็นมือดีจากเมืองซูโจว ตระกูลใหญ่ต่างก็ให้พวกเขาช่วยซ่อนเงินทองของมีค่า สายตาเฉียบคมมาก หากพวกเขาหาไม่พบ คนทางการอื่นๆ ก็ย่อมหาไม่พบ”

เงินทองของมีค่าตระกูลใหญ่ก็ย่อมต้องซ่อนไว้ในที่มิดชิดในจวน พวกที่คิดเข้าปล้นหรือขโมย ต้องสอบเค้นหรือไม่ก็หาคนชำนาญการมาค้นหา คนที่ค้นหาอยู่ในบ้านเก่าซอมซ่อตอนนี้ก็เป็นคนพวกนี้

พระนั่นได้ปลดศพหญิงผู้นั้นลงมาจากคานบ้านแล้ว พอปลดเครื่องมือแขวนคอออกได้ ก็หาที่ในห้องย้ายเก้าอี้มาตัวหนึ่งเหยียบ ก่อนจะเตะล้มอีกที เหมือนว่าคนผู้นี้เหยียบเก้าอี้ขึ้นไปแขวนคอเอง

ด้านนอกมีคนเคาะประตูสองสามที  มีคนท่าทางเหมือนคนขายของริมทางเข้ามา หันไปพยักหน้าให้กล่าวว่า

“ไปสืบจากคนละแวกนี้มาแล้ว เจ้าเด็กนี้สามวันก่อนก็หายตัวไปแล้ว”

ในห้องหลายคนสีหน้าดำคล้ำเคร่งเครียด มีคนหนึ่งหน้าเคร่งเหมือนพบอันใด ควักมีดสั้นออกมาขุดร่องกำแพงข้างเตียง ขุดอิฐออกมาสองก่อน จากนั้นก็ล้วงมือเข้าไปคลำไปมา ก่อนหันมาว่า

“พี่รอง ในห้องที่ซ่อนของได้ก็มีแต่ที่นี่แล้ว ทว่าของด้านในหายไปแล้ว น่าจะเอาออกไปแล้ว”

“มารดามันสิ ต้องเป็นเจ้าเด็กชั่วนำไปมอบให้ผู้แทนพระองค์แน่ เจ้าเสี่ยวเอ้อร์ ส่งคนเจ้ารีบไปเมืองซงเจียงขวางไว้!”

พระที่ปลดศพลงมาตวาดดัง มือปราบเองก็ไม่ร้อนใจ ฉีกยิ้มกล่าวว่า

“ไต้ซือฝูหู่ไม่ต้องร้อนใจไป เจ้าเด็กชั่วนั่นคิดพบผู้แทนพระองค์ก็ต้องข้ามแม่น้ำ คาดว่าผู้แทนพระองค์เพิ่งถึงเขตเมืองฉางโจว ทางนั้นมีไต้ซือผู่หยวนออกมาดูแลด้วยตนเอง เมืองซงเจียงทางนั้นพี่เลี่ยวก็จับตาดูอยู่  ไม่เกิดเหตุผิดพลาดแน่ ทางเราต้องจัดการก็คือจับตาดูเมืองซูโจวให้แน่นหนา ไม่ให้ผู้ใดหาช่องทางได้ ขอไต้ซือวางใจ จัดคนขี่ม้า 20 กว่าคนตามประกบไว้แล้ว”

“นายท่านทางนั้นคาดไม่ผิด พอผู้แทนพระองค์มา พวกเศษสวะก็คิดเคลื่อนไหว ไม่เช่นนั้นไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าพวกนี้ถึงกับหลบอยู่ในเมืองซูโจว”

พระข้างๆ สบถขึ้น

************

“ท่านโหวยิ่งใหญ่เกรียงไกร เว่ยกั๋วกงตระกูลสวีในสายตาทุกคนราวกับราชาแดนใต้ แต่กลับไม่กล้าต่อหน้าท่านโหว การค้าเฉิงหย่งป๋อไปถึงเหอหนาน เขตปกครองใต้ยังต้องไว้หน้า แต่กลับไม่กล้าปฏิเสธใดๆ ต่อหน้าท่านโหว มิน่าตอนข้าน้อยได้พบท่านโหวจึงรู้สึกตื่นเต้นไปหมด ยืนไม่ติด ที่แท้เพราะเหตุนี้เอง บารมีท่านโหวย่อมเป็นที่เกรงขามโดยแท้!”

หลูต้าที่จับได้จากเมืองพีโจว นำตัวมาเมืองหนานจิงด้วย แต่ก็มีคนคอยจับตาอยู่ ไม่ให้เขาไปไหนเองคนเดียว แต่ข่าวกับเรื่องที่เกิด หลูต้าก็ย่อมรู้ได้

พอเรือเริ่มมุ่งไปทางตะวันออก หวังทงก็ให้ตามหลูต้ามา ยังไม่ทันถาม หลูต้าก็รีบประจบป้อยอทันที หวังทงยิ้มส่ายหน้า กล่าวว่า

“วาจาขนลุกพวกนี้ไม่ต้องกล่าวแล้ว ข้าถามเจ้า แดนใต้นี้นอกจากผู้คุ้มกันในตระกูลที่เลี้ยงไว้แล้ว มือไม้ยังใช้งานใครได้อีก?”

“ขนลุกอย่างไรกัน ท่านโหว ข้าน้อยพูดจากใจโดยแท้ ซิ่วเอ๋อร์มีชื่อเสียงบนแม่น้ำฉินไหวเหอว่า ‘จิ้งจอกสวรรค์’ เคยมีคหบดีใหญ่จากตรอกเยว่มอบเงินให้แสนตำลึงเพื่อไถ่ตัวซิ่วเอ๋อร์ แต่เฉิงหย่งป๋อไม่รับ ทว่าต่อหน้าท่านโหวกลับประคองมอบให้โดยดี ยังไม่ใช่เพราะบารมีท่านโหวหรอกหรือ ได้ๆๆ ข้าน้อยไม่พูดละ……ตระกูลใหญ่แดนใต้มีเลี้ยงดูผู้คุ้มกันไม่น้อย  ตระกูลพวกนี้ล้วนเป็นพวกลอบค้าเกลือเถื่อน พวกมือไม้จากกลุ่มค้าเกลือเถื่อนก็มีให้ใช้งานได้ หากแถวติดทะเล ก็มักจะมีโจรสลัดให้เรียกใช้ได้ พวกโจรสลัดล้วนยอมให้ใช้งาน…”

หลูต้าเป็นพวกรู้มาก ยังหน้าด้าน  ประสบสอพลอก็ไร้ขอบเขต แต่พอเห็นสายตาหวังทง จึงได้เปลี่ยนเรื่อง เขารู้ว่าหวังทงมาตรวจสอบตระกูลสวีเมืองซงเจียงเรื่องที่นา ครุ่นคิดก่อนกล่าวอีกว่า

“ตระกูลสวีต่างกับที่อื่น ปีก่อนบนท้องทะเลมีคนปะทะกับคนตระกูลสวี เดิมพวกการค้าบนท้องทะเลไม่อาจรบกวนทางการ แต่ตระกูลสวีถึงกับส่งทางการไปปราบโจรได้  นี่เป็นเรื่องที่ตอนนั้นทุกคนตกตะลึงกันอย่างมาก”

*************

ขบวนเรือหวังทงเข้าสู่คลองส่งน้ำที่ตันหยางของเมืองเจิ้นเจียง จากนั้นมุ่งไปทางตะวันออก เมืองเจิ้นเจียงกับเมืองฉางโจวมีเขตสบกันเรียกว่าหมู่บ้านเปินหนิว

พอผ่านหมู่บ้านเปินหนิวไป ก็จะเข้าสู่เมืองฉางโจว แถบนี้เส้นทางราบรื่น พอเข้าสู่เขตเมืองฉางโจว หวังทงก็สังเกตเห็นว่าสองข้างคลองส่งน้ำมีทัพม้าตามมาด้วย

หากเป็นทางเหนือ ม้าไม่ถึงสามสิบไม่เรียกว่าทัพม้า แต่แดนใตนี้เรือมากม้าน้อย นี่เรียกได้ว่าทัพม้าแล้ว

ทัพม้าวิ่งเร็วมาก แม้ว่าระหว่างทางจะมีแม่น้ำกั้นอยู่บ้าง แต่ก็ข้ามมาได้ จากนั้นก็ตามมาต่อ แม้ว่าตามๆ หยุดๆ แต่ไม่อาจปิดบังจากสายตาพวกหวังทงได้ คนขี่ม้าพวกนี้ จับตาดูหวังทงมาตลอดทาง

“เรือบนแม่น้ำอย่างน้อยสี่ลำจับตาพวกเราอยู่”

แดนใต้ทิวทัศน์งาม สองฝั่งยามนี้ก็งดงามยิ่งในฤดูนี้ หวังทงมักจะไปยืนอยู่หัวเรือ พวกสื่อชีก็ตามไปข้างกาย  พวกเขาย่อมมองออก

“ปล่อยพวกเขาไป คนพวกนี้แม้ว่าไร้กฎหมาย แต่ก็ยังไม่กล้าทำอันใดเรือผู้แทนพระองค์ เรื่องที่หนานจิง น่าจะบอกพวกเขาแล้วว่าควรเกรงกลัวอันใด!”

หวังทงกล่าวเสียงเยียบเย็น เขาหันไปอีกทาง หลิ่วซานหลังข้างๆ หลบไปด้านข้างให้ตำแหน่งตนเองไม่บังหวังทง ยามนั้นหากบนแม่น้ำมีเหตุใด เขาก็ย่อมใช้ร่างบังหวังทงไว้ หวังทงมิได้กำลังชมทิวทัศน์ เขากล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า

“ตอนไห่รุ่ยมอบรายชื่อให้ข้า บอกมาแล้วว่ามีผู้ใดตายไปแล้วบ้าง หลายคนหายตัวไปไร้ร่องรอย หลูต้าก็เคยบอก ตอนนั้นเขาทำงานให้จวนในแดนใต้ ได้ยินมาบ้าง เล่าว่าตอนนั้น แถบเมืองซงเจียง เมืองซูโจวและเมืองฉางโจวมีคนตายไปเงียบๆ หลายคน ล้วนเกี่ยวข้องกับการรุกครองที่นาทั้งสิ้น”

“ท่านโหวไม่ใช่บอกหรือว่า ครั้งนี้ฝ่าบาทให้ท่านโหวออกจากเมืองหลวง ก็เพื่อให้ท่านโหวมาพักผ่อนให้สบายใจ คดีตระกูลสวีเมืองซงเจียงรุกครองที่นา ตอนนี้แค่เริ่มปรากฏร่องรอยก็น่าตกใจแล้ว อำนาจตระกูลสวีใหญ่เพียงนี้ หากสืบคดีไป…..”

หวังทงส่ายหน้า กลับไม่ตอบ เมืองหลวงตอนนี้มีขุนนางบัณฑิตยื่นฎีกาฟ้องว่าหวังทงคิดร้าย มีใจคิดยึดทรัพย์สิน คิดการไม่ซื่อใส่ร้ายป้ายสี ในราชสำนักมีคนกระพือลมไปอีกว่า ท่านอำมาตย์สวีกับนายกองสวีตอนยังดำรงตำแหน่งในราชสำนักลำบากตรากตรำเพื่อประชา ท่านอำมาตย์สวีเพิ่งจากไปได้สองปี ราชสำนักก็ส่งคนไปตรวจสอบ  เกรงว่าจะทำให้ประชาใต้หล้าต้องรู้สึกหนาวเหน็บใจ

ที่เลวร้ายที่สุดก็คือบอกว่าหวังทงไม่พอใจฮ่องเต้ว่านลี่มีสมรสพระราชทาน แค้นใจมากจึงได้คิดจะก่อเรื่องใหญ่ ให้แดนใต้เกิดพายุโหมกระหน่ำสะเทือนแผ่นดินหมิง

เรื่องหนาวเหน็บใจนั้น ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่สนพระทัย แต่เรื่องคิดร้ายและสะเทือนแผ่นดินหมิงนั้น ทรงส่งคนไปสอบสวนและจัดการปรับเบี้ยหวัดเงินเดือนเป็นการสั่งสอน แต่ภาพรวมก็ยังคงไม่เรียกว่ารุนแรงนัก

ท่าทีเช่นนี้คนรู้ความนัยย่อมรู้ดี อย่างไรก็เพราะต้องการส่งหวังทงไปเที่ยวให้สบายใจ หวังทงจะทำอันใดก็ตามแต่ต้องการได้ ราชโองการแม้ว่าบอกให้ตรวจสอบรุกครองที่นาตระกูลสวี แต่เรื่องนี้ทั้งหมดก็ยุ่งยากยิ่ง ไม่หวังให้จัดการให้ได้ในครั้งนี้แต่อย่างใด

ดังนั้นราชโองการเพียงแค่ให้สอบ ไม่ได้บอกว่าให้สอบให้ได้ผล ฮ่องเต้ว่านลี่กำชับว่าให้หวังทงไปดูภาษีแดนใต้เท่านั้น

*************

พวกหวังทงออกจากหนานจิงมีขุนนางมาส่ง  มีแต่คนมาคอยจับตาทั้งวันทั้งคืน จะปิดบังซ่อนตัวก็คงไม่ได้แล้ว และก็ไม่จำเป็น

พอผ่านหมู่บ้านเปินหนิวไม่นาน เรือทางการจากเมืองฉางโจวมาต้อนรับ แล่นตามมาด้วย ทัพม้าสองข้างทางกลับไม่กลับไป ทัพม้าตามมาเปิดเผย เรือทางการที่มารับเดาว่าก็คงมีสายจับตาเรือมาก่อน ทุกคนรู้ดีแต่ไม่พูดไป

ใต้เท้าผู้แทนพระองค์เข้ามาในพื้นที่  จะหยุดพักหรือไม่เป็นเรื่องของใต้เท้าผู้แทนพระองค์ ขุนนางพื้นที่ต้องจัดการเตรียมต้องรับให้ดี ไม่เช่นนั้นใต้เท้าผู้แทนพระองค์กลับถึงเมืองหลวงพูดไม่กี่คำ ก็อาจเกิดปัญหาได้ เช่นนั้นย่อมนำภัยมาใหญ่หลวง

สำหรับหวังทงก็ออกมาเดินเล่นให้สบายใจ ในเมื่อพื้นที่ต้อนรับยิ่งใหญ่ หยุดพักทักทายก็ดีเหมือนกัน ตลอดทางมาด้วยอารมณ์ปลอดโปร่งเช่นนี้ พอคิดว่าจะต้องไปเมืองซงเจียงปฏิบัติหน้าที่แล้วก็รู้สึกเบื่อหน่ายมาก

ที่จริงแล้วจอดเรือกับรับเลี้ยงจากขุนนางก็ไม่ได้น่าเบื่อเท่าไร ก็แค่ไปให้หมดกระบวนการ กล่าววาจาเกรงใจกันสักหน่อยเท่านั้น

“ผู้แทนพระองค์มาถึงเมืองฉางโจว เป็นเกียรติแห่งเมืองฉางโจว ชาวเมืองเราได้เตรียมอาหารสุราไว้รอต้อนรับแล้วใต้เท้าผู้แทนพระองค์แล้ว”

ผู้ว่าเมืองฉางโจวมีท่าทีกระตือรือร้นมาก ขุนนางตามมาด้านหลังสีหน้ายิ้มแย้ม ล้วนมีท่าทีประจบสอพลอ บนฝั่งก็ตีฆ้องตีกลองประโคมกันไปตามธรรมเนียม คึกคักยิ่ง แต่กลุ่มคนเหมือนเริ่มเอะอะ ผู้ว่าเมืองฉางโจวขมวดคิ้วหันไปมอง ไม่รู้ว่าเกิดอันใด ขายหน้าเมืองฉางโจวเสียจริง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด