องครักษ์เสื้อแพร 960 วาจาซ่อนความนัย

Now you are reading องครักษ์เสื้อแพร Chapter 960 วาจาซ่อนความนัย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สายสัมพันธ์หวังทงกับหลี่หรูซงเริ่มใกล้ชิดกันมากกว่าตอนเริ่มงานเลี้ยง ได้ยินหวังทงถามถึงเมืองเหลียวโจวกับเผ่าหนี่ว์เจิน หลี่หรูซงดื่มไปจอกด้วยท่าทางสบายๆ ยิ้มถามกลับขึ้น

“ไม่รู้ท่านโหว อยากฟังวาจาทางการหรือความจริงกัน?”

ไม่ใช่เพราะหลี่หรูซงลืมรักษาท่าที หนึ่ง เป็นวาจาคุยทั่วไปในงานเลี้ยง สอง สถานะผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทง ถามขึ้นเช่นนี้ไม่ใช่เป็นเขาอยากถามเอง แต่เป็นตัวแทนถามแทนฮ่องเต้ เช่นนั้นย่อมต้องรายงาน รายงานจากทางนั้น  ทุกคนรู้แก่ใจก็พอ แต่ความจริงนี้ไม่เหมือนกัน หลี่หรูซงในฐานะบุตรชายคนโตผู้บัญชาการทหารเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียง แน่นอนย่อมรู้ที่ผู้อื่นไม่รู้

“แน่นอนต้องความจริง”

หวังทงยิ้มกล่าว เห็นท่าทางการกล่าวของหลี่หรูซง เหมือนเขาไม่ค่อยใส่ใจเมืองเหลียวโจวสักเท่าไร หลี่หรูซงหยิบตะเกียบคีบอาหารกินตามด้วยสุรา เป็นการหาจังหวะให้ตนได้คิด

“ท่านโหวในเมื่อถามขึ้นเช่นนี้ ข้าน้อยก็ขอกล่าวตามตรง ย่อมแกล้งรบ”

หลี่หรูซงกล่าวความจริงออกมาจริงๆ แม้หวังทงพอจะวิเคราะห์ออกแล้ว แต่พอได้ยินหลี่หรูซงกล่าวเช่นนี้ ก็ยังอดอึ้งไปไม่ได้

“หลี่ผิงหู ฉินเต๋ออี่ ซุนโส่วเหลียน รวมถึงน้องและเครือญาติบิดาข้าล้วนรู้เรื่องนี้ พวกนอกด่านนั้นไม่อาจกำจัดสิ้น ต้องค่อยๆ ต่อสู้ ครั้งหนึ่งชนะได้มาร้อยหัว เพียงพอเลื่อนตำแหน่งร่ำรวยแล้ว ไม่จำเป็นต้องไล้ต้อนให้ไร้หนทาง”

เห็นเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าหลี่หรูซงเมาหรือไม่เป็นอะไรสักอย่าง วาจาอ้อแอ้ แต่วาจาก็พรั่งพรูไม่หยุด

“พวกนอกด่านแต่ละแห่งไม่เหมือนกัน ทางตะวันออกกับทางตะวันตกต่างกัน ตอนเหนือเมืองเซวียนฝู่พวกนี้ ทั้งวันขี่ม้าเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน พวกนอกกำแพงเมืองชายแดนทางเมืองเหลียวโจวไม่ต่างอันใดกับในเมืองเหลียวโจว ตั้งเป็นป้อม ตั้งเป็นโรงบ้าน เลี้ยงหมูเพาะปลูก หน้าหนาวใบไม้ร่วงก็ออกล่าสัตว์หาปลา พวกนอกด่านเช่นนี้ ทัพใหญ่ออกปราบ คิดแล้วไม่ยากอันใด ไม่ใช่บนทุ่งหญ้า บีบจนมุมก็ขี่ม้าหนีได้ แต่ที่นี่ หากลงมือกับป้อมหรือหมู่บ้านใด พวกเขาย่อมไร้ที่ไป ตอนนั้น…”

วาจาเมื่อครู่เหมือนปูพื้นเรื่องนำ หวังทงตั้งใจฟังมาก วาจาหลี่หรูซงเหล่านี้ทำให้หวังทงได้คิดเรื่องหนึ่ง ชาวเผ่าหนี่ว์เจินไม่ใช่ชนเผ่าเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน พวกเขาเป็นพวกตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง ยังชีพด้วยการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์จับปลาและทำการค้า ไม่เหมือนกับชนเผ่ามองโกลบนทุ่งหญ้าเลย

การตั้งถิ่นฐานแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความเป็นกลุ่มก้อน การเพาะปลูกแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถแสวงหาทรัพยากรได้อย่างมั่นคง และมากยิ่งกว่าเผ่ามองโกลอื่นๆ บนทุ่งหญ้า การหาปลาล่าสัตว์แสดงให้เห็นว่ามีความเข้มแข็งแบบทหาร ทำให้ชายหนุ่มเผ่าพวกเขาได้รับการฝึกฝนระดับหนึ่ง การค้าทำให้พวกเขาได้ข่าวสารจากภายนอก ไม่ใช่พวกล้าหลัง

เผ่านอกด่านเช่นนี้  ระยะเวลาสั้นๆ มองแล้วไม่ต่างจากเผ่าใหญ่บนทุ่งหญ้าพวกนั้น แต่ระยะยาวแล้ว พวกเขาน่ากลัวกว่ามาก

“เผ่าหนี่ว์เจินก็ขี่ม้าได้ ปกติฝึกฝนกันขยันขันแข็ง ยามรบก็บุกอย่างไม่กลัวตาย ดังนั้นเมืองเหลียวโจวมีคนไม่น้อยเป็นคนจากเผ่าหนี่ว์เจิน เลี้ยงดูสตรีและคนจากเผ่าหนี่ว์เจินไว้เป็นคนงานไม่น้อย พวกสถานะไม่ต่ำต้อย มีบางคนได้เป็นถึงคนสนิทของเจ้านาย สายสัมพันธ์สลับซับซ้อน ทุกคนล้วนรู้จักกัน หลี่ผิงหูอยู่ทางกำแพงเมืองเหลียวโจวมานาน มีลูกน้องเป็นชาวเผ่าหนี่ว์เจินมาก สู้อะไรกัน เรื่องหลอกลวงทั้งเพ”

ที่กล่าวมาอยู่ในความคาดหมายของหวังทง การค้าชายแดนนานปีเช่นนี้ คนไปมาหาสู่กัน สายสัมพันธ์ย่อมซับซ้อน ไม่อาจลงมือกันรุนแรง

หวังทงใช้แรงบีบคั้นจากหลายทางเพื่อให้เมืองเหลียวโจวบุกโจมตีปราบเผ่าหนี่ว์เจินแต่ละเผ่า รู้ว่าคงไม่ได้ผลอันใด แต่ยังทำเช่นนี้ก็เพราะอย่างน้อยจะทำให้สองฝ่ายมีความขัดแย้งกันบ้าง จริงๆ เท็จๆ ก็ล้วนสังหารกันบ้าง ดีกว่านั่งมองดูอีกฝ่ายขยายอิทธิพล

แต่ทว่าตอนนี้ที่หวังทงสังเกตเห็นไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เป็นชาวเผ่าหนี่ว์เจินเป็นทหารที่เมืองเหลียวโจว ยังเป็นทหารศูนย์กลางกำลังเมืองเหลียวโจว พวกเขารู้ระบบทหารแผ่นดินหมิง รู้วิธีการรบแผ่นดินหมิง ก็หมายความว่า เผ่าหนี่ว์เจินตอนนี้ไม่ใช่เผ่าอะไรที่ไร้ระเบียบ กำลังทหารเขานั้นได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นทางการ รู้การทหารเหลียวโจวละเอียดทุกด้าน

“ชาวเผ่าหนี่ว์เจินทำอาวุธเองเป็น หรือซื้อจากเมืองเหลียวโจว?”

“พวกเขาทำเองเป็น พวกเขาตีเหล็กเป็น มาเรียนรู้การตีเกราะและอาวุธที่เมืองเหลียวโจวนานแล้ว และพวกนอกด่านกลุ่มนี้ยังผลิตอย่างเต็มที่ ไม่ลอบลดวัสดุ”

แม้แต่อาวุธก็ยังทำเองได้ เห็นสีหน้าหนักใจหวังทงแล้ว หลี่หรูซงยิ้มกล่าวว่า

“ท่านโหว ไม่พอใจการรับมือทางเมืองเหลียวโจวหรือ พวกเขาชินกันแล้ว เกรงว่าปราบโจรนอกด่านหมด ก็จะไม่มีผลงานไว้รับเงินรางวัล ข้าน้อยจะเขียนจดหมายไปเร่ง ก็แค่โจรกระจอก ไยต้องเป็นห่วง”

“เผ่าหนี่ว์เจินทางนั้นมีคนได้เท่าไร?”

หวังทงถามขึ้น ทำให้หลี่หรูซงคิดครู่หนึ่ง ตอบอย่างไม่แน่ใจนักว่า

“สองสามแสนกระมัง มีคนว่าเรือนแสน แต่ทว่าวาจานี้ไม่แน่ ท่านโหวไม่รู้ พวกนอกด่านทางเหนือทางตะวันออกเมืองเหลียวโจว มีมองโกล มีเผ่าอื่นอีกไม่รู้เผ่าอะไร ขอเพียงอยู่ทางนั้น ก็ล้วนเรียกว่าชาวเผ่าหนี่ว์เจิน”

ที่ควรถามล้วนถามหมดแล้ว นี่เป็นการคุยกันในงานเลี้ยงทั่วไป พูดมากไปไม่เหมาะ หวังทงได้แต่หยุดบทสนทนา คุยเรื่องอื่นแทน

งานเลี้ยงจบลงอย่างรวดเร็ว หลี่หรูซงเห็นชัดว่าสงสัยอยู่  ก่อนจากกันก็คารวะนอบน้อม กล่าวจริงจังว่า

“เรียนท่านโหวให้ทราบก่อน บิดาข้าน้อยแม้ว่าหลายปีนี้ไม่คิดบุกยึด ปล่อยปละอยู่บ้าง พี่น้องข้าน้อย ล้วนติดอยู่ในอำนาจวาสนา แต่ทว่าพวกเขาล้วนเป็นข้าจงรักภักดีแผ่นดินหมิง ไม่กล้ามีใจคิดเป็นอื่น พวกเขามีวันนี้ได้ ก็ล้วนเป็นเพราะพวกเขาไม่เสียดายชีวิต รบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายสู้มาด้วยชีวิต หลายปีนี้บิดาข้าน้อยอายุมากแล้ว ทำงานก็เริ่มเลอะเลือนไปบ้าง คิดว่าท่านโหวจะแย่งหน้าตาเมืองเหลียวโจวไป จึงได้ทำเรื่องเลอะเลือนเหลวไหลไปบ้าง”

พูดถึงตรงนี้  หลี่หรูซงนิ่งไปพักหนึ่ง คุกเข่าลง เอ่ยขึ้นว่า

“บิดาข้าน้อยอายุมากแล้ว คงไม่ได้อยู่ในสถานะผู้บัญชาการทหารเมืองเหลียวโจวนานนัก พี่น้องข้าน้อยหลายคนก็ล้วนเป็นขุนพลประจำการชายแดน หากทำอะไรผิด ข้าน้อยขอรับผิดชอบเพียงผู้เดียว ข้าน้อยขอรับใช้ท่านโหว ขอท่านโหวเมตตา อย่าได้คิดเอาเรื่องผิดพลาดที่ผ่านมา”

“ข้าจำไม่ได้ มีเรื่องอันใดหรือ?”

หวังทงยิ้มถามกลับ หลี่หรูซงที่คุกเข่าก็อึ้งไป ตามมาด้วยได้สติคืนมา คำนับอย่างนอบน้อม กล่าวอย่างตื้นตันว่า

“ท่านโหวใจกว้าง ข้าน้อยขอคารวะขอบคุณ!”

หวังทงพยักหน้า ตั้งแต่หวังทงขึ้นเหนือปราบเมืองกุยฮว่าเฉิง เมืองเหลียวโจวก็เหมือนมีการเคลื่อนไหวอย่างเห็นได้ชัด เรื่องซุนโส่วเหลียนทำให้สองฝ่ายได้ปะทะกันโดยตรง แม้ว่าตระกูลหลี่ตอนนี้ทรงอิทธิพลอำนาจล้นฟ้า รักษาสองเมืองชายแดน อิทธิพลอำนาจยิ่งใหญ่ มีชื่อเสียงอย่างมาก แต่เทียบกับหวังทงตอนนี้ ก็ไม่เท่าไร และเทียบกับพวกเขาที่อยู่เมืองชายแดน หวังทงเรียกได้ว่าอยู่ศูนย์กลางอำนาจ เป็นขุนนางคนสนิทฮ่องเต้ว่านลี่อีก

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสายสัมพันธ์หวังทงกับขันทีในวังฝ่ายใน ว่ากันว่าสายฮองเฮายังสนิทกับหวังทง อิทธิพลอำนาจเช่นนี้ เป็นของจริง ไม่ใช่พูดกันเพียงลมปาก ตระกูลหลี่อาจประสบภัยใหญ่ได้

เดิมตระกูลหลี่จะจัดการยัดความผิดให้ซุนโส่วเหลียน แต่สุดท้ายซุนโส่วเหลียนกลับได้ตำแหน่งรองแม่ทัพภาคไป กลับต้องมาเฉือนเนื้อตนเองให้ไป  ครั้งนี้หวังทงไปหนิงเซี่ย คนทั่วไปอาจไม่รู้ความนัย แต่สถานะเช่นหลี่หรูซงแน่นอนเรื่องที่ควรรู้ก็ย่อมรู้ หวังทงจัดการให้ตระกูลปัวออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิด สยบสถานการณ์ไว้ได้ ทำให้หลี่หรูซงเริ่มกลัวบ้างแล้ว

ตระกูลปัวเป็นตระกูลใหญ่ครองหนิงเซี่ย มีทหารในมือส่วนตัวสามพัน ถึงกับถูกหวังทงปราบในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือน จัดการได้อย่างรวดเร็ว ตระกูลปัวไม่เหมือนตระกูลหลี่ แต่ตระกูลปัวก็เหมือนตระกูลหลี่ลดขนาด หวังทงมีวิธีการจัดการเช่นนี้ไม่ธรรมเลย ตระกูลปัวได้รับความเมตตาใจกว้าง ก็เพราะไม่มีแค้นเก่า แต่ตระกูลหลี่ไม่เหมือนกัน แน่นอนย่อมกระทบใจหลี่หรูซง

บรรยากาศร่ำสุราในวันนี้ไม่เลว เดิมคิดว่าหวังทงอายุน้อยมีความสามารถ แต่กลับเป็นคนสุขุมนุ่มลึกเช่นนี้ และเห็นแก่ความสำคัญผลประโยชน์ หวังทงถามเรื่องเผ่าหนี่ว์เจิน ทำให้หลี่หรูซงอยู่ ๆ คิดได้ สร่างเมาเปิดประเด็นตรงไปตรงมา

“หากข้าไม่ตอบรับ เจ้าก็จะบอกว่าเมาสุราเสียกิริยากระมัง!”

หวังทงยิ้มถามกลับ  หลี่หรูซงหัวเราะดัง บรรยากาศงานเลี้ยงดีขึ้นมาก จากนั้นก็เป็นการคุยสัพเพเหระทั่วไป

ในงานเลี้ยงคุยเรื่องเมืองต้าถง แต่ก็มีแต่รอยยิ้ม ตอนนี้ต้าถงสงบสุขอย่างมาก  ขุนพลทหารตามป้อมต่างๆ ล้วนวุ่นกับการบุกเบิกพื้นที่เพาะปลูก บ้างก็ทำการค้า หากอยู่ใกล้ด่าน ทหารไม่ไปเป็นแรงงาน ก็ไปค้าขาย ทำการค้าที่มาถึงมือ พวกที่ใจกล้าหน่อย ก็จานำขบวนการค้าตนเองออกไปค้าขายบนทุ่งหญ้า

คนเหล่านี้มีชีวิตที่นับว่าดี แต่ลูกหลานขุนพลทหารยุคก่อน คิดจะสร้างผลงาน ก็กำลังงงอยู่ ตอนนี้ต้าถงสงบสุขเหมือนในด่าน ไหนเลยมีการสู้รบ

มีคนคิดวิธีออก เช่นว่าไปเป็นผู้คุ้มกันขบวนการค้า ระหว่างการต่อสู้ก็ตัดหัวศัตรูไปแจ้งรายงานรับความชอบทางการ แม้ว่าอาจถูกนินทาว่าแจ้งความชอบมิชอบ แต่อย่างไรก็ดีกว่าตัดหัวคนกันเอง

ผู้บัญชาการต้าถงหม่าต้งยังคงรับความชอบเช่นนี้ เกรงว่าเขาคงเป็นคนที่สงบที่สุดในชายแดนแผ่นดินหมิงทั้งเก้าแล้ว นานวันเข้า ก็คงไม่มีผลประโยชน์อันใดอีก และขุนนางบู๊ต้าถงเหล่านี้มีใจคิดออกไปสร้างความชอบ ก็เป็นกำลังสำคัญของผู้คุ้มกันการค้าเมืองกุยฮว่าเฉิง

ตอนโจมตีเหมืองทองหม่านเท่าเอ๋อร์ มีขุนพลต้าถงคนหนึ่งตัดหัวได้มาก ผลปรากฏหัวเหล่านี้นำกลับไปต้าถง หม่าต้งก็ให้ความชอบทันที ตอนนี้ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นขุนพลคุมพื้นที่ไปแล้ว ขันทีคุมกำลังต้าถงและผู้ว่าการมณฑล ทุกคนล้วนให้ความสะดวก

ขุนพลชื่อหมากุ้ยอะไรสักอย่าง ทุกคนจำไม่ได้ชัด หลี่หรูซงพูดถึงแล้วก็ได้แต่ยิ้ม ในใจก็บอกไม่ถูก ห้าปีก่อน หัวศัตรูเป็นของที่มีราคาในการนำไปรับความชอบ แต่ตอนนี้ ถึงกับเป็นเช่นนี้ไปได้ หากปล่อยให้สงบสุขเช่นนี้ไป ใต้หล้านี้ใช่ว่าไม่จำเป็นต้องมีขุนนางบู๊แล้ว งานเลี้ยงครึกครื้นจบลงแล้ว

เดือนสาม ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 15 ใบไม้ผลิอากาศอบอุ่น หวังทงกลับถึงบ้าน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด