องครักษ์เสื้อแพร 1129 กองกำลังหมิงสามหมื่น โจรวัวโค่วแสนหนึ่ง

Now you are reading องครักษ์เสื้อแพร Chapter 1129 กองกำลังหมิงสามหมื่น โจรวัวโค่วแสนหนึ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ปีกขวา มีโจรวัวโค่วพันกว่าคิดบุกเข้ามา!”

“ต้าถงหนึ่งพันขึ้นหน้ารับศึก!”

จากที่ตั้งค่ายมุ่งสู่สนามรบ ย่อมไม่อาจเดินไปอย่างสงบราบรื่นได้ตลอด ตอนตั้งค่ายในตอนนั้น โจรวัวโค่วก็เริ่มส่งทหารออกมาก่อกวนหลายชุดเรื่อยๆ แต่ตอนนั้นป้องกันเข้มงวดไม่อาจมีโอกาสลงมือ ตอนนี้ทัพใหญ่กำลังเดินทัพ กองกำลังขณะเคลื่อนพลจะวุ่นวายโกลาหลได้ง่าย นี่เป็นโอกาสที่โจรวัวโค่วต้องคว้าไว้

แต่ทว่าสำหรับกองกำลังที่แข็งแกร่งแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ ขอเพียงตนเองไม่ผิดพลาด การก่อกวนเหล่านี้ย่อมไม่อาจก่อให้เกิดความยุ่งยากใหญ่อันใด

ตอนทัพใหญ่เคลื่อนกำลัง รอบๆ ล้วนส่งทหารม้าไปตระเวนด้านหน้าก่อน เพื่อสืบความศัตรูรอบทิศและกลับมารายงานตลอดเวลา ตอนนี้แม้ว่าเป็นเดือนเจ็ด ต้นไม้เจริญเติบโตเขียวชอุ่ม แต่รอบเมืองโซอุลล้วนเป็นที่ราบ คิดจะหลบซ่อนตัวนั้นไม่ง่าย

ถามตอบสองสามคำ ทหารม้าต้าถงปีกขวาก็เริ่มแยกตัวออกไปจากทัพใหญ่ มุ่งไปทางโจรวัวโค่ว การต่อสู้ง่ายมาก ในพื้นที่เช่นนี้ จำนวนทหารม้ากับทหารราบปะทะศึก ไม่มีอันใดน่าเป็นห่วง ยิงธนูบนหลังม้าใส่กองแถวโจรวัวโค่ว จากนั้นก็ให้กองกำลังบุกเข้าสังหารทิ้งราบคาบ

ได้ยินรายงานแล้ว หวังทงชมเชยไปสองสามคำ จากนั้นภายใต้การคุ้มกันทหารติดตาม ออกไปยังที่สูงแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ราบเช่นนี้ ที่เรียกว่าที่สูงก็แค่เนินชัน หากสามารถมองเห็นได้ไกลเพียงพอ

ทหารติดตามล้วนออกสนามรบครั้งแรก แม้ตลอดทางจากจังหวัดฮัมกยองจะสังหารศัตรูมาตลอด แต่วันนี้เป็นการรบสนามจริงครั้งแรก จากที่สูงมองไปยังเมืองโซอุล แต่ละคนล้วนเงียบ  หวังทงยิ้มกล่าวกับซาตงหนิงข้างๆ ว่า

“เมื่อก่อนมักกล่าวกันว่าทัพใหญ่นับล้าน แต่มาคิดดูดีๆ แล้ว ขนาดแสนคนนี้เหมือนเห็นครั้งแรก ดำทะมึนไร้จุดสิ้นสุดจริงๆ!”

ซาตงหนิงฐานะหัวหน้าทหารในสังกัด แม้รอบตัวล้วนเป็นทัพใหญ่ตนเองเดินทัพ แต่ก็ยังคงเคยชินที่จะมองไปรอบทิศ พบว่าไม่มีอันใดผิดปกติแล้วจึงได้ตอบหวังทงว่า

“แม่ทัพใหญ่กล่าวได้ถูกต้อง ช่างน่าตกใจโดยแท้ แต่ทว่าก็ล้วนเป็นแค่หมูหมากาไก่ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ทัพใหญ่เรา”

หวังทงยิ้ม กล่าวว่า ‘ช่วยข้าจับม้าไว้’ ทหารติดตามสองนายเข้ามา หวังทงสลัดเท้าออกจากบังโกรนม้าเหยียบขึ้นบนอานม้า คิดจะดูทั้งสนามรบ

พื้นที่บนสนามรบล้วนถูกนำมาจัดทำเป็นสนามในกะบะทรายแล้ว ทุกอย่างล้วนจดจำแม่นยำ ตอนนี้ต้องการเข้าใจถึงการวางกำลังของทัพใหญ่โจรวัวโค่ว เรื่องนี้ต้องมายังสนามรบเท่านั้นจึงรู้ได้

แม้ว่ายังมีระยะห่าง แต่ทัพโจรวัวโค่วขนาดใหญ่มาก จากจุดนี้จึงสามารถรู้ได้พอควร  ทัพใหญ่แสนกว่าใช้เมืองโซอุลเป็นศูนย์กลาง ตั้งทัพ วางค่ายศึก

แน่นอนยังคงมีระยะห่างจากเมืองโซอุลพอควร  ทั้งกองทัพ สองปีกซ้ายขวามีจำนวนหนาแน่นกว่า  กองกลางกลับเบาบางกว่า

“ยังคงคิดแบบเดิม ยังคิดใช้กำลังคนที่มากกว่าอันเป็นข้อได้เปรียบมาล้อมทัพเราให้โกลาหล!”

หวังทงมองคร่าวๆ แล้ว ก็นั่งลงบนหลังม้ากระตุกบังเหียน กลับค่าย  หากโจมตีก่อนแน่นอนต้องโจมตีจุดเปราะบางศัตรู สองปีกหนาแน่นโอบ จากนั้นใช้คนราวทะเลกลบ

วิธีการรบนี้เป็นไปตามตำรา  ทัพใหญ่เช่นนี้ในพื้นที่แคบอย่างคาบสมุทรเกาหลี หากจะปะทะกันตรงๆ  วิธีการรบนี้ก็อาจได้ผล หัวหน้าทัพโจรวัวโค่วไม่อาจไม่ปะทะสู้ตายกับกองกำลังหมิง ไม่มีอุบายอันใดอีก ยังคงรับมืออย่างตรงไปตรงมา

**************

ทหารม้าวิ่งวนรอบทัพใหญ่กองกำลังหมิงประสานกันเป็นกองกำลังหลายร้อย  ศัตรูไม่ยอมให้เจ้าได้ตั้งแถวบนสนามรบ ส่งกำลังออกมาก่อกวนไม่หยุด ถึงกับอาจยกกำลังทั้งหมดเข้าโจมตีก็เป็นได้ ตอนนี้ส่งทหารม้านำกำลังออกไปรับมือไว้ก่อนอันดับแรก

เห็นจำนวนทหารม้าเช่นนี้ โจรวัวโค่วไม่ได้คิดรับมือใด ตั้งแต่ที่จังหวัดพยองอันที่ได้ปะทะกับทหารม้ากองกำลังหมิงแล้ว โจรวัวโค่วก็มิได้ได้เปรียบทหารม้ากองกำลังหมิงอีก

“มารดามันสิ พวกมันยึดพื้นที่ดินเรียบ พวกเราต้องมาย่ำโคลนอยู่นี่!”

นอกเมืองโซอุลเป็นที่นามีน้ำผืนใหญ่ ทหารโจรวัวโค่วต้องการเสบียงอาหารจากที่นาเหล่านี้ แต่ตอนนี้ไม่อาจสนใจอันใด แต่ทว่าการตั้งทัพของทหารโจรวัวโค่วนั้นพยายามอย่างยิ่งที่จะให้กองกำลังหมิงอยู่ในตำแหน่งดินโคลน

ทางกองปืนใหญ่ มู่เอินตวาดด่าไปก็จัดแจงสั่งลูกน้องให้ตั้งปืนให้เร็วที่สุด กองกำลังหู่เวยมีการต่อสู้ที่สำคัญประการหนึ่ง ก็คือตำแหน่งกองพลปืนใหญ่ เป็นเสียงที่ดังที่สุดในยามโจมตี แทบจะเรียกว่าจุดเริ่มต้นก็ว่าได้

ด่าส่วนด่า แต่ยังคงมีวิธีรับมือ ตอนดูสนามรบก็คิดได้ถึงเรื่องนี้ ทหารกองกำลังชายแดนมากมายล้วนแบกกระสอบทรายมา พอกองปืนใหญ่กำหนดตำแหน่งตั้งปืนใหญ่แล้ว พวกเขาก็จะเริ่มใช้กระสอบทรายปูพื้น คนมากกำลังมากก็ใช้ประโยชน์ในตอนนี้ พื้นที่ราบเรียบและแห้งก็ถูกปูขึ้นอย่างรวดเร็ว

ม้าวัวลากมา กำลังคนเข็นมา ปืนใหญ่แต่ละกระบอกมาถึงสนามรบ

“แม่ทัพใหญ่ ศัตรูแบ่งเป็นสี่กอง แต่ละกองมีสามพัน บุกมาทางปีกซ้ายเรา!”

ยังคงเป็นวาจาเดิม ศัตรูไม่ให้เวลาเจ้าได้เตรียมตัว หอสังเกตการณ์ทัพใหญ่หวังทงรายงานข่าวฝ่ายศัตรูมาทางหวังทง

“เผ่าหนี่ว์เจินออกศึก ทหารม้าต้าถงออกศึก ทหารม้าเหลียวออกศึก รอรับทัพศัตรูที่เข้าใกล้!”

หวังทงเอ่ยขึ้น ทหารถ่ายทอดคำสั่งรีบขี่ม้าออกไป ระยะห่างสองฝ่ายราวห้าร้อยก้าว ทิ้งพื้นที่ไว้ให้ทหารม้าไม่มาก

ครั้งแรกที่ปะทะกันส่งกำลังเกือบหมื่นลงสนามรบ ไม่อาจกล่าวได้ว่าทดสอบหรือว่าเปิดศึกกันแน่ แต่ทว่ากองกำลังโจรวัวโค่วเพิ่งตั้งแถวเสร็จ ก็เห็นทหารม้ากองกำลังหมิงเคลื่อนออกมา มองเห็นทหารโจรวัวโค่วถ่ายทอดคำสั่งขี่ม้ามาอย่างเร็วพร้อมธงหลากสี เดิมทีเคลื่อนไหวมาสี่กองตอนนี้ถอยกลับไป

เจ้าเคลื่อน ข้าเคลื่อน เจ้าไม่เคลื่อน ข้าไม่เคลื่อน พอเริ่มทดสอบดูแล้ว เสียงโหวกเหวกเมื่อครู่บนสนามรบก็เริ่มเงียบลง แต่ละหน่วยของกองกำลังหู่เวย ทหารราบชายแดน ทหารม้าแต่ละกอง รวมทั้งกองปืนใหญ่ล้วนพากันเข้ามารายงานเสร็จ  ในยามนี้หัวหน้าทหารที่มาจากชายแดนหมิงล้วนอุทานด้วยความตกใจ กองกำลังหลวงไยตั้งกำลังได้ว่องไวเช่นนี้

สามารถเข้าสู่สนามรบได้รวดเร็ว และตั้งทัพเสร็จรวดเร็ว  สามารถพร้อมรบในทันที  การแย่งชิงความได้เปรียบที่ตั้งทัพเสร็จก่อนได้ เห็นแต่ละหน่วยกองกำลังหลวงเข้าประจำตำแหน่งพร้อม เทียบกับพวกตน ทำให้หลายคนต้องเลื่อมใส

กองกำลังหมิงตั้งทัพอยู่ทางนี้ เห็นชัดว่ามีกองกำลังหลวงเป็นศูนย์กลาง กองกำลังอื่นประสานกำลังเสริม กองกำลังหลวงตั้งทัพประจำตำแหน่งเรียบร้อย กองกำลังอื่นแค่พออยู่ในตำแหน่งที่กะไว้คร่าว ๆ เท่าน้น

ทัพใหญ่แสนกว่ารอรบบนสนามรบ ศึกใหญ่ใกล้ปะทุ  แต่พอได้ปะทะกันระยะสั้นๆ สองฝ่ายล้วนไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอื่นอีก สนามรบเริ่มเงียบลงชั่วคราว

แต่ความเงียบเช่นนี้กลับแผ่กลิ่นอายบางอย่างที่ทำให้คนรู้สึกถึงบรรยากาศสังหาร  คนยังดี ม้ากลับล้วนเหมือนไม่อาจนิ่งได้ หวังทงยกมือไปลูบแผงคอม้าตน ยิ้มกล่าวว่า

“ว่ากันว่าตระกูลหลี่ตอนอยู่ที่นอกเมืองเปียงยาง ราวกับภาพบรรยายในฉากงิ้ว ได้ปะทะกับขุนพลเกราะทองโจรวัวโค่วตัวต่อตัว หลี่หรูป๋อตอนนี้ยังอวดอ้างความกล้าหาญตนเองไปทั่ว เหตุใดวันนี้โจรวัวโค่วไม่ทำเช่นนั้นแล้ว”

ซาตงหนิงข้างๆ ได้แต่ยิ้ม หวังทงยิ้มกล่าวต่อว่า

“ในเมื่อโจรวัวโค่วไม่เล่น พวกเราเล่นเอง เสริมขวัญทหารทัพใหญ่เรา ทำตามคำสั่งก่อนหน้าได้!”

ซาตงหนิงบนหลังม้านำคำสั่งออกไป หันมาตะโกนสองสามคำ ก็มีทหารม้าตะโกนดังรับคำสั่ง ล้วนเริ่มเคลื่อนไหว

ในขณะที่กำลังเงียบอยู่ อยู่ ๆ มีทหารม้าวิ่งออกมาจากกองกำลังหมิง  สามารถมองเห็นได้ว่าคนทางนี้ล้วนถูกดูดความสนใจไปหมด หรือว่ากองกำลังหมิงส่งคนออกมาท้ารบ แต่ทหารม้าผู้นั้นเหตุใดจึงได้ลากท่อนไม้เหมือนเสาธงยาวออกมา นี่ไม่เหมือนธรรมเนียมสู้ตัวต่อตัวก่อนการรบ

ตอนทหารม้าวิ่งออกมา ก็ยกธงสูงขึ้น หากไม่ได้วิ่งมาทางทัพใหญ่โจรวัวโค่ว แต่กลับวิ่งเรียบไปหน้ากองกำลังตนเอง ตะโกนตลอดเวลาอะไรสักอย่าง

ระยะห่างราวห้าร้อยก้าว บนสนามรบเริ่มมีเสียงเอะอะ ฟังไม่ชัดว่าอีกฝ่ายตะโกนอันใด รู้แต่ทางนั้นตะโกนจบแล้ว แถวทัพกองกำลังหมิงเริ่มมีเสียงเฮดัง รู้คำตอบในทันที ธงนั่นแม้ว่าเก่ามาก แต่ลายด้านบนและตัวอักษรยังคงมองเห็นได้ชัด เป็นหมวกแสดงสถานะแม่ทัพกองรบสองคาโต คิโยมาสะแม้ว่าเดาได้ก่อนแล้ว แต่ขุนพลทหารโจรวัวโค่วก็ยังรู้สึกมีหวังไม่คลาย  นั่นก็คือกองรบสองยังคงยืนหยัดอยู่ในจังหวัดฮัมกยอง แต่พอได้เห็นหมวกแสดงสถานะแม่ทัพ ในที่สุดพวกเขาก็ยอมรับได้แล้วว่ากองรบสองถูกทำลายล้างแล้ว

ทหารม้าผู้นั้นวิ่งไปรอบหนึ่ง ก็วิ่งไปทางกองกำลังโจรวัวโค่ว ระยะห่างจากกองกำลังโจรวัวโค่วราวสองร้อยก้าว ก็วิ่งอวดเบ่งไปมา ปาหมวกแสดงสถานะแม่ทัพทิ้งลงพื้น จากนั้นก็ชักม้ากลับ กองกำลังโจรวัวโค่วด้านหน้าสุดที่มีซามูไรกับทหารราบอยู่นั้นก็ล้วนรู้สึกหนักอึ้งในใจทันที ไม่มีผู้ใดโมโหคิดออกไปไล่ล่า

คาโต คิโยมาสะเป็นขุนพลทหารคนสนิทที่สุดของโทโยโตมิ ฮิเดโยชิ   เป็นหนึ่งในเจ็ดนักรบองครักษ์ของฮิเดโยชิในสงครามชิสึกะตาเกะ (ค.ศ. 1583)  แต่ไรมามีชื่อเสียงเรื่องความกล้าหาญชาญศึก ครั้งนี้ออกรบ เป็นกองรบสองที่ทำผลงานดีไม่หยุด และยังทะลายถึงเขต ‘มองโกลเผ่าอูเหลียงฮา’  ตัดหัวมาร่วมพัน  ชื่อเสียงกล้าหาญเช่นนี้ เขานำกำลังกองรบสองล้วนเป็นทหารเก่งกล้าออกศึกชำนาญทั้งสิ้น กำลังเช่นนี้ถึงกับถูกคนตัดหัวแย่งชิงหมวกแม่ทัพไปได้ กองกำลังหมิงแข็งแกร่งถึงขั้นใดกันแน่

ทางนี้เริ่มใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ทหารม้าวิ่งออกมาจากกองกำลังไม่หยุด มือยังคงชูธงกับหมวกแสดงสถานะแม่ทัพ โจรวัวโค่วทุกคนล้วนมองกันตาค้าง ธงกับหมวกแสดงสถานะแม่ทัพแสดงถึงหัวหน้ากองกำลังทั้งที่มีชื่อและไร้ชื่อ ธงกับหมวกแสดงสถานะแม่ทัพเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าจากนี้ขุนพลไร้ชื่อจะมีชื่อแล้ว

ทหารม้าแต่ละนายล้วนบรรยายชัดว่าเป็นโจรวัวโค่วผู้ใด ถูกตัดคอแย่งชิงธงมาได้อย่างไร ถูกตัดหัวไปเท่าไร กล่าวจบ พวกเขาก็วิ่งกลับเข้าทัพพร้อมทั้งทิ้งธงเกลื่อนพื้น  แต่ละประโยคทำให้เกิดเสียงเฮดังเป็นระยะ สุดท้ายกล่าวอันใดล้วนฟังไม่ชัดแล้ว ได้ยินเพียงแค่เสียงเฮดังราวคลื่นทะเล

ณ พื้นที่หนึ่งกลางสนามรบ ธงหลากสีกองเป็นกอง กำลังใจกองกำลังหมิงฮึกเหิมขีดสุด กำลังใจโจรวัวโค่วตกต่ำขีดสุด ผู้ใดล้วนรู้ไม่สามารถปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป

มองเห็นทางกองกำลังโจรวัวโค่วพร้อมธงสีสันสะดุดตาบนหลังวิ่งไปถ่ายทอดคำสั่งอย่างเร็ว สี่พันกว่าคนจากปีกซ้ายขวากรูกันออกมา มุ่งไปยังกองกำลังหมิงปีกซ้าย

“โจรวัวโค่วกองรบสี่ โทดะ คัตสึตะ!!”

มีคนข้างกายหวังทงรายงานชื่อคนผู้นี้

“ถ่ายทอดคำสั่ง ม่อรื่อเกิน นำทหารม้าพันนายออกศึก ตีทัพศัตรูให้พ่าย ไม่ให้ผิดพลาด!”

คำสั่งลงไป ไม่นานก็เห็นขบวนทัพม้านำโดยม่อรื่อเกิน นำกำลังทหารม้าออกไปรับศึก เมื่อครู่ตอนนำธงและหมวกแสดงสถานะแม่ทัพวัวโค่วออกไปแสดงให้ทุกคนได้เห็น กองกำลังหู่เวยทุกคนล้วนเลือดในกายเดือดพล่าน แต่ละคนล้วนตื่นเต้นอย่างมาก เห็นม่อรื่อเกินได้ออกศึก หลายคนล้วนมองด้วยความอิจฉาอย่างมาก

แต่ทว่าการต่อสู้ไม่ได้เกิดขึ้น ทหารโจรวัวโค่วส่งกำลังเช่นนี้ออกมาก็เพียงแค่เพื่อดึงกำลังใจที่ยิ่งตกต่ำลงของฝ่ายตนเอาไว้ ทหารราบสี่พันกว่าต่อหน้าทหารม้าหมิง ไม่อาจมีข้อได้เปรียบใด

ทหารศัตรูถอยกลับ ม่อรื่อเกินก็ไม่ไล่ตาม ชักม้ากลับทันที  สามารถมองเห็นทหารขี่ม้าถ่ายทอดคำสั่งฝั่งโจรวัวโค่ววิ่งไปวิ่งมา

ครั้งนี้น่าจะได้เวลาเคลื่อนจริงแล้ว ปีกขวากองกำลังโจรวัวโค่ว ทหารนับหมื่นแบ่งออกเป็นสามกองใหญ่ มุ่งไปยังปีกซ้ายกองกำลังหมิง

ทหารม้ากองกำลังหมิงล้วนอยู่ทางปีกขวา แต่ก็มีหลายกองที่แทรกอยู่ตามแถวทหารราบ ปีกซ้ายก็มีกำลังทหารม้าพันกว่า ที่เหลือล้วนทหารราบ

ทหารราบตั้งทัพ ปีกขวาล้วนแข็งแกร่งกว่า ใช้ความแข็งแกร่งตนโจมตีจุดอ่อนแอศัตรู นี่เป็นหลักการปกติ

“แม่ทัพใหญ่ โจรวัวโค่วหมื่นกว่าเคลื่อนมาทางปีกซ้ายเรา คิดจะโจมตีปีกซ้ายเรา”

“แม่ทัพใหญ่ เป็นโจรวัวโค่วกองรบหนึ่ง กองกำลัง โคนิชิ ยูกินากะ”

“ถ่ายทอดคำสั่งปีกซ้ายซุนซิง ตอนนี้ข้าจะมอบกำลังเผ่าหนี่ว์เจินให้แก่เขา โจมตีโจรวัวโค่ว อย่าปลอ่ยให้โจรวัวโค่วล้อมได้ หน่วยห้าประสานกำลังกับซุนซิงออกรบ!”

คำสั่งถูกถ่ายทอดไปอย่างรวดเร็ว ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินเกือบสองพัน ทหารราบพันห้าร้อย ล้วนเคลื่อนไปทางปีกซ้าย จากขวาไปซ้าย  ซุนซิงเป็นหัวหน้ากองหน่วยสี่อยู่ทางปีกซ้ายทัพใหญ่ เพราะซุนซิงเก่งการป้องกัน และอดทนหนักแน่น กองรบห้าของเฉินต้าเหอให้ซุนซิงบังคับบัญชาชั่วคราว  ตามการจัดอันดับประสบการณ์ ก็ควรเป็นเช่นนี้

ทหารโจรวัวโค่วที่บุกหน้าสุดเป็นทหารม้าราวพันนาย ทหารม้าโจรวัวโค่วจำนวนไม่มากหากเทียบกับจำนวนทั้งหมด แต่ทหารม้าจากทหารนับแสนก็กล่าวได้ว่าจำนวนไม่น้อย

โจรวัวโค่วแผ่ขยายกำลังออกก็ย่อมไปได้ไกลกว่ากองกำลังหมิง ปีกขวาพวกเขาอยู่ ๆ มุ่งตรงขึ้นหน้าและไม่ใช่ไปทางปีกซ้ายกองกำลังหมิง แต่เป็นที่ว่าง  สามกองนี้บุกมาได้ระยะห่างพอควรแล้วก็หักมุม กลายเป็นโจมตีด้านข้าง กองกำลังหมิง ด้านหน้ามีแรงต้านทานแข็งแกร่งที่สุด แต่ด้านข้างไม่ใช่  หันมารับมือด้านข้าง ย่อมง่ายต่อการเกิดช่องโหว่

โจรวัวโค่วมุ่งมาตีทางนี้ย่อมได้เปรียบด้านกำลังอย่างที่สุด ไม่เพียงแต่โจมตีทางด้านนี้ แต่ยังสามารถลงมือได้จากอีกหลายทิศทาง

แนวคิดนี้เป็นที่รู้กันทั่วในยุคสมัยนี้ แต่ทว่าสำหรับกองกำลังหู่เวยที่เก่งกล้าแล้ว วิธีนี้ไม่อาจใช้ได้ เพราะกองกำลังหมิงขยายกองกำลังแผ่ออกไม่กว้างมาก ยามเคลื่อนกำลังอาศัยความเร็วยิ่งกว่าทัพใหญ่โจรวัวโค่ว

เผ่าหนี่ว์เจินครั้งนี้เข้าร่วมรบทัพใหญ่เรียกว่ากองกำลังทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจิน ทหารถ่ายทอดคำสั่งมาถึงเพิ่งจะถ่ายทอดคำสั่งหวังทงจบไป ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินล้วนเร่งมาถึง

ซุนซิงสั่งการกับหัวหน้าเผ่าหนี่ว์เจินสองสามคำ เริ่มออกคำสั่ง หน่วยสี่กับหน่วยห้าก็เริ่มเคลื่อน ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินรับหน้าที่อยู่ทางปีกขวาของหน่วยสี่และห้า  ก็คือทางด้านหน้าของทัพใหญ่เมื่อครู่

หากกล่าวถึงทหารที่อื่น กองกำลังเกือบสี่พันกำลังเปลี่ยนตำแหน่ง ย่อมเกิดเหตุชุลุมน แต่สองหน่วยกองกำลังหลวงที่นี่ เรียกได้ว่าเป็นการเคลื่อนทัพที่ง่ายดายมาก

“ปะทะกันซึ่งหน้าแล้ว!”

ในโจรวัวโค่วกองรบหนึ่ง ไม่เพียงแต่คนหนึ่งกล่าวเช่นนี้ออกมา หากมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่อาจถอยได้อีกแล้ว

“ใช้พวกเกาหลีทดสอบแล้ว จำนวนปืนไฟไม่ได้มากนัก อาศัยทหารกล้าสามารถบุกเข้าไปยังด้านหน้าของอีกฝ่ายได้ ทุกท่าน จงรักภักดีตอบแทนคุณแผ่นดินก็วันนี้แล้ว!”

มีคนในกองกำลังตะโกนดัง ทุกคนล้วนขานรับดัง หลายคนถึงกับคำรามร้องตาม

เทียบกับกองกำลังโจรวัวโค่วที่กำลังบ้าคลั่งแล้ว สองหน่วยภายใต้การคุมกำลังของซุนซิงกลับนิ่งสุขุมกว่ามาก เปลี่ยนทิศไปตามที่ฝึกมา พลปืนไฟวิ่งไปด้านหน้าตั้งเตรียมพร้อมยิง

“ข้าบาดเจ็บแล้ว เสี่ยวเปียวเจ้าเป็นหัวหน้ากอง ไม่มีอันใดให้ต้องตัดสินใจมาก หน่วยสี่ หน่วยห้า ห้ามถอยแม้ก้าวเดียว!”

ซุนซิงกล่าวหนักแน่น รองหัวหน้าหน่วยหลี่เสี่ยวเปียวพยักหน้าหนักแน่น พลปืนไฟด้านหน้าเสียงดังออกคำสั่ง

“ยิงร่วมกันสามแถวแล้วค่อยยิงอิสระ!!”

ทหารม้าโจรวัวโค่วเกือบพันเรียงแถวง่าย ๆ แล้ว ก็คิดเริ่มจะโจมตีปีกข้าง แต่เคลื่อนไหวไปมา สองด้านล้วนมีทหารม้ากองกำลังหมิงเตรียมพร้อมอยู่ ไม่อาจมีทางเลือกให้ลังเลสงสัย ได้แต่บุกตรงเข้ามาทันที

ภาพรวมสองฝ่ายกำลังทดสอบกำลังอยู่  ลงรายละเอียดไปถึงการต่อสู้อย่างเป็นรูปธรรม ก็ไม่ได้มีลูกไม้อุบายใด ทหารม้าโจรวัวโค่วเคลื่อนมาด้านหน้า นำโดยซามูไรนักรบ ทหารราบอยู่ในกองกำลัง ด้านหลังมีหัวหน้าซามูไรจับตา ทั้งกองด้านหลัง ยังมีทหารม้าเริ่มวิ่งเหยาะมา ปืนกองกำลังหมิงร้ายกาจโดยแท้ เช่นนั้นพวกเราก็ต้องใช้ชีวิตคนมาเติมให้พวกเจ้าได้ยิง จากนั้นก็จะได้ปะทะกันตัวต่อตัวต่อ

“ยิง!!”

ในรัศมียิง พลปืนไฟพากันยิง ทหารม้าโจรวัวโค่วร่วงทันที ม้าก็กลิ้งไปกับพื้น ทหารม้าบนหลังม้าก็ร่วงหล่นลงจากหลังม้า ยุ่งยากไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เป็นทหารม้าที่ตามมาด้านหลังต้องหาทางรีบหลบ ไม่ก็โดดหนี  แต่ม้าที่วิ่งมาเร็ว การจะเปลี่ยนทิศทางนั้นล้วนทำให้เสียสมดุล

แต่ทว่าไม่ได้ส่งผลใดต่อทัพใหญ่ที่บุกเข้ามามหาศาล ปืนไฟสามแถวยิงจบอย่างรวดเร็ว  แถวที่หนึ่งถอยกลับไป ก่อน จากนั้นก็เติมกระสุนเสร็จกลับมายิงอีก มีคนล้มลงไม่หยุด มีคนร้องเสียงโหยหวนไม่ขาด หลายคนไม่แน่ว่าถูกปืนไฟยิง  แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ พอล้มลงแล้วก็ยากลุกขึ้นอีกครั้ง ถูกคนและม้าเหยียบร่างข้ามไป  ครั้งแรกอาจยังไม่ตาย แต่สุดท้ายก็ย่อมไม่อาจมีชีวิตต่อได้

ศัตรูบุกเข้ามายิ่งใกล้ขึ้น  หัวหน้าพลปืนไฟเริ่มออกคำสั่งถอย ปืนไฟยิงไปสามรอบแล้ว

พลปืนไฟถอย พลทวนยาวปกป้อง  การเคลื่อนไหวนี้ฝึกกันมามาก แถวทวนยาวตั้งทวนยาวเป็นทิวแถวรอรับแนวเอียง ทำเป็นรูปเครื่องป้องกันพุ่งไป หน้าพลปืนไฟสองแถวยังมีพลปืนไฟนั่งยองลงส่งปากกระบอกปืนยื่นออกมาแบบทวนยาว คนด้านหลังกำลังเติมกระสุนอย่างเคร่งเครียด

“คำสั่ง เผ่าหนี่ว์เจินบุกโจมตี โจมตีศัตรูตรงหน้า!!”

ซุนซิงยกทวนขวานในมือชี้ไปยังศัตรูตรงหน้า คำรามดัง ทัพกองกำลังหู่เวยแน่นหนาราวหินผา แต่แถวทัพของทางเผ่าหนี่ว์เจินกลับแตกต่าง แม้โจรวัวโค่วโจมตีกองกำลังหมิงสองหน่วย แต่กองกำลังเผ่าหนี่ว์เจินก็ยังคงปกป้องไม่หนี ยังคงบุกไม่หยุด เพราะหากกองกำลังนี้แตกกระเจิง ปีกข้างย่อมตกในอันตราย

หวังทงนำกำลังทหารม้าจากจังหวัดฮัมกยองตลอดทางลงใต้ ปล้นชิงมาราวเพลิงลามทุ่ง ทหารม้าผู้กล้าชาวเผ่าหนี่ว์เจิน ซุนซิงก็เคยได้ยินมา  แต่เขายังจำได้คำพูดหวังทงได้ว่า ‘เผ่าป่าเถื่อนองอาจกล้าหาญ ขาดความหนักแน่น พวกเขาบุกได้ แต่ไม่แน่จะเก่งการป้องกัน’  สถานการณ์ตอนนี้ ระยะห่างใกล้เพียงนี้ ใช้กำลังกองนี้ในการมุ่งโจมตีเหมาะที่สุด

ทหารราบกองกำลังหู่เวย สร้างอานุภาพสังหารด้วยปืนไฟเป็นหลัก ทวนยาวใช้ความเร็วปกติเพื่อป้องกันเป็นหลัก ศัตรูกองทัพใหญ่บุกมา ทหารราบก็เท่ากับยันอีกฝ่ายเอาไว้  ไม่อาจแตกทัพ ทหารเผ่าหนี่ว์เจินไม่มีปัญหานี้

ทุกคนในหน่วยสี่กับหน่วยห้าล้วนรักษาแถวทัพไว้ หัวหน้าแถวกับรองหัวหน้าแถวออกคำสั่งให้รักษาแถวกองกำลังไว้ คำสั่งถูกถ่ายทอดต่อกันไป

ในเวลาสั้นๆ   ปืนไฟไม่อาจใช้การได้ต่อเนื่องนัก แต่ธนูกลับยิงติดต่อกันได้ ทิศทางตรงหน้าชาวเผ่าหนี่ว์  ผู้กล้าเผ่าหนี่ว์เจินแถวหน้าในระยะยิงล้วนน้าวธนูยิง  สาดลูกธนูปูพรมไป ธนูพวกเขาระยะยิงไม่ไกล แต่น้ำหนักเพียงพอ เครื่องป้องกันซามูไรวัวโค่วกับทหารราบล้วนยากต้านทาน

 สังหารไม่หยุด  มองศัตรูที่กรูกันมาแล้ว ก็รู้ว่าไม่ได้ผ่านการฝึกเข้มข้นมา เผ่าหนี่ว์เจินเริ่มมีอาการรวนเร แม้เช่นนี้กองกำลังเผ่าหนี่ว์เจินก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวนอกคำสั่ง พวกเขารู้วินัยทัพหวังทงว่าคืออันใด ไม่กล้าเอาชีวิตตนมาล้อเล่นแน่นอน นับประสาอันใดกับเผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีกองนี้ฝากอนาคตตนไว้กับการรบครั้งนี้ ความดีความชอบยิ่งมาก ผลประโยชน์วันหน้าก็ยิ่งมาก

คำสั่งซุนซิงมาถึงทำให้พวกเขาหายใจโล่งขึ้น หายห่วงได้ พูดให้ถูกก็คือ ราวปลดโซ่ออก พวกเขามองไปยังโจรวัวโค่วน่ารังเกียจด้านหน้าก็เริ่มรู้สึกอยากสังหารนานแล้ว แต่ต้องเอาแต่ทำหน้าที่ป้องกันเช่นนี้ ล้วนกำลังอึดอัดยิ่งนัก

เผ่าหนี่ว์เจินตะโกนดังติดๆ กัน แถวหน้าหลายแถวเริ่มหยุด ล้วนน้าวธนูมุมสูง มีคนเป่าสัญญาณดังแหลมขึ้น ทุกคนตะโกนพร้อมกัน ธนูหลายร้อยยิงไปพร้อมกัน พริบตาศัตรูด้านหน้าก็ถูกกวาดเรียบทั้งแถบ พอยิงไปเสร็จ  คนที่อยู่แถวหน้าสุดล้วนคว้าดาบและขวาน เริ่มเร่งม้าออกไปสังหาร

เทียบกับกองกำลังหลวงที่มีระเบียบแล้ว ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินเหล่านี้ต่อสู้ได้อลหม่านมาก  แต่ก็ยิ่งทำให้เพิ่มแรงป่าเถื่อนและสังหารโหด  ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินสวมเกราะขดลวดบนตัวกับเกราะผ้าเริ่มเร่งความเร็วม้าตนมากขึ้นอีก มาถึงกองกำลังด้านหน้าสุดแล้ว ทหารม้าทั้งกองบุกมาแล้ว

รอรับทหารราบโจรวัวโค่วที่กรูกันมาราวผึ้งแตกรัง ระยะทางที่สามารถใช้แรงปะทะชนมีอีกไม่ไกลแล้ว  ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินไม่อาจสนใจอันใดเร่งทะยานม้าบุกเข้าไปทันที

ทหารม้าปะทะทหารราบ ตอนใกล้ปะทะกัน ไม่ค่อยมีทหารราบสามารถใช้อาวุธในมือโจมตีทหารม้าได้ ส่วนใหญ่ล้วนทนไม่ไหวต้องหลบไปเอง ไม่ก็หนีกระเจิดกระเจิง โจรวัวโค่วก็เช่นกัน

เดิมทีสองหน่วยกองกำลังหู่เวยบุกหน้า กองกำลังหมิงอยู่ในสถานะรอรับ อยู่ๆ ก็กลายเป็นบุกโจมตี  ทหารม้าอีกฝ่ายบุกเข้ามาอย่างไม่กลัวเกรง  การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้ศัตรูตรงหน้าเผ่าหนี่ว์เจินไร้หนทางรับมือ ทำให้โกลาหลหนัก  ในใจกลัวคิดวิ่งหนีไปหลบ  แต่การเคลื่อนไหวก็ยังคงขึ้นหน้า เพื่อนทหารยังคงบุก พริบตาก็โกลาหลไปทั้งกองอย่างแท้จริงแล้ว

การเอาแต่คอยป้องกันเมื่อครู่ที่อึดอัดมาถึงยามโจมตีนี้ก็ราวกับได้ระบายออกไปสิ้น ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินบุกศัตรูตรงหน้ากระเจิดกระเจิงไม่หยุด ให้พวกเขาเข้าโจมตี แต่ไม่ได้ให้พวกเขาโจมตีถึงขั้นนี้ ในสถานการณ์เช่นนี้ ด้านหน้ามีศัตรู ก็ย่อมไม่อาจหยุดได้ ยังคงบุกต่อไป

สถานการณ์สนามรบด้านข้างแปรเปลี่ยนไป เดิมเป็นโจรวัวโค่วปีกขวาเข้ารบติดพันตำแหน่งกองกำลังหมิงปีกซ้าย ตอนนี้โจรวัวโค่วปีกขวากลับถูกทหารม้ากองกำลังหมิงบุกเข้าตีปีกข้าง สถานการณ์วิกฤตแล้ว

โจรวัวโค่วส่งทหารจากทัพกลางถือธงออกมาถ่ายทอดคำสั่ง ทัพอยู่ตรงทิศทางหน้าหวังทงพอดี สามารถมองเห็นมีทัพหนึ่งเริ่มบุกหน้า…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด