องครักษ์เสื้อแพร 793

Now you are reading องครักษ์เสื้อแพร Chapter 793 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
คิดมากจนผิดพลาด

“เมืองเหลียวโจว มีรายงานด่วนมา ตัดหัวศัตรูได้ 800 !”

ณ เมืองหลวง สำนักองครักษ์เสื้อแพร ที่ทำการผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทง มีทหารองครักษ์เสื้อแพรนายหนึ่งกำลังรายงาน ในห้องมีบัณฑิตอีกสองสามคน

แม้ว่าบัณฑิตไร้สถานะ แต่ทหารก็ให้ความเคารพ อย่างไรคนพวกนี้ก็เป็นคนหวังทง ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าคนผู้นี้ตอนนั้นเป็นบัณฑิตในจวนท่านอำมาตย์ มีสถานะบัณฑิตจวี่เหริน มารอรับคำสั่งใต้เท้าหวัง ว่ากันว่าเป็นที่ปรึกษาใต้เท้าหวัง ใต้เท้าหวังคิดส่งเสริม แม้เป็นแค่จวี่เหรินแต่ก็หางานดีๆ ให้ทำได้ไม่ยาก เก็บบัณฑิตเช่นนี้ไว้ข้างกาย เห็นได้ว่าให้ความสำคัญ

ในห้องคนเหล่านี้ นายกองพันหลี่สำนักรักษาความสงบไม่ต้องพูดถึง รองเจ้ากรมหลี่ว์ศาลซุ่นเทียนก็ไม่ใช่ระดับธรรมดา เมิ่งกงกงผู้นี้ก็เป็นคนดังในวัง เป็นลูกบุญธรรมของโจวกงกงแห่งสำนักอาชาหลวง  วันหน้าอนาคตย่อมไกล  ว่ากันว่าเพิ่งไปทอดราชโองการให้หวังทงกลับมา

คนระดับนี้ ล้วนเกรงใจต่อบัณฑิตผู้นี้ เห็นได้ถึงสถานะ หวังทงก่อนไปมณฑลซานซี ทิ้งหยางซือเฉินไว้ที่ทำการคอยติดต่อกันหน่วยงานต่างๆ  งานที่เกี่ยวกับหวังทงก็ล้วนรายงานแก่หยางซือเฉินที่นี่ เรื่องเล็กน้อย หยางซือเฉินสามารถสั่งการไปได้ล่วงหน้า

“ดี รู้แล้ว เจ้าออกไปได้!”

สิ่งที่ทำให้ทหารเจ้าหน้าที่องครักษ์เสื้อแพรยอมก็คือ หยางซือเฉินแม้สถานะสูง แต่มีอุปนิสัยเกรงใจอ่อนโยนกับคนอื่นๆ แม้แต่ระดับพลทหารล่างสุด  แต่ไรมาไม่เคยวางท่าใหญ่โต ยังมักจัดหาอาหารมาเลี้ยงทุกคนในตอนกลางวัน ให้ทุกคนได้กินกันอย่างดี

ดังนั้นตอนสถานการณ์หวังทงยังไม่กระจ่าง ข่าวเมืองหลวงแพร่มาเป็นระลอก ทหารองครักษ์เสื้อแพรจึงมารายงานต่อหยางซือเฉินไม่น้อย มาส่งข่าวกันเสมอ

หยางซือเฉินยิ้มกล่าวขึ้น รอทหารคำนับออกไป หยางซือเฉินจึงได้ยืนขึ้นกล่าวว่า

“ใต้เท้าทุกท่าน เมืองเหลียวโจวทางนั้นมีข่าวใต้เท้าไม่น้อย ตั้งแต่หลังนำทัพออก ข่าวจากทางเมืองเหลียวโจวกับเมืองจี้โจวก็มีมาไม่ได้ขาด ล้วนเป็นข่าวด่วน เมื่อวานหัวหน้าโรงละครก็มาว่า เมืองเหลียวโจวมีคนจ้างพวกเจาไปเล่นงิ้วเรื่องใหม่ เล่นบทสรรเสริญแม่ทัพหลี่แห่งเมืองเหลียวโจวว่ากล้าหาญซื่อสัตย์ภักดี”

พอกล่าวจบ หลี่ว์วั่นไฉ หลี่เหวินหย่วนกับเมิ่งตั๋วก็พากันยิ้ม หลี่ว์วั่นไฉพัดไปมาเบาๆ กล่าวว่า

“ใต้เท้าหวังสร้างความชอบใหญ่เช่นนี้ หลี่เฉิงเหลียงเองก็ตองแสดงความสามารถตนเองในการนำทัพออกมา ทว่าเขาก็หัวไว ถึงกับคิดใช้โรงงิ้วได้”

“เมืองเหลียวโจวมีการค้า 20 ร้านในเมืองหลวง ตั้งแต่หอสุราอาหารไปจนหอคณิกา มีครบทุกสายอาชีพ  ก็เพื่อหาข่าวให้หลี่เฉิงเหลียง เขาย่อมรู้เรื่องความเป็นไปในเมืองหลวง บางครั้งถึงกับรู้มากกว่าชาวเมืองหลวงเสียอีก”

เมิ่งตั๋วข้าง ๆ เอ่ยแทรกขึ้นว่า ผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงมีสายสัมพันธ์กับชนชั้นสูงและขุนนางในเมืองหลวง มีหูมีตาในเมืองหลวงมาก เรื่องนี้ใต้หล้าล้วนรู้

หยางซือเฉินพยักหน้า จัดการเอกสารบนโต๊ะเสร็จก็กล่าวว่า

“ทางนายท่านเป็นกองทัพแข็งแกร่งอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินหมิง มีทั้งปืนใหญ่ ปืนไฟอาวุธเทพเช่นนี้ ยังมีการปกป้องจากฝ่าบาท นี่สิเรียกว่าชัยชนะใหญ่ หลี่เฉิงเหลียงเสพสุขที่เมืองเหลียวโจวมาหลายสิบปี เกรงว่าคงเป็นชื่อเสียงจอมปลอม นายท่านนำทัพขึ้นเหนือ เขานำทัพปราบตะวันตก ตอนนี้เห็นกระแสการข่าว ผู้ใดก็รู้แล้วว่าต่อไปจะเป็นเช่นไร?”

น้ำเสียงเขาดูไม่พอใจนัก หลี่เหวินหย่วนส่ายหน้า น้ำเสียงจริงจังอยู่สักหน่อยว่า

“ตอนข้าอยู่เมืองจี้โจว มักได้ยินใต้เท้าชีกล่าวถึงเมืองเหลียวโจวว่ากองกำลังเข้มแข็งบนแผ่นดินหมิงไม่มีที่ใดเหนือไปกว่ากองกำลังตระกูลหลี่เมืองเหลียวโจว แต่หลี่เฉิงเหลียงวางแผนลึกล้ำมากเกินไป คิดให้อำนาจวาสนาแก่ตนมากกว่าประโยชน์ของแผ่นดินหมิง ทหารของเขาเดิมสามารถกวาดล้างทุ่งหญ้าได้ แต่น่าเสียดายที่ต้องอยู่คู่กับความสงบสุขของตัวหลี่เฉิงเหลียงเอง ครั้งนี้หลี่เฉิงเหลียงเหมือนนำกำลังทั้งหมดที่มีออกรบ ชัยชนะใหญ่ก็คงจะไม่ใช่ปัญหา”

หลี่เหวินหย่วนตอนนั้นเป็นทหารในกองชีจี้กวง หลายปีกรำศึก วิเคราะห์กับการมองกองทัพย่อมดีกว่าหยางซือเฉินที่ได้แต่อ่านจากตำรา ได้ยินเช่นนี้ หยางซือเฉินก็ตกใจอยู่สักหน่อย หลี่เหวินหย่วนยิ้มอธิบาย กล่าวว่า

“ตระกูลหลี่ม้ามาก ทหารม้ามาก ตั้งกำลังในเมืองเหลียวโจวมานาน เผ่าบนทุ่งหญ้านอกด่านอยู่ใต้ความควบคุมของเขาไม่น้อย ครั้งนี้ออกไปบนทุ่งหญ้า น่าจะมั่นใจในชัยชนะอยู่มาก”

หยางซือเฉินฟังไปก็ส่ายหน้าไป หลี่เหวินหย่วนก็ส่ายหน้า กล่าวว่า

“คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าไปรบเมืองกุยฮว่าเฉิงครั้งนี้ ถึงกับมีวิธีการเช่นนี้ บีบจนหลี่เฉิงเหลียงต้องออกมารบสักครา หากบรรพชนคุ้มครองเรา รบชนะอีกครานี้ เกรงว่าแผ่นดินหมิงตอนเหนือคงจะสงบสุขไปได้อีกร้อยปี”

หลี่ว์วั่นไฉสะบัดพัดปิด ยิ้มกล่าวว่า

“ซุนโส่วเหลียนเมืองเหลียวโจวปีก่อนก็เลียนแบบรถใหญ่เทียนจินเรา ต่อมามาขอร้องใต้เท้า ใต้เท้าส่งช่างไปช่วย ว่ากันว่าเมืองเหลียวโจวตอนนี้รถใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ครั้งนี้ออกศึกน่าจะได้ใช้การ ชายแดนแผ่นดินหมิงหากได้สงบศึกนับร้อยปีแบบตระกูลหลี่ได้ ก็เพราะเป็นความชอบของใต้เท้านำให้เกิด!”

ทุกคนยิ้มพยักหน้า สนทนากันสักพัก เมิ่งตั๋วก็ลุกขึ้นกล่าวว่า

“ทุกท่าน วันนี้สำนักรักษาความสงบไม่เรื่องด่วนอันใด ในวังก็มีแต่ความรื่นเริงยินดี ข้าขอกลับวังไปปฏิบัติหน้าที่ก่อน ขอทุกท่านตามสบาย”

พวกหยางซือเฉินพากันลุกขึ้นส่ง พอเมิ่งตั๋วออกไป ประตูห้องทำงานปิดลง ก่อนปิดหยางซือเฉินโผล่ออกไปดูนอกประตู สั่งให้เจ้าหน้าที่ไปต้มน้ำชงชามาอีก ไล่คนไปแล้ว ก็หันกลับเข้าห้อง หลี่เหวินหย่วนยิ้มร่ากล่าวว่า

“เมื่อวานมีคนมาเป็นแม่สื่อให้หู่โถว ถูกข้าให้กลับไป หู่โถวอายุเท่าไรเอง เร่งร้อนใจอันใด”

“ไม่ร้อนใจได้อย่างไร หู่โถวเรากลับมาครานี้ เป็นถึงผู้บัญชาการทัพก็ย่อมได้ ดีไม่ได้อาจได้บรรดาศักดิ์ด้วยนะ อายุน้อยเช่นนี้ หากข้ามีลูกสาวก็คงยกให้เจ้า!”

ได้ยินหลี่ว์วั่นไฉสัพยอก หลี่เหวินหย่วนดีใจตอบกลับว่า

“หากเราสองมีลูกชายหญิงได้เกี่ยวดองกันก็คงดี พูดถึงเรื่องนี้ ใต้เท้าหวังกลับมาครั้งนี้ก็คงต้องแต่งกับหานเสียแล้วสินะ เมื่อครู่เสี่ยวเมิ่งก็ว่า ในวังมีคนร้อนใจเรื่องนี้ ก็จริงนะ ใต้เท้าสร้างความชอบระดับนี้ งานแต่งย่อมยิ่งใหญ่ ขันทีหานแห่งสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์จะต้องดีใจอย่างมากแน่……”

หยางซือเฉินไม่ได้ร่วมวงสนทนานี้ ได้แต่ยิ้มถามขึ้น

“ใต้เท้ามีจดหมายมาวันก่อน บอกว่าตอนนี้กำลังออกจากมณฑลซานซีแล้ว คิดๆ ดู ครึ่งเดือนก็น่าจะมาถึงเมืองหลวงแล้วกระมัง?”

พูดถึงเรื่องนี้ หลี่เหวินหย่วนกับหลี่ว์วั่นไฉต่างพยักหน้า หยางซือเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มเริ่มจางหายกล่าวว่า

“เมื่อครู่เมิ่งตั๋วสอบถามเรื่องการต้อนรับใต้เท้ากลับมา ในวังยังถามว่าตอนใต้เท้าเข้าเมือง มีความเห็นในพิธีพวกนั้นไหม นี่เหมือนมีอันใดไม่ถูกต้องนัก”

“มีอันใดไม่ถูกกัน ฝ่าบาทไว้พระทัยใต้เท้าเช่นนี้ ใต้เท้ายังสร้างความชอบใหญ่ ถามการจัดการต้อนรับก็เป็นเรื่องสมควร”

หลี่เหวินหย่วนกล่าวเหมือนไม่สนใจ สีหน้าหลี่ว์วั่นไฉกลับเริ่มไร้รอยยิ้ม เคาะพัดจีบในมือเบาๆ กล่าวว่า

“ความหมายท่านหยางคือ?”

“สร้างความชอบใหญ่เช่นนี้  ใช้คำนี้กล่าวถึงยังไม่พอเลย แผ่นดินหมิงตั้งแต่ก่อตั้งมาถึงตอนนี้ นอกจากฮ่องหมิงไท่จู่และหมิงเฉิงจู่แล้ว ผู้ใดสร้างผลสำเร็จยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้บ้าง ผู้ใดมีกองกำลังทหารที่เข้มแข็งเช่นนี้ได้บ้าง?”

ทุกคนพูดจนหลี่เหวินหย่วนรอยยิ้มเลือนหาย หยางซือเฉินกล่าวต่อว่า

“ความชอบยิ่งใหญ่เทียมฟ้า ใต้เท้าจงรักภักดี  แต่การสร้างความชอบใหญ่เช่นนี้ ฝ่าบาทอาจไม่ทรงระแวงพระทัย แต่ย่อมมีผู้ทูลฝ่าบาทเรื่องนี้ ขุนนางคนสนิทก็ส่วนคนสนิท แผ่นดินก็ส่วนแผ่นดิน เรื่องพวกนี้….”

หยางซือเฉินยิ่งพูดยิ่งเบา หลี่ว์วั่นไฉคลี่พัดออกแล้วก็หุบจากนั้นก็ผุดลุกยืนขึ้นเดินไปที่ประตู การเคลื่อนไหวนี้ทำเอาทุกคนตกใจ มองหลี่ว์วั่นไฉแง้มประตูดูด้านนอกไม่มีคน หลี่ว์วั่นไฉไม่ปิดประตู หากกลับไปนั่งที่เดิม พูดขึ้นเบาๆ ว่า

“เสียงเบาหน่อย เปิดประตูคุยกัน!”

เช่นนี้ก็จะรู้ว่าด้านนอกมีคนหรือไม่ หยางซือเฉินพูดมานั้นล้วนอันตรายมาก หากเล็ดรอดออกไปตามกำแพงมีหู ความยุ่งยากก็ย่อมตามมา หลี่ว์วั่นไฉเป็นคนรอบคอบเช่นนี้เสมอ หลี่ว์วั่นไฉกลับมานั่งลง ตามองไปด้านนอก น้ำเสียงเบายิ่ง กล่าวว่า

“แต่ตอนนี้มีความดีความชอบเช่นนี้ ที่ทำได้ก็คืออย่าเอิกเกริกนัก ป้องกันคนอิจฉาตาร้อน”

หลี่เหวินหย่วนตบฝ่ามือถอนหายใจยาว ไม่กล่าวอันใด หยางซือเฉินพยักหน้าเห็นด้วย

“ใต้เท้าหลี่ว์คิดการได้รอบคอบ ข้าอยากขอให้ใต้เท้าหลี่ว์เขียนจดหมายถึงใต้เท้าหวัง พูดเรื่องนี้  กองทัพใหญ่เข้าเมืองฉลองชัย ในเมืองยินดีกับทหาร เกียรติยศยิ่งใหญ่ แต่ก็อย่าให้เกียรติยศเป็นที่ทิ่มแทงตาเกินไป แม้ไม่ได้คิดอันใด แต่เกรงว่าคงมีคนคิด แม้รู้สึกก็ต้องอดกลั้น แต่ก็ไม่อาจไม่ป้องกัน!”

“เจ้าพูดมีเหตุผล ข้าเขียนจดหมายตอนนี้เลย ให้ม้าเร็วสำนักรักษาความสงบเร่งนำไปส่ง!!”

“พวกเจ้าหนอนหนังสือ เห็นๆ ว่าชนะ ยังต้องมาอัดอั้นเก็บกดอันใด ช่างไร้สาระสิ้นดี”

************

“ท่านอำมาตย์ ตอนหวังทงไป ท่านว่าเขามุทะลุ มั่นใจว่าแพ้แน่นอน ตอนมีชัยชนะใหญ่กลับมา ท่านว่าไม่อาจไม่ป้องกัน ทำไมกัน? แผ่นดินหมิงรบมีชัย หรือว่าเป็นความผิดกัน?”

ณ ตำหนักข้างพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมิน ฮ่องเต้ว่านลี่กับเซินสือหังนั่งอยู่ จางเฉิงยืนอยู่ด้านหลังฮ่องเต้ว่านลี่ ฮ่องเต้ว่านลี่สีพระพักตร์คล้ำเครียด เซินสือหังลุกจากที่นั่ง ถวายคำนับทูลว่า

“ฝ่าบาท หวังทงสร้างความชอบใหญ่ ไร้ความผิด กระหม่อมเพียงแค่อยากทูลเตือนฝ่าบาท หวังทงมีอำนาจในมือมาก ยังมีกองกำลังใหญ่อีก หลังชัยชนะใหญ่นี้ ชื่อเสียงก็ยิ่งยิ่งใหญ่ขึ้น  ธรรมเนียมที่เป็นมาของแผ่นดินนั้น ฝ่าบาทสูงสุด ขุนนางอยู่ใต้พระบาท หวังทงสร้างความชอบในฐานะขุนนางของพระองค์ได้เช่นนี้ อำนาจมากมายเช่นนี้ คนนอกมองมา เกรงว่าจะเห็นกลับตาลปัตรกัน!”

ฮ่องเต้ว่านลี่สูดลมหายใจเข้า ก่อนจะตรัสน้ำเสียงเย็นชาว่า

“เจ้าว่าหวังทงมีใจคิดการไม่ซื่อ?”

“กระหม่อมมิกล้า กระหม่อมเชื่อว่าใต้เท้าหวังจงรักภักดี กระหม่อมเพียงแค่ต้องการทูลเตือนฝ่าบาท หวังทงแม้ไม่คิด แต่ใช่ว่าผู้อื่นไม่คิด เขาไม่ทำ ใช่ว่าผู้อื่นไม่ทำ ฝ่าบาทไว้พระทัยหวังทง ทรงอยากพระราชทานอำนาจวาสนาให้หวังทง ที่กระหม่อมทูลมานั้นก็คิดเพื่อใต้เท้าหวังระยะยาว และเกรงเหตุที่ไม่คาดฝัน หวังทงล้มไปสักคนก็ย่อมส่งผลต่อความไว้พระทัยและพระเมตตาของฝ่าบาท”

ฮ่องเต้ว่านลี่ผินพระพักตร์ไปมองจางเฉิง จางเฉิงก้มหน้าเงียบ ไม่เห็นสีหน้าเขาเช่นกัน ฮ่องเต้ว่านลี่หันไปตรัสถามเสียงเย็นต่อว่า

“เช่นนนั้นเจ้าว่า หวังทงควรทำเช่นไรจึงเรียกได้ว่าจงรักภักดี?”

“หวังทงควรส่งมอบกองกำลังทหารให้พระองค์ด้วยตนเอง”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด