องครักษ์เสื้อแพร 1057 ผู้มีความสามารถที่หาได้ยาก ปีหนึ่งผ่านไปครึ่งแล้ว

Now you are reading องครักษ์เสื้อแพร Chapter 1057 ผู้มีความสามารถที่หาได้ยาก ปีหนึ่งผ่านไปครึ่งแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไม่ว่ายุคก่อนหรือยุคนี้ หวังทงแต่ไรไม่เคยรู้สึกว่าน้ำตาลเป็นของแปลกหายากอันใด นายกองธงเล็กองครักษ์เสื้อแพร สถานะต่างกับชนชั้นสูงเมืองหลวงมาก ก็ยังกินน้ำตาลไหว

ยิ่งโต ก็ยิ่งเข้าใจเศรษฐกิจยุคสมัยนี้ หวังทงรู้ว่าน้ำตาลยุคสมัยนี้เป็นสินค้าใด จากแผ่นดินหมิงขนไปยังประเทศวัว ขนน้ำตาลรอบหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงสินค้าที่ขนกลับมา กำไรเรียกได้ว่าเกินสี่เท่าแล้ว ไปถึงทะเลใต้ ก็สามารถได้อีกหลายเท่า

นี่เป็นน้ำตาลจากโรงหีบ หากเป็นอ้อยที่ปลูกเอง หีบได้เอง ขนส่งเอง กำไรย่อมน่าตกใจ

หวังทงยังรู้ว่า จากแผ่นดินหมิงไปยังยุโรป  ก็มีเรือมาขนน้ำตาลทรายขาวโดยเฉพาะ  เส้นทางหลายหมื่นลี้ เส้นทางไกลเช่นนี้  เวลาต้องใช้แรมปี  สินค้าที่ขนล้วนต้องกำไรมหาศาลจึงจะได้ เห็นได้ว่าน้ำตาลอ้อยในยุโรปสามารถขายได้ราคาเพียงใด

“ใต้เท้า ชาวผิวขาวมาแผ่นดินหมิง ตกใจที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือราษฎรยากจนที่ล้วนรู้รสชาติความหวาน เมื่อก่อนนายเราแบ่งสมบัติ กล่องน้ำผึ้งเป็นสมบัติสำคัญที่ต้องระบุให้กระจ่าง ยังมีเรื่องเล่าว่า น้ำตาลอ้อยครั้งแรกมาถึงเมืองท่า มีคนชิมไปคำหนึ่ง ก็รีบไปโบสถ์สำนึกบาป เขาถูกความหวานทำให้ลืมตัวอย่างมาก คิดว่าตนเองตกนรกแล้ว”

อากาศทะเลใต้เหมาะแก่การปลูกอ้อยมาก แต่ทว่าชาวพื้นเมืองไม่อยากปลูกกัน แม้แต่เพาะปลูกทั่วไปยังไม่อยากจะทำกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอ้อย ชาวฮั่นแน่นอนเป็นผู้สามารถ เถ้าแก่ผู้นั้นเสนอกับหวังทงแล้ว หวังทงแน่นอนให้การสนับสนุนอย่างยิ่ง รีบกล่าวว่า ไม่ว่าต้องการให้ชาวฮั่นทำสิ่งใด สามารถเอ่ยกับเมืองซงเจียงได้

ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องวิพากษ์วิจารณ์ส่วนตัว แต่ทำให้เถ้าแก่เครือข่ายสามธาราในเมืองซงเจียงถูกตามตัวมาหารือ ทุกคนพากันแย่งออกความเห็น คำวิพากษ์วิจารณ์อันเป็นความเห็นที่ควรค่าเอ่ยถึง ย่อมได้รับรางวัลงาม

ในเมื่อพูดกันแล้ว ทุกคนย่อมร่วมแรง พูดถึงเรื่องอื่นด้วย ลูซอนเหมาะแก่การปลูกอ้อย  แต่อย่างไรกำลังคนก็จำกัด ไม่อาจลงทุนไปกับการเพาะปลูกหมด ต้องแบ่งคนไปทำงานเมืองท่า ทำงานหน่วยป้องกัน ชาวพื้นเมืองก็ไม่อาจไม่ป้องกัน แต่ตอนเหนือลูซอนยังมีที่ดีที่หนึ่งยิ่งกว่า

ที่นี่มีชื่อไม่น้อย ชื่อนี่หวังทงไม่เคยได้ยินมาก่อน ชื่อว่า ‘กรงไก่’ แต่อีกชื่อหวังทงคุ้นมาก เรียกว่า ‘ไต้หวัน’

เกาะทางตะวันออกฮกเกี้ยนและเจ้อเจียงแต่ไรมาไม่ได้รับการพัฒนาใดให้ดี คนแผ่นดินใหญ่มาที่นี่กัน ก็สมัยง่อก๊กในสมัยสามก๊กที่ไปสำรวจประชากร จากนั้น ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกันอีก

พื้นที่หมอกหนา คนบนเขาก็ป่าเถื่อน และยังเป็นภูเขาเสียมาก แผ่นดินใหญ่ก็ยังไม่มีเรือไปที่นั่น แน่นอนไม่มีคนไปตั้งรกราก ทะเลใต้แม้ว่าชาวพื้นเมืองบัดซบ แต่อย่างไรก็มีคนพักอาศัย ค่อนข้างมีอารยธรรมกว่าหน่อย

เทียบกับลูซอนแล้ว ไต้หวันมีข้อดีของไต้หวัน เช่นว่า ทางนั้นไม่มีชาวพื้นเมืองมาโจมตี  ไม่ต้องเป็นห่วงว่าชาวผิวขาวบนท้องทะเลบุกมาสังหาร ก็จะพอเป็นที่พักตั้งค่ายได้  แม้ว่าปะทะโจรสลัด ชาวประมงก็หลบภัยได รู้ว่าที่นั่นมีท่าเรือธรรมชาติดีหลายแห่ง สามารถเป็นจุดพักของกองเรือสามธาราได้

อากาศไต้ไหวันเหมาะที่สุดในการปลูกอ้อย พืชอื่นก็ไม่มีปัญหา หากเข้าจัดการที่นั่น ราคาย่อมสูงยิ่งกว่าลูซอน อย่างไรไต้หวันก็ใกล้กับแผ่นดินใหญ่มากกว่า การไหลเวียนสินค้าไปมาก็ยิ่งเร็วและสะดวกกว่า

*************

เถ้าแก่ที่ชื่อว่าหวังหลิ่วโจวได้เสนอความคิดนี้แล้ว สีหน้าหวังทงก็ยังนิ่ง แต่ทว่าทหารติดตามด้านหลังสังเกตเห็นว่าหวังทงตบมือทีหนึ่ง ด้วยการที่หวังทงสามารถเก็บอารมณ์ได้ดี ปกติสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน หนักแน่นราวเขาไท่ซาน แต่พอได้ยินเรื่องไต้หวัน กลับไม่อาจนิ่งได้

สถานการณ์ตอนนี้ ไต้หวันไม่ได้มีค่ามาก ไม่ว่าภูมิศาสตร์หรือว่าเศรษฐกิจ จัดการมาได้ก็แค่ได้ท่าเรือดีขึ้นมาสองสามแห่ง ได้โรงบ้านเพาะปลูกผืนใหญ่ขึ้นมาเท่านั้น แต่สำหรับหวังทงแล้ว ในโลกก่อนพูดถึงกันมาก ได้ยินมามาก ซึมซับในสมองไม่รู้ตัว ไม่อาจปล่อยผ่านไปโดยง่าย

เพียงแต่หวั่นไหวก็ส่วนหวั่นไหว ทำงานไม่อาศัยแต่ความคิดฉับพลัน

“ตอนนี้ต้องออกตั๋วเงินก่อน ต้องทำเงินเหรียญก่อน ลูซอนก็ยังต้องทุ่มเงินทองลงไปอีกเรื่อยๆ เงินที่เครือร้านสามธาราเราใช้ต้องใช้กันในหลายพื้นที่ไม่น้อย  ยังต้องระดมสะสมเงินอีกก้อน เรื่องบุกเบิกไต้หวัน อย่าเพิ่งกล่าวถึง อีกสองปีรับคนมา เงินก้อนโตยังต้องทุ่มลงไปอีก ลูซอน ไต้หวันแม้ว่ามีความยากง่ายแตกต่าง แต่คุณสมบัติเหมือนกัน  ผู้ใดไปก่อนผู้ใดไปหลัง ก็ต้องคิดให้รอบคอบ”

หวังทงกล่าววาจาเช่นนี้ออกไป คนเบื้องหน้าทุกคนล้วนเป็นระดับเถ้าแก่ดูแลงานมานานหลายปีเรียกได้ว่าตำแหน่งไม่น้อย อายุเท่ากับหวังทงเรียกได้ว่าอายุน้อยมาก แต่ความหนักแน่นของหวังทงกลับเหนือกว่ามาก แน่นอนในเรื่องนี้ ทุกคนล้วนไม่แปลกใจอันใดอีกแล้ว

การนำเสนอความเห็นแล้วให้หวังทงตอบมาได้เพียงนี้ เรียกได้ว่าเป็นการชมเชยของหวังทงแล้ว จากนั้นก็คุยต่อเรื่องว่าสามารถทำได้หรือไม่ จะทำอย่างไร และมีประโยคประหลาดที่กั๋วกงมักกล่าวว่า ‘ความเป็นไปได้’ เถ้าแก่ที่เสนอความคิดเห็นนี้อำนาจวาสนาย่อมมีแน่แล้ว

ทุกคนมองหวังหลิ่วโจวด้วยความอิจฉายิ่ง จากนั้นต่างก็คิดกัน เถ้าแก่นั่นสามารถกล่าวเช่นนี้ แน่นอนก็ย่อมคิดมาแล้วถึง ‘ความเป็นไปได้’

“กั๋วกง เรื่องนี้ข้าน้อยยังมีความคิดหนึ่ง ลูซอนมีผลประโยชน์ใหญ่ ตอนนี้ข่าวค่อยๆ แพร่ออกไป ข้าน้อยที่ร้านได้ยินพ่อค้าไปมาเหนือใต้ต่างพูดถึงกันมาก เขตปกครองใต้ เจ้อเจียงฮกเกี้ยนกับกวางตุ้งหลายแห่ง มีคนไม่น้อยล้วนเสียใจที่พวกเขา รู้ข่าวช้าไป ไม่อาจลงเรือแห่งอำนาจวาสนาได้ทัน เสียใจภายหลังกันมาก แต่ลูซอนนั่น ทุกคนล้วนแบ่งกันได้พอสมควรแล้ว ไม่มีที่ว่างให้พวกเขาอีกแล้ว ในเมื่อทุกคนล้วนคิดอยากทำ ล้วนคิดไปบุกเบิกอาณานิคมใหม่ ไม่สู้นายท่านมอบไต้หวันให้ทุกคนได้อพยพราษฎรไป ให้พวกเขาไปบุกเบิกพื้นที่เพาะปลูก ราษฎรย้ายถิ่นไปทำให้เจริญก่อนแล้ววันหน้าค่อยว่ากันต่อ”

หวังทงอึ้งไป ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยพยักหน้า

“‘วันหน้าค่อยว่ากันต่อ’ พูดได้ดี หวังหลิ่วโจว ข้าถามเจ้า ไม่มีผลประโยชน์ ยังต้องลงเงินไปก่อนล่วงหน้า จะให้พวกเขามาทำกันได้อย่างไร?”

นี่กำลังกล่าวถึงรายละเอียด หวังหลิ่วโจวรู้ว่าตนเองได้อำนาจวาสนาแล้ว อำนาจวาสนาใหญ่เพียงใด ก็ต้องดูว่าตนเองจะก้าวต่อไปจากนี้ได้อย่าง ถูกหรือไม่

“กั๋วกง เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า รับแรงงานมา เหนือแม่น้ำก็ขนคนมากัน ล้วนเพราะกั๋วกงอำนวยประโยชน์ให้ เมืองซงเจียงมีผลประโยชน์หลากหลาย ตอนนี้ในมือกั๋วกงมีเทียนจิน มีเมืองซงเจียง ยังมีลูซอนอีกแห่ง พวกเราเครือข่ายสามธารา ยังมีทั้งทางทะเลและทางบกที่ยังมีช่องทางสินค้าขายดี หลายอย่างในมือ เราสามารถกำไรน้อยในเวลาจำกัด ให้ผลประโยชน์พวกเขาหน่อย ดึงดูดพวกเขาขนคนไปยังไต้หวันบุกเบิกพื้นที่ เราตอนนี้กำไรน้อย แต่วันหน้าย่อมกำไรใหญ่”

ทั้งห้องล้วนมองมาด้วยสายตาชื่นชม  หวังหลิ่วโจวผู้นี้อายุเพียง 30 ต้นๆ ดูแล้วก็ไม่มีอะไรแปลกกว่าผู้ใด เดิมทีเสนอความคิดนี้ขึ้นมา ทุกคนไม่รู้สึกว่าแปลกพิสดารอันใด ไม่ก็แค่มั่วๆ โดนเท่านั้น แต่พอกล่าวมาเป็นข้อๆ ก็แสดงให้เห็นว่าวางแผนมาก่อนแล้ว

ความสำเร็จนี้ไม่ได้บังเอิญ เห็นได้ว่าเป็นผู้มีความสามารถแท้จริง หวังทงนั่งมองหวังหลิ่วโจวที่ยืนอยู่พยักหน้าไม่หยุด เอ่ยขึ้นเนิบนาบว่า

“จะดำเนินการอย่างไร จะดึงดูดพ่อค้าอย่างไร เจ้าไปจัดทำแผนละเอียดมาก ไปจัดการเรื่องนี้โดยเฉพาะ เพียงแค่ไต้ไต้หวันที่เดียว เจ้าไปจัดการมา มารายงานข้าโดยตรง เรื่องลูซอนมอบให้คนอื่นไปจัดการละกัน!”

ในห้องหลายสิบคนล้วนเริ่มส่งเสียง รู้แล้วว่าคนผู้นี้ย่อมเรืองอำนาจวาสนา คิดไม่ถึงว่าโชคหล่นทับเช่นนี้  รับหน้าที่ดูแลคนเดียวไม่ว่า แต่ยังได้ติดต่อกับเหลียวกั๋วกงรายงานโดยตรง ในเครือข่ายสามธารา นี่เรียกได้ว่าระดับสถานะสูงสุดจึงได้เช่นนี้ ทำให้คนพากันอิจฉา

ติดตามทำงานกับเหลียวกั๋วกง มีความอดทนและยอมลำบากได้ ไม่ต้องห่วงว่าความสามารถจะไม่มีผู้ใดเห็น เรื่องนี้ทุกคนล้วนรู้ แต่หลายปีมานี้ ธรรมเนียมค่อยๆ ตั้งขึ้นมา นับวันยิ่งมีกิจการมาก ระบบก็ค่อยเป็นระเบียบเรียบร้อย ตอนนี้ทุกคนทำงานไม่ขอความชอบ ขอแค่ไร้ความผิด แต่แผนที่หวังหลิ่วโจวเสนอทำให้ได้มาซึ่งอำนาจวาสนา ยังทำให้ทุกคนรู้สึกถูกกระตุ้นให้คิด

การสร้างสรรค์และนำเสนอการจัดการเช่นนี้  ดูแล้วเหมือนบังเอิญ แต่ความจริงนั้นในระบบเครือข่ายสามธาราที่หวังทงสร้างระบบการค้าขึ้นมา เปลือกนอกเป็นร้านค้าแบบยุคสมัยนี้  แต่ด้านในนั้นกลับมีเรื่องใหม่ที่เขาสังเกตเห็นให้ความสำคัญมาก แนวคิดการจัดการในปัจจุบัน ระบบการจัดการในยุคปัจจุบัน นำมาใช้หมด

ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้  เถ้าแก่กับคนงานที่ยอมเรียนรู้และขยันขันแข็ง  หนึ่งสั่งสมประสบการณ์ สองเรียนรู้ความรู้มากมาย พวกเขาก็จะคิดมาปรับเปลี่ยน คิดจะพัฒนาให้ดีขึ้น ไม่เหมือนกับร้านค้าอื่นบนแผ่นดินหมิง ในเครือข่ายสามธาราคนที่มีความรู้ความสามารถแท้จริงจะไม่คิดว่าตนเองจะออกไปแยกตัวพัฒนา ล้วนอยากอยู่ต่อในระบบ หนึ่งพวกเขาเข้าใจแล้วว่าตนเองสามารถปีนขึ้นสูงไปอีกได้ สองพวกเขารู้ว่าตนเองมีหลายเรื่องที่ยังต้องการเรียนรู้

ไม่พูดถึงคนอื่น แค่อันดับหนึ่งในระบบการค้าอย่างกู่จื้อปิน ตอนยังไม่พบหวังทง ก็ชอบเสพสุขสุขสบาย แต่พอได้พบหวังทง ทุกวันนอกจากทำการค้า ยังไปเชิญบรรดาที่ปรึกษามาจัดการระเบียบเดิม คิดระบบสามธาราทุกด้านและการค้าต่างๆ ไม่ยอมปล่อยว่างไปแม้แต่น้อย

และเพราะสาเหตุต่างๆ นี้ จึงได้มีคนเช่นหวังหลิ่วโจวปรากฎตัวขึ้น จึงได้เสนอความคิดเช่นนี้ออกมาได้ และก็เพราะเป็นเช่นนี้ สามธาราโรงช่างจึงปรับใหม่มีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นต่อเนื่อง

**************

“หวังหลิ่วโจวผู้นี้เป็นผู้มีความสามารถ ยากที่ทำการค้ามาอย่างเดียว จะสามารถคิดถึงคำว่า ‘วันหน้าค่อยว่ากัน’

พอเลิกประชุม หวังทงกับหยางซือเฉินทุกวันจะมาพบกันที่ห้องทำงาน อย่างไรก็ต้องชมเชยสักคำ ให้บรรดาเจ้าทะเลและพวกมีอิทธิพลริมทะเลไปบุกเบิก รอให้ถึงเวลาพอสมควรแล้ว หวังทงจึงจะยื่นมือไปจัดการต่อ ตอนนี้บนท้องทะเล ผู้ใดก็ไม่มีกำลังและความสามารถต่อกรกับกองเรือสามธารา

ความคิดนี้ไม่แปลก หากมาจากปากของพวกมีตำแหน่งระดับสูงข้างกายหวังทง หรือไม่ก็พวกชำนาญเรื่องการจัดการอำนาจอย่างหยางซือเฉินกล่าวออกมา ล้วนไม่แปลก แต่เถ้าแก่เล็กๆ กล่าวออกมา นับว่าไม่ธรรมดา

“เหล็กแหลมในถุงหนังย่อมแทงออกมานอกถุง ยินดีกับกั๋วกงด้วยที่ได้ผู้มีความสามารถมาช่วยงาน!”

หยางซือเฉินยิ้มกล่าว หวังทงพยักหน้า มองเห็นผู้มีความสามารถนับว่าเป็นเรื่องดียิ่ง แต่หวังทงกลับคิดถึงเรื่องอื่น ไม่อาจระงับความตื่นเต้นไม่ได้ กดเสียงต่ำลงกล่าวว่า

“ท่านหยาง พวกเรามีคนมากมาย คนมีความสามารถเช่นนี้ไม่มาก หวังหลิ่วโจวมาปรากฏตัวต่อหน้าข้าได้ ยังมีหลายคนไม่ได้มีโอกาสนี้  ต้องสร้างระเบียบว่าให้ผู้มีความสามารถมีโอกาสได้นำมาใช้งาน”

“กั๋วกกล่าวได้ถูกต้อง  นี่จึงเป็นวิธีการที่ยืนยาว”

พูดถึงตรงนี้  ความคิดหวังทงก็เริ่มพรั่งพรูขึ้นมา กล่าวว่า

“ข้าจัดการได้ แต่จำนวนคนมากมายเพียงนี้ ใช่ว่าดูแลได้ทั้งหมดครบถ้วน  ประเด็นคือต้องมีธรรมเนียม ตั้งธรรมเนียม ผู้มีความสามารถจึงจะทำตามระเบียบมาได้  แต่ทว่าพอมีธรรมเนียม  อย่างไรก็ต้องมีคนมาดูแล พวกเรามีงานต้องทำไม่น้อย!”

“กั๋วกงหมายความว่า….”

หยางซือเฉินกล่าวไม่จบ สุดท้ายกล่าวว่า

“กั๋วกง กั๋วกงสถานะนี้ เดิมก็ใช้คำว่าร่ำรวยมหาศาลอันดับหนึ่งในแผ่นดินยังบรรยายไม่พอ ทุกวันยังต้องทำงานหลวง ไม่มีเวลา ไยต้องลำบากเช่นนี้ ยังต้องรู้จักหาเวลาพักผ่อนบ้าง!”

“หากปล่อยให้ว่าง ข้าคงวุ่นวายใจ จะว่าไป ตอนนี้ยุ่งกับงาน ไม่ใช่เพราะเพื่อลูกข้าได้สบายหรอกหรือ”

สองคนเหมือนต่อบทสนทนากันไม่ได้ แต่ในความหมายนั้น ทุกคนล้วนเข้าใจดีก็พอ

ไต้หวันกับเรื่องน้ำตาลอ้อยล้วนเริ่มดำเนินการ ข่าวเหล่านี้ไม่ใช่ความลับสุดยอด คนนอกรู้ แต่ก็แค่ไปบุกเบิกที่รกร้างที่ไต้หวัน ไปปลูกอ้อยที่ลูซอนไว้ทำน้ำตาล  ไม่ได้กระทบกับอะไรนัก ล้วนเป็นเรื่องการค้า ไม่กลัวคนอื่นรู้

รู้สองเรื่องนี้แล้ว แดนใต้ก็คึกคักขึ้นทันที  เรื่องบุกเบิกที่แน่นอนพวกที่มาร่วมได้ย่อมได้ผลประโยชน์ใหญ่ พวกเงินทองมากเพียงพอ พวกเมืองหลวงที่มีพวกหนุนหลังเพียงพอ ล้วนสามารถคิดการนี้ได้ แต่เรื่องเพาะปลูกต้องใช้เวลา ต้องใช้กำลังเงินลงไปก่อน หลายคนไม่สนใจนัก แต่เรื่องน้ำตาลอ้อยลูซอนทำให้หลายคนไม่อาจไม่หวั่นไหว น้ำตาลเป็นผลประโยชน์ใหญ่  ล้วนเรียกเป็นดังทรายขาวบริสุทธิ์ กำไรยิ่งกว่าเกลือ  ถึงตอนนั้นเรือขนมาเป็นลำๆ  ล่องไปขายต่อยังริมสองฝั่งแม่น้ำแยงซีเกียง กำไรไม่น้อยแน่ คิดแล้วอยากจะเป็นลม

เหลียวกั๋วกงความสามารถเทียมฟ้า เขาสามารถขนเรือเป็นลำๆ มาทางทะเลถึงเมืองซงเจียงได้ นับว่าไม่ธรรมดา คิดจะไปขายที่ต่างๆ ยังต้องเป็นพวกพ่อค้าตระกูลใหญ่แดนใต้ที่ต่างๆ ตระกูลใหญ่เหล่านี้เข้าใจเรื่องนี้ ดังนั้นต้องไปจองเรือหวังทง สานสัมพันธ์ จะได้ไม่ถึงเวลาทุกคนไปออกัน ตนเองไม่ได้ชิมแม้แต่น้ำแกงคำเดียว

เดือนหก หลายเมืองแดนใต้พวกมากอำนาจวาสนา ชนชั้นสูงเมืองหนานจิงทุกคน หรือแม้แต่พวกพ่อค้าเกลือสองฝั่งแม่น้ำก็ยังคำออกไปทำกำไร พากันมาเยี่ยมเยือนถึงที่

สามส่วนถามถึงไต้หวัน เจ็ดส่วนถามถึงน้ำตาลอ้อย เรื่องนี้เทียบกับตอนหารือการค้ายังมีความเป็นไปได้อยู่มาก บุกเบิกไต้หวัน คนเหล่านี้คิดออกมาได้คล้ายกัน

***************

เข้าสู่เดือนเจ็ด เป็นเวลาที่คึกคักที่สุดช่วงเวลาหนึ่งของเมืองซงเจียง หวังทงกลับว่างขึ้นมา เรื่องทุกอย่างกำลังดำเนินไปตามที่วางไว้

มีข่าวจากหนิงเซี่ย เผ่าหั่วลั่วชื่อเข้ารุกรานโจมตี ราวพันห้าร้อยกว่าถูกปราบราบคาบ หนิงเซี่ยรายงานผลงานต่อราชสำนัก นี่เป็นชัยชนะใหญ่แรกของกองกำลังหลวงที่ไปประจำเมืองชายแดน มีความหมายมาก ซุนซิงมีความชอบไม่น้อย ฮ่องเต้ว่านลี่ต้องพระราชทานรางวัลอย่างงาม

เรื่องจริงเป็นอย่างไร มีแต่วาจาที่กล่าวกับหวังทงส่วนตัวเท่านั้น เผ่าหั่วลั่วชื่อถูกกลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงติดอาวุธรวมกำลังกันทำลาย  สาเหตุไม่ได้ซับซ้อน เผ่าหั่วลั่วชื่อหลังกระเทือนหนักหลายรอบ เริ่มคุ้นเคยปรับตัวได้กับสภาพใหม่บนทุ่งหญ้า ถึงกับค่อยๆ เริ่มมีเงินทองกันขึ้นมา แต่ไม่เป็นมิตรกับกลุ่มพ่อค้าและเมืองชายแดน แน่นอนต้องถูกปราบ

ชนเผ่าพันกว่าถูกทำลายลง สำหรับหวังทงไม่ใช่เรื่องใหญ่ บนทุ่งหญ้ากับนอกด่านมีคนหลายแสนคน  จะไปเท่าไรกัน ไม่ต้องนำมาใส่ใจ

ไม่ก็เป็นเพราะหยางซือเฉินวันนั้นเตือนได้ผล หรือไม่ก็เป็นเพราะหวังทงคิดจะปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิต  เขาอยู่บ้านกับภรรยาและบุตรมากยิ่งกว่าเดิม ความเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้ตั้งแต่หานเสียไปจนซ่งฉานฉาน ภรรยาหลายคนล้วนไม่ได้ดีใจในตอนแรก กลับตกใจและเป็นห่วง กลัวว่าข้างนอกเกิดเหตุอันใดขึ้น จึงทำให้สามีตนว่างมาอยู่บ้านได้ เรื่องนี้ทำเอาอยากยิ้มก็ไม่ออก อยากร้องไห้ก็ไม่ได้ ต่อมาจึงค่อยๆ ชิน ล้วนพากันดีอกดีใจ

หวังเซี่ยทั้งวันติดหวังทงหนึบ วันนี้คิดเรียนยุทธ พรุ่งนี้คิดจับปืน อย่างไรก็ไม่ยอมอ่านหนังสือ หวังจงกับหวังหลันเดิมที่พอเข้าใกล้หวังทงก็ล้วนแผดเสียงร้องดัง ตอนนี้เพราะคุ้นเคยใกล้ชิดแล้ว พอเห็นหวังทงก็จะให้เขาอุ้ม ทั้งครอบครัวล้วนมีความสุขยิ่ง

จวนกั๋วกงเช่นนี้  ภรรยาหลวงน้อยก็ควรจะแก่งแย่งกัน ต้องมีหน่วยป้องกันหญิงภายนอกมาแย่งสามีไป นี่เป็นปกติของพวกชนชั้นสูง แต่ทว่าจวนเหลียวกั๋วกงกลับไม่เป็น ซ่งฉานฉานจัดคนไปหานางรำฟ้อนขับร้องจากแม่น้ำฉินไหวเหอและเมืองซูโจวมาเลี้ยงดู พวกหานเสียไม่ได้ต่อต้าน กลับเห็นด้วย

เลี้ยงคณะงิ้วไว้ในจวน ตั้งแต่นักดนตรีไปจนถึงนักแสดง ทุกคนล้วนเป็นหญิง อายุยังไม่มาก คณะเช่นนี้ปล่อยเข้ามา สตรีย่อมถูกเก็บเป็นของนายใหญ่แห่งบ้าน กลายเป็นนางรำส่วนตัว เป็นเรื่องที่สตรีในจวนถือสาที่สุด แต่ทว่าจวนเหลียวกั๋วกงไม่เป็นห่วงเรื่องนี้ เพราะหากหวังทงคิดเรื่องพวกนี้ ในจวนตอนนี้คงไม่ได้มีภรรยาแค่ห้าคน

ซ่งฉานฉานสร้างคณะงิ้วไว้ในจวนจุดประสงค์ก็ไม่ใช่เพียงเพื่อความสำราญ พูดถึงแล้วก็เหมือนกับสื่อชีที่เลี้ยงเด็กในวัด

นี่เป็นการมองการณ์ไกล จวนเหลียวกั๋วกงกว้างใหญ่ ทั้งครอบครัวได้มาล้อมวงชมงิ้วกันก็นับเป็นความสุขอย่างหนึ่ง แต่ทว่าหวังทงฟังไม่เป็นจริงๆ สำหรับเขาแล้ว ความบันเทิงเหล่านี้ช่างน่าเบื่อ  ไม่สู้ออกไปทำงานดีกว่า

แต่เห็นภรรยาและบุตรชายหญิงพากันคึกคักชอบใจ หวังทงเองก็ไม่คิดออกไปทำงานเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องอดทนชมไป เป็นเรื่องอึดอัดเกินทนเสียจริง

ดังนั้นพอได้ยินคนด้านนอกรายงาน หวังทงรู้สึกได้โผล่จากน้ำ รีบกล่าวกับบรรดาภรรยา ก่อนจะรีบออกไปทันที เขาไม่ทันสังเกตว่าบรรดาภรรยาเบื้องหลังเขาล้วนมองแผ่นหลังเขาไปด้วยรอยยิ้มส่ายหน้า เขาไม่ชอบแต่ก็ยังพยายามเป็นเพื่อนภรรยาชมทำให้ทุกคนดีใจ

“มีกองเรือปะทะโจรสลัดหรือ? ปะทะกับคนของเสิ่นหวั่งหรือ?”

หวังทงถามขึ้นอย่างแปลกใจ คนรายงานสีหน้าเคร่ง พยักหน้าติดกัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด