เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 11 ท่านพ่ออย่าป่วยนะ (รีไรท์)

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 11 ท่านพ่ออย่าป่วยนะ (รีไรท์) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 11 ท่านพ่ออย่าป่วยนะ (รีไรท์)

บทที่ 11 ท่านพ่ออย่าป่วยนะ (รีไรท์)

หลังจากซูเสี่ยวเป่าจัดการเมล็ดพันธุ์ทั้งหมดแล้ว นางก็อาบน้ำ ผลัดเปลี่ยนชุดใหม่ด้วยการดูแลของนางกำนัล จากนั้นก็วิ่งไปหาท่านพ่อด้วยขาสั้นป้อม

ขันทีที่เฝ้าประตูตำหนักฉินเจิ้งเห็นการปฏิบัติของฝ่าบาทที่มีต่อองค์หญิงน้อยดูแตกต่างจากผู้อื่น ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่ขัดขวางเมื่อเห็นองค์หญิงน้อยวิ่งเข้าไปโดยไม่แจ้งให้ทราบ

เมื่อเสี่ยวเป่าวิ่งเข้าไปในห้องโถงของตำหนักที่ประทับ นางก็เห็นชายชราเคราขาวกำลังรักษาท่านพ่ออยู่

เด็กหญิงคุ้นเคยกับท่าสัมผัสชีพจรเป็นอย่างดี เพราะท่านแม่คนสวยป่วยจึงไปหาหมอในหมู่บ้านบ่อย ๆ

น่าเสียดายที่ท่านแม่ป่วยหนักเกินไป เสี่ยวเป่าพยายามอย่างหนักเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายของท่านแม่ด้วยพลังวิญญาณเล็กน้อยที่เหลืออยู่ในทุก ๆ วัน

เมื่อเห็นว่ามีคนที่น่าจะเป็นหมอกำลังมารักษาท่านพ่อในเวลานี้ จู่ ๆ เสี่ยวเป่าก็รู้สึกประหม่า เด็กน้อยรีบวิ่งไปหาพระบิดา กอดต้นขาและถามด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายว่า

“ท่านพ่อป่วยหรือ ท่านพ่ออย่าทิ้งเสี่ยวเป่าไปนะ”

เสี่ยวเป่าตกใจมากจนเกือบจะร้องไห้ออกมา

หมอหลวงซึ่งเป็นหมอประจำตัวของหนานกงสือเยวียนกำลังจับชีพจรอยู่ พลันรู้สึกหวาดกลัวกับการปรากฏตัวของเด็กคนนี้ มือของเขาสั่นเทาและดวงตาก็เบิกกว้างอย่างตกตะลึง

ทว่าตอนนี้ความสนใจของทุกคนไม่ได้อยู่ที่เขา ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดเห็นสีหน้าที่ตื่นตระหนกของหมอหลวง

“มีอะไรหรือ?”

หนานกงสือเยวียนถามเสียงเบา ไม่ได้ขับไล่เด็กน้อยที่กำลังกอดต้นขาของตนเองออกไป

นัยน์ตากลมสวยของเสี่ยวเป่ากลายเป็นแดงก่ำ ปลายจมูกเริ่มขึ้นสีระเรื่อ หยาดน้ำตาไหลรินลงมาทันทีที่พูดว่า

“ท่านแม่คนสวยป่วยรักษาไม่หายแล้วก็จากไป ท่านพ่ออย่าป่วยนะ”

เด็กน้อยกลัวมาก ตอนนี้นางไม่มีแม่แล้ว หากไม่มีท่านพ่อด้วย นางคงต้องกลายเป็นเด็กน่าสงสารที่ไม่มีทั้งท่านพ่อและท่านแม่

หนานกงสือเยวียน “…”

เหตุใดเจ้าต้องร้องไห้ด้วย?

เขาทำหน้าเบื่อหน่ายทันที แต่มือกลับดึงตัวเสี่ยวเป่าเข้ามากอดไว้แนบแน่น

“ก็แค่ตรวจร่างกายตามปกติ ข้าไม่ได้ป่วยเสียหน่อย”

ขนตางอนยาวของเสี่ยวเป่ายังคงมีหยดน้ำตาเปรอะอยู่ นิ้วเล็กกำชายเสื้อบิดาไว้แน่น นางเงยหน้าขึ้นด้วยตาแดงก่ำพร้อมถามว่า

“จริงหรือเจ้าคะ?”

หนานกงสือเยวียนตอบกลับไปว่า “ข้าเคยโกหกอะไรเจ้า ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า จะถามหมอหลวงดูก็ได้”

เขาเหลือบมองไปที่หมอหลวงอย่างสงบ ทว่าสายตากลับดุดันยิ่ง

หมอจางที่อยู่ในความหวาดกลัวอยู่แล้วยิ่งตื่นตระหนกมากเข้าไปใหญ่ เมื่อเห็นสายพระเนตรของฝ่าบาท

“ชะ ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

หมอหลวงพยายามตอบด้วยสีหน้าเป็นปกติมากที่สุด

เสี่ยวเป่ารีบถามว่า “ท่านพ่อไม่ป่วยจริงหรือ?”

หมอหลวงจางรีบโบกมือ “ไม่ป่วยจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงมีพระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ ข้าเพียงแค่ตรวจร่างกายเป็นประจำเพื่อป้องกันการเจ็บป่วยเท่านั้น”

ไม่ป่วยก็โล่งอกไปที เสี่ยวเป่ายังคงมีคราบน้ำตาอาบหน้าอยู่แม้จะหยุดร้องไห้ไปแล้วก็ตาม ตอนนี้เด็กน้อยยิ้มกว้างด้วยความมั่นใจมากขึ้น เผยให้เห็นลักยิ้มที่น่ารักตรงมุมปาก

หนานกงสือเยวียนจ้องมองลักยิ้มที่มุมปากนั่นก็งอนิ้วเรียวทันที

อยากจะจิ้มเล่น

เสี่ยวเป่ายังคงถามหมอหลวงเกี่ยวกับสุขภาพของบิดาด้วยความจริงจังมาก

หมอจางก็ตอบคำถามทั้งหมดแต่โดยดี

“ตรวจองค์หญิงด้วยสิ”

น้ำเสียงไร้อารมณ์ของท่านพ่อดังขึ้นมา แล้วเสี่ยวเป่าก็ยกมือขึ้นตบหน้าอกอย่างมั่นใจ

“เสี่ยวเป่ามีสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นไรสักหน่อย!”

หมอหลวงยิ้มน้อย ๆ พร้อมพูดว่า “องค์หญิง พระองค์น่าจะเข้ารับการตรวจสุขภาพด้วย ท่านไม่ต้องป่วยก็ให้หมอตรวจได้ บางครั้งการตรวจก็เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยนะพ่ะย่ะค่ะ”

“ถ้าเช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ”

เสี่ยวเป่ายื่นมือเล็ก ๆ ออกไปอย่างเชื่อฟัง

เพราะว่าชายชรามีท่าทีสุภาพและใจดี เสี่ยวเป่าจึงเชื่อฟังหมอหลวงจางแต่โดยดี

หมอหลวงคิดอยู่ในใจว่า ไม่แปลกใจเลยที่ฝ่าบาทจะทรงปฏิบัติต่อองค์หญิงน้อยเป็นพิเศษ นี่คือการปฏิบัติที่ไม่เคยมีองค์ชายในวังองค์ใดเคยได้รับมาก่อน

หลังจากจับชีพจรแล้ว หมอจางก็กล่าวว่า “องค์หญิงน้อยทรงมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงดี แต่ไม่นานมานี้…คล้ายกับว่าองค์หญิงน้อยขาดสารอาหาร ทำให้มีพระวรกายที่เล็ก แม้จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ก็ถือว่าพระวรกายไม่แข็งแรง สมควรได้รับโภชนาการมากกว่านี้พ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อได้ยินสิ่งที่หมอจางพูด หนานกงสือเยวียนกับเสี่ยวเป่าก็มีสีหน้าแตกต่างกันทันที

สีหน้าของหนานกงสือเยวียนมืดมนมาก ทว่าเสี่ยวเป่ากลับแสดงความชื่นชมออกมาอย่างชัดเจน

“ท่านผู้เฒ่าเก่งมากเลย ท่านรู้ได้อย่างไร!”

หมอจางยืดตัวขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ หลังจากได้รับคำชมจากองค์หญิงน้อย ทำไมเขาถึงภูมิใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเลยนะ!

หนานกงสือเยวียนพลันจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ จนหมอหลวงต้องหดตัวลงอีกครั้ง

“เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่?”

หนานกงสือเยวียนถามอย่างเย็นชา

องค์หญิงน้อย “???”

หมอจางก้มศีรษะและรีบตอบว่า “อย่างน้อยก็เมื่อสองวันที่แล้ว และเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา องค์หญิงน้อย…มีพระอุทรไม่ค่อยดีเท่าไหร่พ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงสือเยวียนไม่พูดอะไรอีก เขาอุ้มบุตรสาวไว้ในอ้อมแขนด้วยมือข้างหนึ่งและใช้นิ้วอีกข้างเคาะที่เท้าแขนของเก้าอี้

ชั่วครู่หนึ่ง ทั้งตำหนักฉินเจิ้งเงียบจนสามารถได้ยินกระทั่งเสียงเข็มหล่น

ฮ่องเต้ซึ่งเห็นได้ชัดว่ายังไม่ได้ทำอะไร แต่ตราบใดที่เขาไม่มีความสุข บรรยากาศรอบตัวเขาก็พร้อมที่จะเย็นลง

แน่นอนว่ายังมีผู้ไม่คิดกลัว

“ท่านพ่อ เราจะทานอาหารเมื่อไหร่เจ้าคะ เสี่ยวเป่าหิวแล้ว”

เมื่อน้ำเสียงนุ่มนวลนี้ดังขึ้น สำนวนหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจของทุกคน

ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ!

สมแล้วที่นางเป็นพระราชธิดาของฝ่าบาท ซูเสี่ยวเป่ามีความกล้าหาญไม่เป็นสองรองผู้ใดเลยจริง ๆ

หากเป็นเด็กธรรมดาคนอื่น ๆ ไม่แคล้วพวกเขาคงต้องกลัวจนน้ำตาไหลไปแล้วในขณะนี้

“งั้นพวกเราไปทานข้าวกันเถอะ”

ด้วยคำบัญชาของหนานกงสือเยวียน อากาศที่หยุดนิ่งก็ดูจะแตกสลายหายไป หมอหลวง ฝูไห่กงกง และคนอื่น ๆ ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่าพวกเขารู้สึกขอบพระทัยองค์หญิงน้อยเพียงใด

องค์หญิงน้อยเป็นนางฟ้าตัวน้อยที่น่ารักที่สุด!

“ออกไปให้หมด”

ระหว่างมื้ออาหาร ทุกคนถูกไล่ให้ไปรอข้างนอก เหลือเพียงเสี่ยวเป่าและขันทีไม่กี่คนเท่านั้น

“เสี่ยวเป่าจะกินให้หมดเลย”

เด็กหญิงจ้องมองอาหารอร่อยบนโต๊ะ ดวงตาสดใสกำลังเปล่งประกายแวววาว น้ำลายแทบไหลอยู่รอมร่อ

ถึงอย่างนั้น นางก็ยังคงเป็นเด็กน้อยวัยสามขวบที่สุภาพเรียบร้อย นั่งบนเก้าอี้อย่างเชื่อฟังและมองไปที่ท่านพ่ออย่างกระตือรือร้น

เมื่อเห็นเด็กน้อยทำท่าอยากกินแล้วแต่พยายามควบคุมตัวเอง หนานกงสือเยวียนก็รู้สึกดีขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่หมอจางพูด ดูเหมือนว่าเขาจะต้องส่งหลินเจิ้งชิงไปสืบเรื่องนี้สักหน่อยแล้ว

ส่วนคนรับใช้ในวัง ป่านนี้คงถูกประหารทิ้งไปหมดแล้ว

“กินข้าวกันเถอะ”

ทันทีที่คำพูดของหนานกงสือเยวียนจบลง เสี่ยวเป่าก็หยิบตะเกียบขึ้นมา คีบน่องไก่ที่อยู่ตรงหน้าอย่างระมัดระวังและมั่นคง ใส่ลงในชามของท่านพ่อ

“ท่านพ่อกิน”

จากนั้นเด็กน้อยก็ ‘หยิบ’ น่องไก่ชิ้นอื่น ๆ ลงในชามของตนเอง

เมื่อกัดลงไปหนึ่งคำ เสี่ยวเป่าก็อุทานออกมาอย่างพึงพอใจและมีความสุข “อร่อยจังเลย!”

หนานกงสือเยวียนเห็นเช่นนี้ ก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามันอร่อยจริงหรือ?

การกินน่องไก่ด้วยมือเป็นกิริยาการรับประทานอาหารที่ไม่สุภาพ ปกติแล้วบรรดาขันทีและผู้รับใช้มีหน้าที่คอยบรรจงฉีกเนื้อไก่เป็นเส้น ๆ ให้รับประทานง่าย ๆ ด้วยตะเกียบ แต่ตอนนี้มือของขันทีไม่ไวเท่ามือของเสี่ยวเป่าอย่างเห็นได้ชัด

ยามนี้ ฝูไห่กงกงหัวหน้าขันทีกำลังมองไปที่หนานกงสือเยวียนด้วยความลำบากใจและหวาดกลัว

“เจ้าออกไปก่อนเถอะ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ฝูไห่กงกงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก้มศีรษะและถอยหลังกลับอย่างเงียบเชียบ

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *