เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 25 ท่าทีของพระองค์ (รีไรท์)

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 25 ท่าทีของพระองค์ (รีไรท์) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 25 ท่าทีของพระองค์ (รีไรท์)

บทที่ 25 ท่าทีของพระองค์ (รีไรท์)

นางกำนัลที่ผลักเสี่ยวเป่าล้ม รีบคุกเข่าลงบนพื้น หวาดกลัวจนเนื้อตัวสั่นเทิ้ม

เวลานี้ พวกนางมีเพียงความคิดเดียวในใจ

ชีวิตของพวกนางคงจบสิ้นแล้ว!

“เจ็บตรงไหนบ้าง”

เสี่ยวเป่าสูดลมหายใจ กางฝ่ามือออกเผยให้เห็นหินก้อนเล็ก ๆ ผิวของเด็กบอบบางอยู่แล้ว เมื่อถูกผลัก ฝ่ามือก็ครูดไปกับพื้น

หนานกงสือเยวียนมองไปยังมือน้อยคู่นั้น ความเกลียดชังฉายชัดในดวงตา

“หลิ่วผิน”

แม้น้ำเสียงเย็นชาจะดูสงบ แต่กลับทำให้หัวใจของหลิ่วผินสั่นไหว

“หม่อมฉันอยู่นี่แล้วเพคะ”

หน้าผากของนางหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ น้ำเสียงสั่นเครือ

“ข้าจำได้ว่าพวกเจ้าทุกคนเคยฝึกฝนเป็นนางกำนัลมาก่อน สตรีในวังต้องคุ้นเคยกับกฎของวังอยู่แล้วมิใช่หรือ?”

หนานกงสือเยวียนนั่งลงโดยมีเสี่ยวเป่าอยู่ในอ้อมแขน เขาวางเด็กหญิงไว้บนตัก หยิบผ้าเช็ดหน้าจากหัวหน้าขันทีมาเช็ดคราบสกปรกรอบบาดแผล

“ใช่แล้วเพคะ”

เมื่อเห็นภาพนี้ สีหน้าของหลิ่วผินยิ่งซีดลง ร่างกายไร้เรี่ยวแรงในพริบตา

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจำไม่ได้หรือว่าองค์หญิงน้อยสวมอาภรณ์แบบใด?”

เฮือก…

คำพูดธรรมดา ๆ ของหนานกงสือเยวียนราวกับสามารถบดขยี้ร่างกายของหลิ่วผินให้แหลกเหลว นางได้แต่คุกเข่าลง ร้องขอความเมตตาออกไป

“ฝ่าบาท หม่อมฉันทำผิดไปแล้ว หม่อมฉันตามืดบอดมองไม่เห็น”

“จับตัวบ่าวไพร่ที่ทำร้ายองค์หญิงมาให้หมด…”

ตอนแรกหนานกงสือเยวียนต้องการสั่งประหารบ่าวไพร่เหล่านี้ แต่พอเห็นเสี่ยวเป่านั่งอยู่ในอ้อมแขน เขาก็เปลี่ยนคำพูด

“อย่าขัดขืน”

กลุ่มองครักษ์ก้าวไปข้างหน้า จับกุมข้าราชบริพารที่กำลังคุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้นและร้องขอความเมตตา

“พระสนม โปรดช่วยข้าน้อยด้วย ข้าน้อยยังไม่อยากตาย นายหญิง…”

เสียงน่าสังเวชดังห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ หลิ่วผินที่นั่งอยู่กับพื้นทำตัวไม่ถูก นางมองคนที่อยู่ด้านหน้าด้วยสายตาเศร้าสร้อย

“ฝ่าบาท…”

เสี่ยวเป่าตกใจกลัว ฝังดวงหน้าอยู่ในอ้อมแขนของบิดา

หนานกงสือเยวียนลูบแผ่นหลังอย่างปลอบโยน กล่าวเสียงเบาว่า

“ไม่ต้องกลัว”

เสี่ยวเป่าเม้มริมฝีปาก ขดตัวเข้าไปในวงแขนของบิดา ใบหน้าเล็ก ๆ แนบอยู่กับหน้าอก สองมือของนางยกขึ้นปิดหู

“หลิ่วผินรู้ว่านางเป็นองค์หญิง แต่ยังยอมให้นางกำนัลทำร้ายองค์หญิง นับเป็นโทษที่ให้อภัยไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงถูกลดขั้นกลายเป็นไฉเหริน*[1]”

ใบหน้าของหลิ่วผินซีดเผือดในบัดดล นางคลานกระเสือกกระสนไปทางด้านข้างของหนานกงสือเยวียน ขณะร่ำร้องว่า

“ฝ่าบาท! โปรดเมตตาหม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันผิดไปแล้ว ปล่อยหม่อมฉันไปเถิดเพคะ แม้พระองค์จะไม่เมตตาหม่อมฉัน แต่โปรดเห็นแก่หน้าบิดาของหม่อมฉันด้วย!”

เมื่อการลงโทษสิ้นสุดลง หลิ่วผินก็ร้องไห้ออกมาจริง ๆ ครานี้นางไม่มีความคิดชั่วร้ายอีกต่อไปแล้ว ขณะที่ตะเกียกตะกายจะเข้าใกล้หนานกงสือเยวียน ข้าหลวงก็รีบคว้าตัวเอาไว้ทันที

“ลากตัวออกไป” แม้อีกฝ่ายจะนำบิดามาอ้าง ทว่าหนานกงสือเยวียนก็ไม่ได้เปลี่ยนคำสั่งแต่อย่างใด

“ฝ่าบาท หม่อมฉันรู้ตัวว่าผิดไปแล้ว หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ…”

เสียงอ้อนวอนไกลออกไป ในไม่ช้า ตำหนักฉินเจิ้งก็เงียบลง ทุกคนก้มหน้างุด ไม่กล้าพูดอะไรออกมา

แม้แต่หนานกงหลียังแสร้งทำเป็นว่าตนเองไม่มีตัวตน

“ท่านพ่อ”

เสียงอู้อี้ของเสี่ยวเป่าดังขึ้น

หนานกงสือเยวียนจับมือเล็ก ๆ ของนางมาดูพลางถามว่า

“ยังเจ็บอยู่หรือไม่?”

เสี่ยวเป่าทายาชั้นดีบนมือ มันเย็นมากเสียจนไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป

“ท่านพ่อ พวกเขาจะตายหรือไม่”

หนานกงสือเยวียนชะงัก “ไม่ ข้าแค่ให้คนจับพวกเขามาลงโทษ หลังจากนี้ พวกเขาจะถูกลงโทษให้ทำงานเป็นกุลี”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ข้าราชบริพารในตำหนักฉินเจิ้งต่างก็ได้แต่เฝ้าดูด้วยความเป็นห่วง

หนานกงหลียกมือขึ้นเขี่ยจมูกของเด็กหญิงเล่น “อย่ากังวลไปเลย หลานสาวตัวน้อยของข้า พวกเขาสมควรได้รับโทษทั้งหมดนี้แล้ว”

เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าคนกลุ่มนั้นจะรอดชีวิตออกไปได้อย่างไร

แต่หลังจากมองดูเสี่ยวเป่า หนานกงหลีก็เข้าใจ เขาไม่คิดเลยว่าเสด็จพี่จะระมัดระวังถึงเพียงนี้

เสี่ยวเป่ามองท่านพ่ออย่างกระตือรือร้น “เสี่ยวเป่าไม่เจ็บแล้ว”

“ให้หมอหลวงตรวจดูก่อน”

เด็กหญิงตัวน้อยนั่งอยู่ในอ้อมกอดของท่านพ่อและพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

หมอหลวงปรากฏตัวขึ้นในไม่ช้า หลังจากดูแลรอยขีดข่วนที่ได้รับบาดเจ็บของเสี่ยวเป่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวเป่าก็ผล็อยหลับไปบนตักของหนานกงสือเยวียนด้วยความหวาดกลัวที่ยังคงหลงเหลืออยู่

หนานกงสือเยวียนสั่งงานโดยที่บุตรสาวยังอยู่ในอ้อมแขน

“ไปสืบดูว่ามีใครอยู่เบื้องหลังหลิ่วผินหรือไม่”

“รับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

หลังองครักษ์เงารับคำสั่ง หนานกงสือเยวียนยังคงเอ่ยเสียงเย็นต่อไป

“นางกำนัลที่คิดทำร้ายเสี่ยวเป่า ให้ประหารชีวิตด้วยการโบยจนกว่าจะขาดใจตาย เช่นเดียวกับคนที่ผลักนางจนล้ม ส่วนคนที่เหลือให้จัดการลงโทษโบยคนละยี่สิบที”

หลังจากกล่าวทั้งหมดนี้แล้ว หนานกงหลีก็เอ่ยขึ้นมาว่า

“เสด็จพี่ ท่านไม่กลัวว่าจะเกิดปัญหาขึ้นจริง ๆ หรือ?”

หลิ่วผินเป็นบุตรสาวของจั่วอวี้สื่อ ชายชราผู้ชอบเขียนคำร้องเรียนไม่เป็นธรรม สามารถใส่ร้ายป้ายสีผู้เป็นศัตรูกับตนเองได้อย่างร้ายกาจ

หนานกงสือเยวียนเอ่ยหยัน “ข้าต้องกลัวพวกเขาด้วยหรือ?”

หนานกงหลีลอบร่ำร้องอยู่ในใจด้วยความตื่นเต้น ‘ต้องอย่างนี้สิเสด็จพี่! สมแล้วที่ท่านเป็นองค์เหนือหัวของพวกเรา!’

หลิ่วผินถูกลดขั้นเป็นไฉเหริน และนี่คือตำแหน่งนางสนมขั้นต่ำที่สุดในวังหลังของหนานกงสือเยวียน

เรียกได้ว่าไม่ไว้หน้ากันเลยจริง ๆ

ขณะที่เฝ้าดูด้วยความตื่นเต้น บรรดานางสนมทุกคนในวังหลวงล้วนสังเกตเห็นความสัมพันธ์ระหว่างฝ่าบาทกับองค์หญิงได้ไม่ยากเย็นนัก

“ฝ่าบาทไม่เคยโกรธผู้ใดมากเท่านี้มาก่อน”

ณ ตำหนักหวงกุ้ยเฟย แม้จะได้ยินว่าหลิ่วผินถูกลดตำแหน่ง ทว่านางกลับไม่ได้สนใจ เพราะมันมีเรื่องอื่นที่น่าสนใจมากกว่า

“ฝ่าบาทเคยสนใจแต่เรื่องราชการ แต่บัดนี้พระองค์ปฏิบัติกับองค์หญิงน้อยต่างออกไป พระองค์ไม่เพียงปล่อยให้องค์หญิงได้อยู่ในตำหนักฉินเจิ้งเท่านั้น แต่ยังลดตำแหน่งหลิ่วผินเป็นการลงโทษที่มารังแกองค์หญิงน้อยอีกด้วย”

นางกำนัลที่อยู่ด้านข้างพูดเสริมว่า “โชคดีที่มารดาขององค์หญิงน้อยตายไปแล้ว มิเช่นนั้น องค์หญิงน้อยคงได้กลายเป็นที่โปรดปรานมากกว่านี้เป็นแน่…”

หวงกุ้ยเฟยยกมือลูบท้องของตนเองพลางพึมพำ “ฝ่าบาททรงต้องการองค์หญิงมากกว่าองค์ชายใช่หรือไม่”

“พระสนม…”

นางกำนัลมองเจ้านายอย่างเป็นกังวล

เซี่ยชิงหร่านยกมือขึ้น

“ข้ามีบุตรชายสองคนแล้ว ข้าไม่สนใจหรอกว่าตนเองจะตั้งครรภ์อีกหรือไม่ คงจะดีกว่านี้ถ้าข้ามีองค์หญิงน้อย แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เห็นเป็นไร”

เซี่ยกุ้ยเฟยไม่ได้ตื่นตระหนกเกินไปนัก นางไม่ใช่สาวน้อยที่โหยหาความรักอีกต่อไปแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการสอนลูกชายให้ดี เพื่อที่พวกเขาจะได้มีโอกาสชนะในการชิงตำแหน่งผู้สืบทอดบัลลังก์คนต่อไป

ฝ่าบาทตรัสไว้เมื่อนานมาแล้วว่า องค์รัชทายาทจะไม่ได้รับการสถาปนาตามลำดับการกำเนิดก่อนหลัง แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถส่วนตัว ทุกคนล้วนมีโอกาส แต่หากมีผู้ใดแสดงท่าทีว่าเป็นอันตรายต่อราชบัลลังก์ของพระองค์ ฝ่าบาทก็สามารถกำจัดคนผู้นั้นได้ทันที แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นโอรสของพระองค์ก็ตาม

กุ้ยเฟยรู้สึกเป็นทุกข์เมื่อนึกถึงโอรสองค์โต แม้ว่าคนที่ลอบฆ่าลูกชายจะตกนรกไปแล้ว แต่นางก็ยังไม่อาจระงับความเกลียดชังในใจได้อยู่ดี

โอรสองค์โตซึ่งเป็นเด็กหนุ่มที่ยอดเยี่ยม เหมาะสมกับตำแหน่งรัชทายาทที่สุด ทว่ากลับถูกลอบสังหารจนขาพิการ ต้องสูญเสียสิทธิ์ในการชิงตำแหน่งนั้นไปตลอดกาล

บรรยากาศในการว่าราชการวันรุ่งขึ้นเต็มไปความวุ่นวาย จั่วอวี้สื่อเป็นหัวหอกนำพาข้าราชบริพารกลุ่มหนึ่ง มาร้องเรียนเพื่อทวงความยุติธรรมให้แก่หลิ่วผิน

จั่วอวี้สื่อคุกเข่าต่อหน้าพระราชบัลลังก์ ร่ำไห้พลางกล่าวว่า “ฝ่าบาท หลิ่วผินหาได้กระทำผิดร้ายแรงถึงเพียงนั้น นางมีความผิดเพียงเพราะชนเข้ากับองค์หญิงน้อยเท่านั้น เท่าที่กระหม่อมทราบ อาการบาดเจ็บขององค์หญิงน้อยทั้งหมดเกิดจากฝีมือนางกำนัลผู้โง่เขลาผู้หนึ่ง ฝ่าบาท หลิ่วผินอยู่เคียงข้างฝ่าบาทมาหลายปี พระองค์มิคิดสงสารนางบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ฝ่าบาท นับแต่อดีตมา พวกเราให้ความสำคัญเรื่องลำดับอาวุโสมากที่สุด หลิ่วผินอาวุโสมากกว่าองค์หญิงน้อย นางกำนัลชนกับองค์หญิง พระสนมจึงสั่งสอนกฎในวังเท่านั้น พระองค์สามารถลงโทษนางกำนัลรอบตัวนางได้ แต่เหตุใดต้องลงโทษหลิ่วผินด้วย”

“ฝ่าบาท…”

[1] ไฉเหริน หมายถึง สนมขั้นต้น

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *