เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 351 กวนโมโห

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 351 กวนโมโห at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 351 กวนโมโห

บทที่ 351 กวนโมโห

เมื่อหนานจ้าวไร้ซึ่งผู้นำเผ่ากู่ดำอย่างมหาปุโรหิต กู่ทั้งหมดก็พลันสงบลง

เหล่าทหารที่รอดตายจากสนามรบล้วนตกเป็นเชลย อาณาจักรหนานจ้าวที่เปรียบเสมือนกระดูกชิ้นใหญ่เคี้ยวยากในอดีต บัดนี้ตกเป็นอาณานิคมของต้าเซี่ยโดยสมบูรณ์

ต้าเซี่ยได้รับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ท่ามกลางเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี

ฮ่องเต้ผู้อาจหาญประดุจเทพสงคราม รวมทั้งองค์ชายสี่และองค์ชายห้าที่เติบโตขึ้นอีกขั้น ล้วนเป็นที่ชื่นชมของเหล่าทหาร

ฝ่าบาทผู้ปราดเปรื่องของพวกเขา เมื่อองค์ชายทั้งสองเติบใหญ่ พวกเขาอาจกลายเป็นตำนาน เป็นวีรบุรุษผู้ไร้พ่าย

ตราบเท่าที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ อาณาจักรต้าเซี่ยจะต้องสงบร่มเย็น ปวงประชาผาสุก

ท่ามกลางบรรยากาศปราบปลื้มยินดี เยว่หลีกระโดดลงจากรถม้า พลางมองเสี่ยวเป่าเหมือนอยากจะบอกว่า ‘ชมข้าหน่อย’

เสี่ยวเป่าคลี่ยิ้มกว้างจนดวงตาโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว ก้มหยิบขนมชิ้นหนึ่งออกมาจากถุงผ้าแล้วมอบให้เขาพร้อมเขย่งเท้าลูบหัวอีกฝ่าย

“เยว่หลีเก่งมาก”

เมื่อได้รับคำชมจากเสี่ยวเป่าที่ตัวเล็กกว่าตัวเอง เยว่หลีจึงกระโดดขึ้นรถม้าอย่างมีความสุข ไม่ต่างจากเด็กได้ของเล่น

เมื่อสงครามสิ้นสุดก็หมดหน้าที่ของเสี่ยวเป่าและเยว่หลี อาณาจักรหนานจ้าวก็ต้องได้รับการฟื้นฟู รวมถึงปัญหาที่ตามมาไม่น้อยที่จำเป็นจะต้องได้รับการแก้ไข

แม้แต่หนานกงจ้านที่เพิ่งหายดียังต้องรีบแบกสังขารออกไปสะสางงาน

ในบรรดาคนทั้งหมด มีเพียงเสี่ยวเป่าและเยว่หลีเท่านั้นที่ไม่มีภาระหน้าที่ใด

แต่เสี่ยวเป่าก็ยังมีบางอย่างที่ต้องทำ เพราะในขณะที่ฝึกคัดอักษรด้วยตัวเอง นางก็ต้องสอนเยว่หลีไปด้วย

“มาอ่านคำนี้กันดีกว่า เยว่ เยว่หลีอ่านตามข้านะ”

เยว่หลีกำลังกินขนมอบน้ำผึ้งอย่างมีความสุข ไม่เพียงแต่ไม่ทำตามที่นางบอก แต่ยังป้อนเค้กใส่ปากเสี่ยวเป่าด้วย

แก้มป่อง ๆ เต็มไปด้วยขนมนมเนย ดูราวกระรอกน้อยเก็บอาหารไว้ในแก้ม

เยว่หลีเอาแต่จ้องหน้าเสี่ยวเป่า รอจนกว่านางจะกลืนสิ่งที่ตนป้อนให้ก่อนหน้านี้ลงไป จากนั้นก็ป้อนให้นางใหม่

“ข้าจะไม่กิน จนกว่าเจ้าจะหัดอ่านตามข้า”

เยว่หลีพยายามป้อนขนมให้นาง แต่เสี่ยวเป่าปิดปากแน่นพร้อมเอ่ยต่อรองเสียงแข็ง

ทั้งสองจ้องหน้ากันสักพัก แต่แล้วเยว่หลีก็ยัดขนมใส่ปากนางได้สำเร็จ ก่อนจะใช้นัยน์ตาสีม่วงก้มมองข้อความที่เสี่ยวเป่าเขียน

เขียนเสร็จ เสี่ยวเป่าก็เริ่มสอนเขาอ่าน

“เยว่ อ่านตามข้า เยว่”

เยว่หลีจ้องเจ้าก้อนแป้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อย ๆ อ้าปากออก ท่ามกลางสายตาลุ้นระทึกของเสี่ยวเป่า

“เสี่ยว… เป่า…”

เสี่ยวเป่า “???”

นางอึ้งไปชั่วขณะ เยว่… เยว่หลีพูดได้แล้ว แต่เป็นคำที่นางไม่ได้สอน

“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ พูดอีกทีได้หรือไม่”

เยว่หลี “เสี่ยว… เป่า…”

อาจเป็นเพราะเขาไม่ได้พูดมาเป็นเวลานาน เสียงเขาจึงแหบเล็กน้อย แถมยังตะกุกตะกัก

แต่นั่นไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือเขาพูดได้!

เสี่ยวเป่าตื่นเต้นจนเผลอกระตุกชายเสื้ออีกฝ่ายพร้อมเอ่ยเสียงนุ่มนวล “เจ้าเรียกชื่อข้าอีกครั้งได้หรือไม่”

“เสี่ยว… เป่า”

“อีกครั้งหนึ่ง”

“เสี่ยวเป่า”

“ครั้งสุดท้าย”

เยว่หลีทำตามที่นางขอโดยไม่มีอิดออด พร่ำเอ่ยคำว่า ‘เสี่ยวเป่า’ อีกหลายหน

จนในที่สุดเขาก็สามารถออกเสียงคำว่า ‘เสี่ยวเป่า’ ได้โดยไม่ติดขัด

แต่พอเสี่ยวเป่าสอนคำอื่น เขากลับปิดปากเงียบ

เยว่หลีขมวดคิ้วเป็นปมพลางมองเสี่ยวเป่าด้วยสายตาตัดพ้อ แล้วยกขนมในมือขึ้นจ่อปากนาง

เขามองเสี่ยวเป่าราวกับจะบอกว่า ‘เจ้าพูดเองนะ ข้าอ่านเจ้ากิน’

เสี่ยวเป่า “…”

นางถอนหายใจเฮือกใหญ่ราวกับคนชรา “เจ้าเองก็กินด้วยสิ เหตุใดถึงเอาแต่คิดจะป้อนข้าอยู่เรื่อยเลย”

แต่สุดท้ายนางก็ยอมกินขนมที่เขาป้อน

เยว่หลีฉีกยิ้มกว้างราวกับพระอาทิตย์ดวงน้อย ทอแสงแดดอันอบอุ่นขับไล่ความหม่นหมอง

กว่าจะจัดการเรื่องใหญ่ ๆ ในหนานจ้าวให้เข้าที่เข้าทาง ช่วงเวลาเก็บเกี่ยวในสารทฤดูก็ใกล้เข้ามาแล้ว และก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องหวนคืนสู่เมืองหลวงต้าเซี่ย

ข่าวต้าเซี่ยเอาชนะหนานจ้าวแพร่มาถึงเมืองหลวงตั้งแต่ช่วงวันแรก ๆ เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ทั้งฝ่ายบู๊และบุ๋น รวมไปถึงราษฎรทั้งหลายต่างปราบปลื้มยินดีให้กับชัยชนะในครั้งนี้ บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุขเปรียบได้กับวันรวมญาติในเทศกาลข้ามปี

บัดนี้ข่าวคราวการเสด็จกลับเมืองหลวงของฮ่องเต้ผู้พิชิตก็แพร่สะพัดไปทั่วทุกตรอกซอกซอย รวดเร็วราวกับติดปีก

ทุกคนต่างรอคอยการกลับมาของพวกเขา

หลายคนรีบขึ้นเขาไปเก็บดอกไม้มาตระเตรียมไว้รอการกลับมาของกองทัพหลวง เพราะพวกเขาอยากต้อนรับวีรบุรุษของต้าเซี่ยอย่างอบอุ่น

และแล้ววันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง!

องค์ชายใหญ่นำเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊และบุ๋นพร้อมองค์ชายที่เหลือมารอต้อนรับพวกเขากลับเมืองหลวง เสียงเกือกม้าดังกึกก้องตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่พร้อมเพรียง ทหารในชุดเกราะเงาวับท่ามกลางแสงแดด แต่ละคนต่างเชิดหน้าอย่างภาคภูมิ

การเดินทางในครานี้มีคนร่วมเดินทางจำนวนมาก ทั้งยังมีทหารบาดเจ็บและพิการนับไม่ถ้วน พวกเขาจึงต้องเดินทางให้ช้าลงหน่อย จึงใช้เวลาหนึ่งเดือนกว่าจะถึงเมืองหลวง

ในระยะเวลาหนึ่งเดือน เยว่หลีก็ได้เรียนรู้วิธีการพูดและขี่ม้าได้เชี่ยวชาญขึ้นประมาณหนึ่ง

แต่กิจวัตรที่เขาชื่นชอบมากที่สุดก็คือการป้อนอาหารให้เสี่ยวเป่า รวมถึงการใช้สมองอย่างหนักเพื่อวางแผนแย่งใครบางคนจากฮ่องเต้องค์หนึ่ง

หากเขาใช้กู่ เสี่ยวเป่าต้องไม่ยินยอมเป็นแน่ เขาจึงทำได้เพียงพึ่งพาความสามารถของตัวเอง ทว่าความแข็งแกร่งระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นต่างกันเกินไป เขาจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปเสียทุกครั้ง และมักจะถูกหนานกงสือเยวียนโยนลงจากรถม้าอย่างไร้ความปรานี

แม้วันนี้ไม่ได้นั่งรถม้า แต่เขาก็ยังไม่อาจแย่งเสี่ยวเป่ามาได้ ทำได้เพียงมองชายที่กอดเสี่ยวเป่าอยู่บนหลังม้าด้วยสายตาขุ่นเคือง

คนผู้นี้คืออุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต!

แต่เสี่ยวเป่ารักใคร่ชายผู้นี้มากที่สุด เยว่หลีจึงทำได้เพียงทำหน้าบึ้งตึงและหงุดหงิดกับตัวเอง

“นี่น้องชาย ยังไม่ตัดใจอีกหรือ”

หนานกงฉีหลิงขี่ม้ามาขนาบข้าง ในมือถือหอกเล่มยาวพลางขยิบตาเยาะเย้ย

“ข้าชื่นชมเจ้าจริง ๆ คิดจะแย่งเสี่ยวเป่ามาจากเสด็จพ่อ กล้าใช่ย่อยเลย”

เยว่หลีจ้องอีกฝ่ายพร้อมเอ่ยเสียงหนักแน่น “เสี่ยวเป่าเป็นของข้า!”

หนานกงฉีหลิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ “สามหาวนัก ข้าเป็นพี่ชายยังไม่กล้าบอกว่าเสี่ยวเป่าเป็นของตน เจ้ากล้าดีอย่างไร”

เยว่หลีถอนหายใจฮึดฮัด ก่อนจะควบม้าสีขาวตัวน้อยไปขนาบข้างหนานกงสือเยวียน

คนรอบข้างต่างจับจ้องมาที่เขา ราวกับมองวีรบุรุษผู้ไม่เกรงกลัวความตาย

หนานกงสือเยวียนปรายตาเย็นเยียบชวนขนหัวลุกมองเด็กหนุ่ม แต่เยว่หลีกลับไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยสักนิด

เขาในตอนนี้คงเปรียบได้กับลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ

แม้จะอายุสิบสอง ทว่าทักษะการใช้ชีวิตนั้นเทียบเสี่ยวเป่าไม่ได้ด้วยซ้ำ

“เสี่ยวเป่า เจ้าเป็นของข้าใช่หรือไม่”

เขาเอ่ยถามพลางโน้มคอเข้ามาใกล้ ๆ

เสี่ยวเป่า “…”

เจ้าใจเย็นหน่อยจะได้หรือไม่ เห็นหรือไม่ว่าท่านพ่อของข้าจะกินหัวเจ้าแล้ว!

หนานกงสือเยวียนยกมือขึ้นหมายจะฟาดท้ายทอยเยว่หลีทั้งที่ใบหน้ายังคงเรียบตึง

แต่เยว่หลีเบี่ยงตัวหลบได้ทันท่วงทีด้วยการหมอบไปตัวราบไปกับหลังม้า ก่อนจะรีบควบนำหน้าไปไกล แถมยังหันกลับมาทำหน้าล้อเลียนหนานกงสือเยวียนอย่างไม่กลัวตาย

“ท่านตีข้าไม่ทันหรอก ตีข้าไม่ทัน ฮิฮิ…”

ทุกคน “…”

คนผู้นี้รูปร่างหน้าตาก็จัดว่าหล่อเหลา ทั้งยังเป็นคนดี เหตุใดถึงได้อ่อนต่อโลกและชอบกวนโมโหผู้อื่นเช่นนี้

หนานกงสือเยวียนขบกรามแน่นจนเส้นเลือดปูด สักวันเขาจะกำจัดเจ้าเด็กนั่นทิ้งเสีย!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด