เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 336 แสดงละคร

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 336 แสดงละคร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 336 แสดงละคร

บทที่ 336 แสดงละคร

การปรากฏตัวของพวกเสี่ยวเป่าดึงดูดความสนใจของผู้คนเป็นอย่างมาก

ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นตัวละครหลักในเรื่องซุบซิบที่โด่งดังไปทั่วเมืองหลวงในช่วงหลายวันมานี้ โดยเฉพาะคำลือที่ว่า ‘กลัวภรรยา’ ยิ่งทำให้ฝ่าบาทไปจนถึงเหล่าขุนนางในราชสำนักบังเกิดความสงสัยใคร่รู้ต่อสตรีผู้นี้

ในที่สุดวันนี้ก็ได้เจอตัวเสียที ความประทับใจแรกของทุกคนก็คือ ว่าที่ชายาซื่อจื่อผู้นี้ร่างสูงบึกบึนอย่างยิ่ง เพียงเห็นแวบแรกก็ทราบได้ว่าเป็นคนที่ทำงานใช้แรงงานอยู่เป็นประจำ

จุดนี้สอดคล้องกับภูมิหลังที่พวกเขาสืบทราบมา จึงไม่มีใครรู้สึกว่ามีอะไรน่าสงสัย

ลำพังรูปร่างสูงใหญ่เช่นนี้ ก็ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดตอนนั้นซื่อจื่อท่านนี้จึงกล่าวต่อหน้าทุกคนว่าเขาสู้ภรรยาไม่ได้

คงเป็นเพราะงานมงคลของซื่อจื่อล่าช้ามากแล้ว พอได้พบสตรีที่เต็มใจออกเรือนให้เขาก็คิดจะสู่ขอทันทีเลยกระมัง

อ้อ ดีชั่วอย่างไรอีกฝ่ายก็คลอดลูกสาวให้ซื่อจื่อแล้วคนหนึ่ง

ดูจากสีหน้าไม่ค่อยพอใจของซื่อจื่อ ว่าที่ชายาซื่อจื่อคงไม่ได้เอาลูกสาวมาข่มขู่เพื่อแลกกับตำแหน่งหรอกนะ

จุ๊จุ๊…อนาถ อนาถแท้ ๆ นี่เป็นซื่อจื่อที่อนาถที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยพบเจอมาเลยทีเดียว

เจียงอู๋ฮ่วนไม่รู้ถึงความคิดเหลวไหลของบรรดาขุนนางใหญ่เหล่านั้น แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการทำความเข้าใจรอยยิ้มยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่นบนพระพักตร์กษัตริย์หนานจ้าวเลยสักนิด

เจียงอู๋ฮ่วนคิดโดยไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า ยิ้มไปเถอะ ไม่รู้ว่าตอนที่ฝ่าบาททรงทราบว่าเขาก่อกบฏยังจะยิ้มออกอยู่หรือไม่

“ถวายบังคมฝ่าบาท”

เสี่ยวเป่ายืนอยู่ตรงกลางระหว่างท่านพี่กับเจียงอู๋ฮ่วน แสดงท่าเคารพอย่างจริงจัง

กษัตริย์ของหนานจ้าวเป็นบุรุษวัยหกสิบกว่าพรรษา ดวงตาขุ่นมัวทั้งสองสะท้อนความเจ้าแผนการและเจตนาร้ายที่พยายามปกปิดเอาไว้

“ซื่อจื่อของหนานหมานอ๋องเองหรือ นี่ก็คือลูกสาวของเจ้ากระมัง”

เขาไม่ได้บอกให้คนลุกขึ้น เพียงถามนั่นถามนี่ประหนึ่งผู้อาวุโสกำลังถามไถ่สัพเพเหระกับผู้เยาว์ เห็นได้ชัดว่าจงใจสร้างความลำบากให้อีกฝ่าย

ทุกคนล้วนมองออก แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

อย่างไรเสียฝ่าบาทของพวกเขาก็เป็นเพียงคนที่ความสามารถน้อยนิด แต่จิตใจแสนจะคับแคบผู้หนึ่ง สมัยยังหนุ่มอาจรู้จักรักหน้าตาอยู่บ้าง แต่ตอนนี้นับวันก็ยิ่งเลอะเลือน หลงงมงายอยู่กับการกินยาอายุวัฒนะยังไม่พอ ยังชอบบันดาลโทสะโมโหร้ายเป็นประจำ

คุกเข่าฟังอยู่ครู่หนึ่ง หนานกงชิงกับเสี่ยวเป่าก็มองหน้ากัน พวกเขาไม่คุ้นเคยกับนิสัยแปลก ๆ ของตาแก่คนนี้หรอกนะ!

ตอนมาก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าจะต้องได้รับความลำบาก พวกเขาจึงเตรียมแผนรับมือมาแต่แรก

ด้วยเหตุนี้ เสี่ยวเป่าจึงเริ่มกลั้นหายใจ ผ่านไปไม่นานใบหน้าน้อย ๆ ก็ทั้งแดงทั้งม่วง ร่างส่ายโงนเงน

ร่างเล็กจ้อยของเสี่ยวเป่าเอียงล้มลงไปต่อหน้าต่อตาทุกคน

หนานกงชิงร้องเสียงหลง

“ลูกสาวข้า!!!”

เสียงนั้นดังลั่นจนทำให้กษัตริย์หนานจ้าวที่นั่งเป็นประธานอยู่ร่างสั่นสะท้าน

“เจ้าเป็นอะไรไป เสี่ยวชิงเจ้าอย่าทำให้แม่กลัวสิ ฮึก ฮือ ๆ ๆ…”

เสี่ยวชิงคือชื่อเล่นที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ เพราะทูตจากหนานจ้าวเคยได้ยินชื่อเสี่ยวเป่าอยู่บ่อย ๆ ตอนไปเยือนต้าเซี่ย กลัวว่าหากเรียกว่าเสี่ยวเป่า อีกฝ่ายอาจนำมาเชื่อมโยงกันได้

กษัตริย์หนานจ้าวมองเหตุการณ์วุ่นวายตรงหน้าด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ “เกิดอะไรขึ้น”

หนานกงชิงน้ำตาที่ไม่มีสักหยด

“ฝ่าบาท เสี่ยวชิงลูกสาวของหม่อมฉันคลอดก่อนกำหนด ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว เมื่อครู่คุกเข่านานเพียงนั้นก็เลย…”

นางร้องไห้พลางทำท่าคล้ายจะพูดอะไรแต่ก็ชะงักไป

สีหน้าของกษัตริย์หนานจ้าวยิ่งไม่น่ามองกว่าเดิม สตรีผู้นี้แทบกระชากหน้ากากของเขาออกมาอยู่แล้ว

ขุนนางคนอื่นก็ทนมองต่อไปไม่ได้ เฮ้อ…มีใครมองความคิดชั่วร้ายของฝ่าบาทไม่ออกบ้าง

ก่อนหน้านี้เพราะไม่เคยเกิดเรื่องใหญ่จึงปิดตาข้างหนึ่งเท่านั้นแหละ ตอนนี้เด็กคนหนึ่งถึงขั้นหมดสติเพราะคุกเข่านานเกินไป หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปอาจกระทบต่อชื่อเสียงของฝ่าบาท

“ไปเชิญหมอผีมา”

เขากล่าวกับพวกเจียงอู๋ฮ่วนพร้อมรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา “ข้าทำไม่ถูกเอง เดิมทีแค่อยากคุยกับซื่อจื่อให้มากหน่อยเพราะดีใจที่ซื่อจื่อก็มีลูกน้อยเสียที แต่กลับลืมไปว่าเจ้าคุกเข่าอยู่ ฮ่า ๆ ๆ…เป็นเพราะข้าดีใจเกินไปน่ะ”

หนานกงชิงก้มหน้า ลอบกลอกตาโดยไม่ให้ใครเห็น

เหอะ ๆ…พวกเขาสามคนตัวโตขนาดนี้ ท่านตาบอดหรือถึงได้มองไม่เห็น ต่อให้ไร้สมอง อย่างน้อยก็น่าจะมีตาอยู่นะ

“ผู้ใดก็ได้ ยกเก้าอี้มาให้ซื่อจื่อกับชายาที”

ว่าแล้ว เขายังตำหนิหนานกงชิง “ว่าที่ชายาซื่อจื่อก็เหมือนกัน ลูกไม่สบายก็ไม่รู้จักบอกแต่เนิ่น ๆ หากพวกเจ้าบอก ข้าจะยังปล่อยให้พวกเจ้าคุกเข่าอยู่อีกหรือ”

หนานกงชิงก้มหน้าร้องไห้ “หม่อมฉันผิดเองเพคะ ซื่อจื่อบอกว่าฝ่าบาทน้ำพระทัยงาม ย่อมไม่สร้างความลำบากให้พวกเราอยู่แล้ว ในโอกาสเช่นนี้คงให้คุกเข่าเพียงครู่เดียวเท่านั้น…เฮ้อ ต้องโทษซื่อจื่อ หม่อมฉันมาจากชนบท เพิ่งเคยมาสถานที่โอ่อ่างดงามเช่นนี้เป็นครั้งแรกจึงไม่รู้เรื่องรู้ราว เขาที่เป็นบุรุษคนหนึ่งก็คิดอะไรไม่รอบคอบ”

ทุกคน “…”

วาจานี้กล่าวได้ตรงไปตรงมายิ่ง เท่ากับกระชากพระพักตร์ฝ่าบาทลงมากระทืบซ้ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าเลยทีเดียว!

พอเห็นสีพระพักตร์เขียวคล้ำของฝ่าบาท หนานกงชิงค่อยตระหนักได้ว่าตนเองคงพูดผิดไป

“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้หมายความว่าท่านใจร้ายนะเพคะ ไม่ได้บอกว่าท่านเจตนาสร้างความลำบากให้ด้วย ท่านทอดพระเนตรเห็นพวกเราจึงดีพระทัยมากถึงได้…”

“เอาละ ว่าที่ชายาซื่อจื่อเพิ่งมาเป็นครั้งแรก เรื่องบางอย่างจะไม่รู้ก็พอเข้าใจได้ วันหน้าซื่อจื่อเจ้าต้องอบรมสั่งสอนให้ดี อย่างไรเสียที่นี่ก็คือวังหลวง หาใช่บ้านป่าเมืองเถื่อน เรื่องใดควรพูดเรื่องใดไม่ควรพูด เจ้าเองรู้ดีแก่ใจ”

เจียงอู๋ฮ่วนแสร้งประหวั่นลนลาน “ฝ่าบาทสั่งสอนได้ถูกต้อง กระหม่อมจะสั่งสอนชายาแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทกริ้วเพราะคำพูดของหนานกงชิงไม่เบา แต่ยามนี้อยู่ต่อหน้าทุกคน เขาเจตนาสร้างความลำบากอยู่ก่อน จึงไม่ถือสาหาความต่อไป

แต่ตอนนี้เขาไม่อยากเห็นหน้าหนานกงชิงอีกแล้ว

สมแล้วที่เป็นสตรีโฉดเขลาจากชนบท หยาบคายสิ้นดี!

ผลการตรวจร่างกายของเสี่ยวเป่าออกมาแล้ว สุขภาพอ่อนแอเพราะคลอดก่อนกำหนดเหมือนที่หนานกงชิงว่าไว้

กษัตริย์หนานจ้าวเพียงกำนัลของปลอบใจเล็กน้อยพอเป็นพิธีจากนั้นก็ไม่ตรัสถึงอีก

เสี่ยวเป่ากับเจียงอู๋ฮ่วนลอบยกนิ้วโป้งให้หนานกงชิง

ใช้ได้นี่ คำพูดเมื่อครู่นี้สุดยอดจริง ๆ!

เจียงอู๋ฮ่วนเรียนรู้ท่ายกนิ้วโป้งมาจากเสี่ยวเป่า

หนานกงชิงเลิกคิ้วน้อย ๆ เขาไม่ใช่ผู้กล้าที่ใช้กำลังแต่ไร้สมองเสียหน่อย ที่จริงแล้ว เขาสามารถพูดให้กษัตริย์หนานจ้าวผู้นั้นจุกอกตายยังได้เลย

หลังงานเลี้ยงเริ่มขึ้น นางกำนัลผู้หนึ่งพลั้งมือทำสุราหกใส่อาภรณ์ของหนานกงชิง เขาจึงอ้างว่าขอไปเปลี่ยนชุดแล้วปลีกตัวออกไปจากงานเลี้ยง

เมื่อกลับมาอีกครั้งก็ไม่มีใครทราบว่า ว่าที่ชายาซื่อจื่อผู้นั้นได้เปลี่ยนไปเป็นอีกคนแล้ว

ความสนใจของทุกคนพุ่งไปที่ฝ่าบาทและองค์ชายห้า นอกจากคนที่เจียงอู๋ฮ่วนดึงตัวมาเป็นพันธมิตรได้แล้ว คนที่เหลือล้วนไม่สนใจซื่อจื่อที่ฝ่าบาทไม่โปรดผู้นี้

ขณะนั้นหนานกงชิงไปถึงสถานที่ที่คุมขังคนเอาไว้โดยอ้างอิงตามแผนผังภายในวังอย่างรวดเร็ว

เขาอำพรางใบหน้า พบคนที่อยู่ตามลำพังก็จะดึงตัวมาสอบถาม จนหาคุกใต้ดินที่คุมขังบิดาของเขาเจอในที่สุด

การคุ้มกันที่หละหลวมภายในวังช่วยอำนวยความสะดวกให้เขามาก หนานกงชิงกับองครักษ์เงาช่วยกันจัดการคนเฝ้าประตู จากนั้นเหล่าองครักษ์เงาก็เปลี่ยนไปใส่เครื่องแบบของอีกฝ่าย ส่วนหนานกงชิงตรงเข้าไปในคุกใต้ดิน

——————————————-

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด