เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 81 องค์ชายรองออกเดินทาง

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 81 องค์ชายรองออกเดินทาง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 81 องค์ชายรองออกเดินทาง

บทที่ 81 องค์ชายรองออกเดินทาง

เสี่ยวเป่ากำลังปีนขั้นบันไดขึ้นมา สายตาพลันปะทะเข้ากับพี่รองที่ยืนมองตนอยู่ จึงส่งยิ้มสว่างไสวสดใสระคนอ่อนหวานไปให้เขา

“พี่รอง!”  

คนตัวเล็กรีบปีนเร็วขึ้น  

หนานกงฉีโม่เห็นอย่างนั้นก็เดินลงไปอุ้มนางขึ้นมา พลางใช้มือเช็ดใบหน้ามอมแมมของนาง  

“ไปเล่นซนที่ใดมา ฮึ?”  

นัยน์ตาสีดำสนิทกลมโตราวกับลูกองุ่นของเสี่ยวเป่ากลอกล่อกแล่กไปมา

“มันเลอะมากเลยหรือเพคะ?”  

“ตอบข้ามา”  

เสี่ยวเป่ากางฝ่ามือขาวที่แสนนุ่มนิ่มออกเช็ดหน้าตนเองลวก ๆ ทำให้มันยิ่งสกปรกกว่าเดิม 

 

“เสี่ยวเป่าไปหาหมอหลวงจางมา แล้วก็ช่วยเขาจุดไฟต้มยาด้วย”  

เพราะเป็นยาของพี่รอง นางจึงต้องใส่ใจทุกขั้นตอน

หนานกงฉีโม่บีบจมูกนางเบา ๆ “ยาชนิดใดกัน?”  

ดวงตาเสี่ยวเป่าล่อกแล่กอีกครา ในขณะที่ส่ายหน้าพร้อมส่งเสียงชู่ว ๆ

“เสี่ยวเป่ายังบอกพี่รองไม่ได้ รออีกไม่นานท่านจะรู้เอง”  

เสี่ยวเป่าบอกเขาแค่นั้น แต่จู่ ๆ นางก็ฉุกคิดได้ว่าพี่รองจะออกเดินทางในอีกสองสามวันข้างหน้า นางจึงใช้แขนเล็กคู่นั้นกอดคอเขาให้แน่นขึ้นก่อนจะวางคางบอบบางไว้บนไหล่พี่รองอย่างออดอ้อน  

“พี่รองต้องรีบกลับมานะ จำไว้ด้วยว่าท่านพ่อ พี่ ๆ แล้วก็เสี่ยวเป่าคิดถึงท่าน”  

ภายในดวงตาของหนานกงฉีโม่มีรอยยิ้มอยู่ ในขณะที่มือข้างหนึ่งกำลังลูบหัวน้องสาวเบา ๆ

“ข้ารู้แล้ว”  

วันวานผ่านไปเพียงพริบตา แผนการของอันป๋อโหวหลี่เฉิงก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า

วันที่องค์ชายรองต้องจากลานั้น เป็นวันเดียวกันกับวันที่อี๋กุ้ยเฟยได้รับอิสระจากการกักบริเวณ 

แม้จะพบหน้ากันคราแรกหลังจากที่ห่างกันไปนาน ทว่าใบหน้านางกลับไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของรอยยิ้ม มิหนำซ้ำ นางยังมองพระโอรสของตนเองราวกับกำลังมองศัตรู

  

หนานกงฉีโม่ชินชามาตั้งนานแล้ว ตอนนี้สายตาเช่นนั้นของผู้เป็นแม่แทบไม่มีผลอันใดต่อความรู้สึกของเขา

 

ตั้งแต่เล็กจนโต เพียงเขาขัดคำสั่งนาง นางก็จะลงไม้ลงมือกับเขาทันที และนางจะไม่หยุดจนกว่าเขาจะยอมรับผิดและยอมทำตามที่นางสั่ง

“เสด็จแม่ ลูกจะไปแล้ว”  

ในที่สุด หลี่เซียงอี๋ก็เผยยิ้มเย็นเยียบ “ข้าก็นึกว่าเจ้าลืมสิ้นไปเสียแล้วว่าข้าคือแม่ คิดจะเอ่ยคำพูดเสแสร้งอันใดอีก”

เสี่ยวเป่าที่อยู่ข้าง ๆ เริ่มโมโหจนแก้มพองแทบจะเท่าลูกแตงโมแล้ว

หนานกงฉีโม่เหลือบมองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะคว้ามือเสี่ยวเป่ามาจับไว้แล้วเดินไปหาเสด็จพ่อ 

หลี่เซียงอี๋กัดฟันกรอด ๆ มองเสี่ยวเป่าด้วยสายตาดุร้าย 

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนังเด็กนี่ บุตรชายเชื่อฟังนางมาตลอด ทว่าเขาเริ่มโต้แย้งนางเพราะปกป้องนังเด็กนี่ ถึงขั้นทำร้ายหนานจูเพื่อนางด้วย

“ลูกลาเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”  

หนานกงสือเยวียนพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะเอ่ยบางสิ่งที่คนเป็นพ่อสมควรจะพูดกับลูกอีกสองสามประโยค  

“เจ้าไม่เคยออกนอกเมืองหลวง ระหว่างเดินทางเจ้าต้องคอยเรียนรู้จากแม่ทัพน้อยเซี่ยให้มาก อย่าได้เจ้ายศเจ้าอย่าง และห้ามวู่วามเด็ดขาด พอไปถึงเมืองหน้าด่านแล้วก็ให้ตั้งใจเรียนรู้จากแม่ทัพน้อยเซี่ย”  

“ลูกจะจำคำของเสด็จพ่อให้ขึ้นใจ”  

เมื่อเดินทางออกจากพระราชวัง ทั้งพี่ชายน้องชายและเสี่ยวเป่าต่างมาส่งเขากันพร้อมหน้า  

เสี่ยวเป่าส่งหีบใบใหญ่ที่ตั้งใจเตรียมเอาไว้ให้เขา  

“พี่รอง นี่คือของกำนัลจากเสี่ยวเป่า แล้วก็ต้นเฉ่าเหมยบนรถม้านั้นผลมันเริ่มสุกงอมแล้ว พอผลมันเป็นสีแดงท่านพี่อย่าลืมเก็บมากินนะเพคะ”  

หนานกงฉีโม่รับกล่องมาแล้วก็เคาะลงบนหัวนางเบา ๆ “เจ้าเตรียมสิ่งใดไว้หรือ?” 

เสี่ยวเป่ารีบเปิดฝาหีบ จากนั้นก็แนะนำของข้างในทีละอย่าง ๆ

“อันนี้คือตั๋วเงินที่เสี่ยวเป่าเอาของล้ำค่าไปแลกมาจากท่านพ่อ ขวดเล็ก ๆ พวกนี้ล้วนมียาลูกกลอนอยู่ข้างใน อันนี้คือยาแก้เมารถ เอาไว้ใช้ตอนที่พี่รองรู้สึกมึนหัวตาลายเมื่ออยู่ในรถม้า อันนี้ยารักษาไข้หนาวสั่น ใช้เมื่อมีไข้และตัวร้อน อันนี้คือยาแก้ไอ ส่วนอันนี้คือ…”  

เสี่ยวเป่าแนะนำยาทีละขวดให้พี่รองของนางฟังอย่างละเอียด เพราะนางไปช่วยหมอหลวงจางและคนอื่น ๆ เตรียมยาพวกนี้เองกับมือ จึงไม่แปลกที่นางจะรู้จักยาพวกนี้ทั้งหมด  

อีกทั้งบนขวดยายังมีข้อความกำกับไว้อย่างดี นางอธิบายแค่ครั้งเดียวพี่รองก็คงจำได้แล้ว

เมื่ออธิบายเสร็จเรียบร้อย เสี่ยวเป่าก็รีบถามพี่รองอย่างลุ้นระทึก “พี่รองจำได้หรือไม่?”  

จู่ ๆ ภายในรถม้าก็เงียบกริบ พอเสี่ยวเป่ากวาดตามองรอบ ๆ ถึงได้รู้ว่าพี่ ๆ กำลังจ้องมองนางด้วยสายตาที่มีคำถามเต็มไปหมด

คนตัวเล็กเกาหน้าแก้เก้อ นางเริ่มทำตัวไม่ถูกแล้ว “เป็นอันใดกันไปหมด?”  

“เจ้า…เอายาพวกนี้มาจากที่ใด?”  

พวกเขาเคยได้ยินแต่รักษาแผลที่ใช้ภายนอกเท่านั้น พวกนั้นสามารถทำให้เป็นยาขี้ผึ้งแล้วใส่ไว้ในขวดเพื่อจะได้ใช้งานสะดวก แต่ยาที่เสี่ยวเป่าพูดถึงเมื่อครู่นี้พวกเขาไม่เคยเห็นผ่านตาสักคราเดียว  

เสี่ยวเป่าส่ายหัว “เสี่ยวเป่ากับหมอหลวงจางและคนอื่น ๆ ช่วยกันทำขึ้นมาให้พี่รอง ท่านพ่อบอกว่าที่นั่นอากาศหนาวจัดและยาวนาน ทำให้ป่วยง่าย พี่รองพกยาเช่นนี้ติดตัวไว้จะได้หยิบออกมาใช้ได้สะดวก”

หนานกงฉีโม่อดใจไม่ไหว เอื้อมมือไปบีบแก้มป่อง ๆ ของนาง “ทำดีขนาดนี้ กำลังหวังสิ่งใดจากพี่กัน หืม” 

แม้เขาจะพูดอย่างนั้น ทว่ารอยยิ้มที่ฉายแววออกมาจากดวงตากลับไม่เคยจางหาย 

เจ้าเด็กนี่ทำให้เขาอบอุ่นหัวใจไม่ต่างอันใดกับผ้าห่มผืนหนา

ส่วนคนอื่น ๆ นั้นกำลังสนอกสนใจยาในขวด บ้างก็เทยาที่อยู่ภายในออกมาลอง ยามีรสขมและฝาดเล็กน้อย เม็ดเล็ก ๆ ดูไม่เด่น แต่อัดแน่นไปด้วยตัวยาเข้มข้น

เสี่ยวเป่า“กินครั้งละหนึ่งหรือสองเม็ดก็พอแล้ว เวลาป่วยควรกินวันละสามครั้งจะดีที่สุด พี่รองไปที่นั่นคนเดียวต้องเอาใจใส่ร่างกายให้มากหน่อย”  

หนานกงฉีโม่คว้าตัวคนตัวเล็กมากอดไว้ในอ้อมแขน พอได้กอดเจ้าก้อนแป้งตัวนุ่มนิ่มและหอมกรุ่นพลันรู้สึกผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย

เขาใช้คางเคลียบนผมนุ่มนิ่มของเด็กเล็กอย่างแผ่วเบา

“เข้าใจแล้ว เจ้าเองก็รักษาเนื้อรักษาตัวและเป็นเด็กดีด้วยนะ”  

ณ ประตูเมืองหลวง เซี่ยสุ่ยอันกับทหารจำนวนหนึ่งกำลังเขารออยู่  

หนานกงฉีโม่ออกมาจากรถม้าพร้อมกับเจ้าก้อนแป้งในอ้อมแขน ส่วนพี่น้องคนอื่น ๆ ก็หันมองเขาเป็นตาเดียว

ในบรรดาน้องชาย มีเพียงองค์ชายห้าหนานกงฉีหลิงที่กำลังโศกเศร้าที่ต้องจากลา เพราะส่วนใหญ่นั้นจะเป็นไปทางอิจฉาเสียมากกว่า

“พี่รองรอข้าอีกสองปี ข้าจะทูลขออนุญาตเสด็จพ่อตามไปอยู่เป็นเพื่อนท่าน”  

ลูกผู้ชายตัวจริงจะต้องไม่เกรงกลัวสนามรบ ใจจริงเขาอยากไปเมืองหน้าด่านพร้อมกับพี่รองเสียด้วยซ้ำ ทว่าความคิดนั้นของเขากลับถูกเสด็จแม่ปัดตกไปเสียก่อน

องค์ชายสี่หนานกงฉีอิง“ข้าอยากไปด้วย ข้าไม่อยากท่องตำราแล้ว”  

หนานกงฉีหลิงส่งสายตาราวคนหัวอกเดียวกันมาให้เขา

สองคนนี้เป็นเด็กหัวขี้เลื่อย คนหนึ่งเกิดมาพร้อมกับพละกำลัง ความรู้ในตำราหามีไม่ อีกคนชอบถือดาบถือธนู และถือคติว่าลูกผู้ชายตัวจริงต้องมุ่งหน้าสู่สนามรบ แม้จะชอบอ่านตำรา แต่ตำราที่อ่านจะต้องเป็นตำราพิชัยสงครามเท่านั้น

พอรู้ว่าพี่รองจะต้องไปเมืองหน้าด่าน รู้หรือไม่ว่าพวกเขาอิจฉาเพียงใด

หนานกงฉีโม่ยักคิ้วให้พวกเขา “รอให้พวกเจ้ากล้าทูลขอเสด็จพ่อก่อนเถอะ” 

 

เขาหันมาสบตาและกล่าวลาหนานกงฉีซิวเป็นคนสุดท้าย

“พี่ใหญ่ รักษาสุขภาพด้วย”  

หนานกงฉีซิวพยักหน้าให้อีกฝ่าย ก่อนจะหันไปหาเซี่ยสุ่ยอัน “หากต้องการความช่วยเหลือก็ให้บอกสุ่ยอัน”  

หนานกงฉีโม่ “ในสายตาท่าน ข้าดูไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวขนาดนั้นเลยหรือ?”  

“ไม่ใช่อย่างนั้น”  

หนานกงฉีโม่หลุดหัวเราะแผ่วเบา จากนั้นเขาก็พยายามส่งเจ้าก้อนแป้งที่มีดวงตาแดงก่ำในอ้อมแขนให้อีกฝ่าย

ทว่ากลับไม่ง่ายดายอย่างที่คิด คนตัวเล็กซบหัวลงบนบ่าพลางใช้แขนเล็กโอบรอบคอเขาไว้ไม่ปล่อย  

“ฮือ!!! พี่รองต้องกลับมาเร็ว ๆ นะ เสี่ยวเป่าเริ่มคิดถึงท่านแล้ว ทั้งที่ท่านยังไม่ทันได้ออกเดินทางเสียด้วยซ้ำ”  

หนานกงฉีโม่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ได้แต่ตบไหล่ปลอบให้นางปล่อยมือ

ในที่สุด คนตัวเล็กก็ยอมลงไปนั่งอยู่ในอ้อมกอดพี่ใหญ่ สภาพของนางในตอนนี้ดูน่าสงสารจับใจ ทั้งปากบาง ๆ ที่กำลังเบะออกและดวงตาแดงก่ำที่มาพร้อมกับหยดน้ำใสดั่งผลึกแก้วในดวงตาร่วงเผาะลงมาเป็นเม็ด ๆ ราวกับไข่มุก

หนานกงฉีโม่เอื้อมมือไปบีบแก้มนุ่มนิ่มของนางเป็นการสั่งลา  

“ข้าจะรีบกลับมาก็แล้วกัน”

สุดท้ายเขาก็หันไปสบตาพี่ใหญ่ “ขอบคุณ” 

เป็นคำขอบคุณที่ถูกเปล่งออกมาจากความรู้สึกที่แสนเปี่ยมล้นของผู้เป็นเจ้าของ

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *