เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 47 ดุดันเสียไม่มี

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 47 ดุดันเสียไม่มี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 47 ดุดันเสียไม่มี

บทที่ 47 ดุดันเสียไม่มี

“ฮ่า ๆ พวกเจ้าไม่เห็นร่างจ้ำม่ำขององค์หญิงน้อยหรือ กินให้น้อยกว่านี้สักนิดก็คงไม่เจ้าเนื้อเช่นนี้ พวกเจ้าตรองดูเถิด ราชวงศ์ต้าเซี่ยของเราเคยมีสตรีสูงศักดิ์อ้วนท้วมปานนี้เสียเมื่อไหร่”

เสี่ยวเป่าก้มมองชั้นเนื้อบนตัว ทั้งยังหยิก ๆ บีบ ๆ พบว่าขาวนวลนุ่มนิ่มซ้ำยังเด้งดึ๋ง ดวงหน้าน้อย ๆ พลันป่องขึ้นด้วยความโกรธ

ข้ากินข้าวของท่านพ่อข้า อ้วนขึ้นด้วยความสามารถของตน พวกเจ้ามีสิทธิ์อันใดมาดูถูกดูแคลนข้า!

ชุนสี่โมโหจนหน้าเปลี่ยนสี รีบก้มมองหน้าองค์หญิงน้อย กลัวแต่พระองค์จะทรงเศร้าพระทัย

ทว่า…

เสี่ยวเป่ากำลังตรวจสอบไขมันบนตัว ปากบ่นพึมพำ หากตั้งใจฟังดู ยังได้ยินอีกด้วยว่านางเอื้อนเอ่ยคำใด

ชุนสี่ “…”

“เหลวไหล นางเพียงแต่โชคดี ได้มีศักดิ์เป็นองค์หญิงเท่านั้น ทั้งที่เป็นแค่สาวชาวไร่ที่ถูกเก็บมาจากข้างนอก นกกระจอกได้โผบินขึ้นยอดไม้ คิดจริง ๆ หรือว่าตนจะเป็นเฟิ่งหวงได้”

ชุนสี่ทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป ก้าวออกจากภูเขาจำลองด้วยใบหน้าเย็นชา

“บังอาจนัก! พวกเจ้าริอ่านติฉินนินทาองค์หญิงรึ!”

ทั้งสามคนซึ่งกำลังว่าร้ายเสี่ยวเป่าอยู่ในศาลาพลันตกตะลึงหน้าเสียเพราะเสียงนี้ ทว่าเมื่อเด็กสาวผู้เป็นแกนนำที่แทบประเคนเพชรนิลจินดาทั้งหมดไว้บนศีรษะเห็นว่าเป็นเพียงนางกำนัลผู้หนึ่ง นางก็ตีหน้าสุขุมได้อย่างรวดเร็ว

ซ้ำร้ายยังชิงตำหนิก่อนด้วย

“กล้าดีอย่างไร เป็นเพียงนางกำนัลชั้นต่ำ กลับมาแอบฟังพวกเราสนทนา”

หลังนางเอ่ยประโยคนี้จบ เสี่ยวเป่าก็ก้าวตามออกมา ดวงตากลมโตใสกระจ่างจ้องมองคนทั้งสาม

ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงเด็กสาวอายุราว ๆ สิบสี่สิบห้า เมื่อเห็นว่าผู้ที่ตนเย้ยหยันมาปรากฏตัว ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปกันหมด

สายตาของเด็กสาวผู้เป็นแกนนำพลันเย้ยหยันอีกครั้ง ความทระนงที่ฝังลึกในกระดูกดำเป็นผลให้นางกล่าวขอโทษไม่เป็น นางปรายตามองเสี่ยวเป่าอย่างดูแคลน

“เป็นถึงองค์หญิง กลับนำข้าราชบริพารมาแอบฟังผู้อื่น สมแล้วที่มิได้โตมาในราชวงศ์ ไร้มารยาทอย่างที่คิด”

เสี่ยวเป่าทำแก้มป่อง ตอบโต้กลับด้วยความดุดันเสียไม่มี “พวกเจ้านินทาข้า พวกเจ้าต่างหากที่ไร้มารยาท”

“ข้ากินข้าวของท่านพ่อข้าจนอ้วน เกี่ยวอันใดกับพวกเจ้า!”

“ข้าสามขวบ เป็นเด็กเป็นเล็ก ต้องจ้ำม่ำจึงจะแข็งแรง ผอมเกินไปจะขี้โรคเอา!”

“เสี่ยวเป่าน่ารัก!”

พูดจบ เจ้าตัวยังชำเลืองมองเรือนร่างผ่ายผอมของพวกนางด้วยสายตาดูถูก

นางยืดอกน้อย ๆ ของตน นางอ้วนแล้วจะภูมิใจมิได้หรือ

แน่นอนว่าต้องภูมิใจ!

แม้น้ำเสียงขององค์หญิงน้อยจะหวานนุ่ม ทว่าท่าทีของนางกลับดุดันเสียไม่มี

ชุนสี่ “…”

ทั้งที่บรรยากาศจริงจังตึงเครียด เหตุใดหลังองค์หญิงน้อยตรัสจบนางถึงนึกอยากหัวเราะออกมาเล่า

โดยเฉพาะหลังเห็นสามคนตรงหน้าถูกว่าจนหน้าเขียว ชุนสี่พลันรู้สึกโล่งสบายทั้งกายและใจ

“เจ้า…”

ใบหน้าเล็ก ๆ ของเสี่ยวเป่าบึ้งตึง บอกนางด้วยหน้าตาเคร่งขรึม “เจ้าชี้หน้าผู้อื่นเช่นนี้ ไร้มารยาท!”

หลี่หนานจูร้อง “อ๊า อ๊า!!!”

เมื่อถูกเด็กสามขวบตอกกลับจนเถียงไม่ออก ปิ่นมุกหรูหรามากมายบนศีรษะส่ายไปมาอย่างรุนแรงตามการเคลื่อนไหวของนาง

จากนั้นนางก็ต้องประสบเคราะห์ร้าย ดวงหน้าถูกเครื่องประดับบนศีรษะกระแทกเข้าอย่างจัง

“โอ๊ย! เจ็บ…”

“ท่านหญิง ท่านเป็นอันใดหรือไม่”

เด็กสาวอีกสองนางเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วก็พลันกลัวจนหน้าซีดเซียว สายตาเต็มไปด้วยความสำนึกเสียใจ

พวกนางไม่น่าว่าร้ายดูแคลนองค์หญิงน้อยเพื่อประจบท่านหญิงเลย ทว่าบัดนี้เจ้าตัวได้ยินวาจาทั้งหมด สำนึกเสียใจตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว

หลี่หนานจูชี้เสี่ยวเป่าด้วยความเดือดดาล “เพราะเจ้าคนเดียว หน้าของข้า!”

เสี่ยวเป่าร้องจ้า “เจ้านิสัยไม่ดี ทั้งที่ทำตัวเองแต่กลับปรักปรำเด็กสามขวบ!”

นางรู้แล้ว นี่ก็คือสร้างสถานการณ์เพื่อขู่กรรโชกในตำนาน

“หืม คึกคักจริงเชียว”

เสียงยานคางดังเข้ามา เสี่ยวเป่าสะลึมสะลือคิดไปว่าเสียงนี้คุ้นหูเป็นอย่างยิ่ง

เจ้าก้อนนุ่มนิ่มผู้แอบดื่มสุรารสหวานกำลังร้อนรุ่มขึ้นศีรษะ ก้อนไขมันขาวนวลแต่งแต้มไปด้วยสีชมพูของดอกท้อ ตาปรือนิดหน่อย ทว่าสุกสกาววาววับ

แต่เดิมนั้นนางมีรูปโฉมงามเพริศพริ้งอยู่แล้ว บัดนี้ยิ่งดูเหมือนภูตบุปผาไร้เดียงสาผู้เพิ่งบรรลุวิถีได้ไม่นาน

แม้จะเมาอยู่นิดหน่อย แต่ยังเอ่ยวาจาได้ฉะฉาน

หลังหลี่หนานจูเห็นผู้มาเยือน ดวงตาพลันเป็นประกาย

“เสด็จพี่!”

ผู้มาใหม่คือองค์ชายรอง และที่หลี่หนานจูกล้าทำตัวโอหังเช่นนี้ในสถานที่อย่างพระราชวัง ซ้ำยังกล้าติฉินนินทาองค์หญิง ย่อมมีความมั่นใจของนางอยู่

ท่านย่าของนางคือพระขนิษฐาแท้ ๆ ของอดีตฮ่องเต้ แม้มิได้เรืองอำนาจดั่งกาลก่อน ทว่านางก็มีศักดิ์เป็นเสด็จอาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน

และท่านอาของนางคือ หนึ่งในสองพระสนมตำแหน่งกุ้ยเฟย ญาติผู้พี่องค์ชายรองเป็นผู้มีเสียงสนับสนุนจากขุนนางในราชสำนักสูงสุด ถึงอย่างไร องค์ชายใหญ่ก็ไม่มีทางชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทได้

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของนาง องค์หญิงที่ตามเจอจากสถานที่เล็ก ๆ ห่างไกลนั้น ไฉนเลยจะมีอำนาจเหนือนางได้

หลี่หนานจูเชิดคาง เยื้องย่างเข้าไปด้วยใบหน้าหยิ่งยโส

“น้องสาว เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่”

ผู้ที่มาพร้อมกับองค์ชายรองหนานกงฉีโม่ ยังมีพวกหนานกงฉีเฉินสามคนซึ่งออกมาตามหาน้องสาว

ทั้งสามเข้ามารุมล้อมเสี่ยวเป่าทันที

เสี่ยวเป่าจ้องมองพี่ชายทั้งสาม กะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มหวานจนตาหยี

“พี่ชาย!”

หนานกงฉีรุ่ยเป็นคนละเอียดรอบคอบ ระแคะระคายในความผิดปกติของเสี่ยวเป่าได้เป็นคนแรก เขาเอื้อมมือลูบหน้าผากและใบหน้าน้อย ๆ ของนาง

“เหตุใดถึงร้อนเช่นนี้”

เมื่อได้ยินพี่ชายเอ่ยว่าร้อน เสี่ยวเป่าจึงรีบยกมือป้อม ๆ ทั้งสองข้างขึ้นพัด

“ร้อนนิด ๆ จริงด้วย”

“เมื่อครู่ที่นี่เกิดอะไรขึ้น”

พวกหนานกงฉีเฉินตามมาถึงที่นี่ได้เพราะได้ยินเสียงของหลี่หนานจู ดูจากบรรยากาศ ไม่เหมือนว่าไม่ได้เกิดเรื่องใดขึ้น

เด็กหนุ่มทอดมองสตรีทั้งสามที่นี่ด้วยสายตาคมกริบ ทั้งที่เพิ่งอายุสิบสามแท้ ๆ แต่กลับมีความองอาจอย่างที่องค์ชายพึงมี

อย่างไรก็เป็นพระโอรสของหนานกงสือเยวียน ไม่ว่าปกติเขาวางตัวไร้พิษภัยเท่าใด สุดท้ายก็เป็นลูกหมาป่า

“พวก…พวกเรา…”

สองคนที่เหลือนอกจากหลี่หนานจูใบหน้าซีดเซียว อึกอักไม่ยอมเอ่ยวาจา

“เสด็จพี่ พวกเราเพียงแค่สนทนากันอยู่ที่นี่เท่านั้น องค์หญิงต่างหาก ทรงพาข้าราชบริพารมาแอบฟัง เสียมารยาทจริงเชียว”

หลี่หนานจูชิงฟ้องอีกครั้ง ไม่เห็นองค์หญิงอยู่ในสายตาสักนิด

เสี่ยวเป่าใบหน้าร้อนผ่าว ได้ยินไม่ชัดเท่าไหร่ ทว่าหลังได้ยินประโยคสุดท้ายของนาง ก็โต้กลับตามสัญชาตญาณ

“เจ้าต่างหากที่ไร้มารยาท!”

ชุนสี่รีบเล่าเหตุการณ์เมื่อครู่ รวมถึงบทสนทนาของพวกนางทั้งสามโดยไม่ขาดตกแม้แต่คำเดียว

นางกำนัลที่ถูกส่งมารับใช้ข้างกายองค์หญิงน้อย ขืนไม่มีความสามารถติดตัวบ้าง ไฉนเลยจะประจำตำแหน่งนี้ได้

ระหว่างที่ชุนสี่กำลังอธิบายต้นสายปลายเหตุ สีหน้าของพวกหนานกงฉีเฉินก็ย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ

ท่ามกลางเงาจากต้นไม้ องค์ชายรองหนานกงฉีโม่สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ แต่กลับมึนมนเย็นยะเยือกเสียจนหลี่หนานจูอดขยับตัวออกห่างไม่ได้

หลังชุนสี่เอ่ยจบ หนานกงฉีเฉินเอามือไพล่หลัง และทอดมองด้วยสายตาเย็นเยียบ

“บังอาจนัก!”

พริบตาเดียว เด็กสาวอีกสองคนนอกจากหลี่หนานจูต่างเข่าอ่อนคุกเข่าลง พวกนางตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

“ขอประทานอภัยเพคะองค์ชายหก พวกเรามิได้ตั้งใจ พวกเราสำนึกผิดแล้วเพคะ”

หลี่หนานจูลอบด่าทั้งสองว่าโง่ในใจ เหตุใดถึงยอมรับง่าย ๆ นางรีบผลักความผิดทั้งหมดไปที่ทั้งสองคน และแสดงชัดเจนว่าตนไม่เกี่ยวข้อง

“วาจาเหล่านั้นล้วนออกจากปากพวกนาง ไม่เกี่ยวกับหม่อมฉัน!”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *