เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 269 ตุ๊กตาดินเผา

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 269 ตุ๊กตาดินเผา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 269 ตุ๊กตาดินเผา

บทที่ 269 ตุ๊กตาดินเผา

เสี่ยวเป่านั่งรถม้ามุ่งหน้าออกจากวัง วันนี้นางแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ทำจากขนสัตว์ อุ้มจิ้งจอกน้อยสีแดงเพลิงไว้ในอ้อมแขน มีตัวต่อจำนวนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ตามเครื่องประดับบนหัว ส่วนเสี่ยวไป๋ที่มากับนางก็โตขึ้นมาก ตัวสูงโปร่งดูสง่างาม ยามก้าวเดินก็มีเสียงดังกุบ ๆ

ใช่แล้ว เสี่ยวไป๋ลดน้ำหนักได้สำเร็จ!

หนานกงสือเยวียนอนุญาตให้เสี่ยวเป่าทำตัวขี้เกียจและนอนดึกทุกวันได้ แต่ไม่อนุญาตให้ข้างกายบุตรสาวมีกวางตัวอวบอ้วนไม่น่ามอง

ภายใต้สายตากดดันและดาบคมในมือองครักษ์เงาของหนานกงสือเยวียนผู้มีหน้าที่คอยกำกับดูแล เสี่ยวไป๋จึงต้องตื่นเช้าเพื่อออกไปวิ่งที่อุทยานหลวงทุกวัน วันละสิบรอบ!

เมื่อก่อนยังดีที่แม้จะต้องวิ่งก็ยังวิ่งช้า ๆ ได้

ทว่า… ตั้งแต่มีพยัคฆ์ร้ายตัวใหญ่สองตัวเข้ามาอยู่ในการปกครองของเจ้านาย ชีวิตของเสี่ยวไป๋ก็ยิ่งน่าหดหู่ ทุกครั้งที่ออกไปวิ่งในตอนเช้า มันไม่เพียงแต่ต้องวิ่งเท่านั้น ทว่ายังต้องวิ่งให้เร็วด้วย ไม่เช่นนั้นมันอาจจะโดนเสือร้ายสองตัวจับกิน เพราะไม่ว่าจะถูกเสือตัวใดจับได้ วิญญาณของเสี่ยวไป๋ก็สามารถหลุดออกจากตัวได้เหมือนกัน!

เสี่ยวไป๋ต้องลำบากตรากตรำอยู่นาน ทว่าในที่สุดก็ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่ง

ยิ่งมันได้กินแต่อาหารดี ๆ เมื่อออกกายกำลังอย่างหนัก ไขมันทั่วร่างกายก็แปรเปลี่ยนเป็นกล้ามเนื้อ ตอนนี้มันดูเหมือนลูกม้าตัวผอมเพรียวร่างสูงใหญ่ มีกล้ามเนื้อลายเส้นสวยงาม สลัดคราบกลายเป็นกวางที่สง่างามสมบูรณ์แบบ

ยามมันโตเต็มวัย เสี่ยวเป่าก็จะขี่หลังมันได้สบาย ๆ

ช่วงนี้ไม่ว่าจะไปที่ใด เสี่ยวไป๋ก็เป็นจุดสนใจของฝูงชนเสมอ เจ้าตัวเล็กเองก็เดินเชิดหน้าอย่างภาคภูมิ

แน่นอนว่ามันจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีเสือตัวใหญ่สองตัวที่สุดแสนจะน่ารำคาญคอยตามหลัง

ยามนี้เสือทั้งสองได้กลายเป็นสัตว์พาหนะและผู้คุ้มกันของเสี่ยวเป่าไปแล้ว พวกมันติดตามเสี่ยวเป่าไปทุกที่ที่ได้รับการอนุญาตเป็นกรณีพิเศษจากฮ่องเต้ จึงไม่มีผู้ใดกล้ามีปากมีเสียง

และตอนนี้พวกมันก็กำลังเยื้องย่างตามเสี่ยวเป่าไปที่กรมโยธา คราแรกที่พวกมันมา ทุกคนในกรมโยธาหวาดกลัวจนตัวสั่น ยังดีบัดนี้เริ่มคุ้นชินจนสามารถทักทายเสี่ยวเป่าในระยะห่างที่พอประมาณได้อย่างเป็นธรรมชาติ

“องค์หญิงเจาเสวี่ยเสด็จมาอีกแล้ว”

“ตามหาองค์ชายสามอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายสามกำลังคุยธุระสำคัญกับท่านเจ้ากรมพ่ะย่ะค่ะ”

“วันนี้องค์หญิงเจาเสวี่ยจะเสด็จไปที่เตาหลวงอีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

เสี่ยวเป่าฉีกยิ้มเริงร่าจนตาปิดให้กับทุกคน พร้อมส่งเสียงสดใสทักทายอย่างนุ่มนวล

เสือสองตัวคอยตามติดนางอย่างเชื่อฟัง ไม่วิ่งวุ่นไปทั่ว ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงไม่ได้หวาดกลัวมากนัก

ทุกครั้งที่องค์หญิงเจาเสวี่ยเสด็จมา เสือสองตัวนี้จะมากับนางด้วย แต่พวกมันก็เชื่อฟังเป็นอย่างดี ไม่เคยวิ่งพล่านไปทั่วให้ผู้คนแตกตื่นและหวาดกลัว

แต่เสี่ยวเป่ายังกังวลว่าจะทำให้ผู้คนหวาดกลัว นางจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่เตาหลวง โดยปล่อยให้เสือสองตัวนอนรอในที่ที่ผู้คนไม่พลุกพล่าน มีเพียงตัวนาง พี่ชาย และช่างฝีมืออาวุโสผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องเคลือบลายครามเท่านั้น

พี่สามเป็นคนปั้นตุ๊กตาดินเผา เขามีประสบการณ์ด้านงานไม้และการแกะสลักหุ่นไม้เป็นทุนเดิม เพียงต้องเรียนรู้การทำเครื่องลายครามและการแกะสลักใบหน้ามนุษย์บนดินเหนียวให้เชี่ยวชาญขึ้นอีกหน่อย

เสี่ยวเป่าเองก็ใช้ความสามารถที่มีติดตัวมาจากชาติที่แล้วคิดค้นสีให้มีหลากหลายยิ่งขึ้น เพื่อใช้ทาลงบนเครื่องลายคราม อีกทั้งนางยังสามารถผสมสีต่าง ๆ ขึ้นมาด้วยตัวเอง

หนานกงฉีอวิ๋นเป็นคนรักความสมบูรณ์แบบ หากสิ่งที่ทำมีข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อย เขาก็จะเริ่มทำใหม่ทันที ดังนั้นจึงใช้เวลากว่าครึ่งเดือนในการทำตุ๊กตาดินเผาและรูปปั้นหนูน้อย

ภาพวาดตุ๊กตาหัวโต*[1]ทั้งหมดถูกวาดตามคำอธิบายของเสี่ยวเป่า ภาพหนูน้อยก็เช่นกัน จากนั้นหนานกงฉีอวิ๋นก็ลงมือปั้นและแกะสลักพวกมันบนเนื้อดินเหนียวสีขาว

ต้องบอกว่าหนานกงฉีอวิ๋นมีความสามารถด้านงานฝีมือจริง ๆ แม้จะใช้เวลานานหน่อย ทว่าเมื่อชิ้นงานออกมา ไม่เพียงแต่เสี่ยวเป่าเท่านั้น กระทั่งผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องเคลือบลายครามก็ยังตื่นตะลึงกับผลงานของเขา

ยามที่เสี่ยวเป่าถือมันออกไป สายตาอาลัยอาวรณ์ของช่างฝีมือเหล่านั้นก็ยิ่งฉายชัด

ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยทำตุ๊กตาดินเผา แต่ตุ๊กตาดินเผาที่พวกเขาเคยทำไม่ใช่ตุ๊กตาดินเผาที่มีสีสันสวยงามและหน้าตาน่ารักขนาดนี้!

ไม่ว่าจะวัสดุที่ใช้ สี หรือรูปทรงที่แตกต่างไปจากที่ผ่านมา บรรดาช่างฝีมืออาวุโสถึงกับหยิบเครื่องมือกระจุกกระจิกแปลกใหม่พวกนั้นขึ้นมาพิศมองอย่างพินิจพิเคราะห์

หุ่นไม้แกะสลักที่หนานกงฉีอวิ๋นทำก็ดูดีเช่นกัน แต่หุ่นนั้นดูประหลาดไปหน่อย ยิ่งทุกวันนี้เหล่าผู้มีวิชาอาคมมักจะใช้หุ่นกระบอก หุ่นฟาง หรือหุ่นที่ทำจากผ้าจำพวกนั้นมากกว่าตุ๊กตาดินเผาพวกนี้

เพราะมันดูไม่ประหลาดเลย สีสันสดใสน่ารักราวกับภูตตัวน้อย ๆ ดูไม่เหมือนตุ๊กตามนตร์ดำพวกนั้นเลยสักนิด ขนาดก็ไม่เล็กไม่ใหญ่ ยิ่งถือไว้ในมือก็ยิ่งดูดีมากขึ้นไปอีก

ไม่ว่าจะต้องทำตุ๊กตาที่หน้าตาเหมือนน้องสาวอีกสักกี่ตัว เขาก็ไม่เคยเบื่อเลย!

มิหนำซ้ำเขายังสามารถสร้างสรรค์สัตว์น้อยแสนน่ารักตัวอวบอ้วนได้อีกด้วย

หนานกงฉีอวิ๋นกับน้องสาวพากันมาที่เตาหลวงและช่วยกันนวดดินทันที รวมถึงเหล่าช่างฝีมือและช่างฝึกหัดอีกหลายคนด้วย

หลังจากได้เห็นตุ๊กตาดินเผาและรูปปั้นหนูน้อย พวกเขาพลันเกิดแรงบันดาลใจอย่างเปี่ยมล้น

“องค์หญิงเจาเสวี่ย ตุ๊กตาดินเผาทั้งสองตัวอยู่ที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ขอพวกเราชื่นชมอีกครั้งได้หรือไม่”

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายตาคาดหวัง เสี่ยวเป่าก็พลันยกมือแตะจมูก “เอ่อคือ… มันอยู่กับพี่รอง”

นางเองก็เอามันกลับมาไม่ได้เช่นกัน QAQ

ทุกคนผิดหวังทันที ยกเว้นหนานกงฉีอวิ๋น หลังจากส่วมผ้าคลุมกันเปื้อนแล้ว เขาก็หยิบดินเหนียวเนื้อขาวที่นวดจนได้ที่แล้วขึ้นมา เพื่อเริ่มปั้นตุ๊กตาตัวใหม่

ด้านหน้าชายหนุ่มมีภาพวาดที่เขาวาดขึ้นมาเมื่อคืนนี้

มันเป็นภาพเสี่ยวเป่ากำลังยืนกอดลูกพลับที่มีความสูงพอ ๆ กัน และนางกำลังแทะมันด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย

หลังจากได้วาดภาพตุ๊กตาหัวโตและภาพหนูน้อยตัวอ้วนแทะเฉ่าเหมยผลใหญ่ตามที่เสี่ยวเป่าบอกแล้ว ความคิดของเขาก็ยิ่งเปิดกว้าง ภาพตุ๊กตาเสี่ยวเป่าหัวโตน่ารักมากมายจึงเรียงรายเต็มกระดาษ

เสี่ยวเป่ามองภาพเหล่านั้น ก่อนจะตะโกนออกมาอย่างหลงตัวเองว่าน่ารักมาก

“องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ มิทราบว่าองค์ชายสามพอจะประทานความช่วยเหลือสักเรื่องได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ช่างฝีมืออาวุโสยกยิ้มประจบประแจงพลางมองเขาอย่างคาดหวัง

ผมบนหัวของหนานกงฉีอวิ๋นถึงกับลุกซู่ พลันรีบเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ว่ามา”

ใบหน้าไร้อารมณ์เอื้อนเอ่ยถ้อยคำเย็นชา หากไม่ใช่เพราะผมบนหัวพี่ชายลุกซู่ขนาดนั้นละก็ เสี่ยวเป่าคงจะเชื่อไปแล้ว

ผู้ร้ายแฝงตัวเข้ากับฝูงชนได้สำเร็จ เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ที่ไม่รู้ก็คงคิดว่าองค์ชายสามเป็นคนเย็นชาและเงียบขรึมแน่ ๆ

“องค์ชายสามช่วยวาดภาพสิบสองปีนักษัตรให้ดูน่ารักเช่นนี้ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

อันที่จริงพวกเขาก็วาดภาพได้เช่นกัน ทว่าลายเส้นของพวกเขามันได้ฝังรากลึกระดับจิตวิญญาณแล้วจึงยากที่จะเปลี่ยนแปลง

แต่ก็มีบางคนพยายามวาดภาพปีนักษัตรอื่น ๆ ตามภาพหนูน้อยที่องค์ชายสามวาดไว้ ทว่าภาพที่ออกมานั้นความรู้สึกบอกว่ามันยังไม่เข้าท่า

จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากมาขอความช่วยเหลือจากองค์ชายสาม

“อืม”

จากนั้นเขาก็วาดภาพวัวในรูปแบบของตุ๊กตาหัวโตแล้วส่งให้เสี่ยวเป่าดู

วัวเป็นสัญลักษณ์แห่งความเข้มแข็งและแข็งแรง แต่ดูเจ้าลูกวัวตัวจ้ำม่ำ ซ้ำยังตาโตกว่าปกติที่กำลังยิ้มแป้นในกระดาษนี่สิ

เสี่ยวเป่ายกนิ้วโป้งให้พี่ชาย

“พี่สามเก่งมาก!”

เจ้าตัวน้อยปรบมือรัว ๆ เหมือนแมวน้ำ!

ใบหูของหนานกงฉีอวิ๋นเริ่มแดง ดวงหน้ารูปงามที่ขาวซีดก็แดงระเรื่อเล็กน้อยเช่นกัน

จากนั้นเขาก็มอบภาพวาดให้ช่างฝีมืออาวุโสผู้นั้นไป

ช่างฝีมืออาวุโสยิ้มแย้มแจ่มใส “ขอบพระทัยองค์ชายสามและองค์หญิงเจาเสวี่ยพ่ะย่ะค่ะ”

เขารีบนำภาพนั้นไปศึกษาต่ออย่างละเอียด เขาจะต้องปั้นวัวที่น่ารักน่าเอ็นดูออกมาให้จงได้!

[1] ภาพวาดตุ๊กตาหัวโต คือ ตัวการ์ตูนจิบิ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด