เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 221 เจิ้นหนานอ๋อง หนานกงจ้าน

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 221 เจิ้นหนานอ๋อง หนานกงจ้าน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 221 เจิ้นหนานอ๋อง หนานกงจ้าน

บทที่ 221 เจิ้นหนานอ๋อง หนานกงจ้าน

ออกมาขอโทษยามนี้ มัวทำสิ่งใดอยู่กัน

หนานกงหลีกลอกตา ก่อนใช้พัดในมือชี้ตรงไปทางพวกเขา

“ก่อนหน้านี้ ข้าเคยได้ยินมาว่าชาวหมานล้วนเป็นสัตว์ร้ายไร้อารยะ ปล้นสังหารคนไปทั่วทุกหนแห่ง ไม่มีกฎเกณฑ์ไม่มีการศึกษา เดิมทีข้ายังไม่เชื่อเรื่องนี้ คิดว่าบนโลกจะมีชนเผ่าที่ป่าเถื่อนถึงเพียงนี้เชียวหรือ ต่อให้เป็นเดรัจฉานก็ไม่ทำเรื่องเหล่านี้ ทว่าวันนี้ข้ากลับไม่คิดว่าจะได้มาเห็นด้วยตาตนเอง ถือว่าให้ข้าบอกองค์ชายเถิด หากไม่มีเชือกผูกสัตว์ดุร้ายเอาไว้ ก็จงขังไว้อย่าปล่อยออกมาเพ่นพ่านให้อับอายสายตาผู้อื่นเลย”

หนานกงหลีเอ่ยออกมาอย่างไร้ความกริ่งเกรง เขาได้เอ่ยแทนความในใจของคนจำนวนไม่น้อย ทำให้ชาวบ้านรอบด้านอดที่จะปรบมือให้เขาไม่ได้

“เจ้า…”

เห็นได้ชัดว่าองค์ชายผู้นั้นไม่ได้คาดคิดแม้แต่น้อยว่า เมื่อตนเองออกหน้าขอโทษแล้ว คนจากราชวงศ์ต้าเซี่ยจะยังไม่ยอมและสบประมาทพวกเขาเช่นนี้

“ต้าเซี่ยช่างใจคอกว้างขวางเสียจริง ข้ากล่าวขอโทษด้วยตนเองแล้วก็ยังแข็งกร้าวเช่นนี้!”

หนานกงหลีส่งเสียงจุ๊ ๆ ออกมา “ที่แท้ก็ยังพูดภาษามนุษย์ได้ องค์ชายก็ช่างเจรจา เมื่อครู่คนของท่านเกือบจะใช้ดาบสังหารพวกข้า เพียงข้าเอ่ยไปเรื่อยกลับต้องดุดันถึงเพียงนี้เชียวหรือ หากคำขอโทษมีประโยชน์จริง เช่นนั้นก็ยื่นมือออกมาให้ข้าฟันสักสองครั้ง จากนั้นข้าค่อยขอโทษได้หรือไม่”

“เจ้ากล่าวเกินไปแล้ว! องค์ชายของพวกข้าใช่ผู้ที่เจ้าดูหมิ่นได้อย่างนั้นหรือ!”

ดวงตาดอกท้อของหนานกงหลีเฉียบคมขึ้น “เพียงแค่กลุ่มคนขี้แพ้ อย่าลืมเสียว่าพวกเจ้ามาที่ต้าเซี่ยเพื่อสิ่งใด ไม่ต้องเอ่ยถึงองค์ชายตัวน้อยผู้หนึ่งเลย เกือบทำร้ายข้ากับพระธิดาเพียงหนึ่งเดียวขององค์จักรพรรดิเช่นนี้ ต่อให้เป็นข่านของพวกเจ้ามาเองก็อย่าได้คิดว่าจะรอดพ้นไปโดยง่าย!”

คนที่ไม่อินังขังขอบมาโดยตลอดกลับกลายเป็นจริงจังขึ้นมาอย่างกะทันหัน เสี่ยวเป่าแทบจำไม่ได้เลยทีเดียว คนที่สง่างามถึงเพียงนี้ยังเป็นคนเดียวกับท่านอาเจ็ดของนางอยู่หรือไม่!

เห็นได้ชัดว่าตัวขององค์ชายเผ่าหมานไม่ได้คาดคิดว่าคราวนี้จะเตะโดนเข้าแผ่นเหล็กเสียแล้ว หนึ่งอ๋องหนึ่งองค์หญิง หากมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นจริงก็ไม่ต้องหวังจะได้กลับไปเลย อีกทั้งด้านชายแดนอาจเกิดสงครามขึ้นเสียด้วยซ้ำ

ตอนนี้พวกเขาอยู่ในช่วงอ่อนแอเนื่องจากการแก่งแย่งชิงอำนาจภายใน หากเกิดสงครามจริงก็ย่อมเป็นฝั่งของพวกเขาที่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน

องค์ชายผู้นั้นจับจ้องมาทางพวกเขาอย่างชิงชัง ก่อนจะทำได้เพียงพาคนของตนจากไปอย่างไม่เต็มใจ

ส่วนเหล่าคนจากต้าเซี่ยยังคงยืนดูอย่างกระตือรือร้น

“ที่แท้ก็เป็นองค์หญิง ช่างเหมือนกับเทพธิดาลงมาจุติเสียจริง”

“ใช่แล้ว งดงามยิ่งกว่าเด็กน้อยในภาพวาดวันปีใหม่เสียอีก องค์หญิงจะต้องจุติมาเพื่อประทานพรให้พวกเราเป็นแน่ ได้ยินมาว่าปีหน้าจะสามารถใช้ปุ๋ยเพื่อเพิ่มผลผลิตของพืชพรรณได้แล้ว มิหนำซ้ำยังเป็นองค์หญิงที่ค้นพบวิธีการเลี้ยงปลาในนาข้าว”

“ได้ยินมาว่ามีคนต้องการให้องค์หญิงจมน้ำ แต่องค์หญิงได้รับความช่วยเหลือจากปลาจิ๋นหลี่ในทะเลสาบ ปลาจิ๋นหลี่นั้นนำพาซึ่งโชคลาภ องค์หญิงของพวกเราคือเซียนปลาจิ๋นหลี่บนสวรรค์ที่กลับชาติมาเกิดอย่างแน่นอน”

“สมกับเป็นองค์หญิง งดงามยิ่งนัก”

เสี่ยวเป่าที่ถูกรอบด้านจับจ้องและตกเป็นหัวข้อสนทนา “…”

แน่นอนว่านอกจากเรื่องของเสี่ยวเป่าแล้ว ก็ยังมีคนหาญกล้าพูดคุยเกี่ยวกับแม่ทัพผู้น่าเกรงขามในชุดเกราะอีกด้วย

ทุกคนล้วนเห็นเต็มตาว่าเขาเป็นผู้ปลดอาวุธในมือของชาวหมานออก อีกทั้งยังเตะชายร่างสูงใหญ่เสียจนกระเด็น นับได้ว่าแข็งแกร่งจนให้ความรู้สึกปลอดภัยมั่นคงเป็นอย่างมาก ทว่าดูจากลักษณะภายนอกแล้ว ไม่เหมือนชาวต้าเซี่ยอย่างพวกเขาเสียเท่าไหร่

“หา! พวกเจ้าไม่รู้จักเขาจริงหรือ นั่นคือเจิ้นหนานอ๋องของพวกเราเชียวนะ!”

“ได้ยินมาว่าเขาไร้เทียมทานในสนามรบ เป็นถึงเทพสงครามอีกผู้หนึ่งนอกจากองค์จักรพรรดิ”

“ฝ่าบาทเป็นถึงเทพสงคราม เช่นนั้นแล้ว เจิ้นหนานอ๋องที่เป็นพระอนุชาของพระองค์จะไม่แข็งแกร่งได้อย่างไร”

“อาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เซียวเหยาอ๋องของพวกเราก็ยังไม่อาจสู้รบได้ สามารถเพียงแค่ใช้เงินเลี้ยงดูหญิงงามเท่านั้น”

“แม้เขาจะรบไม่เป็น แต่ถึงกระนั้นฝีปากกลับยอดเยี่ยมมาก พวกเจ้าไม่ได้ยินคำกล่าวของเซียวเหยาอ๋องเมื่อครู่หรือ สามารถพูดทุกอย่างแทนความคิดของพวกเราออกมาได้”

เซียวเหยาอ๋องผู้มีฝีปากยอดเยี่ยม “…”

อยากจะพูดออกไปเหลือเกินว่า พวกเจ้าช่วยลดเสียงกันลงสักนิดได้หรือไม่ เจ้าของหัวข้อสนทนากำลังยืนอยู่ตรงนี้!

หนานกงหลีกลอกตาด้วยความไม่สบอารมณ์ ก่อนจะพาคนที่ยังคงไม่เอ่ยวาจาใดออกมากับเสี่ยวเป่ากลับขึ้นไปด้านบนเหลาอาหาร

“บอกข้าทีพี่สี่ เหตุใดท่านจึงกลับมาวันนี้กัน ข้ายังคิดว่ากว่าท่านจะกลับมาถึงอย่างเร็วสุดก็สามวัน”

ขณะที่หนานกงหลีเอ่ยถาม เสี่ยวเป่าก็ลอบมองไปทางท่านอาสี่ของนาง

ในที่สุดนางก็ได้เห็นใบหน้าภายใต้เกราะเหล็ก อีกทั้งยังได้เห็นดวงตาสีมรกตของท่านอาสี่อีกด้วย

เสี่ยวเป่าตะลึงไปโดยพลัน

ท่านอาสี่ของนาง องคาพยพบนใบหน้าชัดเจน มีลักษณะเลือดผสมชาติพันธุ์

ในสายตาของผู้คนจำนวนมาก อาจมองว่าเขามีหน้าตาแปลกประหลาดอยู่บ้าง แต่สำหรับเสี่ยวเป่าแล้ว ท่านอาสี่ของนางหล่อเหลามากอย่างไม่ต้องสงสัย

ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวก็คือแผลเป็นที่ไม่น่าดูกินพื้นที่ไปเกือบครึ่งใบหน้าของเขา

แผลเป็นนั้นยาวเป็นอย่างยิ่ง แผลนี้ลากผ่านดั้งจมูกเป็นแนวทแยง เพียงพอให้นึกถึงความอันตรายของสถานการณ์ในตอนนั้นได้

หนานกงจ้านพบว่าเสี่ยวเป่าเห็นหน้าของตนเองแล้ว เขาจึงเบนหน้าหนีโดยสัญชาตญาณ เพราะเกรงว่าจะทำให้นางตกใจกลัว

เพราะเขารู้ดีว่าใบหน้าของตนน่ากลัวเพียงใด มันเคยทำให้เด็กจำนวนไม่น้อยร้องไห้ด้วยความตกใจกลัวมาแล้ว

“กลับมาก่อนกำหนด”

หนานกงจ้านตอบกลับคำพูดของหนานกงหลีด้วยเสียงทุ้มต่ำ เมื่อรวมกับชุดเกราะเย็นเยียบบนร่างแล้ว ยิ่งทำให้เขามีบรรยากาศกีดกันคนรอบข้างอย่างรุนแรง

ทว่าขณะนี้ภายในใจของเขากำลังทะเลาะกันเองอยู่

หลานสาวตัวน้อยจะถูกเขาทำให้ตกใจกลัวหรือไม่ เขาควรจะออกไปตั้งแต่จัดการชาวหมานพวกนั้นจบแล้ว ในอนาคตหลานสาวตัวน้อยคงไม่ต้องการจะเห็นหน้าเขาอีก

เดิมทีสีหน้าของหนานกงจ้านไร้ซึ่งอารมณ์ แต่เมื่อยิ่งคิดมากสีหน้าก็ยิ่งน่าเกลียด อีกทั้งยังมากขึ้นเรื่อย ๆ

เพียงแต่ในดวงตาสีมรกตคู่นั้นมีความหดหู่ซ่อนเอาไว้อยู่

ทันใดนั้นเอง เขาก็สัมผัสได้ว่าฝ่ามือหยาบกร้านของตนถูกมือเล็ก ๆ นุ่มนิ่มคว้าจับเอาไว้

หนานกงจ้านตกตะลึง เมื่อก้มศีรษะลงก็เห็นเจ้าก้อนแป้งสีขาวราวหิมะที่วิ่งมาหาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ

“ท่านอาสี่~”

เสี่ยวเป่าเงยหน้าเล็ก ๆ ของตนเองขึ้น นัยน์ตาสีดำกลมโตใสแป๋วจ้องมองใบหน้าของเขาอย่างไร้ความกลัวเกรง อีกทั้งปากน้อย ๆ ยังเอ่ยเรียกออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม

ถูกมือเล็ก ๆ คว้าเอาไว้ ทั้งยังเอ่ยเรียกตนเองว่าท่านอาสี่!

หนานกงจ้านผู้สามารถสังหารคนในสนามรบได้โดยไม่กะพริบตา เป็นบุรุษห้าวหาญผู้ไม่เคยเครียดขึงต่อสิ่งใด ทว่าในตอนนี้กลับเคร่งเครียดเสียจนทั่วทั้งร่างเกร็งขึ้นมา

ทว่าดวงตาของเขาก็เปล่งประกายขึ้น งดงามประหนึ่งอัญมณีแวววาว

เสี่ยวเป่ายังคงจับมือของเขาอยู่ ขณะที่เสียงน้อย ๆ เอ่ยแนะนำตนเองออกมา

“ท่านอาสี่ ข้าคือเสี่ยวเป่า เป็นหลานสาวของท่าน”

หนานกงจ้านมองดูเด็กน้อยที่ไม่มีทีท่าหวาดกลัวใบหน้าของตนเอง ทั้งยังเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม รวมกับสัมผัสน้อย ๆ ที่ฝ่ามือแล้ว หัวใจของเขาก็พลันอ่อนยวบลงกลายเป็นก้อนแป้งทันที

เหตุใด…เหตุใดจึงมีเจ้าตัวน้อยที่น่ารักและยังนุ่มนิ่มถึงเพียงนี้อยู่ด้วย!

อีกทั้งนางยังเป็นหลานสาวของเขา!

“อืม ข้า….ข้ารู้แล้ว”

หนานกงจ้านเอ่ยออกมาอย่างตะกุกตะกัก “ข้า ข้าคือท่านอาสี่ของเจ้า!”

เสี่ยวเป่าเอียงศีรษะ ก่อนแย้มยิ้มหวานให้กับเขา

“เสี่ยวเป่ารู้แล้ว ท่านอาสี่ เมื่อครู่ท่านสุดยอดมากเลย!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด