เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 350 สิ้นหนานจ้าว

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 350 สิ้นหนานจ้าว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 350 สิ้นหนานจ้าว

บทที่ 350 สิ้นหนานจ้าว

หนานจ้าวประสบความสูญเสียไปไม่น้อยภายใต้การบุกโจมตีอันทรงพลังของหนานกงสือเยวียน

มหาปุโรหิตกระวนกระวายใจจนปล่อยกู่ออกมาอีกจำนวนมาก

ทว่าคราวนี้พวกเขามีผงยาของปู้หนานอีอยู่ในมือ กู่ของมหาปุโรหิตไม่อาจทำสิ่งใดกับพวกเขาได้อย่างง่ายดายภายในชั่วระยะเวลาหนึ่ง

ยามนี้หนานกงสือเยวียนเองก็เชื่อมั่นยิ่งกว่าเดิม ว่าหยกของเสี่ยวเป่ามีความสามารถในการสงบกู่

กล่าวได้ว่าแม้เสี่ยวเป่าจะไม่ได้เข้าร่วมสงคราม ทว่านางก็ยังคงช่วยเหลือพวกพี่ชายทางอ้อมอยู่ดี

น่าเสียดายที่หยกนี่มีน้อยเกินไป

ณ ที่ตั้งค่ายทหารหนานจ้าว

เมื่อมหาปุโรหิตได้รับข่าวว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์หายตัวไป เขาก็ส่งเสียงกราดเกรี้ยวออกมาภายในกระโจมตนเอง โมโหโกรธามากเสียจนกระอักเลือดออกมา

“ไม่พบ ไม่พบได้อย่างไร!”

เมื่อได้รับข่าวการโจมตีเมืองหลวง ภายในใจของเขาก็ลอบร้องออกมาว่าไม่ดีแล้ว

พวกเขาถูกหลอก ไม่ได้มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกับหนานกงสือเยวียน!

แต่ไม่ว่าอย่างไร ถึงต่อให้ต้องสูญเสียกษัตริย์หนานจ้าวไป พวกเขาก็ต้องนำตัวบุตรศักดิ์สิทธิ์ออกมาให้ได้

ดังนั้นพวกเขาจึงใช้กู่จำนวนมหาศาลเพื่อสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ให้กับกองทัพต้าเซี่ย ที่น่าเจ็บใจคือไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกับองค์ชายทั้งสอง!

หลังจากที่สามารถล่อให้พวกหนานกงสือเยวียนออกมาจากหนานจ้าวได้อย่างยากลำบาก ข่าวจากคนที่ส่งไปพาตัวบุตรศักดิ์สิทธิ์ถึงกับทำให้มหาปุโรหิตกระอักเลือด

บุตรศักดิ์สิทธิ์ที่เขาเลี้ยงดูมาหลายปี และกำลังจะกลายเป็นราชากู่ที่เชื่อฟัง กลับหายตัวไปในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้

อีกทั้งดอกสามชีวายังหายไปพร้อมกับบุตรศักดิ์สิทธิ์

“ตามหา ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ต้องพากลับมาหาข้าให้จงได้!”

เขาไม่เต็มใจยอมรับ อีกแค่นิดเดียวทุกอย่างก็จะสำเร็จแล้วแท้ ๆ

ทว่าไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ได้พบกับตัวคน บุตรศักดิ์สิทธิ์ที่มหาปุโรหิตตามหาปรากฏตัวต่อหน้าเขา

แต่สถานการณ์ไม่ใช่อย่างที่เขาต้องการแม้แต่น้อย

มหาปุโรหิตนั่งอยู่บนหลังม้า มองเด็กหนุ่มผมขาวตาสีม่วงที่ปรากฏตัวในกองทัพฝั่งต้าเซี่ยด้วยดวงตาเบิกกว้าง

“หนานกงสือเยวียน!!!”

เขาคำรามชื่ออีกฝ่ายออกมา ทุกคำเล็ดลอดออกมาจากฟันที่ขบแน่น

บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเขา ราชากู่ของเขา ใช้เวลาตระเตรียมมานานหลายปี ทว่ายามนี้กลับตกไปอยู่ในมือของศัตรู

เช่นนี้จะให้เขาไม่ชิงชังได้อย่างไร

“ดอกสามชีวาเล่า ดอกสามชีวาอยู่ที่ใด!”

มหาปุโรหิตรู้สึกมีความหวังขึ้นมาบ้าง หากบุตรศักดิ์สิทธิ์ยังไม่กินดอกสามชีวาเข้าไป เช่นนั้นตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้เป็นราชากู่ แม้จะริบหรี่แต่ก็ยังคงมีความหวัง

ขอเพียงแค่แย่งตัวคนกลับมาได้ อย่างมากสุดก็แค่ใช้เวลาปลูกดอกสามชีวาอีกหน ตราบใดที่บุตรศักดิ์สิทธิ์ยังอยู่ ขอเพียงแค่มีบุตรศักดิ์สิทธิ์อยู่

“โจมตี อย่าทำร้ายบุตรศักดิ์สิทธิ์!”

ตอนนี้มหาปุโรหิตบ้าคลั่งไปแล้ว คนรอบกายไม่อาจหยุดยั้งได้

การต่อสู้ซึ่งหน้าครั้งใหญ่ภายใต้สถานการณ์ที่ไร้กู่ ทหารของหนานจ้าวไม่อาจเทียบได้กับต้าเซี่ย กองทัพหนานจ้าวถูกสยบลงอย่างสมบูรณ์

สามพ่อลูกร่วมรบ อีกทั้งยังมีเสือแสนห้าวหาญดุดันสองตัว เพียงเริ่มการต่อสู้ไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม จิตใจของทหารกองทัพหนานจ้าวก็พังทลายลงไปโดยสิ้นเชิง

บางคนถึงกับทิ้งอาวุธแล้ววิ่งหนีไปไม่เหลียวหลัง

ทว่าเหล่าผู้ที่วิ่งหนีกลับถูกมหาปุโรหิตที่บ้าคลั่งไปแล้วสังหารทิ้งด้วยกู่อย่างรวดเร็ว การลงมืออันแสนเหี้ยมโหดทำให้ทหารคนอื่น ๆ ตื่นตกใจกลัวมากกว่าเดิม

“ปล่อยกู่ทั้งหมด!”

“ท่านมหาปุโรหิต พวกเรารีบไปเถิด เห็นได้ชัดว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์อยู่ฝั่งต้าเซี่ย!”

มหาปุโรหิตตบคนพูดอย่างแรงด้วยแววตาดุร้าย “หุบปาก ผู้ใดบอกว่าเขากลายเป็นราชากู่แล้ว ดอกสามชีวายังไม่ถูกกินด้วยซ้ำ!”

เขาออกคำสั่งให้ปล่อยกู่ทั้งหมดด้วยความเด็ดขาด

ทั้งหมดเป็นกู่ที่เผ่ากู่ดำของพวกเขาได้ฝึกฝนมาเป็นระยะเวลานับร้อยปี

พริบตาเดียวทั้งบนฟ้าและใต้ดิน ต่างมีแมลงดูไม่ปกติจำนวนมหาศาลมุ่งหน้าเข้าสู่ฝั่งต้าเซี่ย

เยว่หลีกำลังนั่งอยู่บนหลังคารถม้าที่ด้านหลังกองทัพต้าเซี่ยได้รับการคุ้มครองเป็นอย่างดี เขาอยู่ในอาภรณ์สีขาวประหนึ่งเซียนผู้ร่วงหล่นลงมายังโลกมนุษย์ สองเท้าเปลือยเปล่า มีกระดิ่งสีเงินขนาดเล็กห้อยเอาไว้ที่ข้อมือและข้อเท้า

สิ่งเหล่านี้เป็นปู้หนานอีที่ผูกเอาไว้

พลังของราชากู่รวมกับเสียงกระดิ่ง ทำให้ระยะที่สามารถควบคุมกู่ได้ไกลยิ่งขึ้น

ด้านในรถม้า เด็กน้อยผิวขาวราวกับหิมะเดินออกมาพร้อมกับแมวดำในอ้อมแขน

“เยว่หลี ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”

นางเอ่ยกับเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนหลังคารถม้า

เยว่หลีก้มลงมอง สบเข้ากับดวงตาสีดำขลับของเสี่ยวเป่าที่โค้งขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

เขาแกว่งเท้าไปมา กระดิ่งสีเงินบนข้อเท้าส่งเสียงใสกังวาน

เห็นชัดเจนว่าเสียงแผ่วเบาอย่างยิ่ง แต่กลับแผ่ออกไปรอบตัวเหมือนระลอกคลื่น สามารถถูกลมพัดออกไปแสนไกล

กู่ที่ถูกมหาปุโรหิตควบคุมหยุดนิ่งลงไปในพริบตา เพียงแค่ชั่วอึดใจเดียว ใบหน้าของเหล่าคนจากเผ่ากู่ดำก็แปรเปลี่ยนไปทันที

สีหน้าของมหาปุโรหิตนั้นน่าเกลียดที่สุด ทั้งดูบิดเบี้ยวและสิ้นหวังอย่างยิ่ง

เขากรีดข้อมือตนเองลึกจนเห็นกระดูก เลือดจากบาดแผลไหลลงไปด้านในเหยือก พร้อมกับกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งออกมาจากด้านใน

อีกทั้งภายใต้เสียงขลุ่ยแปลกประหลาดลึกลับ กู่ทั้งหมดพลันบ้าคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง

ทว่าเพียงอึดใจเดียว กลิ่นหอมหวานพลันกระจายไปทั่วอากาศพร้อมกับเสียงกระดิ่งที่ดังขึ้น

แม้เสียงกระดิ่งจะไม่ดังเท่าขลุ่ย แต่กลับสามารถกลบเสียงขลุ่ยที่ควบคุมกู่เอาไว้ได้

ดวงตาสีม่วงของเยว่หลีจับจ้องไปทางพวกมหาปุโรหิต

เด็กหนุ่มจำได้ว่าคนเหล่านั้นทิ้งบาดแผลจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้บนร่างของเขา แย่งชิงเลือดไป ทั้งยังป้อนยาที่ทำให้เขาเจ็บปวด

ความคิดเยว่หลีเรียบง่าย นิสัยประหนึ่งแมว ทว่า… แมวเองก็สามารถผูกใจพยาบาทได้

เขาเม้มริมฝีปาก เอ่ยคำหนึ่งออกมาอย่างไร้เสียง

‘ฆ่า’

กู่ทั้งหมดหลุดออกจากการควบคุม มหาปุโรหิตและเหล่าเผ่ากู่ดำหน้าซีดเซียวลงในพลัน

มีคนใจเสาะถึงกับทิ้งขลุ่ยลงบนพื้นแล้วหันหลังวิ่งหนีเอาชีวิตรอด

ไม่มีผู้ใดกระจ่างแจ้งดีไปกว่าพวกเขาแล้ว ว่าผลลัพธ์ของกู่หันมาแว้งกัดเป็นเช่นไร

พวกมันจะรุมทิ้งพวกเขาอย่างอาฆาต ร่างกายถูกกัดกินจนไม่เหลือเลือดสักหยด สังหารให้ตายลงอย่างเจ็บปวดที่สุดในระยะเวลาอันสั้น

พวกเขาใช้เลือดเนื้อมนุษย์มาเลี้ยงกู่ ย่อมเห็นและตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าความเจ็บปวดนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนคนหนึ่งจะสามารถทนรับได้

คนเหล่านี้ไหนเลยจะคิดว่าวิธีการที่พวกเขามอบความเจ็บปวดให้ผู้คนมานับไม่ถ้วนจะวกกลับมาแว้งกัดตน

มหาปุโรหิตในยามนี้ไม่มีเวลาจะไปสนใจผู้อื่น เนื่องจากเขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่หนีทันทีด้วยความตระหนักดีว่าราชากู่นั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด

น่าเสียดาย แม้พวกเขาจะวิ่งได้เร็วเพียงใด ก็ไม่สามารถวิ่งได้เร็วไปกว่ากู่ที่พวกเขาเลี้ยงมาเองกับมือ

เหล่ากู่รุมล้อมแน่นขนัด ผู้ที่อยู่ในดงกู่ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ทั่วร่างเต็มไปด้วยกู่ทุกชนิด เพียงไม่กี่อึดใจคนผู้นั้นก็ไม่หลงเหลือชีวิตอีกต่อไป

แต่กู่ไม่หยุดเพียงแค่นั้น พวกมันยังคงไล่ล่าต่อไป

หนึ่งคน สองคน…

สุดท้ายมหาปุโรหิตก็ถูกไล่ทัน

เมื่อกู่ไต่ตามร่างกาย เขาก็พลันตระหนักได้ทันทีว่าตนเองถึงคราวตายเสียแล้ว

“ไม่! ถือสิทธิ์อัน…”

ก่อนที่คำสุดท้ายจะถูกเอ่ยออกมา เขาก็หลงเหลือเพียงแค่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งกองหนึ่ง

ทัพต้าเซี่ยเฝ้ามองดูจากระยะไกลไม่ได้ไล่ตามแต่อย่างใด กู่นั้นดุร้ายเหี้ยมโหดเกินไป ทั้งยังน่ารังเกียจยิ่ง

แต่ทั้งหมดก็ล้วนเป็นการกระทำตนเองของหนานจ้าว ไม่มีคนของต้าเซี่ยผู้ใดเห็นใจพวกเขา

สหายจำนวนนับไม่ถ้วนของพวกเขาสิ้นชีพลงด้วยกู่อันน่ารังเกียจเหล่านี้ คราวนี้ถึงคราวที่พวกหนานจ้าวจะต้องลิ้มลองรสชาติด้วยตนเองแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด