เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 69 พ่อลูกขี้อวด

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 69 พ่อลูกขี้อวด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 69 พ่อลูกขี้อวด

บทที่ 69 พ่อลูกขี้อวด

ขุนนางบางส่วนปรบมือเห็นด้วย “แนวคิดนี้ดียิ่ง ข้าวปลาเติบโตไปพร้อมกัน ถึงยามเก็บเกี่ยวข้าว พวกปลาน้อยใหญ่ก็คงจะโตเต็มที่”

แต่ก็มีบางส่วนที่ส่ายหัวคัดค้าน “ไม่ได้ ๆ ไม่เคยมีผู้ใดทำเช่นนี้มาก่อน ถ้าเกิดปลากินต้นข้าวขึ้นมาจะทำอย่างไร? มันจะเป็นความเสียหายครั้งใหญ่เลยทีเดียว”  

“ไม่รู้จริงก็อย่าพูดไร้สาระ ปลากินแมลงกับปลากินหญ้ามันไม่เหมือนกัน กระหม่อมคิดว่าวิธีการที่องค์ชายใหญ่กล่าวนั้นเป็นไปได้ ลองทำดูก็มิเสียหาย”  

“แต่ไม่มีผู้ใดเคยลองเลย ถ้าเกิด…”  

“หากไม่เคยมีผู้ใดทำมาก่อน เช่นนั้นเราก็ต้องลองถึงจะรู้มิใช่หรือ? อีกอย่างเราไม่ได้จะให้ชาวนาเป็นผู้ทดลองเสียหน่อย ฝ่าบาททรงมีที่นาในนาหลวงมากมาย เราก็ปล่อยปลาในแปลงนาแค่บางส่วน หากวิธีการนี้ได้ผลจริงก็จะเป็นประโยชน์ต่อราษฎร หากไม่ได้ผลอย่างมากก็แค่สูญเสียข้าวส่วนนั้นไป”  

แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยเพียงใด คนพวกนี้ก็สามารถนำมาถกเถียงกันได้อย่างถึงพริกถึงขิง ทั้งที่ความจริงแล้วมันก็แค่ปัญหาง่าย ๆ ที่สามารถแก้ไขได้  

ด้วยความที่ต่างฝ่ายต่างมีเรื่องขุ่นเคืองใจกันและกันเป็นการส่วนตัว ดังนั้นเมื่อมีคนเสนอย่อมมีคนคัดค้าน 

แม้หนานกงฉีซิวจะยังไม่เคยเข้าประชุมขุนนาง แต่ราชครูก็ได้สอนพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มาก่อนแล้ว เขาจึงยังพอเข้าใจอยู่บ้าง

“ในเมื่อองค์ชายใหญ่ทรงเสนอแนวคิดนี้ แสดงว่าพระองค์ต้องเคยเห็นการเลี้ยงปลาในทุ่งนามาแล้วสินะพ่ะย่ะค่ะ”  

ดูเอาเถอะ เปลวเพลิงแห่งสงครามกำลังลุกลามมาหาเขาแล้ว

หนานกงฉีซิว “…”

ข้าอุตส่าห์พยายามทำตัวให้เงียบที่สุดเหมือนไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วแท้ ๆ

ทันใดนั้นสายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เขา ในฐานะองค์ชายใหญ่ เขายังคงได้รับความสนใจจากผู้คน  

ท่าทีของหนานกงฉีซิวยังคงนิ่งสงบ น้ำเสียงอ่อนโยนของเขาก็ไม่ได้แฝงความประหม่า 

“เสด็จพ่อ ในเมื่อใต้เท้าทุกท่านยังแคลงใจ มิสู้ใช้นาหลวงส่วนของลูกเพื่อพิสูจน์แนวคิดนี้เถอะพ่ะย่ะค่ะ” 

แม้จะไม่มีผู้ใดเคยทำเช่นนี้มาก่อน แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดที่ทำให้หนานกงฉีซิวเชื่อใจเสี่ยวเป่ามากขนาดนี้ 

หนานกงสือเยวียน “จัดสรรพื้นที่ในนาหลวงส่วนหนึ่งเพื่อทดลอง ผู้ดูแลต้องคอยสังเกตและจดบันทึก แล้วมารายงานเราทุก ๆ ครึ่งเดือน”

หลังจากฝ่าบาทได้ตัดสินขั้นสุดท้ายแล้ว ขุนนางทั้งหลายก็พร้อมใจกันหยุดถกเถียง

อาจารย์ขององค์ชายใหญ่ลูบเคราของตนอย่างปลาบปลื้มใจ

“เป็นโชคดีของราษฎรที่องค์ชายใหญ่ค้นพบแนวคิดนี้”  

หนานกงฉีซิวรีบเอ่ยท้วง “ท่านอาจารย์กล่าวเกินไปแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าค้นพบ และไม่ใช่ความคิดของข้า”  

หนานกงสือเยวียนเงยหน้ามองเขาอย่างสงสัยใคร่รู้เช่นเดียวกับเหล่าขุนนาง  

หนานกงฉีซิวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม น้ำเสียงแฝงด้วยความภาคภูมิใจ  

“ข้าได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้มาจากองค์หญิงเก้า น้องหญิงของข้า ข้าใคร่ครวญแล้วว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้จึงรีบมาเสนอแนวคิดนี้ต่อเสด็จพ่อ”  

ทันทีที่ได้ยินว่าธิดาตัวน้อยของตนเป็นคนคิด มุมปากก็ยกยิ้มโดยไม่รู้ตัว แม้มันจะไม่ได้เด่นชัดบนใบหน้า แต่ทุกคนก็ยังรับรู้ได้ถึงความภาคภูมิใจในตัวธิดาจากท่าทีของเขา

หนานกงสือเยวียนถาม “เสี่ยว… องค์หญิงเก้าคิดเรื่องนี้ได้อย่างไร?”  

หนานกงฉีซิวเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วถอนหายใจ “ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้เป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ในหมู่พวกเราไม่มีผู้ใดเคยคิดหรือค้นพบเรื่องนี้ ทว่าเด็กสามขวบกลับคิดเรื่องนี้ได้”

หนานกงสือเยวียนพยักหน้า “องค์หญิงเก้าบางครั้งก็ฉลาดกว่าที่ทุกท่านจะคาดถึง” 

ถึงบางครั้งจะเซ่อซ่าไปหน่อย แต่รวม ๆ แล้วข้อบกพร่องเล็กน้อยนี้สามารถมองข้ามได้ ซ้ำยังทำให้นางดูฉลาดมีไหวพริบน่ารักน่าเอ็นดูมากขึ้นอีกด้วย  

หนานกงฉีซิว “น้องหญิงยังมอบลูกกวาดและขนมเกาลัดในส่วนของตนเองให้กับเด็ก ๆ เหล่านั้นด้วย ถือว่าเป็นเด็กที่มีจิตใจโอบอ้อมอารียิ่งนัก” 

หนานกงสือเยวียน “ต้นกล้าที่งอกงามในนาหลวงล้วนเป็นองค์หญิงเก้าที่เพาะพันธุ์เองกับมือ”  

สองพ่อลูกเยินยอต่างบุตรสาวและน้องสาวของตนเองจนผ่านไปสักพักมันเหมือนพวกเขาสนทนากันอยู่สองคน  

ขุนนางฟังจนมึนหัว รู้สึกอึดอัดใจเพียงใดไม่ต้องพูดถึง

พวกท่านกำลังโอ้อวดอย่างนั้นหรือ? แล้วผู้ใดบ้างไม่มีลูกสาวหรือหลานสาวบ้าง!

เพียงแต่… ลูกสาว/หลานสาวของพวกเขาคิดเรื่องพวกนี้ไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละ 

ฝ่าบาทนั้นช่างเถอะ เพื่อองค์หญิงเก้าแล้วฝ่าบาทถึงกับยกเลิกการนำทัพที่ตนเองเคยยืนกรานว่าจะไปให้ได้  

แต่องค์ชายใหญ่ก็เป็นไปกับเขาด้วยหรือ ฝ่าบาทหลงพระธิดาไปแล้วคนหนึ่ง ไยท่านต้องเจริญรอยตามด้วยการหลงน้องสาวตามด้วยเล่า?! 

 

“ใต้เท้าทุกท่านคิดเห็นอย่างไร?”

จู่ ๆ ฝ่าบาทก็หันมาถาม

แล้วจะให้พวกเขาทำอย่างไร? ก็ต้องกล่าวคำเยินยอน่ะสิ!  

“ขอแสดงความยินดีที่ฝ่าบาททรงมีองค์หญิงเก้าผู้เลอโฉมและเฉลียวฉลาด คิดแผนการอันชาญฉลาดเช่นนี้ได้ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ถือเป็นพรสวรรค์ที่แสนประเสริฐยิ่ง ฝ่าบาทช่างเปี่ยมบารมี!”  

“องค์หญิงเก้าทรงห่วงใยราษฎรและบ้านเมืองตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์…”

หลังจากสาธยายคำพูดประจบสอพลอออกมาจนหมดแล้ว พวกเขายังต้องมาเห็นสีหน้าภูมิอกภูมิใจอย่างออกนอกหน้าของสองพ่อลูกนี่ พลันรู้สึกหงุดหงิดในหัวใจ

เหอะ ๆ สองพ่อลูกนี่น่าหมั่นไส้จริง ๆ!  

หนานกงสือเยวียนยังถือว่าเก็บอาการได้ดี เพราะยามนี้สีหน้ายังคงเย็นชาทำราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจ แต่ท่านช่วยปกปิดมุมปากที่โค้งขึ้นหน่อย ๆ กับแววตาแสนอ่อนโยนที่ไม่เคยเผยออกมาตลอดหมื่นปีที่ผ่านมาด้วยจะได้หรือไม่?!

แล้วก็องค์ชายใหญ่ นั่นไม่ใช่น้องสาวที่เกิดจากท้องมารดาคนเดียวกันเสียหน่อย ต้องเป็นขนาดนี้เลยหรือ? ต้องเป็นถึงขนาดนี้เลยเรอะ!  

หลังจากการประชุมขุนนางขนาดเล็กสิ้นสุดลง ขุนนางแขนขวา*[1]หลายคนก็จากไปพร้อมรอยยิ้มที่ปาก แต่กำลังเอ่ยสาปแช่งในใจ  

ส่วนหนานกงสือเยวียนและองค์ชายใหญ่นั้นมุ่งหน้าไปหาเสี่ยวเป่า  

เสี่ยวเป่าที่กำลังให้อาหารม้ากับเหล่าพี่ชาย หารู้ไม่ว่าตนได้รับการยกยอมากมายเพียงใด

แต่หนานกงฉีเฉินและคนอื่น ๆ กลับมีสีหน้าเศร้าใจ เพราะไม่ใช่แค่พวกปลาในแม่น้ำเท่านั้นที่ชื่นชอบน้องสาว แม้กระทั่งม้าก็ชื่นชอบนางเช่นกัน

ทันทีที่มาถึงคอกม้า เด็กน้อยที่กำลังถือหญ้าสีเขียวถูกเจ้าม้าทั้งหลายล้อมหน้าล้อมหลัง ทั้ง ๆ ที่ในมือพวกเขาก็มีหญ้าเหมือนกัน แต่สิ่งมีชีวิตตัวสูงใหญ่กลับไม่แม้จะชายตามอง  

เหล่าพี่ชาย “…”

มันจะลำเอียงเกินไปแล้ว  

เสี่ยวเป่าถูกเจ้าพวกตัวสูงใหญ่มะรุมมะตุ้มจนแทบทำสิ่งใดไม่ถูก

“พวกเจ้าช้า ๆ หน่อย อย่าแย่งกันสิ พวกท่านพี่ก็มีหญ้าเหมือนกันนะ”  

ม้าพวกนี้แค่ต้องการผูกมิตรกับภูตพฤกษาตัวน้อยที่มีพลังเต็มเปี่ยมก็เท่านั้น  

เสี่ยวเป่าหน้ามุ่ย แก้มป่อง ๆ พองขึ้นไปอีกขั้น จากนั้นก็ยกมือเล็กให้พวกมันดู

“ข้ามีแค่สองมือ ให้พวกเจ้าไม่ทันแล้ว”  

ดังนั้นต้องหาตัวช่วย!  

สุดท้ายเสี่ยวเป่าก็ต้องเดินไปลากตัวพี่ ๆ เข้ามาในวงล้อม ทว่ามันแทบไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลยสักนิด 

เหล่าพี่ชายรู้สึกภูมิใจที่เสี่ยวเป่าเป็นที่รักใคร่ของสัตว์น้อยใหญ่ แต่ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันแปลก ๆ

“น้องหญิง ไยสัตว์พวกนี้ถึงชอบเจ้ามากขนาดนี้”  

เสี่ยวเป่าพึมพำพลางให้อาหารม้าไปด้วย “อาจเป็นเพราะเสี่ยวเป่าเป็นภูตพฤกษาตัวน้อยกลับชาติมาเกิดกระมัง” 

เหล่าพี่ชายขบขันนางอย่างเอ็นดู “ภูตพฤกษาอันใดกัน เจ้าต้องพูดว่าเป็นเทพธิดาองค์น้อยกลับชาติมาเกิดสิถึงจะถูก”  

เสี่ยวเป่า “…”

นอกจากท่านอาเจ็ดจะไม่เชื่อแล้ว พวกพี่ ๆ ก็ไม่เชื่อเหมือนกัน!  

ฮึ่ม! ไม่เชื่อก็แล้วแต่

จริงสิ “ท่านอาเจ็ดอยู่ที่ใด?”  

เช้านี้ยังไม่พบหน้าท่านอาเจ็ดเลยนะ!  

“อย่าหาเลย ท่านพ่อคงยังไม่ตื่น”  

“อืมถูก แต่ถึงจะตื่น ท่านพ่อก็คงไม่อยากขยับตัวนักหรอก”

 

สิ่งที่บุตรชายทั้งสองของหนานกงหลีพูดอาจดูเหมือนเป็นการหักหน้าบิดาไปสักหน่อย แต่นี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘บิดาเมตตา บุตรกตัญญู’

[1] ขุนนางแขนขวา หมายถึง ขุนนางใกล้ชิดที่มีความสำคัญและความสามารถ

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *