Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1304 เบาะแสที่กระจัดกระจาย (2)

Now you are reading Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ Chapter 1304 เบาะแสที่กระจัดกระจาย (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พูดง่ายๆ ก็คือให้ดวงตาพวกนั้นได้มีโอกาสได้แสดงฝีมือของตัวเอง”

ฮิล ฟ็อกหยิบปากกาขึ้นมาวาดแผงผังต้นไม้ลงไปบนกระดาษเปล่า “เนื่องจากค่าตอบแทนของพวกเราจะจ่ายตามข่าวที่ได้ ไม่ใช่จ่ายตามตัวบุคคล ดังนั้นยิ่งได้ข่าวที่น่าเชื่อถือมามากเท่าไร ค่าตอบแทนก็จะยิ่งเยอะ เพื่อที่จะได้รับข่าวที่มากขึ้น พวกเขาจำเป็นต้องการหาดวงตาของตัวเองเพิ่ม ถ้าใช้คำพูดของฝ่าบาท วิธีนี้น่าจะเรียกว่าการขยายดาวไลน์”

“อย่างนี้นี่เอง” เอดิธส์เข้าใจหัวใจสำคัญของวิธีนี้อย่างรวดเร็ว “เพื่อที่จะชักจูงคนที่อยู่ข้างล่าง คนที่อยู่ข้างบนก็จำเป็นต้องให้ผลตอบแทนที่ดี เพื่อที่คนที่อยู่ข้างล่างจะได้มีโอกาสที่จะขยายเครือข่ายของตัวเอง”

ฮิลพยักหน้า “ท่านพูดถูกขอรับ ไม่ว่าจะเป็นทหารสอดแนมหรือสายลับ พวกเขาก็ล้วนแต่อยู่ปลายสุดของเครือข่าย ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไรก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ นี่ทำให้ข้อมูลที่พวกเขาได้มาจึงค่อนข้างน่าเชื่อถือ แต่มันเป็นการจำกัดของเขตในการหาข้อมูลของพวกเขาเหมือนกัน”

“แต่โจรใต้ดินยังไงก็เป็นโจรใต้ดินอยู่วันยังค่ำ…” ขวานเหล็กขมวดคิ้ว

“ไม่ ท่านผบ. วิธีนี้มันมีความน่าสนใจอยู่หนึ่งอย่าง นั่นคือคำว่าคนที่อยู่ข้างบนกับคนที่อยู่ข้างล่างมันไม่ได้หมายถึงการแบ่งแยกชนชั้น คนที่อยู่เหนือทหารขึ้นไปยังไงก็ต้องเป็นผู้บังคับบัญชา แต่คนที่อยู่ข้างล่างโจรใต้ดินกลับไม่จำเป็นต้องเป็นโจรใต้ดินเพียงอย่างเดียว”

“ขอเพียงมีผลประโยชน์มากพอ โจรใต้ดินก็อาจจะทำให้ขุนนางกลายเป็นดวงตาของตัวเองก็ได้” เอดิธส์พูดต่อ

ฮิลมองเอดิธส์ด้วยสายตาชื่นชม “ถูกต้อง ผลประโยชน์ไม่จำเป็นต้องเป็นเงินทอง ความต้องการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และการจะเข้าใจความต้องการตรงนี้หรือไม่มันก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับชนชั้น นี่หมายความว่าการขยายเครือข่ายของคนที่อยู่ข้างล่างอาจจะเกิดการขยายข้ามชนชั้นได้ ที่ข้อมูลในตอนนี้ยังมีความสับสน นั้นเป็นเพราะแหล่งข่าวยังจำกัดอยู่แค่ในกลุ่มโจรใต้ดิน ในตอนที่แหล่งข่าวเกิดการขยายข้ามชนชั้นไป คุณค่าของข่าวที่ได้ก็จะยิ่งสูงขึ้น”

ขวานเหล็กครุ่นคิดอยู่ครู่ “ต่อให้เป็นแบบนี้ กว่าดวงตาพวกนั้นจะติดต่อคนระดับสูงได้ เกรงว่ามันคงต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน”

“ถ้าเป็นเวลาปกติมันก็คงเป็นแบบนั้นขอรับ” ฮิลตอบ “แต่สถานการณ์ของอีเทอร์นอลวินเทอร์ในตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ข้าคิดว่าการขยายตัวของสายข่าวน่าจะเร็วกว่าที่พวกเราคิดเอาไว้ ความจริง ในข่าวเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้มันก็แสดงให้เราเห็นถึงเรื่องนี้แล้วเหมือนกัน”

“อย่างเช่น?” ขวานเหล็กลูบคางตัวเอง

ฮิลตอบยิ้มๆ “เมื่อดูจากสถิติแล้ว ข่าวที่เกี่ยวกับขุนนางในช่วงนี้มีจำนวนลดน้อยลง ต่อให้มีก็เป็นข่าวด้านลบเสียส่วนใหญ่ อย่างเช่นมั่วสุมกับโสเภณี ชกต่อยทะเลาะวิวาทกับริมถนน สำหรับผู้มีอำนาจแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในช่วงที่มีสงคราม ในอีกแง่หนึ่งมันก็หมายความว่าขุนนางระดับสูงของอีเทอร์นอลวินเทอร์เริ่มละทิ้งหน้าที่ของตัวเอง ความกดดันที่พวกเขาได้รับเองก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงได้แต่ต้องใช้วิธีนี้มาคลายเครียดให้กับตัวเอง เมื่อย้อนดูแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้อาจจะเริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่หน่วยอพยพคนของกองทัพที่หนึ่งจัดการกับกองทหารของขุนนางที่ซุ่มโจมตีได้”

“เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อว่า “ถึงแม้ในตอนนั้นข้าจะยังอยู่ที่อาณาจักรดอว์น แต่ข้าก็พอจะนึกออกว่าข่าวนี้มันทำลายขวัญพวกขุนนางแค่ไหน ทันทีที่ใจคนหวั่นไหว โอกาสก็จะเกิดขึ้นตามมา คนที่ปกติตัวเองเคยดูถูกเอาไว้ อาจจะกลายเป็นคนที่ช่วยชีวิตตัวเองก็ได้ ขอท่านผบ.ได้โปรดวางใจ เวลาที่ว่านั้นน่าจะรออีกไม่นาน”

……

ปราสาทรีเฟลคสโนว์ อีเทอร์นอลวินเทอร์

“ขอโทษที่ให้ทุกคนรอนาน วันนี้ท่านดยุครู้สึกไม่สบาย ไม่สะดวกที่จะรับแขกจริงๆ เชิญทุกคนกลับไปก่อนแล้วกัน” หัวหน้าพ่อบ้านโค้งตัวต่อหน้าทุกคนที่อยู่ในห้องรับแขก “เอาไว้ท่านดยุคร่างกายแข็งแรงขึ้นแล้ว ท่านจะต้องมีคำตอบให้กับทุกคนแน่นอน”

ภายในห้องรับแขกเดือดพล่านขึ้นมาทันที

“พวกเรารอมาหลายสัปดาห์แล้ว! ต่อให้เขาเป็นโรคระบาด ก็คงไม่ถึงกับออกมาเจอหน้าไม่ได้หรอกมั้ง?”

“ข้าไม่ต้องการคำตอบอะไรทั้งนั้น สู้ข้าก็สู้ให้แล้ว แล้วไหนดินแดนที่บอกว่าจะให้ข้าล่ะ?”

“ใช่ ต่อให้ไม่รับแขก แค่เอาโฉนดออกมาก็พอ!”

“เจ้าพ่อบ้านคนนี้มันโกหก เมื่อวานข้าเห็นวิสเคาท์นาร์นอสเข้าไปในปราสาทดยุคตั้ง 4 ชั่วโมงกว่าจะออกมา!”

“อย่าว่าแต่วิสเคาท์เลย คนที่เข้าไปในปราสาทดยุคทุกวันยังมีนักเต้นจากร้านเหล้าด้วย หรือว่าตอนนี้ท่านดยุคหาผู้หญิงมารักษาอาการป่วยแทนหมอแล้ว?”

“ทุกคนระวังคำพูดด้วย” พ่อบ้านกระแอมเล็กน้อย น้ำเสียงที่พูดฟังดูเยือกเย็นขึ้น “บางทีอาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้มีพวกเจ้าสูญเสียดินแดนไปจนเคยชินกับความอิสระ แต่อย่าลืมสิว่าในเมื่อตัดสินใจที่จะสวามิภักดิ์ต่อดยุคทางเหนือแล้ว พวกเจ้าก็คือคนของท่านดยุค โทษของการลบหลู่ผู้ปกครอง ข้าคิดว่าทุกคนน่าจะรู้ดีกว่าข้านะ! สภาพอากาศแบบนี้ อยู่ในคุกมันไม่สบายเหมือนอยู่ในโรงแรมหรอกนะ”

หลังจากพูดเตือนออกมา ทหารยามที่เฝ้าอยู่หน้าประตูทางเข้าก็ก้าวออกมาข้าหน้าสองก้าว เกราะบนร่างกายส่งเสียงดังเคร้งๆ

เสียงโหวกเหวกภายในห้องรับแขกเงียบลงไปไม่น้อย

เห็นได้ชัดว่าถ้าต่อสู้กันที่นี่ ไม่ว่าจะในด้านไหนมันก็ไม่เป็นประโยชน์ต่อทุกคน

พ่อบ้านเองก็ค่อยๆ ผ่อนน้ำเสียงลง “ข้ารู้ว่าทุกคนร้อนใจ แต่ว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือจัดการกับพวกสารเลวเกรย์คาสเซิลนั่น ขอทุกคนอดทดอีกหน่อย แล้วก็ คืนนี้ท่านดยุคได้จัดงานเลี้ยงให้กับทุกท่านในปราสาท ถึงแม้ท่านดยุคจะไม่ได้มาร่วมงาน แต่ท่านก็หวังว่าทุกท่านจะสนุกกับงานเลี้ยงในคืนนี้”

น่าจะเป็นเพราะเห็นแก่งานเลี้ยง สุดท้ายทุกคนจึงสะกดความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้ ก่อนจะบ่นงึมงำเดินออกจากห้องไป

เมื่อมาถึงนอกปราสาท เรื่องที่ทุกคนคุยกันก้เปลี่ยนจากเรื่องทวงหนี้กลายเป็นเรื่องอาหารเลิศรสและผู้หญิงในงานเลี้ยงคืนนี้

มีเพียงฟูลเลอร์ที่เดินกลับมาที่โรงแรมอย่างไม่สบอารมณ์

เมื่อได้อยู่ใกล้ชิดมาระยะเวลาหนึ่ง ความรู้สึกภายในใจเขามีที่ต่อดยุคมาร์เวนนั้นเหลือเพียงแค่ความผิดหวังอย่างรุนแรง

ถ้าจะบอกว่าการแพ้ศึกที่เมืองฟรอสต์นั้นเป็นเพราะคนของเกรย์คาสเซิลมีความชำนาญในการใช้อาวุธมากกว่า และมีขวัญกำลังในที่ดีกว่า อย่างนั้นก็ควรจะฝึกซ้อมให้มากขึ้นแล้วออกไปสู้ใหม่ถึงจะถูก แต่นี่ดยุคกลับทำอะไร? ไม่เพียงแต่จะหนีกลับมาเป็นคนแรก แต่ยังขังตัวเองอยู่แต่ในปราสาทรีเฟลคสโนว์ด้วย ราวกับว่าลืมความทะเยอทะยานก่อนออกรบไปหมดแล้ว

ไม่ใช่เท่านั้น เขายังปัดความรับผิดชอบเรื่องที่ดินที่สัญญาเอาไว้ แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะทำแบบนี้กับขุนนางทุกคน อย่างวิสเคาท์นาร์นอสนั้นยังเข้าออกปราสาทได้อย่างอิสระ ส่วนพวกที่ถูกกีดกันเอาไว้ด้านนอกก็คืออัศวินที่ไม่มีที่ไปอย่างพวกเขา

ตอนก่อนที่จะออกรบ ดยุคยังแสดงท่าทีว่าให้ความสำคัญกับตนอย่างมากอยู่เลย

การกลืนน้ำลายตัวเองคือสิ่งที่ผู้ปกครองไม่ควรจะทำมากที่สุด แต่มาร์เวนกลับคิดจะเก็บที่ดินของตัวเองพวกนั้นเอาไว้โดยไม่สนใจเลยว่าตัวเองจะโดนมองว่ายังไง

ฟูลเลอร์มาสวามิภักดิ์ต่อมาร์เวนก็เพื่อที่จะหาโอกาสฟื้นฟูตระกูลของตัวเอง แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่ที่ดินเลย แม้แต่คนรับใช้กับทหารของเขาก้ล้วนแต่ตายในศึกครั้งนั้นไปจนหมดแล้ว ตัวเขาในเวลานี้ได้ว่าเหลือตัวคนเดียว

อัศวินที่ไม่มีคนติดตาม แล้วก็ไม่มีที่ดิน ยังจะถือเป็นขุนนางอยู่หรือเปล่า? คนอื่นยังมีต้นทุนเหลือให้ใช้ แต่ตัวเขาล่ะ? หนึ่งปีหรือครึ่งปีหลังจากนี้ยังจะมีใครยอมรับตระกูลของตัวเองอยู่? แน่นอน ถ้าหากปีศาจสามารถเอาชนะโรแลนด์ วิมเบิลดันได้ ดยุคมาร์เวนก็จะได้รับอำนาจล้นฟ้า การจะช่วยเขาฟื้นฟูตระกูลเรียกได้ว่าง่ายแค่พลิกฝ่ามือ แต่ปัญหาอยู่ที่…จากท่าทีของอีกฝ่ายในตอนนี้แล้ว เขายังยินดีที่จะช่วยคนที่ไม่มีอะไรเหลืออยู่อีกเหรอ?

จะเอาชีวิตตัวเองไปฝากไว้กับเขา หรือพยายามหาทางถอยให้กับตัวเอง?

ฟูลเลอร์เดินไปเดินมาอยู่ในห้องนอน สุดท้ายเขาจึงค่อยๆ เดินมาอยู่ที่โต๊ะหนังสือ

เขาหยิบเอาซองจดหมายที่ถูกพับเอาไว้อย่างดีออกมาจากลิ้นชักชั้นล่างสุด

หลังลังเลอยู่ครู่ เขาจึงค่อยๆ เปิดซองจดหมายออก

ในซองจดหมายมีการ์ดสีดำอยู่ใบหนึ่ง

…………………………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด