Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1317 สงครามแห่งการสืบทอด

Now you are reading Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ Chapter 1317 สงครามแห่งการสืบทอด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เพราะว่าพวกมนุษย์อย่างเจ้าอายุสั้น แล้วก็ลืมง่ายน่ะสิ…” วัลคีรีย์เหมือนหาความรู้สึกภาคภูมิใจเจอ ก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “ขอเพียงผ่านไปไม่กี่สิบปี ประวัติศาสตร์ก็สามารถถูกคำโกหกเข้ามาแทนที่ได้ สำหรับเผ่าพันธุ์ข้าที่มีอายุยืนยาวแล้ว เรื่องแบบนี้คือเรื่องที่แทบจะไม่สามารถจินตนาการได้ พวกเจ้าเหมือนจะลืมไปจนหมดแล้ว ไม่ว่าคำโกหกมันจะฟังดูดีแค่ไหน แต่สุดท้ายยังไงมันก็เป็นคำโกหกอยู่ดี”

“มันก็เหมือนกันนั่นแหลพ” โรแลนด์พูดตอกกลับไป “พวกเจ้าก็จงใจมองข้ามคำเตือนของซิสทาลิสไปเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? นอกจากผู้ที่มีชีวิตอยู่ในตอนนั้นแล้ว เกรงว่าปีศาจในยุคใหม่คงแทบจะไม่มีใครที่รู้เรื่องนี้เลยใช่หรือเปล่าล่ะ?”

วัลคีรีย์อ้าปาก แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา สุดท้ายถึงได้แต่จิบกาแฟเหมือนเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย

“พวกเรามาตั้งสมมติฐานกันหน่อยดีกว่า” เขาดึงประเด็นกลับไปที่ตัวเทวทูตผู้ทรยศใหม่อีกครั้ง “บางทีภาพเลือนลางที่ทรานฟอร์มเมอร์มองเห็นเมื่อพันปีก่อนอาจจะเป็นคนๆ เดียวกับมิสต์ที่อยู่ในโลกแห่งความฝัน แต่เสียดายที่ตอนนั้นอาจารย์ของเจ้าไม่สามารถสร้างดินแดนของตัวเองขึ้นมาในโลกแห่งจิตสำนึกได้ มันก็ได้เลยไม่ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง”

“เจ้าเชื่อคำพูดของเทวทูตเหรอ?”

“ข้าเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น ศัตรูที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้ากำลังกัดกินโลกใบนี้อยู่ ส่วนในโลกแห่งความเป็นจริงเองก็มีซากของอารยธรรมในอดีตปรากฏขึ้นมาจริงๆ ข้าไม่รู้ว่าอารยธรรมที่ชนะเหล่านั้นไปอยู่ที่ไหนแล้ว แต่ความจริงก็คือพวกมันไม่ได้กลับมาอีก เจ้าไม่รู้สึกว่ามันแปลกเหรอ?”

“บางทีอาจจะมีโลกที่สวยงามที่เหมาะจะให้เผ่าพันธุ์ที่ยกระดับได้อาศัยอยู่ล่ะมั้ง…”

“อย่างเช่นแหล่งกำเนิดเวทมนตร์?” โรแลนด์พูดเสียดสี “การยกระดับเป็นเส้นทางหนึ่งของการกลายเป็นพระเจ้า แต่หลังกลายเป็นพระเจ้าแล้วกลับไม่สามารถกลับมายังบ้านเกิดได้ นี่มันเป็นพระเจ้าแบบไหนกัน? ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่เข้าใกล้แหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์ หรือก็คือรอยแตกที่เกิดจากการกัดกินนั้น มันทำให้เจ้ารู้สึกดีแล้วก็สบายจริงๆ งั้นเหรอ? ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ เจ้าน่าจะกระโดดเข้าไปในนั้นนานแล้วล่ะ”

เจ้านี่…ส่งแม่มดให้มาสะกดรอยตัวเองจริงๆ ด้วย วัลคีรีย์บ่นอยู่ในใจ แค่ปากกลับไม่ได้พูดแย้งอะไรออกมา เพราะตอนที่ยืนอยู่หน้ารอยแตกสีแดงนั้น มันรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแห่งความอันตรายอย่างรุนแรงจริงๆ

“แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เจ้าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้?” ไนท์แมร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมา “ทุกอย่างมันสายไปเสียแล้ว ถ้าเจ้าเป็นหนึ่งในสมาชิกของสำนักซีคลาวด์แล้วเสนอสมมติฐานนี้เร็วกว่านี้ซักหนึ่งพันปี บางทีมันอาจจะมีโอกาสเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ แต่หลังจากที่เผ่าพันธุ์ข้าได้รับชิ้นส่วนสืบทอดของอารยธรรมที่สามมา สงครามมันก็ไม่อาจหยุดได้แล้ว”

อารยธรรมที่สาม…น่าจะหมายถึงอารยธรรมใต้ดิน โรแลนด์ผ่อนความเร็วในการพูดลง “การสืบทอดที่่ว่า…มันเป็นยังไงกันแน่?”

วัลคีรีย์งุนงงไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะขึ้นมา “อะไรกันเนี่ย ที่แท้พวกเจ้าก็ไม่เคยได้รับเศษชิ้นส่วนสืบทอดงั้นเหรอ”

“ตอบคำถามของฝ่าบาท!” ฟิลลิสตะคอกเสียงต่ำๆ

“พวกเราไม่ต้องการเศษชิ้นส่วนอะไรนั่น แค่มีความรู้ของฝ่าบาทก็พอแล้ว!”

“มีแต่สัตว์ประหลาดอย่างพวกเจ้านั่นแหละที่ทำสงครามเพื่อก้อนหินเพียงก้อนเดียว!”

ในขณะที่โรแลนด์กำลังคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ตอบคำถามตัวเอง ไนท์แมร์พลันพูดออกมาว่า “ข้าจะบอกเจ้า หลังจากนั้นเจ้าก็จะเข้าใจเองว่าทำไมการคิดที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในตอนนี้มันถึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ขอเพียงได้ลิ้มรสความหอมหวานของการสืบทอดแล้ว อารยธรรมก็จะไม่มีทางรสชาติอันหอมหวานนั้นได้อีก มันมีแต่จะยิ่งทำให้หิวกระหายมากขึ้นไปอีก” มันชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะมองไปยังแม่มดที่อยู่ข้างกายโรแลนด์ “พวกเจ้าในตอนนี้คือตัวอย่างที่ดีที่สุด สมมติว่าให้มนุษยืทิ้งการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่ราชาแห่งเกรย์คาสเซิลนำมาให้ พวกเจ้าจะยอมไหมล่ะ?”

“เจ้าหมายความว่า…”

“ถูกต้อง ชิ้นส่วนสืบทอดนั้นเป็นแค่หนทางหนึ่งในการสืบทอดเท่านั้น” คำพูดของอีกฝ่ายได้ตอกย้ำการคาดเดาที่ผ่านมาของโรแลนด์ “เจ้าเอาความรู้ของที่นี่ถ่ายทอดให้กับมนุษย์ ก็เท่ากับว่ามนุษย์ได้รับการสืบทอดจากโลกแห่งความฝัน แต่ผลจากเศษสิ้นส่วนมันมีความสมบูรณ์มากกว่านั้น มันไม่ได้ส่งผลต่อใครคนใดคนหนึ่ง หากแต่ส่งผลต่อทั้งอารยธรรม”

จากนั้นวัลคีรีย์ก็เล่าเรื่อง ‘เส้นทางแห่งการหลอมรวม’ ที่เกิดหลังจากสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่งจบลงไปร้อยกว่าปี ซึ่งนั้นเป็นส่งความสุดท้ายที่สมาพันธ์ไม่เคยรู้มาก่อน

“พวกเจ้าเองก็น่าจะรู้ ร่องรอยของอารยธรรมที่สามนั้นกระจัดกระจายไปกว่าครึ่งทวีป พวกเผ่าพันธุ์ข้ายึดครองเขตแบล็คสโตน มนุษย์ยึดครองดินแดนรุ่งอรุณ อารยธรรมที่สองยึดครองอาณาจักรซีสกาย อย่างนั้นอารยธรรมดที่สามก็คือเจ้าของโลกใต้ดิน พวกมันเป็นเหมือนกับไส้เดือน ร่างกายอ่อนแออย่างมาก แต่กลับเชี่ยวชาญในเรื่องการใช้พลังเวทมนตร์”

“เสียดายที่เจ้าพวกนั้นมันโชคไม่ดีดันไปเจอในสิ่งที่ไม่ควรเจอ ในตอนที่กำลังขุดโพรงใต้ดินอยู่ พวกมันดันไปเจอรอยแตกใต้ดินที่ทะลุจากเขตแบล็ตสโตนข้ามไปยังอาณาจักรซีสกาย เจ้าฟังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร คิดซะว่าพวกมันดังเผลอไปเจาะแนวป้องกันระหว่างรังของตัวเองกับอาณาจักรซีสกายเข้า อีกฝ่ายก็เลยฉวยโอกาสบุกเข้ามาในเขตแบล็คสโตน แล้วก็ไล่ฆ่าไส้เดือนพวกนั้นจนต้องถอยไป”

“ถ้าพวกข้ายื่นมือเข้าไปช่วย บางทีพวกมันอาจจะมีโอกาสรอดชีวิต แต่สำหรับเผ่าพันธุ์แล้ว ในตอนนั้นถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้พิสูจน์ตำนานชิ้นส่วนสืบทอด ดังนั้นในตอนนั้นจักรพรรดิซึ่งเป็นผู้ยกระดับจึงพากองทัพเข้าไปตีกระหนายอารยธรรมที่สามที่กำลังถอนร่นกลับมาจนทำให้มันติดอยู่ที่หุบเขาโกสต์”

“หุบเขาโกสต์ที่ว่านั้นตั้งอยู่ระหว่างยอดเขาสองแห่ง พื้นที่มีประมาณครึ่งหนึ่งของที่ราบลุ่มบริบูรณ์ ทั้งสองด้านเป็นแม่น้ำใต้ดินกับชั้นหินที่ลดหลั่นกันเป็นแนวยาวหลายพันกิโลเมตร พื้นแต่ละชั้นของหุบเขาแตกต่างกันอย่างมาก ชั้นก่อนหน้านี้เป็นโพรงใต้ดินขนาดใหญ่ ชั้นต่อไปกลายเป็นเนินเขาเปิดโล่ง ต่อให้พวกไส้เดือนถนัดในการขุดดินแค่ไหนก็ยากที่จะปิดบังร่องรอยของตัวเองได้”

“สงครามนี้ยืดเยื้ออยู่เกือบสิบปี ร่างระดับต้นของเผ่าพันธุ์ข้าที่ตายไปในศึกนี้มีมากกว่าที่ตายด้วยน้ำมือมนุษย์ในสงครามแห่งโชคชะตาครั้งแรกเสียอีก ผลสุดท้ายคือจักรพรรดิกับอาณาจักรซีสกายต่างได้ชิ้นส่วนสืบทอดไปคนละส่วน”

โรแลนด์กลั้นหายใจ ถึงแม้เขาจะไม่อยากแสดงความอยากรู้ออกมาเพื่อให้อีกฝ่ายได้ใจ แต่ข้อมูลนี้ก็ยังน่าตกใจจนทำให้เขาลืมที่จะควบคุมสีหน้าของตัวเอง

“จากนั้นล่ะ?”

“หมดแล้ว”

“หา…?”

“ข้าหมายถึงกาแฟ” วัลคีรีย์เลียริมฝีปาก “เจ้าเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่ากินไปคุยไป?”

โรแลนด์เป็นใบ้ไปทันที คุยกันมาถึงขนาดนี้แล้ว มันก็ยังพยายามที่จะเป็นคุมเกมอยู่ ควรจะบอกว่าอีกฝ่ายชอบเอาชนะหรือว่าหยิ่งทะนงเกินไปดีล่ะเนี่ย? แต่บ่นไปมันก็เท่านั้น เขารีบเรียกพนักงานเข้ามา ก่อนจะสั่งกาแฟคาร์การ์ดไปอีกสามแก้ว “เราคุยกันต่อได้แล้วใช่ไหม”

“การหลอมรวมนั้นไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร จักรพรรดิเอาชิ้นส่วนที่ชิงมาได้วางไว้ข้างๆ เศษชิ้นส่วนของเผ่าพันธุุ์ข้า จากนั้นชิ้นส่วนทั้งสองก็หลอมรวมเป็นหนึ่ง พริบตานั้นเอง พวกเราก็ได้รับทุกสิ่งทุกอย่างของอีกฝ่ายมา ทั้งภาษา ความรู้ การใช้พลังเวทมนตร์…หรือไปถึงชีวิต” ไนท์แมร์ค่อยๆ พูด “ไส้เดือนที่ยังชีวิตอยู่แห้งตายไปเหมือนต้นหญ้า พละกำลังของเผ่าพันธุ์ข้าเพิ่มขึ้นมามาก พลังเวทมนตร์เหมือนกับประตูตอนรับพวกข้า ความรู้ต่างๆ นาๆ ลอยขึ้นมาในหัว ไม่ว่าจะยอมหรือไม่ยอมรับก็ล้วนแต่ไม่สามารถปฏิเสธในจุดนี้ได้ เผ่าพันธุ์ของพวกข้าแข็งแกร่งขึ้นกว่าตอนที่ทำสงครามแห่งโชคชะตาครั้งแรกมาก”

“นับแต่นั้นมาก็ไม่มีใครสงสัยในความเมตตาของพระเจ้าอีก ก็เหมือนกับที่ข้าได้บอกไป หลังได้ลิ้มลองความรู้สึกแบบนั้นซักครั้งก็จะไม่มีวันลืมได้” มันยกแก้วกาแฟใบใหม่ขึ้นมา “ตอนนี้เจ้าเข้าใจความหมายของคำว่าสายไปแล้วใช่ไหม? ไม่ว่าพวกเจ้าจะได้รับอะไรมาจากโลกแห่งความฝัน ขอเพียงข้าได้รับชิ้นส่วนสืบทอดของมนุษย์มา ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นของผู้ชนะ เจ้าคิดอยากจะใช้คำเตือนของเทวทูตผู้ทรยศมาหยุดยั้งสงครามนี้? แบบนั้นมีแต่จะทำให้เจ้าเหนื่อยเปล่า”

เรื่องที่แม้แต่ซิอาวิสผู้เป็นอาจารย์ยังทำไม่ได้ แล้วมนุษย์ตัวผู้คนหนึ่งจะไปทำได้อย่างไร

“มันก็ใช่…” โรแลนด์ถอนหายใจ “แต่ข้าไม่เคยคิดจะใช้คำเตือนนั้นมาหยุดยั้งสงคราม”

“….เจ้าอยากจะพูดอะไร?” วัลคีรีย์ขมวดคิ้วขึ้นมา

“สิ่งที่จะหยุดสงครามได้ มันก็มีแค่ตัวสงครามเท่านั้น” เขาพูดพร้อมจ้องมองไนท์แมร์

…………………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด