Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1453 เงาของเมืองหิน

Now you are reading Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ Chapter 1453 เงาของเมืองหิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บนที่รามลุ่มบริบูรณ์

นับตั้งแต่ที่ออกเดินทางมาจากเนเวอร์วินเทอร์ ไลต์นิ่งกับเมซี่ก็บินต่อเนื่องมาเกือบสิบวันแล้ว

พวกเธอบินลาดตระเวนอยู่บนที่ราบลุ่มด้วยความด้วย 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งนี่เป็นอัตราความเร็วที่ประหยัดพลังเวทมนตร์มากที่สุด พลังเวทมนตร์ที่ฟื้นฟูขึ้นมาในเวลากลางคืนสามารถใช้ได้ทั้งวัน มีแต่ตอนที่ต้องตั้งเต็นท์หรือว่าล่าเหยื่อเท่านั้น ทั้งสองคนถึงจะลงมาบนพื้นดิน

ตอนนี้ทีมนักสำรวจได้เข้าไปในพื้นที่ที่ในอดีตไม่เคยย่างเท้าเข้ามาก่อน ถึงแม้ในมือจะมีแผนที่ในยุคสมัยสมาพันธ์อยู่ แต่การเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาหลายร้อยปีก็ทำให้ถนนหนทางรกร้าง แม่น้ำเหือดแห้ง เมืองจำนวนมากต่างถูกต้นหญ้าและพุ่มไม้กลืนกินจนไม่สามารถใช้เป็นตัวบอกทางได้อีก สิ่งที่สามารถใช้เป็นตัวบอกทางให้พวกเธอได้มีเพียงดวงดาวบนท้องฟ้าและสันหลังของทวีปขนาดใหญ่ที่อยู่ไกลๆ

ในระยะนี้ รูนสดับนั้นไม่สามารถใช้ติดต่อสื่อสารกับทางเนเวอร์วินเทอร์ได้อีก พื้นดินอันกว้างใหญ่เหมือนเหลือเพียงแค่หนึ่งคนกับหนึ่งนก ความรู้สึกเล็กน้อยและอ้างว้างโดดเดียวเป็นอุปสรรคสำคัญของการผจญภัย ถ้าหากไม่มีเพื่อนอยู่ข้างกาย ไลต์นิ่งก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถบินไปแบบนี้ด้วยตัวคนเดียวได้หรือเปล่า

เป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้ของพวกเธอมีความแน่ชัดอย่างมาก นั่นคือระบุตำแหน่งของพระผู้สร้างแห่งใหม่ของปีศาจ ขณะเดียวกันก็ทำการ ‘เปิดพื้นที่’ ดินแดนรกร้างที่อยู่นอกทาคิลา

ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่การจะหาแผ่นดินลอยฟ้าบนดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาลขนาดนี้กลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพื่อที่จะประหยัดแหล่งแร่อาญาสิทธิ์ เมืองจักรพรรดิของศัตรูจะต้องบินไม่สูงแน่นอน เผลอๆ อาจจะบินต่ำจนเลียดพื้นด้วยซ้ำ เมื่อมองจากไกลๆ พระผู้สร้างก็ไม่ได้ต่างอะไรจากภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง ต้องบินเข้าไปอยู่ในระยะ 100 กิโลเมตรถึงจะสามารถระบุเป้าหมายได้จากหมอกแดงได้ แถมนี่ยังต้องอยู่ในสถานการณ์ที่อากาศค่อนข้างดีอีกด้วย

ดังนั้นเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้บินเฉียดเข้าไปใกล้พระผู้สร้าง ไลต์นิ่งจึงเลือกเส้นทางบินซิกแซก และขอบของเส้นทางซิกแซกก็คือสันหลังของทวีป

“โครกกก…”

ทันใดนั้นเอง ในท้องของนกเหยี่ยวที่อยู่บนหัวก็ส่งเสียงร้องออกมา

“เจ้าหิวอีกแล้วเหรอ?” ไลต์นิ่งเงยหน้าขึ้นถาม

“จิ๊บ” เมซี่พยักหน้า

“เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าไม่ได้ขยับไปไหนเลย ทำไมถึงหิวเร็วกว่าข้าได้?”

“เพราะว่าข้าจ้องไปที่พื้นที่ตลอดนะสิ!” เมซี่โน้มตัวลงมาเอาหน้าถูๆ ไปกับแก้มของเมซี่ “ดวงตากับสมองมันเชื่อมต่อกันอยู่ แล้วในหนังสือก็บอกว่าคนที่ใช้สมองนั้นคือคนที่เหนื่อยที่สุดจิ๊บ!”

เดี๋ยวๆ ในหนังสือเรียน ‘วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ’ ไม่ได้เขียนเอาไว้แบบนี้นะ….ในนั้นบอกว่าต่อให้เป็นตอนที่ไม่ได้ขยับ แต่สมองก็ยังเป็นอวัยวะที่ใช้พลังงานเยอะที่สุด นี่ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไม่ขยับจะไม่ต้องใช้สมองนะ

เพียงแต่ความรู้สึกจักจี้ตรงแก้มทำเอาเมซี่ไม่สามารถบินต่อไปได้ เธอได้แต่ต้องลดความเร็วลงแล้วร่อนลงไปที่พื้น เมื่อดูจากท้องฟ้าแล้ว พวกเธอบินต่อได้อีกอย่างมากก็ครึ่งชั่วโมง ถ้าพักก่อนตอนนี้เลยก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาอะไร ยิ่งไปกว่านั้นเนื้อแห้งที่อยู่ในกระเป๋าก็เหลืออยู่ไม่เท่าไรแล้ว ใช้เวลาตรงนี้มาหาอาหารเพิ่มก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเหมือนกัน

แต่แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเธอไม่สามารถปฏิเสธเมซี่ที่ใช้สารพัดวิธีในการออดอ้อนได้

“อย่างนั้นก็เหมือนเดิม เจ้าไปล่ามา ข้าจะก่อไฟ ถ้าเจออะไรให้ติดต่อผ่านรูนสดับทันที เข้าใจไหม?”

“รับทราบจิ๊บ!”

พอพูดจบเมซี่ก็แปลงกายกลายเป็นอสูรสยองบินขึ้นไปบนท้องฟ้า

ไลต์นิ่งมองหาจุดตั้งที่พักอย่างเหนื่อยใจพร้อมกับเริ่มเตรียมตัวสำหรับอาหารเย็น ด้วยการสนับสนุนทางด้านเทคโนโลยีของโรแลนด์ พวกของใช้ที่จำเป็นสำหรับการออกมาสำรวจ อย่างเช่น หินจุดไฟ เชื้อเพลิงและคบเพลิงล้วนแต่ถูกแทนที่ด้วยผลิตภัณฑ์ทางอุตสาหกรรมที่มีขนาดเล็กกะทัดรัด อย่างเช่นไม้ขีดกันน้ำกันลมที่มีขนาดเพียงครึ่งฝ่ามือ ไฟฉายที่ใช้แบตเตอรี่แห้งแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง และมีดพับเอนกประสงค์ที่มีเครื่องมือหลายอย่างจนทำให้นักสำรวจทุกคนต่างชื่นชอบมันอย่างมาก…

ของเหล่านี้ล้วนแต่สามารถพกพาไว้ในกระเป๋าเสื้อได้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงเอาพื้นที่ว่างที่เหลือกว่าครึ่งในกระเป๋าสะพายมาใส่เครื่องเทศชนิดต่างๆ แทน ขอเพียงมีเวลามากพอ เธอก็สามารทำอาหารชนิดต่างๆ ออกมาได้ไม่ซ้ำกันเลยทีเดียว บางครั้งไลต์นิ่งยังนึกสงสัยตัวเองว่าเธอเก่งในเรื่องการออกไปสำรวจหรือว่ามีพรสวรรค์ในการทำอาหารกันแน่

ที่ไลต์นิ่งหิวเร็วขนาดนี้ เกรงว่าอาจจะเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย

ทุกอย่างหลังจากนั้นเป็นไปตามปกติ ไม่นานสาวน้อยก็จับวัวป่ากลับมาได้ตัวหนึ่ง ก่อนจะใช้กรงเล็บตัดมันออกเป็นหลายๆ ส่วน ไลต์นิ่งเลือกเอาส่วนที่ดีที่สุดออกมาทำรมควันหรือไม่ก็เอาไปฝังในดินแล้วเผา ทุกสองคนทำแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว การประสานงานเรียกได้ว่าไหลลื่นเหมือนสายน้ำ ในตอนที่กองไฟมอดลง พวกเธอไม่เพียงแต่จะกินอิ่มท้อง แต่กระเป๋าเสบียงที่เหี่ยวแห้งยังกลับมาเต็มใหม่อีกครั้งด้วย ทุกอย่างเหมือนกลับไปยังตอนแรกที่ออกเดินทาง สิ่งเดียวที่ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ก็คือเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้

แต่ไม่นานความกลัวเล็กๆ น้อยๆ นี้ก็ถูกความง่วงและความเหนื่อยล้าหลังกินอาหารเสร็จเข้ามาแทนที่

หลังติดตั้งรูนกรีดร้องเรียบร้อย ไลต์นิ่งก็กอดเมซี่เข้าไปในถุงนอน ก่อนจะหลับไปอย่างรวดเร็ว

วันถัดมา ในตอนที่เธอหรี่ตาลืมขึ้นมา ตรงเส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไปเหมือนจะมาเงาอะไรบางอย่างเพิ่มขึ้นมา

ไลต์นิ่งขยี้ตาอย่างงัวเงีย — ตรงนั้นมันควรจะเป็นที่ราบลุ่มธรรมดาๆ เมื่อวานเธอทำการสำรวจสภาพภูมิประเทศรอบๆ ซ้ำหลายครั้งแล้ว ไม่มีทางที่จะพลาดเนินเขาแบบนี้ไปได้นี่นา

ใช้เวลาอยู่หลายนาทีกว่าเธอจะชินกับดวงตาที่เพิ่งตื่นนอน เธอเพ่งมองออกไปอีกครั้ง ก่อนจะต้องตกตะลึงไปทันที — เมื่อมองผ่านหมอกบางๆ ออกไป เค้าโครงของยอดเขาลูกนั้นเป็นเส้นตรงราบเรียบ ดูแล้วไม่คล้ายว่าถูกสร้างขึ้นมาโดยธรรมชาติแม้แต่นิดเดียว สิ่งที่ทำให้เธอยิ่งตกใจก็คือ ในเวลาเพียงไม่กี่นาที มันกลับมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม นั่นหมายความว่าเจ้าสิ่งนั้นมันกำลังมุ่งหน้าเข้ามาหาเธอ

และ ‘ยอดเขา’ ที่สามารถเคลื่อนที่อยู่บนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ได้ ไลต์นิ่งก็รู้จักอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เธอรีบปลุกเมซี่อย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าจิกข้าหน่อยสิ”

“จิ๊บ” อีกฝ่ายงอนิ้วชี้ขึ้นมา ก่อนจะดีดไปที่หน้าผากเธอแรงๆ ทีหนึ่ง —

ความเจ็บปวดชัดเจน

นี่ไม่ใช่ความฝัน

ทันใดนั้นเอง ลมยามเช้าสายหนึ่งพลันพัดผ่านร่างกายของทั้งสองคนจนผมสีขาวของเมซี่ปลิวขึ้นมา

ขณะเดียวกันสิ่งที่ถูกพัดจนกระจายออกยังมีหมอกที่เบาบาง

พริบตานั้นเอง เงาๆ นั้นก็ได้เผยโฉมหน้าที่แท้จริงของมันออกมา — บนภูเขาสีดำที่เป็นเหมือนสามเหลี่ยมกลับหัวมีพิระมิดขนาดใหญ่มหึมาแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ตัวพิระมิดทั้งตัวประกอบขึ้นมาจากหินสีดำ ขนาดของมันยากที่จะประเมินได้ ถ้าบอกว่ากึ่งกลางของพระผู้สร้างอันก่อนหน้านี้คือเมืองปีศาจ อย่างนั้นพิระมิดอันนี้ก็ใหญ่พอที่จะใส่เมืองปีศาจทั้งเมืองเข้าไปได้

นี่คงจะเป็นเหตุผลที่ด้านบนของภูเขาไม่มีหมอกแดงกระจายตัวอยู่

พิระมิดอันใหญ่และอันเล็กสองอันประกบเข้าด้วยกัน ทำให้แผ่นดินลอยฟ้าแห่งนี้เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม พระผู้สร้างอันก่อนหน้านี้ยังพอดูเหมือนเทือกเขาอยู่บ้าง แต่เมืองจักรพรรดิแห่งใหญ่นี้ดูไม่เหมือนวัตถุตามธรรมชาติเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะเป็นพื้นผิวภายนอกทั้งหมดหรือว่าตัววัตถุที่มีความสมมาตรกันก็ล้วนแต่เหมือนกำลังแสดงพลังของปีศาจออกมาให้เห็นอยู่

คิดไม่ถึงเลยว่าพระผู้สร้างแห่งที่สองที่พวกเธอค้นหามาตลอดจะปรากฏขึ้นตรงหน้าแบบนี้

ไลต์นิ่งรับพาเมซีบินขึ้นไปโดยไม่สนใจที่จะเก็บกระทั่งถุงนอน

เมื่อความสูงเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ภาพที่อยู่ด้านหลังเมืองจักรพรรดิก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา

จุดสีดำจำนวนมหาศาลกำลังไหลทะลักอยู่บนที่ราบลุ่มเหมือนกับสายน้ำหลาก ท่ามกลางกระแสน้ำนี้มีท่อหมอกแดงจำนวนนับไม่ถ้วนวางพาดผ่านไปมา พวกมันกับจุดสีดำรวมกันกลายเป็นเหมือนผ้าผืนหนึ่งที่กลืนกินทุกอย่าง ไลต์นิ่งกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว ถ้าพวกนั้นคือปีศาจ อย่างนั้นจำนวนของมันก็อาจจะมากกว่าประชากรของสี่อาณาจักรใหญ่รวมกันเสียอีก!

นี่คือกองทัพหลักของศัตรูที่กำลังทำการอพยพอย่างไม่ต้องสงสัย!

……………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด