บัลลังก์หมอยาเซียน 115 หลู่เฟยร้องเรียน

Now you are reading บัลลังก์หมอยาเซียน Chapter 115 หลู่เฟยร้องเรียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อ๋องฉีพลันสีหน้าเปลี่ยน เขาไม่เคยเห็นฉู่หมิงชุ่ยเป็นแบบนี้มาก่อน ที่ผ่านมานางมักพูดจาอ่อนโยนนุ่มนวล ทำสิ่งใดก็ล้วนใจกว้างหนักแน่น ใจดีมีเมตตาต่อผู้อื่น กระทั่งคนรับใช้ในวัง นางก็ไม่เคยวางตัวแบ่งแยกชนชั้น กับบรรดาแม่นมอาวุโสในวัง นางก็ยิ่งรักษาน้ำใจให้เกียรติพวกนางยิ่งนัก

นางไม่เคยพูดจาเด็ดขาดรุนแรงขนาดนี้มาก่อน

ต้องตกใจเป็นใหญ่แน่ๆ เลย

อ๋องฉีคิดดังนี้ ก็ยื่นมือออกไปกอดนางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน "ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องตื่นตกใจไป"

ฉู่หมิงชุ่ยซบอยู่กับไหล่ของเขาราวท่อนไม้ที่แข็งทื่อท่อนหนึ่ง ส่งเสียงคำรามเบาๆ ในลำคอ นางรู้แก่ใจว่านางหลุดการควบคุมตัวเองไปแล้ว แต่นางก็ไม่สนใจอีกต่อไป อ๋องฉีบริสุทธิ์ไร้เดียงสา เป็นคนซื่อๆ ไม่ค่อยทันคน ปักใจเพียงนางไม่เคยเป็นอื่น ไม่ว่านางจะพูดจาบาดหูอีกสักเพียงใด จะใจร้ายโหดเหี้ยมอีกสักแค่ไหน เขาก็จะไม่มีวันทอดทิ้งรังเกียจนาง

บางที มันคงถึงเวลาที่ควรลืมพี่เห้าไปจากใจจริงๆ ได้แล้ว อ๋องฉีเป็นคนดีมาก อีกทั้งในตอนนี้ เขาก็ยังเป็นตัวเลือกที่มีความได้เปรียบที่สุด ที่สามารถให้ทุกสิ่งที่ใจนางปรารถนาได้

เมื่อนึกถึงคำผรุสวาทที่โยนใส่หยวนชิงหลิงเมื่อครู่ นางก็รู้สึกทั้งละอายและโกรธเคืองไม่หาย ทำไมนางถึงได้พูดคำหยาบคายเช่นนั้นออกมาได้ล่ะ นั่นควรเป็นสิ่งที่หยวนชิงหลิง เป็นคนพูดต่างหาก

"ทำไมหยวนชิงหลิงถึงต้องผลักเจ้าตกทะเลสาบด้วยล่ะ นางเสียสติไปแล้วอย่างนั้นหรือ" อ๋องฉีเอ่ยถามเมื่อเห็นว่านางสงบลงบ้างแล้ว

ฉู่หมิงชุ่ยค่อยๆ สงบจิตสงบใจลง ตอนที่นางเห็นหยวนชิงหลิงยืนอยู่ริมทะเลสาบในจวนอ๋องหวย ในใจนางพลันเกิดแรงกระตุ้นอันรุนแรงบางอย่าง ที่อยากจะผลักนางลงทะเลสาบไป อยากฆ่านางให้ตายไปซะให้พ้น ๆ

แรงกระตุ้นอันโหดเหี้ยมที่ปะทุขึ้นมาอย่างฉับพลันนั้น ทำให้นางจัดเรียงความคิดตัวเองได้ไม่สมบูรณ์ คิดเพียงแค่ว่ารอให้ถึงเวลาที่หยวนชิงหลิงจมน้ำตายไปแล้ว ค่อยบอกคนอื่นว่า พวกนางสองคนตกทะเลสาบไปพร้อมกันแค่นั้นก็พอแล้ว

แต่ชั่วขณะที่ตกลงไปในน้ำ นางก็นึกถึงคำพูดของท่านปู่ จึงตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ เจตนาฆ่าของนางพลันลดน้อยลง แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ไม่อาจปล่อยหยวนชิงหลิงไปง่ายๆ

การกดให้หยวนชิงหลิงจมน้ำ ย่อมทำให้อีกฝ่ายเกิดการดิ้นรนต่อต้านอย่างรุนแรง ถ้าหยวนชิงหลิงทำร้ายนาง มันก็ยิ่งพิสูจน์ได้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาร้ายแอบแฝง อย่างน้อยต่อจากนี้ไป พี่เห้าย่อมต้องเกลียดชังอีกฝ่ายชนิดเข้ากระดูกดำเป็นแน่

แต่เพราะอะไรกัน กระทั่งการคาดเดาในขั้นตอนนี้ก็ยังผิดพลาดไปได้

"ผู้หญิงคนนี้โหดร้ายเกินไปจริงๆ ข้าอุตส่าห์คิดว่านางเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนบ้างแล้วแท้ๆ" อ๋องฉีพูดด้วยความโกรธเคือง

ฉู่หมิงชุ่ยฝืนทำเป็นร่าเริง "ช่างเถอะ ข้าก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ให้มันจบกันแค่นี้ ไม่ต้องไปไล่ตามทวงถามอะไรอีกแล้วนะเพคะ"

"ชุ่ยเอ๋อ เจ้าจะใจอ่อนเกินไปแล้วนะ ครั้งนี้หากเจ้ายอมปล่อยนางไปง่ายๆ ใครจะไปรู้ว่าจะมีครั้งหน้าอีกหรือไม่" อ๋องฉีรู้สึกว่าเขาไม่อาจปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้ง่ายๆ คงต้องขึ้นอยู่กับคำอธิบายของพี่ห้าแล้ว หากฟังแล้วไม่เป็นที่น่าพอใจ ก็ต้องไปกราบทูลร้องเรียนต่อเบื้องพระพักตร์เสด็จพ่อ

"จะอย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกัน จะทำลายความสมานฉันท์กันเสียเปล่าๆ อีกทั้งคงเป็นเพราะความหุนหันพลันแล่นชั่วขณะ บางทีนางคงเห็นว่าข้ากับพี่เห้าเติบโตมาด้วยกัน รักใคร่ผูกพันกันมาตั้งแต่ยังเล็ก คิดว่าพี่เห้ามีใจให้ข้า ถึงได้เสียสติเช่นนี้ก็เป็นได้"

"น่าขำสิ้นดี แม้ว่าเจ้ากับพี่ห้าจะเติบโตมาด้วยกันก็จริง ทั้งยังเคยพูดถึงเรื่องแต่งงานมาก่อน แต่จนถึงตอนนี้ ต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันไปแต่งงานมีครอบครัวกันหมดแล้ว เรื่องในอดีตที่ผ่านไปก็ไม่เอ่ยถึงอีก การที่นางเอาแต่ยึดติดกับเรื่องเก่าๆ เช่นนี้ นางมีเป้าหมายอะไรกันแน่"

ฉู่หมิงชุ่ยถอนหายใจเบาๆ "จะมีเป้าหมายอะไรได้ล่ะเพคะ ก็คงไม่พ้นคิดหวังในตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทน่ะสิ"

"เพื่อตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทงั้นรึ"

ฉู่หมิงชุ่ยโน้มตัวเข้าไปแนบชิดในอ้อมแขนของเขา "ตอนนี้ตำแหน่งรัชทายาทยังไม่ได้กำหนดแน่ชัด ในบรรดาอ๋องทั้งหมด ท่านคือผู้ที่มีหวังมากที่สุด นางคงจะไม่สบายใจเป็นแน่ หากสามารถสร้างความแตกแยกจนท่านกับพี่เห้าผิดใจกันได้ พี่เห้าก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงแย่งชิงตำแหน่งนี้กับท่านแล้ว ด้วยวิธีคุกคามแบบนี้ นางก็จะสามารถเติมเต็มความปรารถนาของตัวเอง ได้สมหวังกลายเป็นไท่จื่อเฟย"

อ๋องฉีบันดาลโทสะ "นางเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เหตุใดจึงได้มีความทะเยอทะยานเกินตัวเช่นนี้นะ ข้าจะยอมให้นางได้สิ่งที่นางต้องการง่ายๆ ได้อย่างไรกัน"

ฉู่หมิงชุ่ยรู้สึกสงบใจลงไปได้มาก หากสามารถกระตุ้นให้เขาเกิดแรงขับเคลื่อนจากเหตุการณ์นี้ได้จริงๆ มันก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากทีเดียว

"เสด็จแม่ก็ทรงวิ่งเต้นเพื่อท่านไม่น้อย แม้ว่าข้าเองก็คิดว่า ท่านคงไม่สนใจตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทนัก ตัวข้าก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน แต่อย่างไรแผ่นดินของราชวงศ์เป่ยถัง ก็จำเป็นต้องมีผู้มากความสามารถอยู่เสมอ อ๋องจี้นั้นโหดเหี้ยมเผด็จการ ข้าเคยได้ยินข่าวลือที่ว่าการลอบสังหารพี่เห้าเมื่อคราวก่อน ก็เป็นเพราะอ๋องจี้เป็นผู้สั่งการให้ลงมือ หากอ๋องจี้กล้าลงมือกับพี่เห้า แล้วทำไมเขาจะไม่กล้าลงมือกับท่านล่ะเพคะ"

"พี่ใหญ่น่ะหรือ" อ๋องฉีสีหน้าเปลี่ยนทันควัน "เจ้าไปได้ยินข่าวลือนี้มาจากไหน"

"ไม่ต้องถาม แต่ข่าวนี้เชื่อถือได้"

อ๋องฉีรู้ว่าแหล่งข่าวของนางคือตระกูลฉู่ หากเป็นเช่นนั้นจริง ข่าวลือก็ต้องเป็นไปตามนั้นแน่ เขาอดไม่ได้ที่จะทั้งโกรธแค้นและโศกเศร้า เพื่อตำแหน่งรัชทายาท พี่น้องจึงต้องหันมาต่อสู้ห้ำหั่นกันอย่างโหดร้ายถึงเพียงนี้ ต้องเดินไปบนเส้นทางที่เจ้าตาย ข้าถึงจะรอด ช่างเป็นวิถีชีวิตที่โหดเหี้ยมอำมหิตอะไรขนาดนี้?

ในส่วนที่ว่าหากจะพูดกันตามตรง ว่าตัวเขาไม่เคยหวังในตำแหน่งรัชทายาทเลย ก็คงนับได้ว่าเป็นเรื่องโกหก แต่เขาก็รู้ระดับความสามารถของตัวเองดี หากต้องยกภาระหน้าที่ความรับผิดชอบของทั้งประเทศมาฝากไว้บนบ่าเขา แล้วตัวเขาเองจะมีความสามารถมากพอที่จะแบกรับมันไว้ได้ไหวจริงๆ น่ะหรือ

แต่ถ้าเมื่อไรที่อ๋องจี้ได้รับสิทธิ์อำนาจนี้ไปจริงๆ เขาจะสามารถถอยหลังให้แบบเงียบๆ แล้วไปใช้ชีวิตเป็นอ๋องผู้เกียจคร้านได้อย่างสบายใจจริงๆ น่ะหรือ

ฉู่หมิงชุ่ยพูดต่อ "เพื่อตำแหน่งรัชทายาท ทุกคนต่างก็ต้องคดในข้อ งอในกระดูกกันทั้งนั้น แม้แต่หยวนชิงหลิงก็ยังรู้เลยว่า มันเป็นความเกี่ยวโยงสัมพันธ์ที่ทั้งร้ายกาจ และทั้งยิ่งใหญ่มากมายขนาดไหน นี่ไม่ใช่แค่การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจความเป็นใหญ่ แต่เป็นการต่อสู้ที่ว่าใครจะได้อยู่ต่อ ใครจะต้องตายจากไป ไม่ว่าท่านจะกระโดดเข้าสู่สนามรบนี้หรือไม่ ท่านก็หนีการต่อสู้นี้ไม่พ้น เพราะท่านเป็นโอรสที่เกิดจากเสด็จแม่ ในวันข้างหน้า อ๋องจี้อาจจะปล่อยให้คนอื่นได้มีชีวิตอยู่ต่อ แต่จะไม่มีวันยอมปล่อยท่าน และจะไม่มีวันยอมปล่อยเสด็จแม่ด้วย"

อ๋องฉีจับมือนางไว้แน่น "ข้าจะคิดหาหนทางในเรื่องนี้เอง เจ้าอย่ากังวลให้มากเลยนะ"

ที่ผ่านมา อ๋องฉีรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเก็บเอาเรื่องพวกนี้มาคิดให้รกสมอง แต่เขาก็แอบคิดอยู่เสมอว่า มันยังไปไม่ถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่ร้ายแรงที่สุดนั้น

แต่วันนี้เมื่อรู้ว่าเป็นอ๋องจี้ที่เป็นคนสั่งการให้ลอบสังหารพี่ห้า เขาก็ตระหนักได้ในที่สุดว่า ไม่ใช่เพราะมันยังไม่ถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อร้ายแรงอะไรทั้งนั้น แต่เพราะเขากลัวที่ตัวเองจะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันต่างหาก

เหตุการณ์ที่พระชายาทั้งสองตกน้ำ ในเวลาเพียงไม่นาน ก็แพร่กระจายไปจนทั่วพระราชวัง

แน่นอนว่าผู้ที่โกรธเคืองที่สุด ก็คือหลู่เฟย

อ๋องหวยป่วยหนัก จนถึงขั้นหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตแล้วแท้ๆ แต่กลับถูกรบกวนด้วยเรื่องบ้าๆ แบบนี้อีก จะไม่ทำให้นางโกรธเคืองได้อย่างไรล่ะ

นางร้องไห้พลางไปเข้าเฝ้าเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้หมิงหยวน ทูลฟ้องรายงานเรื่องนี้ทันที

หลังทูลรายงานเสร็จ นางก็ร้องไห้พร้อมกล่าวประณามว่า "พระชายาฉู่ช่างรังแกเกินไปแล้วจริงๆ เพคะ นางมีความคับแค้นข้องใจอะไรกับพระชายาฉี ก็ควรจะไปแก้ไขกันข้างนอกแท้ๆ เหตุใดถึงต้องมาทำเรื่องร้ายกาจเช่นนี้ในจวนของหวยเอ๋อด้วยหรือ หากตอนนี้เกิดเหตุคนตายในจวนอ๋องหวยขึ้นมา มันจะไม่กลายเป็นความผิดของหวยเอ๋อไปหรอกหรือเพคะฝ่าบาท"

ฮ่องเต้หมิงหยวน ทรงไม่สบายพระทัยเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของโอรสเป็นทุนเดิม ยิ่งมาได้ยินหลู่เฟยร้องห่มร้องไห้ทูลฟ้องเช่นนี้ ก็ยิ่งกริ้วโกรธอย่างมาก "พระชายาฉู่ถึงกับกล้าลงมือทำร้ายคนภายในจวนอ๋องหวยเชียวรึ ช่างเป็นคนที่ไร้เหตุผลสิ้นดี เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะต้องให้นางชดใช้ความผิดอย่างแน่นอน"

"ฝ่าบาท ใช่ว่าหม่อมฉันใจแคบนะเพคะ พระองค์ก็ทรงทราบดีแล้ว ว่าหวยเอ๋อกำลังป่วยหนัก เขาทนการกระตุ้นจากเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนี้ไม่ไหว บัดนี้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในจวนอ๋อง เขาร้อนรนกระวนกระวายจนไข้ขึ้นสูง ทำให้อาการทรุดหนักลงไปอีก หม่อมฉันเป็นห่วงเขาเหลือเกินเพคะ" หลู่เฟยร้องไห้ฟูมฟาย จนน้ำหูน้ำตาไหลนองอาบเต็มใบหน้า

ฮ่องเต้หมิงหยวนตรัสอย่างโกรธกริ้ว "แจ้งไปยังกู้ซือ สั่งให้เขาไปตรวจสอบเรื่องในจวนอ๋องหวยให้ละเอียด แล้วสั่งให้พระชายาฉู่เข้าวังโดยด่วน"

หลู่เฟยรีบทูลต่อทันทีว่า "ทูลฝ่าบาท พระชายาฉีเป็นเหยื่อที่ถูกทำร้าย หลังจากตกน้ำ นางก็ตกใจกลัวอย่างมาก ฝ่าบาทโปรดเมตตารับสั่งให้คนไปปลอบโยนนางด้วยเถิดเพคะ"

ฮ่องเต้หมิงหยวนทรงเห็นว่าหลู่เฟย ทั้งที่อยู่ในช่วงเวลาทุกข์ทนเช่นนี้ ก็ยังสามารถจดจำได้ว่าไม่ควรทำให้ฮองเฮาและตระกูลฉู่เคืองใจ ช่างเป็นคนที่คิดอ่านได้ชัดเจนแจ่มแจ้งเสียจริง

กระทั่งคนในวังหลังก็ยังรู้ว่าขัดใจตระกูลฉู่ไม่ได้

หลังจากส่งหลู่เฟยออกไปแล้ว ฮ่องเต้หมิงหยวน ก็เสด็จมายังห้องโถงตำหนักใน

กระดานหมากล้อมถูกจัดวางอยู่บนโต๊ะ ดูคล้ายว่าเดินไปได้ถึงครึ่งทางแล้ว จากมุมมองของสถานการณ์ที่ปรากฏบนกระดาน การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด แต่สำหรับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการมองเกม ฝ่ายหมากสีขาวควรเป็นฝ่ายแพ้แน่นอนแล้ว เส้นทางทั้งหมดไม่ว่าด้านหน้าหรือด้านหลัง ต่างก็ถูกตัดขาดจนสิ้น หากยังคงเล่นต่อไป ก็มีแต่ทางตายเพียงสถานเดียวเท่านั้น

เหลิ่งจิ้งเหยียนลุกขึ้นยืน "ฝ่าบาท ตาท่านวางหมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ"

ฮ่องเต้หมิงหยวนประทับนั่งลงอีกด้าน ทอดถอนพระปัสสาสะอย่างเศร้าสร้อย "ช่างเถอะ ไม่เล่นแล้วดีกว่า ใจข้ามันรู้สึกหงุดหงิดไปเสียแล้ว เดิมทีก็ยังคิดอยู่ว่าจะเดินหมากกับเจ้าให้รู้ดำรู้แดงสักตา น่าเสียดายแล้ว"

พระองค์ใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่ง ผลักตัวหมากจนมันกระจายเละเทะเต็มกระดาน "การต่อสู้นี้ ถือว่าเสมอไปแล้วกัน"

มุมปากของเหลิ่งจิ้งเหยียนกระตุกเล็กน้อย "เสมอได้ดีพ่ะย่ะค่ะ"

"เจ้าก็คงได้ยินเรื่องที่หลู่เฟยพูดมาแล้วใช่หรือไม่ เจ้าคิดว่าควรทำอย่างไรกับเรื่องนี้" ฮ่องเต้หมิงหยวนทรงตรัสถาม

เหลิ่งจิ้งเหยียนยังคงมองหมากด้วยความเสียดาย ตอบกลับไปว่า "ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยแน่ชัดแต่แรกแล้ว เช่นเดียวกับหมากตานี้ ผลแพ้ชนะล้วนตัดสินได้ชัดเจนแจ่มแจ้งแล้วเช่นกัน"

ฮ่องเต้หมิงหยวนทรงไม่สำราญเสียแล้ว "คุยธุระก็ว่าในเรื่องของธุระสิ มาพูดอะไรเรื่องหมาก"

เหลิ่งจิ้งเหยียนเป็นเช่นนี้ เป็นคนที่หากเสียเปรียบอะไรนิดอะไรหน่อยก็ยอมไม่ได้ แพ้ไม่เป็น กระทั่งจะเสมอ ก็ยอมเสมอให้ไม่ได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด