บัลลังก์หมอยาเซียน 746 พ่อลูกกินข้าว

Now you are reading บัลลังก์หมอยาเซียน Chapter 746 พ่อลูกกินข้าว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ที่หยวนชิงหลิงเป็นห่วงก็คือเรื่องนี้ นางถามอย่างระบายอารมณ์ว่า “ทำไมเป่ยถังจึงได้ยากจนเช่นนี้”

ท่านชายสี่เหลิ่งพูดว่า “ราษฎรยังถือว่าดี เพียงแต่ราชสำนักได้เสียเงินทองไปมากกับการทำสงครามที่การบริหารจัดการน้ำและการปราบโจรเจิ้งเป่ยรวมไปถึงการทำสงครามกับเป่ยโม่ บวกกับหลายปีมานี้ด้านทิศตะวันตกและทิศเหนือแห้งแล้ง เจียงหนานประสบอุทกภัยมาก ตั้งแต่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ ในประเทศก็มีแต่เรื่องไม่ได้หยุดหย่อน แต่ว่า ในรัชสมัยของไท่ซ่างหวง ก็ค่อยๆตึงมือกันแล้ว เพราะว่าก่อนที่ไท่ซ่างหวงจะสละบัลลังก์ไม่กี่ปีก็มีการส่งเสริมการเกษตรยับยั้งการทำการค้า กลับพลั้งมือติดต่อกันหลายปี ราชสำนักไม่เพียงแต่จะไม่สามารถเก็บภาษีได้ กลับยังต้องชดเชยให้กันราษฎร นับว่าฮ่องเต้ยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะปกครองประเทศให้ดี ไม่เช่นนั้นถ้ายังตกต่ำลงไปเรื่อยๆ เป่ยถังคงไม่มีสภาพอย่างเช่นทุกวันนี้ได้ ”

หยวนชิงหลิงมองท่านชายสี่เหลิ่ง อดไม่ได้ที่จะชื่นชมเขาเป็นอย่างยิ่ง “ที่จริงท่านก็พยายามเอาชีวิตรอดออกมาจากรอยแยกเพียงน้อยนิด แต่กลับทำกิจการให้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้ ยอดเยี่ยมจริงๆ”

ท่านชายสี่เหลิ่งพูดว่า “แรกเริ่มเป่ยถังก็อุดมสมบูรณ์ผู้คนก็มากมาย ราษฎรเองก็มีการสะสมสมบัติของครอบครัว บวกกับเหล่าเศรษฐีพ่อค้าขุนนางต่างก็เก็บสะสมความมั่งคั่งของตนเองและครอบครัว อีกอย่างคือมีประชากรมาก มีความต้องการในทุกด้านเป็นอย่างสูง เพียงแต่ราชสำนักไม่ได้มีนโยบายที่ดีและเป็นประโยชน์ ถ้ามีละก็ การค้าขายเจริญขึ้น เป่ยถังคงจะรุ่งเรืองตั้งนานแล้ว ครั้งนี้รัชทายาทได้เสนอเรื่องการส่งเสริมการค้า เส้นทางนั้นเดินถูกต้องแล้ว แต่จำเป็นต้องมีการเสียสละของคนบางส่วน”

หยวนชิงหลิงพูดว่า “แล้วใครล่ะจะยินดีเป็นผู้เสียสละคนนั้น”

“ดูที่โชคชะตากระมัง เหมือนอย่างเช่นจวิ้นจู่เมิ่งเยว่อย่างไรเล่า มีพ่อที่ไม่ดี สร้างปาบจริงๆ ”

หยวนชิงหลิงได้ยินก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจเข้าไปใหญ่ หลังจากที่เมิ่งเยว่คำนับนางเป็นอาจารย์ ก็มาน้อมทักทายนางอยู่บ่อยๆ เป็นเด็กดีที่เชื่อฟังคนหนึ่ง

และพระชายาจี้ที่แต่ไหนแต่ไรมาเป็นคนฉลาดหลักแหลม แต่ครั้งนี้ที่นางต้องเผชิญ ไม่ใช่การหลอกลวงจากคนภายนอก ไม่ใช่แผนการที่ชั่วร้าย แต่เป็นนโยบายในการปกครองประเทศของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน

นั่นไม่ใช่เรื่องที่พละกำลังของนางคนเดียวจะสามารถคัดค้านได้

“มีวิธีอะไรหรือไม่ ”หยวนชิงหลิงถาม

ท่านชายสี่เหลิ่งวางแมวลง มองที่นางและพูดว่า “ที่จริง เจ้าหญิงและจวิ้นจู่ในราชวงศ์ ดูแล้วเหมือนภาพลักษณ์จะสูงส่ง แต่ว่า แต่ไม่สามารถจะกุมชะตาชีวิตตนเองได้ โดยเฉพาะในตอนนี้ที่ประเทศชาติต้องการจะขจัดสถานการณ์ที่ตื้อตันทิ้งไป พวกนางจะกลายเป็นคนที่ต้องเสียสละได้ตลอดเวลา หยู่เหวินหลิงก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ ฮ่องเต้ไม่ได้รู้ถึงเบื้องลึกของข้าทั้งหมด ก็อนุญาตให้เจ้าหญิงแต่งงานกับข้า เมิ่งเยว่เป็นหลานสาว เกรงว่าเขาคงยิ่งจะไม่ใส่ใจ ข้าคงได้แต่พูดกับเจ้าเช่นนี้ แม้จะไม่ใช่หลี่เชา ก็จะเป็นคนอื่น เจ้ายับยั้งครั้งแรกได้ แต่จะยับยั้งครั้งที่สองไม่ได้ ”

ทำไมจึงได้โหดร้ายนัก แต่ก็เป็นความจริง

กลับมาจากจวนเหลิ่ง หยวนชิงหลิงก็รอเจ้าห้ากลับมาอยู่ในจวน พูดเรื่องนี้ขึ้นมากับเจ้าห้า

เจ้าห้าพูดว่า “ท่านชายสี่เหลิ่งพูดถูก เสด็จพ่อต้องเห็นด้วยแน่ ทางฝั่งเจียงหนานนั้นเป็นพื้นที่ห่างไกล นับว่าเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองเป็นอันดับสองของเป่ยถังเรา ท่านชายสี่เหลิ่งเองก็คงจะมีกิจการไม่น้อยอยู่ที่นั้น เขารู้สถานการณ์ของตระกูลหลี่เป็นอย่างดี เกรงว่าคุณชายรองของตระกูลหลี่จะเป็นคนจิตใจไม่ปกติเช่นนั้นจริงๆ ”

“แล้วจะทำอย่างไร มีวิธีอะไรหรือไม่ ”หยวนชิงหลิงถามอย่างตื่นเต้น

เจ้าห้าครุ่นคิด “เจ้าอย่าเพิ่งกังวลมากเกินไป แม้ว่าพรุ่งนี้พี่ใหญ่จะเข้าวังไปพูดเรื่องนี้ เสด็จพ่อก็คงจะส่งคนไปตรวจสอบทำความเข้าใจก่อนแน่ อย่างน้อยก็ต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งจึงจะสามารถทำให้เป็นจริงได้ พวกเรายังมีเวลาที่จะคิดหาวิธี”

วันรุ่งขึ้น หยู่เหวินเห้าได้เรียกให้เสี้ยวหงเฉิงส่งคนไปยังเจียงหนาน ไปสืบหาข้อมูลของคุณชายรองลูกชายของหลี่เชาคนนั้น ว่ามีการทุบตีคนตายจริงหรือไม่

วันที่สาม ฮ่องเต้หมิงหยวนมีพระบัญชาเรียกให้หยู่เหวินเห้าเข้าวัง หลังจากที่เอ่ยถึงเรื่องนี้กับเขาแล้ว ก็ถอนหายใจ “คิดไม่ถึงว่าเมิ่งเยว่จะอายุสิบสองปีแล้ว ข้าได้แต่รู้สึกว่านางยังเป็นเด็กน้อยอายุเจ็ดแปดขวบอยู่ ชั่วพริบตา ก็ใกล้จะถึงช่วงอายุที่จะแต่งงานได้แล้ว”

หยู่เหวินเห้าพูดว่า “เสด็จพ่อ เมิ่งเยว่อายุยังน้อย ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบหมั้นหมายกระมัง ”

ฮ่องเต้หมิงหยวนทำท่ากดมือลงมา “สิบสองปีแล้ว หลังจากหมั้นหมายแล้ว ก็ให้อยู่อย่างนี้ไปอีกสี่ห้าปีก็ได้ หลี่เชาคนนี้ข้าได้ยินคนพูดถึงอยู่ก่อนหน้านี้ บอกว่าได้ทำเรื่องดีๆมากมายให้กับพื้นที่เจียงหนาน ซ่อมสะพานซ่อมถนน ช่วยเหลือคนยากจน เปิดโรงเรียนให้ลูกของผู้ยากไร้ได้เรียนหนังสือ เป็นตระกูลที่สั่งสมความดีจริงๆ”

หยู่เหวินเห้าพูดว่า“เสด็จพ่อ หลี่เชาเป็นคนที่กระทำความดี แต่ไม่ได้หมายความว่าลูกชายของเขาก็มีจิตใจที่เมตตาเช่นนั้นด้วย”

ฮ่องเต้หมิงหยวนบอกว่า “ตระกูลสืบทอดมาดี ลูกหลานย่อมดีตามไปด้วย แต่ว่า สุดท้ายก็เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตของจวิ้นจู่ ยังคงต้องทำความเข้าใจให้ดีก่อน เจ้าส่งคนไปที่เจียงหนานสักครั้ง ดูสิว่าตระกูลหลี่มีการทำความดีจริงหรือไม่ ถ้าหากตรวจสอบแล้วเป็นเรื่องจริง เรื่องนี้ก็กำหนดเช่นนี้แล้วกัน”

หยู่เหวินเห้ารู้ว่าตอนนี้จะพูดมากไม่ได้ จึงได้แต่รับพระบัญชา “พ่ะย่ะค่ะ พรุ่งนี้ลูกจะส่งสวีอีไป”

หลังจากที่ฮ่องเต้หมิงหยวนพยักหน้าเบาๆแล้วก็จ้องมองเขา สายตามีแววซับซ้อนอยู่บ้าง เอ่ยขึ้นว่า “อยู่กินข้าวเป็นเพื่อนข้าเถอะ”

การให้เกียรติพิเศษเช่นนี้ ก่อนหน้านี้มีเพียงหยวนชิงหลิงที่เคยได้รับ หยู่เหวินเห้ารู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง

อาหารค่ำยังพอใช้ได้ กับข้าวสี่อย่างน้ำแกงหนึ่งอย่าง ข้าวเติมได้ไม่อั้น

ในกับข้าวทั้งสี่อย่าง สองอย่างเป็นเนื้ออีกสองอย่างเป็นมังสวิรัติ น้ำแกงเป็นซุปไก่ตุ๋น ทำมาไม่มาก แต่การจัดจานนั้นประณีตสวยงาม

ฮ่องเต้หมิงหยวนถามเขา “จะดื่มเหล้าหรือไม่ ”

หยู่เหวินเห้าส่ายหน้า “ช่วงนี้ลูกไม่ค่อยดื่มแล้ว ยายหยวนไม่ค่อยชอบ”

“นางคิดเผื่อสุขภาพร่างกายเจ้า”ฮ่องเต้หมิงหยวนพูด

หยู่เหวินเห้าพยักหน้าเงียบๆ

บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ พ่อลูกสองคนน้อยมากที่จะพูดจาอย่างรักใคร่สนิทสนม ที่ผ่านมาอยู่ด้วยกันก็พูดแต่เรื่องที่เป็นทางการ พอได้นั่งลงกินข้าวด้วยกัน อยากจะพูดคุยเรื่องทั่วไปในครอบครัว ก็ไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหน

เพราะว่า ในขณะเดียวกันเรื่องในครอบครัวก็เป็นความเจ็บปวดในใจคนทั้งคู่

ในใจของฮ่องเต้หมิงหยวนนั้นรู้สึกละอายใจต่อลูกชายคนนี้ นอกจากเรื่องที่ลงโทษให้เสด็จแม่ของเขาตาย ยังเป็นเพราะว่าความรักและความห่วงใยที่มีต่อเจ้าห้านั้นน้อยที่สุด

เขาไม่ได้เป็นทั้งลูกชายคนโตและไม่ได้เป็นลูกของเมียเอก แต่กลับรู้ความตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ไม่ต้องเป็นห่วงกังวล และไม่มีทางจะเติบโตในทางที่เสื่อมเสีย เด็กที่รู้เหตุรู้ผล ย่อมทำให้พ่อแม่ไม่ต้องเหนื่อยใจ และน้อยมากที่จะเก็บมาใส่ใจด้วย

จนถึงตอนนี้ หยู่เหวินเห้ายืนได้ด้วยตัวเองแล้ว และฮ่องเต้หมิงหยวนเองก็รู้สึกจิตใจเหนื่อยล้ากับเรื่องการเมืองที่น่าเบื่อในช่วงนี้ ในใจเริ่มเกิดความรู้สึกอยากจะพึ่งพาลูกชายขึ้นมาบ้างแล้ว

หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว เขาวางตะเกียบลง สั่งให้บ่าวรับใช้ถอยออกไป เอ่ยถามขึ้นว่า “เรื่องของแม่เจ้า เจ้าเคยคิดโทษข้าหรือไม่”

หยู่เหวินเห้าเช็ดมือ หลุบสายตาลง “ไม่เคย เสด็จแม่หาเรื่องใส่ตัว”

“ข้าเคยให้โอกาสนางหลายครั้งแล้ว”น้ำเสียงของฮ่องเต้หมิงหยวนเหมือนจะสะอื้น “แต่ว่า เขาไม่เคยรักษามันไว้ เจ้าพูดถูก นางน่ะหาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ”

แววตาของหยู่เหวินเห้าเคร่งขรึม เรื่องนี้เขาได้แต่เก็บกดเอาไว้ในใจ ไม่อยากจะเอ่ยขึ้นมา รู้สึกได้ตลอดว่าถูกฝังกลบเป็นเวลานานแล้ว ก็จะค่อยๆลืมไปเอง

ตอนนี้เสด็จพ่อเอ่ยขึ้นมา เขารู้สึกว่าความทรมานในใจสายนั้นได้ผุดขึ้นมาอีกแล้ว

และในวินาทีนี้เอง เขาก็เข้าใจน้องเจ็ดขึ้นมาทันที

น้องเจ็ดนั้นผิดหวังในตัวของฉู่หมิงชุ่ยมาก เหมือนกับที่เขาบอกว่าเสด็จแม่นั้นหาเรื่องใส่ตัว รู้สึกว่าจุดจบของนางนั้นถูกต้องแล้ว แต่ว่าในใจที่ผิดหวังเกินไปก็ยังคงรู้สึกเจ็บปวด รู้สึกทรมาน

ฉู่หมิงชุ่ยตายแล้ว และเป็นผลกรรมที่สมควรจะได้รับ แต่ไม่ได้หมายความว่าในใจของเจ้าเจ็ดจะไม่เกิดคลื่นกระทบขึ้นอีก เพราะเขาเคยใส่ใจฉู่หมิงชุ่ย แต่ยังดี ระหว่างเขากับฉู่หมิงชุ่ยนั้นเคยมีความรักระหว่างสามีภรรยาเท่านั้น ไม่มีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือด คิดว่า ไม่ช้าเขาคงจะสามารถลืมได้

“คิดอะไรอยู่”ฮ่องเต้หมิงหยวนเห็นเขาดูซึมไป ก็ถามขึ้น

หยู่เหวินเห้ารวบรวมสติ เงยหน้าขึ้นพูดว่า “คิดถึงเรื่องน้องเจ็ดกับหยวนหย่งอี้ รู้สึกว่าที่จริงพวกเขาสมควรจะได้อยู่ด้วยกัน ”

“เด็กสาวตระกูลหยวนคนนั้น หมั้นหมายแล้วมิใช่หรือ”ฮ่องเต้หมิงหยวนคิดถึงเด็กสาวคนนั้นขึ้นมา รู้สึกชื่นชอบมาก อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย

“ใช่แล้ว ใกล้จะแต่งงานกันแล้ว ว่าที่สามีเป็นจอหงวนฝ่ายบู๊ลู่หยวน”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บัลลังก์หมอยาเซียน 746 พ่อลูกกินข้าว

Now you are reading บัลลังก์หมอยาเซียน Chapter 746 พ่อลูกกินข้าว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ที่หยวนชิงหลิงเป็นห่วงก็คือเรื่องนี้ นางถามอย่างระบายอารมณ์ว่า “ทำไมเป่ยถังจึงได้ยากจนเช่นนี้”

ท่านชายสี่เหลิ่งพูดว่า “ราษฎรยังถือว่าดี เพียงแต่ราชสำนักได้เสียเงินทองไปมากกับการทำสงครามที่การบริหารจัดการน้ำและการปราบโจรเจิ้งเป่ยรวมไปถึงการทำสงครามกับเป่ยโม่ บวกกับหลายปีมานี้ด้านทิศตะวันตกและทิศเหนือแห้งแล้ง เจียงหนานประสบอุทกภัยมาก ตั้งแต่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ ในประเทศก็มีแต่เรื่องไม่ได้หยุดหย่อน แต่ว่า ในรัชสมัยของไท่ซ่างหวง ก็ค่อยๆตึงมือกันแล้ว เพราะว่าก่อนที่ไท่ซ่างหวงจะสละบัลลังก์ไม่กี่ปีก็มีการส่งเสริมการเกษตรยับยั้งการทำการค้า กลับพลั้งมือติดต่อกันหลายปี ราชสำนักไม่เพียงแต่จะไม่สามารถเก็บภาษีได้ กลับยังต้องชดเชยให้กันราษฎร นับว่าฮ่องเต้ยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะปกครองประเทศให้ดี ไม่เช่นนั้นถ้ายังตกต่ำลงไปเรื่อยๆ เป่ยถังคงไม่มีสภาพอย่างเช่นทุกวันนี้ได้ ”

หยวนชิงหลิงมองท่านชายสี่เหลิ่ง อดไม่ได้ที่จะชื่นชมเขาเป็นอย่างยิ่ง “ที่จริงท่านก็พยายามเอาชีวิตรอดออกมาจากรอยแยกเพียงน้อยนิด แต่กลับทำกิจการให้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้ ยอดเยี่ยมจริงๆ”

ท่านชายสี่เหลิ่งพูดว่า “แรกเริ่มเป่ยถังก็อุดมสมบูรณ์ผู้คนก็มากมาย ราษฎรเองก็มีการสะสมสมบัติของครอบครัว บวกกับเหล่าเศรษฐีพ่อค้าขุนนางต่างก็เก็บสะสมความมั่งคั่งของตนเองและครอบครัว อีกอย่างคือมีประชากรมาก มีความต้องการในทุกด้านเป็นอย่างสูง เพียงแต่ราชสำนักไม่ได้มีนโยบายที่ดีและเป็นประโยชน์ ถ้ามีละก็ การค้าขายเจริญขึ้น เป่ยถังคงจะรุ่งเรืองตั้งนานแล้ว ครั้งนี้รัชทายาทได้เสนอเรื่องการส่งเสริมการค้า เส้นทางนั้นเดินถูกต้องแล้ว แต่จำเป็นต้องมีการเสียสละของคนบางส่วน”

หยวนชิงหลิงพูดว่า “แล้วใครล่ะจะยินดีเป็นผู้เสียสละคนนั้น”

“ดูที่โชคชะตากระมัง เหมือนอย่างเช่นจวิ้นจู่เมิ่งเยว่อย่างไรเล่า มีพ่อที่ไม่ดี สร้างปาบจริงๆ ”

หยวนชิงหลิงได้ยินก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจเข้าไปใหญ่ หลังจากที่เมิ่งเยว่คำนับนางเป็นอาจารย์ ก็มาน้อมทักทายนางอยู่บ่อยๆ เป็นเด็กดีที่เชื่อฟังคนหนึ่ง

และพระชายาจี้ที่แต่ไหนแต่ไรมาเป็นคนฉลาดหลักแหลม แต่ครั้งนี้ที่นางต้องเผชิญ ไม่ใช่การหลอกลวงจากคนภายนอก ไม่ใช่แผนการที่ชั่วร้าย แต่เป็นนโยบายในการปกครองประเทศของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน

นั่นไม่ใช่เรื่องที่พละกำลังของนางคนเดียวจะสามารถคัดค้านได้

“มีวิธีอะไรหรือไม่ ”หยวนชิงหลิงถาม

ท่านชายสี่เหลิ่งวางแมวลง มองที่นางและพูดว่า “ที่จริง เจ้าหญิงและจวิ้นจู่ในราชวงศ์ ดูแล้วเหมือนภาพลักษณ์จะสูงส่ง แต่ว่า แต่ไม่สามารถจะกุมชะตาชีวิตตนเองได้ โดยเฉพาะในตอนนี้ที่ประเทศชาติต้องการจะขจัดสถานการณ์ที่ตื้อตันทิ้งไป พวกนางจะกลายเป็นคนที่ต้องเสียสละได้ตลอดเวลา หยู่เหวินหลิงก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ ฮ่องเต้ไม่ได้รู้ถึงเบื้องลึกของข้าทั้งหมด ก็อนุญาตให้เจ้าหญิงแต่งงานกับข้า เมิ่งเยว่เป็นหลานสาว เกรงว่าเขาคงยิ่งจะไม่ใส่ใจ ข้าคงได้แต่พูดกับเจ้าเช่นนี้ แม้จะไม่ใช่หลี่เชา ก็จะเป็นคนอื่น เจ้ายับยั้งครั้งแรกได้ แต่จะยับยั้งครั้งที่สองไม่ได้ ”

ทำไมจึงได้โหดร้ายนัก แต่ก็เป็นความจริง

กลับมาจากจวนเหลิ่ง หยวนชิงหลิงก็รอเจ้าห้ากลับมาอยู่ในจวน พูดเรื่องนี้ขึ้นมากับเจ้าห้า

เจ้าห้าพูดว่า “ท่านชายสี่เหลิ่งพูดถูก เสด็จพ่อต้องเห็นด้วยแน่ ทางฝั่งเจียงหนานนั้นเป็นพื้นที่ห่างไกล นับว่าเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองเป็นอันดับสองของเป่ยถังเรา ท่านชายสี่เหลิ่งเองก็คงจะมีกิจการไม่น้อยอยู่ที่นั้น เขารู้สถานการณ์ของตระกูลหลี่เป็นอย่างดี เกรงว่าคุณชายรองของตระกูลหลี่จะเป็นคนจิตใจไม่ปกติเช่นนั้นจริงๆ ”

“แล้วจะทำอย่างไร มีวิธีอะไรหรือไม่ ”หยวนชิงหลิงถามอย่างตื่นเต้น

เจ้าห้าครุ่นคิด “เจ้าอย่าเพิ่งกังวลมากเกินไป แม้ว่าพรุ่งนี้พี่ใหญ่จะเข้าวังไปพูดเรื่องนี้ เสด็จพ่อก็คงจะส่งคนไปตรวจสอบทำความเข้าใจก่อนแน่ อย่างน้อยก็ต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งจึงจะสามารถทำให้เป็นจริงได้ พวกเรายังมีเวลาที่จะคิดหาวิธี”

วันรุ่งขึ้น หยู่เหวินเห้าได้เรียกให้เสี้ยวหงเฉิงส่งคนไปยังเจียงหนาน ไปสืบหาข้อมูลของคุณชายรองลูกชายของหลี่เชาคนนั้น ว่ามีการทุบตีคนตายจริงหรือไม่

วันที่สาม ฮ่องเต้หมิงหยวนมีพระบัญชาเรียกให้หยู่เหวินเห้าเข้าวัง หลังจากที่เอ่ยถึงเรื่องนี้กับเขาแล้ว ก็ถอนหายใจ “คิดไม่ถึงว่าเมิ่งเยว่จะอายุสิบสองปีแล้ว ข้าได้แต่รู้สึกว่านางยังเป็นเด็กน้อยอายุเจ็ดแปดขวบอยู่ ชั่วพริบตา ก็ใกล้จะถึงช่วงอายุที่จะแต่งงานได้แล้ว”

หยู่เหวินเห้าพูดว่า “เสด็จพ่อ เมิ่งเยว่อายุยังน้อย ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบหมั้นหมายกระมัง ”

ฮ่องเต้หมิงหยวนทำท่ากดมือลงมา “สิบสองปีแล้ว หลังจากหมั้นหมายแล้ว ก็ให้อยู่อย่างนี้ไปอีกสี่ห้าปีก็ได้ หลี่เชาคนนี้ข้าได้ยินคนพูดถึงอยู่ก่อนหน้านี้ บอกว่าได้ทำเรื่องดีๆมากมายให้กับพื้นที่เจียงหนาน ซ่อมสะพานซ่อมถนน ช่วยเหลือคนยากจน เปิดโรงเรียนให้ลูกของผู้ยากไร้ได้เรียนหนังสือ เป็นตระกูลที่สั่งสมความดีจริงๆ”

หยู่เหวินเห้าพูดว่า“เสด็จพ่อ หลี่เชาเป็นคนที่กระทำความดี แต่ไม่ได้หมายความว่าลูกชายของเขาก็มีจิตใจที่เมตตาเช่นนั้นด้วย”

ฮ่องเต้หมิงหยวนบอกว่า “ตระกูลสืบทอดมาดี ลูกหลานย่อมดีตามไปด้วย แต่ว่า สุดท้ายก็เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตของจวิ้นจู่ ยังคงต้องทำความเข้าใจให้ดีก่อน เจ้าส่งคนไปที่เจียงหนานสักครั้ง ดูสิว่าตระกูลหลี่มีการทำความดีจริงหรือไม่ ถ้าหากตรวจสอบแล้วเป็นเรื่องจริง เรื่องนี้ก็กำหนดเช่นนี้แล้วกัน”

หยู่เหวินเห้ารู้ว่าตอนนี้จะพูดมากไม่ได้ จึงได้แต่รับพระบัญชา “พ่ะย่ะค่ะ พรุ่งนี้ลูกจะส่งสวีอีไป”

หลังจากที่ฮ่องเต้หมิงหยวนพยักหน้าเบาๆแล้วก็จ้องมองเขา สายตามีแววซับซ้อนอยู่บ้าง เอ่ยขึ้นว่า “อยู่กินข้าวเป็นเพื่อนข้าเถอะ”

การให้เกียรติพิเศษเช่นนี้ ก่อนหน้านี้มีเพียงหยวนชิงหลิงที่เคยได้รับ หยู่เหวินเห้ารู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง

อาหารค่ำยังพอใช้ได้ กับข้าวสี่อย่างน้ำแกงหนึ่งอย่าง ข้าวเติมได้ไม่อั้น

ในกับข้าวทั้งสี่อย่าง สองอย่างเป็นเนื้ออีกสองอย่างเป็นมังสวิรัติ น้ำแกงเป็นซุปไก่ตุ๋น ทำมาไม่มาก แต่การจัดจานนั้นประณีตสวยงาม

ฮ่องเต้หมิงหยวนถามเขา “จะดื่มเหล้าหรือไม่ ”

หยู่เหวินเห้าส่ายหน้า “ช่วงนี้ลูกไม่ค่อยดื่มแล้ว ยายหยวนไม่ค่อยชอบ”

“นางคิดเผื่อสุขภาพร่างกายเจ้า”ฮ่องเต้หมิงหยวนพูด

หยู่เหวินเห้าพยักหน้าเงียบๆ

บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ พ่อลูกสองคนน้อยมากที่จะพูดจาอย่างรักใคร่สนิทสนม ที่ผ่านมาอยู่ด้วยกันก็พูดแต่เรื่องที่เป็นทางการ พอได้นั่งลงกินข้าวด้วยกัน อยากจะพูดคุยเรื่องทั่วไปในครอบครัว ก็ไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหน

เพราะว่า ในขณะเดียวกันเรื่องในครอบครัวก็เป็นความเจ็บปวดในใจคนทั้งคู่

ในใจของฮ่องเต้หมิงหยวนนั้นรู้สึกละอายใจต่อลูกชายคนนี้ นอกจากเรื่องที่ลงโทษให้เสด็จแม่ของเขาตาย ยังเป็นเพราะว่าความรักและความห่วงใยที่มีต่อเจ้าห้านั้นน้อยที่สุด

เขาไม่ได้เป็นทั้งลูกชายคนโตและไม่ได้เป็นลูกของเมียเอก แต่กลับรู้ความตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ไม่ต้องเป็นห่วงกังวล และไม่มีทางจะเติบโตในทางที่เสื่อมเสีย เด็กที่รู้เหตุรู้ผล ย่อมทำให้พ่อแม่ไม่ต้องเหนื่อยใจ และน้อยมากที่จะเก็บมาใส่ใจด้วย

จนถึงตอนนี้ หยู่เหวินเห้ายืนได้ด้วยตัวเองแล้ว และฮ่องเต้หมิงหยวนเองก็รู้สึกจิตใจเหนื่อยล้ากับเรื่องการเมืองที่น่าเบื่อในช่วงนี้ ในใจเริ่มเกิดความรู้สึกอยากจะพึ่งพาลูกชายขึ้นมาบ้างแล้ว

หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว เขาวางตะเกียบลง สั่งให้บ่าวรับใช้ถอยออกไป เอ่ยถามขึ้นว่า “เรื่องของแม่เจ้า เจ้าเคยคิดโทษข้าหรือไม่”

หยู่เหวินเห้าเช็ดมือ หลุบสายตาลง “ไม่เคย เสด็จแม่หาเรื่องใส่ตัว”

“ข้าเคยให้โอกาสนางหลายครั้งแล้ว”น้ำเสียงของฮ่องเต้หมิงหยวนเหมือนจะสะอื้น “แต่ว่า เขาไม่เคยรักษามันไว้ เจ้าพูดถูก นางน่ะหาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ”

แววตาของหยู่เหวินเห้าเคร่งขรึม เรื่องนี้เขาได้แต่เก็บกดเอาไว้ในใจ ไม่อยากจะเอ่ยขึ้นมา รู้สึกได้ตลอดว่าถูกฝังกลบเป็นเวลานานแล้ว ก็จะค่อยๆลืมไปเอง

ตอนนี้เสด็จพ่อเอ่ยขึ้นมา เขารู้สึกว่าความทรมานในใจสายนั้นได้ผุดขึ้นมาอีกแล้ว

และในวินาทีนี้เอง เขาก็เข้าใจน้องเจ็ดขึ้นมาทันที

น้องเจ็ดนั้นผิดหวังในตัวของฉู่หมิงชุ่ยมาก เหมือนกับที่เขาบอกว่าเสด็จแม่นั้นหาเรื่องใส่ตัว รู้สึกว่าจุดจบของนางนั้นถูกต้องแล้ว แต่ว่าในใจที่ผิดหวังเกินไปก็ยังคงรู้สึกเจ็บปวด รู้สึกทรมาน

ฉู่หมิงชุ่ยตายแล้ว และเป็นผลกรรมที่สมควรจะได้รับ แต่ไม่ได้หมายความว่าในใจของเจ้าเจ็ดจะไม่เกิดคลื่นกระทบขึ้นอีก เพราะเขาเคยใส่ใจฉู่หมิงชุ่ย แต่ยังดี ระหว่างเขากับฉู่หมิงชุ่ยนั้นเคยมีความรักระหว่างสามีภรรยาเท่านั้น ไม่มีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือด คิดว่า ไม่ช้าเขาคงจะสามารถลืมได้

“คิดอะไรอยู่”ฮ่องเต้หมิงหยวนเห็นเขาดูซึมไป ก็ถามขึ้น

หยู่เหวินเห้ารวบรวมสติ เงยหน้าขึ้นพูดว่า “คิดถึงเรื่องน้องเจ็ดกับหยวนหย่งอี้ รู้สึกว่าที่จริงพวกเขาสมควรจะได้อยู่ด้วยกัน ”

“เด็กสาวตระกูลหยวนคนนั้น หมั้นหมายแล้วมิใช่หรือ”ฮ่องเต้หมิงหยวนคิดถึงเด็กสาวคนนั้นขึ้นมา รู้สึกชื่นชอบมาก อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย

“ใช่แล้ว ใกล้จะแต่งงานกันแล้ว ว่าที่สามีเป็นจอหงวนฝ่ายบู๊ลู่หยวน”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+