บัลลังก์หมอยาเซียน 678 ความจริงอยู่ที่ไหน

Now you are reading บัลลังก์หมอยาเซียน Chapter 678 ความจริงอยู่ที่ไหน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สำหรับคำให้การที่ส่งเข้าวังมาก่อนหน้านี้ เพื่อให้การสืบสวนเป็นไปอย่างละเอียดรอบคอบ หยู่เหวินเห้าจึงสั่งให้กู้ซือไปซักถาม บรรดาข้าหลวงในวังที่อยู่ในอุทยานหลวงตอนนั้นอีกครั้ง เพื่อดูว่าจะได้พบเบาะแสใหม่บ้างหรือไม่

กู้ซือไม่ไว้ใจให้คนของ ฝูสู้ ทำเรื่องนี้ เขาจึงนำกองทหารรักษาพระองค์ไปซักถามด้วยตนเองอีกครั้ง แล้วค่อยไปที่ตำหนักกุ้ยเฟยอีกครั้ง เพื่อถามอะฉ่ายกับพระชายารองหลู

คำให้การของชายารองหลูไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจะดูไม่สอดคล้องกับวิธีการที่นางจัดการเรื่องราวต่าง ๆ มาโดยตลอด แต่ก็ไม่สามารถชี้จุดผิดพลาดได้ เพื่อจะช่วยบรรเทาสถานการณ์อันตึงเครียดของท่านอ๋อง จึงไปเชิญพระชายาอานที่ตอนนั้นได้เห็นเหตุการณ์ขณะ ฮู่เฟยล้มในตำหนักสู้ซินออกมา จากนั้นพระชายาอานก็ปวดท้องจนเดินไม่ไหว จึงถูกนำไปพักที่ศาลาจันทร์เสี้ยวที่อยู่ใกล้ ๆ นางกลัวลมแรงจึงปิดผ้าม่านไว้ ล้วนเป็นคำให้การที่ไม่มีปัญหาใด ๆ ให้สงสัยเลย

สำหรับคำให้การครั้งก่อนของอะฉ่าย เป็นแค่สิ่งที่ไร้เบาะแสอันเป็นประโยชน์ แม้กระทั่งประเด็นสำคัญเพียงหนึ่งเดียว อย่างตอนที่นางวิ่งไปถึงศาลาจันทร์เสี้ยว แต่ในเวลานั้นก็มีคนไปพบแล้วว่าพระชายาถูกทำร้าย ผ้าม่านก็ถูกเปิดออกไปเรียบร้อย พูดง่าย ๆ ว่า นับตั้งแต่ที่พระชายาอานถูกชายารองหลูพาตัวไป จนกระทั่งถึงตอนที่โดนลอบทำร้าย นางไม่ได้อยู่ข้างกายพระชายาเลย ยิ่งไม่ใช่คนที่พบเหตุการณ์คนแรกด้วย

เดิมทีนางเป็นสาวใช้ส่วนตัวของพระชายาอาน แต่ในเหตุการณ์นี้ นางไม่อาจให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับคดีได้เลยแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่มีประโยชน์คือนางบอกได้ว่าตอนนั้น ชุดที่พระชายาอานใส่ไม่ใช่สีแดง

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ตอนที่เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยได้เห็นกระโปรงสีแดง นั่นไม่แน่ว่าจะเป็นสีของกระโปรง แต่เป็นเลือดมากกว่า

แต่นี่เป็นเพียงคำพูดข้างเดียวของเจ้าพระยาเจิ้งเป่ย บางทีเมื่อมันถูกส่งมอบไปที่กรมอาญา หรือศาลต้าหลี่ มันก็ไม่มีน้ำหนักพอให้เชื่อถือได้ อาจถึงขั้นกล่าวหาว่าเขาจงใจชี้นำทิศทางของการสอบสวน ทำให้ผู้พิจารณาคดีคิดว่าตอนที่เขาเข้าไปใกล้ศาลาจันทร์เสี้ยว พระชายาอานก็ได้รับบาดเจ็บแล้ว เพื่อจะขจัดความน่าสงสัยของตัวเองให้หมดไป

หลังจากสอบปากคำคนทั้งสองแล้ว อ๋องอานก็เดินเอามือสองข้างไพล่หลังออกมา ตอนที่กู้ซือได้เห็นอ๋องอานก็ตกใจมาก ช่วงเวลาสั้น ๆ แค่เพียงวันเดียว แต่กลับทำให้อ๋องอานสีหน้าซีดเซียวผอมแห้งลงไปมาก ดวงตาเป็นสีแดงก่ำ เบ้าตาลึกโบ๋ ประกายในแววตาลึก ๆ ราวกับใบมีดที่แหลมคม ทำให้ใครก็ตามที่ได้เห็นในแวบแรก เกิดความรู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัว

“กู้ซือ!” อ๋องอานจ้องไปที่กู้ซือด้วยแววตาดุจนกล่าเหยื่อ “ไปบอกหยู่เหวินเห้าซะ ว่าอย่าได้คิดแก้ต่างให้ไอ้เฒ่าชาติชั่วนั่นจะดีกว่า ข้าได้สอบถามมาแล้ว ในเวลานั้นคนที่อยู่ในอุทยานหลวง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบรรดาลูกหลานขุนนาคุณหนูคุณชายผู้ทรงเกียรติ ไม่ก็เป็นเหล่าข้าหลวง และบรรดาขันทีในวังทั้งสิ้น ในที่เกิดเหตุนอกจากเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยแล้ว ก็ไม่มีใครที่รู้วรยุทธ์อีกเลย แค่ในจุดนี้ เขาไม่สามารถล้างข้อกล่าวหาในความผิดนี้ได้แล้ว ข้าจะจับตาดูแบบทุกฝีก้าว ถ้าเขาไม่ตาย ข้าจะไม่ลังเลใจที่จะทำความผิดร้ายแรงโทษฐานฆ่าคนตาย จะอย่างไรก็ไม่มีวันยอมละเว้นเขาเป็นอันขาด!"

กู้ซือพบว่าเขารู้สึกเห็นอกเห็นใจอ๋องอานอยู่เล็กน้อย บางทีอาจเป็นเพราะเขาเองก็แต่งงานแล้ว มีภรรยาที่รักใคร่หวงแหน ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าอ๋องอานรักภรรยามากแค่ไหน ตอนนี้ชีวิตของพระชายาอานแขวนอยู่บนเส้นด้ายแล้ว เรื่องที่เขาคิดหมกมุ่นเพียงอย่างเดียว ก็คือการฆ่าคนร้ายที่ลอบทำร้ายนาง ดังนั้นกู้ซือจึงไม่พูดอะไรมาก พูดเพียงแค่ว่า: "ท่านอ๋องโปรดวางใจ คดีนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง คนร้ายไม่มีทางลอยนวลจากความผิดนี้ไปได้อย่างแน่นอน"

อ๋องอานตะเบ็งเสียงดังลั่น: "คนร้ายก็คือไอ้เฒ่าสารเลว เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยนั่นอย่างไรเล่า!"

เดิมทีกู้ซือก็ไม่ได้คิดจะโต้แย้ง แต่เมื่อเขาได้ยินประโยคนี้ ก็รู้สึกแสลงหูเล็กน้อย จึงพูดว่า: "ความรู้สึกของท่านอ๋อง หม่อมฉันเข้าใจดี แต่ตอนนี้ความจริงยังไม่ได้รับการยืนยัน การที่ท่านอ๋องด่วนตัดสินเช่นนี้ ถ้าเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยเป็นคนร้ายจริง ๆ ก็ยังนับว่าดีไป แต่ถ้าไม่ใช่ จะไม่เท่ากับว่าปล่อยให้คนร้ายตัวจริงลอยนวลไปได้หรอกหรือ?”

อะหลูที่อยู่ข้าง ๆ พูดแทรกขึ้นมาประโยคหนึ่งด้วยท่าทีเศร้าโศกและขุ่นเคืองใจว่า “คำพูดนี้ของใต้เท้ากู้ออกจะลำเอียงไปหน่อยนะ เมื่อครู่นี้ท่านอ๋องก็บอกแล้วว่า ในอุทยานหลวงมีเพียงเจ้าเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยคนเดียวที่รู้วรยุทธ์ พระชายาถูกทำร้ายจากพลังฝ่ามือ นี่หมายความว่าคนร้ายย่อมไม่มีใครอื่นแล้วนอกจากเขา ข้ารู้ว่าพระชายารัชทายาทมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับเจ้าพระยาเจิ้งเป่ย แต่เรื่องนี้ไม่อาจใช้การเล่นพรรคเล่นพวกได้มาตัดสินได้ ใต้เท้ากู้ พระชายายังนอนซมเป็นตายเท่ากันอยู่ในนั้น กระทั่งลูกที่อยู่ในท้องก็ยังรักษาไว้ไม่ได้ พวกเจ้าทำคดี ก็ควรต้องมีความเป็นธรรมหน่อยสิ”

อะฉ่ายก็ร้องไห้เช่นกัน “จริงด้วย ประหารชีวิตคนร้ายไปเลย ช่างชั่วช้าน่ารังเกียจนัก พระชายาไม่มีแม้แต่แรงจะฆ่าไก่ด้วยซ้ำ จิตใจก็แสนจะอ่อนโยนมีเมตตา ต้องเป็นคนที่โหดเหี้ยมอำมหิตขนาดไหนถึงทำเรื่องชั่วร้ายขนาดนี้ได้ ? หากไม่ประหารคนร้าย นี่ไม่เท่ากับว่าซื่อจื่อที่อยู่ในท้องของพระชายาต้องมาตายเปล่าหรอกรึ?”

กู้ซือเห็นว่าตอนที่อ๋องอานได้ยินคำพูดของอะหลูกับอะฉ่าย ดวงตาก็พลันสาดประกายโทสะ สาวเท้าก้าวขึ้นมาข้างหน้า บนหน้าผากปรากฏเส้นเลือดสีเขียวผุดขึ้นมา จ้องไปที่กู้ซือแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า: "เจ้าฟังไว้ให้ดี ภายในสามวัน หากกรมพระนครยังถ่วงเวลาให้เรื่องนี้ลากยาวออกไปไม่ยอมปิดคดี ข้าจะไปฆ่าคนร้ายเอง”

กู้ซือไม่อยากไปท้าทายขีดความอดทนของอ๋องอาน จึงทำได้แค่ต้องบอกลาแล้วจากไป

เขาถอนหายใจ อ๋องอานคิดแบบหัวชนฝาไปแล้วว่าเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยเป็นคนร้าย หากภายในสามวันยังสืบสวนแล้วไม่ได้ผลสรุป เกรงว่าเขาอาจจะไปฆ่าเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยจริง ๆก็เป็นได้

คนที่โกรธจนหน้ามืด มีอะไรบ้างที่ทำไม่ได้?

กู้ซือยังแวะไปถามข้าหลวงในวังที่อยู่ในอุทยานหลวงวันนั้น และซักถามคนของจวนอ๋องอานที่ได้พบว่าเกิดเรื่องด้วย

ซื่อจื่อเฟยของจวนจวิ้นอ๋องเหอเป็นคนที่พบพระชายาอานดังนั้นกู้ซือจึงส่งคนไปรายงานหยู่เหวินเห้า เพื่อให้หยู่เหวินเห้าไปที่จวนจวิ้นอ๋องเหอเพื่อสอบปากคำ ส่วนเขายังคงอยู่ในวังเพื่อถามคำถามต่อ(**ซื่อจื่อเฟย ชายาของซื่อจื่อ ซื่อจื่อเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งอ๋อง )

หยู่เหวินเห้าไปที่จวนจวิ้นอ๋องเหอ เมื่อคืนพระชายาซื่อจื่อกลับมาถึงก็ตกใจจนล้มป่วย ได้ยินมาว่ารัชทายาทมาถามถึงเรื่องเมื่อวาน จึงให้ซื่อจื่อช่วยพยุงออกมา

หลังจากทำความเคารพ ซื่อจื่อก็ช่วยพยุงพระชายาซื่อจื่อนั่งลง หยู่เหวินเห้าเห็นว่าใบหน้าของนางแถบหนึ่งเป็นสีเขียวครึ่งขาว ริมฝีปากก็เป็นสีม่วง ขอบตาก็ดำคล้ำเป็นจ้ำ แววตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เห็นได้ชัดว่านางตกใจไม่น้อยเลยจริงๆ

พระชายาซื่อจื่อพูดว่า “เมื่อวานหม่อมฉันพาสาวใช้ไปเดินเล่นไปรอบ ๆ อุทยานหลวง เดิมทีคิดว่าจะไปดูดอกเหมย คิดไม่ถึงว่าดอกเหมยผลิบานไม่มากนัก ระหว่างทางได้พบฮูหยินหลายท่าน พูดคุยกันไปได้ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกเหนื่อยอยากหาที่พักเสียหน่อย จิบชาร้อน ๆ ให้ร่างกายอบอุ่น เพราะมันค่อนข้างใกล้กับศาลาจันทร์เสี้ยว และเห็นว่าม่านถูกเอาลง ก็คิดว่าน่าจะมีคนอยู่ข้างใน จึงอยากเข้าไปคุยเล่นด้วยเพื่อรองานเลี้ยงตอนค่ำ ค่อยกลับไปใหม่ คิดไม่ถึงว่า…..”

เมื่อนางพูดถึงตรงนี้ จู่ ๆ ก็รีบดื่มชาร้อนเข้าไปเพื่อสงบสติอารมณ์คำใหญ่ ก่อนจะพูดต่อไปว่า “คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเดินขึ้นไปถึงขั้นบันไดหิน สาวใช้ของข้าก็พูดขึ้นว่า ทำไมถึงได้กลิ่นอะไรคล้าย ๆ เลือด ? ตอนที่นางพูด ข้าก็รีบค้อมตัวลงไปถามฮูหยินท่านนั้น หลังจากถามไปสองครั้งก็ไม่ได้ยินคำตอบ สาวใช้จึงไปเปิดม่านดู ก็เห็นว่ามีคนคนหนึ่งนั่งคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะหิน ที่พื้นมีกองเลือดไหลออกมาเต็มไปหมด ข้าตกใจมากจนไม่กล้าดูต่อ จึงรีบสั่งให้สาวใช้เข้าไปดู ๆ หน่อย สาวใช้ข้าเข้าไปเรียกสองครั้ง แล้วยื่นมือออกไปผลักเบา ๆ ก็เห็นว่าคนคนนั้นล้มลงบนพื้น ไปนอนจมกองเลือด ในตอนนั้นข้ายังเห็นไม่ชัดว่าเป็นพระชายาอาน แค่ตกใจกลัวจนกรีดร้องออกมา จนมีคนวิ่งตามกันเข้ามาเรื่อย ๆ แล้วบอกว่าเป็นพระชายาอาน ถึงขั้นบอกว่านางแท้งลูกแล้ว จากนั้นข้าก็ถูกคนพยุงออกมา จึงไม่รู้ว่าหลังจากนั้นมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง "

หลังจากหยู่เหวินเห้าฟังจบ เขาก็เรียกสาวใช้ออกมาถามอีก สิ่งที่สาวใช้พูดไม่มีอะไรต่างจากที่พระชายาซื่อจื่อพูด โดยพื้นฐานแล้วก็เป็นไปตามนี้

พระชายาซื่อจื่อลูบที่หน้าอกตัวเองอย่างโศกเศร้า แล้วพูดขึ้นว่า: “ในตอนนั้น ทุกคนต่างก็คิดว่าพระชายาอานแท้งลูกจนส่งผลให้เป็นลม แต่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเป็นฝีมือของคนร้ายที่ลอบโจมตี ช่างโหดร้ายอำมหิตนัก โหดร้ายจนเกินจะทานทนจริง ๆ พระชายาอานเป็นคนดีขนาดนี้แท้ ๆ อีกทั้งยังกำลังท้องอยู่ แต่กลับต้องมาประสบกับความโชคร้ายขนาดนี้ ช่างโหดร้ายทารุณเหลือเกิน "

ซื่อจื่อปลอบใจนาง แล้วหันไปถามหยู่เหวินเห้าว่า “เสด็จพี่รัชทายาท ได้ยินมาว่าคนร้ายคือเจ้าพระยาเจิ้งเป่ย พ่อของฮู่เฟยใช่หรือไม่?”

หยู่เหวินเห้ามองเขาพลางพูดว่า "คดีนี้ยังอยู่ในระหว่างการสอบสวน ใครคือคนร้ายยังไม่รู้แน่ชัด ไม่ควรด่วนสรุปคดีแบบลวก ๆ เจ้าไม่ควรคาดเดาส่งเดชจนกลายเป็นข่าวลือออกไปข้างนอก เข้าใจหรือไม่?"

ซื่อจื่อพยักหน้า "เสด็จน้องเข้าใจ เสด็จน้องไม่กล้าพูดอะไรส่งเดชข้างนอกหรอก แต่วันนี้ตอนที่ข้าออกไปข้างนอก ได้ยินทุกคนพูดวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันใหญ่ ว่าเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยเป็นคนร้าย"

หยู่เหวินเห้ารู้สึกอ่อนแรงไร้กำลังขึ้นมาทันที จากนี้จะเริ่มความคิดเห็นของประชาชนออกมา จนก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายอีกครั้งแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บัลลังก์หมอยาเซียน 678 ความจริงอยู่ที่ไหน

Now you are reading บัลลังก์หมอยาเซียน Chapter 678 ความจริงอยู่ที่ไหน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สำหรับคำให้การที่ส่งเข้าวังมาก่อนหน้านี้ เพื่อให้การสืบสวนเป็นไปอย่างละเอียดรอบคอบ หยู่เหวินเห้าจึงสั่งให้กู้ซือไปซักถาม บรรดาข้าหลวงในวังที่อยู่ในอุทยานหลวงตอนนั้นอีกครั้ง เพื่อดูว่าจะได้พบเบาะแสใหม่บ้างหรือไม่

กู้ซือไม่ไว้ใจให้คนของ ฝูสู้ ทำเรื่องนี้ เขาจึงนำกองทหารรักษาพระองค์ไปซักถามด้วยตนเองอีกครั้ง แล้วค่อยไปที่ตำหนักกุ้ยเฟยอีกครั้ง เพื่อถามอะฉ่ายกับพระชายารองหลู

คำให้การของชายารองหลูไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจะดูไม่สอดคล้องกับวิธีการที่นางจัดการเรื่องราวต่าง ๆ มาโดยตลอด แต่ก็ไม่สามารถชี้จุดผิดพลาดได้ เพื่อจะช่วยบรรเทาสถานการณ์อันตึงเครียดของท่านอ๋อง จึงไปเชิญพระชายาอานที่ตอนนั้นได้เห็นเหตุการณ์ขณะ ฮู่เฟยล้มในตำหนักสู้ซินออกมา จากนั้นพระชายาอานก็ปวดท้องจนเดินไม่ไหว จึงถูกนำไปพักที่ศาลาจันทร์เสี้ยวที่อยู่ใกล้ ๆ นางกลัวลมแรงจึงปิดผ้าม่านไว้ ล้วนเป็นคำให้การที่ไม่มีปัญหาใด ๆ ให้สงสัยเลย

สำหรับคำให้การครั้งก่อนของอะฉ่าย เป็นแค่สิ่งที่ไร้เบาะแสอันเป็นประโยชน์ แม้กระทั่งประเด็นสำคัญเพียงหนึ่งเดียว อย่างตอนที่นางวิ่งไปถึงศาลาจันทร์เสี้ยว แต่ในเวลานั้นก็มีคนไปพบแล้วว่าพระชายาถูกทำร้าย ผ้าม่านก็ถูกเปิดออกไปเรียบร้อย พูดง่าย ๆ ว่า นับตั้งแต่ที่พระชายาอานถูกชายารองหลูพาตัวไป จนกระทั่งถึงตอนที่โดนลอบทำร้าย นางไม่ได้อยู่ข้างกายพระชายาเลย ยิ่งไม่ใช่คนที่พบเหตุการณ์คนแรกด้วย

เดิมทีนางเป็นสาวใช้ส่วนตัวของพระชายาอาน แต่ในเหตุการณ์นี้ นางไม่อาจให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับคดีได้เลยแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่มีประโยชน์คือนางบอกได้ว่าตอนนั้น ชุดที่พระชายาอานใส่ไม่ใช่สีแดง

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ตอนที่เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยได้เห็นกระโปรงสีแดง นั่นไม่แน่ว่าจะเป็นสีของกระโปรง แต่เป็นเลือดมากกว่า

แต่นี่เป็นเพียงคำพูดข้างเดียวของเจ้าพระยาเจิ้งเป่ย บางทีเมื่อมันถูกส่งมอบไปที่กรมอาญา หรือศาลต้าหลี่ มันก็ไม่มีน้ำหนักพอให้เชื่อถือได้ อาจถึงขั้นกล่าวหาว่าเขาจงใจชี้นำทิศทางของการสอบสวน ทำให้ผู้พิจารณาคดีคิดว่าตอนที่เขาเข้าไปใกล้ศาลาจันทร์เสี้ยว พระชายาอานก็ได้รับบาดเจ็บแล้ว เพื่อจะขจัดความน่าสงสัยของตัวเองให้หมดไป

หลังจากสอบปากคำคนทั้งสองแล้ว อ๋องอานก็เดินเอามือสองข้างไพล่หลังออกมา ตอนที่กู้ซือได้เห็นอ๋องอานก็ตกใจมาก ช่วงเวลาสั้น ๆ แค่เพียงวันเดียว แต่กลับทำให้อ๋องอานสีหน้าซีดเซียวผอมแห้งลงไปมาก ดวงตาเป็นสีแดงก่ำ เบ้าตาลึกโบ๋ ประกายในแววตาลึก ๆ ราวกับใบมีดที่แหลมคม ทำให้ใครก็ตามที่ได้เห็นในแวบแรก เกิดความรู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัว

“กู้ซือ!” อ๋องอานจ้องไปที่กู้ซือด้วยแววตาดุจนกล่าเหยื่อ “ไปบอกหยู่เหวินเห้าซะ ว่าอย่าได้คิดแก้ต่างให้ไอ้เฒ่าชาติชั่วนั่นจะดีกว่า ข้าได้สอบถามมาแล้ว ในเวลานั้นคนที่อยู่ในอุทยานหลวง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบรรดาลูกหลานขุนนาคุณหนูคุณชายผู้ทรงเกียรติ ไม่ก็เป็นเหล่าข้าหลวง และบรรดาขันทีในวังทั้งสิ้น ในที่เกิดเหตุนอกจากเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยแล้ว ก็ไม่มีใครที่รู้วรยุทธ์อีกเลย แค่ในจุดนี้ เขาไม่สามารถล้างข้อกล่าวหาในความผิดนี้ได้แล้ว ข้าจะจับตาดูแบบทุกฝีก้าว ถ้าเขาไม่ตาย ข้าจะไม่ลังเลใจที่จะทำความผิดร้ายแรงโทษฐานฆ่าคนตาย จะอย่างไรก็ไม่มีวันยอมละเว้นเขาเป็นอันขาด!"

กู้ซือพบว่าเขารู้สึกเห็นอกเห็นใจอ๋องอานอยู่เล็กน้อย บางทีอาจเป็นเพราะเขาเองก็แต่งงานแล้ว มีภรรยาที่รักใคร่หวงแหน ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าอ๋องอานรักภรรยามากแค่ไหน ตอนนี้ชีวิตของพระชายาอานแขวนอยู่บนเส้นด้ายแล้ว เรื่องที่เขาคิดหมกมุ่นเพียงอย่างเดียว ก็คือการฆ่าคนร้ายที่ลอบทำร้ายนาง ดังนั้นกู้ซือจึงไม่พูดอะไรมาก พูดเพียงแค่ว่า: "ท่านอ๋องโปรดวางใจ คดีนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง คนร้ายไม่มีทางลอยนวลจากความผิดนี้ไปได้อย่างแน่นอน"

อ๋องอานตะเบ็งเสียงดังลั่น: "คนร้ายก็คือไอ้เฒ่าสารเลว เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยนั่นอย่างไรเล่า!"

เดิมทีกู้ซือก็ไม่ได้คิดจะโต้แย้ง แต่เมื่อเขาได้ยินประโยคนี้ ก็รู้สึกแสลงหูเล็กน้อย จึงพูดว่า: "ความรู้สึกของท่านอ๋อง หม่อมฉันเข้าใจดี แต่ตอนนี้ความจริงยังไม่ได้รับการยืนยัน การที่ท่านอ๋องด่วนตัดสินเช่นนี้ ถ้าเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยเป็นคนร้ายจริง ๆ ก็ยังนับว่าดีไป แต่ถ้าไม่ใช่ จะไม่เท่ากับว่าปล่อยให้คนร้ายตัวจริงลอยนวลไปได้หรอกหรือ?”

อะหลูที่อยู่ข้าง ๆ พูดแทรกขึ้นมาประโยคหนึ่งด้วยท่าทีเศร้าโศกและขุ่นเคืองใจว่า “คำพูดนี้ของใต้เท้ากู้ออกจะลำเอียงไปหน่อยนะ เมื่อครู่นี้ท่านอ๋องก็บอกแล้วว่า ในอุทยานหลวงมีเพียงเจ้าเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยคนเดียวที่รู้วรยุทธ์ พระชายาถูกทำร้ายจากพลังฝ่ามือ นี่หมายความว่าคนร้ายย่อมไม่มีใครอื่นแล้วนอกจากเขา ข้ารู้ว่าพระชายารัชทายาทมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับเจ้าพระยาเจิ้งเป่ย แต่เรื่องนี้ไม่อาจใช้การเล่นพรรคเล่นพวกได้มาตัดสินได้ ใต้เท้ากู้ พระชายายังนอนซมเป็นตายเท่ากันอยู่ในนั้น กระทั่งลูกที่อยู่ในท้องก็ยังรักษาไว้ไม่ได้ พวกเจ้าทำคดี ก็ควรต้องมีความเป็นธรรมหน่อยสิ”

อะฉ่ายก็ร้องไห้เช่นกัน “จริงด้วย ประหารชีวิตคนร้ายไปเลย ช่างชั่วช้าน่ารังเกียจนัก พระชายาไม่มีแม้แต่แรงจะฆ่าไก่ด้วยซ้ำ จิตใจก็แสนจะอ่อนโยนมีเมตตา ต้องเป็นคนที่โหดเหี้ยมอำมหิตขนาดไหนถึงทำเรื่องชั่วร้ายขนาดนี้ได้ ? หากไม่ประหารคนร้าย นี่ไม่เท่ากับว่าซื่อจื่อที่อยู่ในท้องของพระชายาต้องมาตายเปล่าหรอกรึ?”

กู้ซือเห็นว่าตอนที่อ๋องอานได้ยินคำพูดของอะหลูกับอะฉ่าย ดวงตาก็พลันสาดประกายโทสะ สาวเท้าก้าวขึ้นมาข้างหน้า บนหน้าผากปรากฏเส้นเลือดสีเขียวผุดขึ้นมา จ้องไปที่กู้ซือแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า: "เจ้าฟังไว้ให้ดี ภายในสามวัน หากกรมพระนครยังถ่วงเวลาให้เรื่องนี้ลากยาวออกไปไม่ยอมปิดคดี ข้าจะไปฆ่าคนร้ายเอง”

กู้ซือไม่อยากไปท้าทายขีดความอดทนของอ๋องอาน จึงทำได้แค่ต้องบอกลาแล้วจากไป

เขาถอนหายใจ อ๋องอานคิดแบบหัวชนฝาไปแล้วว่าเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยเป็นคนร้าย หากภายในสามวันยังสืบสวนแล้วไม่ได้ผลสรุป เกรงว่าเขาอาจจะไปฆ่าเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยจริง ๆก็เป็นได้

คนที่โกรธจนหน้ามืด มีอะไรบ้างที่ทำไม่ได้?

กู้ซือยังแวะไปถามข้าหลวงในวังที่อยู่ในอุทยานหลวงวันนั้น และซักถามคนของจวนอ๋องอานที่ได้พบว่าเกิดเรื่องด้วย

ซื่อจื่อเฟยของจวนจวิ้นอ๋องเหอเป็นคนที่พบพระชายาอานดังนั้นกู้ซือจึงส่งคนไปรายงานหยู่เหวินเห้า เพื่อให้หยู่เหวินเห้าไปที่จวนจวิ้นอ๋องเหอเพื่อสอบปากคำ ส่วนเขายังคงอยู่ในวังเพื่อถามคำถามต่อ(**ซื่อจื่อเฟย ชายาของซื่อจื่อ ซื่อจื่อเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งอ๋อง )

หยู่เหวินเห้าไปที่จวนจวิ้นอ๋องเหอ เมื่อคืนพระชายาซื่อจื่อกลับมาถึงก็ตกใจจนล้มป่วย ได้ยินมาว่ารัชทายาทมาถามถึงเรื่องเมื่อวาน จึงให้ซื่อจื่อช่วยพยุงออกมา

หลังจากทำความเคารพ ซื่อจื่อก็ช่วยพยุงพระชายาซื่อจื่อนั่งลง หยู่เหวินเห้าเห็นว่าใบหน้าของนางแถบหนึ่งเป็นสีเขียวครึ่งขาว ริมฝีปากก็เป็นสีม่วง ขอบตาก็ดำคล้ำเป็นจ้ำ แววตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เห็นได้ชัดว่านางตกใจไม่น้อยเลยจริงๆ

พระชายาซื่อจื่อพูดว่า “เมื่อวานหม่อมฉันพาสาวใช้ไปเดินเล่นไปรอบ ๆ อุทยานหลวง เดิมทีคิดว่าจะไปดูดอกเหมย คิดไม่ถึงว่าดอกเหมยผลิบานไม่มากนัก ระหว่างทางได้พบฮูหยินหลายท่าน พูดคุยกันไปได้ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกเหนื่อยอยากหาที่พักเสียหน่อย จิบชาร้อน ๆ ให้ร่างกายอบอุ่น เพราะมันค่อนข้างใกล้กับศาลาจันทร์เสี้ยว และเห็นว่าม่านถูกเอาลง ก็คิดว่าน่าจะมีคนอยู่ข้างใน จึงอยากเข้าไปคุยเล่นด้วยเพื่อรองานเลี้ยงตอนค่ำ ค่อยกลับไปใหม่ คิดไม่ถึงว่า…..”

เมื่อนางพูดถึงตรงนี้ จู่ ๆ ก็รีบดื่มชาร้อนเข้าไปเพื่อสงบสติอารมณ์คำใหญ่ ก่อนจะพูดต่อไปว่า “คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเดินขึ้นไปถึงขั้นบันไดหิน สาวใช้ของข้าก็พูดขึ้นว่า ทำไมถึงได้กลิ่นอะไรคล้าย ๆ เลือด ? ตอนที่นางพูด ข้าก็รีบค้อมตัวลงไปถามฮูหยินท่านนั้น หลังจากถามไปสองครั้งก็ไม่ได้ยินคำตอบ สาวใช้จึงไปเปิดม่านดู ก็เห็นว่ามีคนคนหนึ่งนั่งคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะหิน ที่พื้นมีกองเลือดไหลออกมาเต็มไปหมด ข้าตกใจมากจนไม่กล้าดูต่อ จึงรีบสั่งให้สาวใช้เข้าไปดู ๆ หน่อย สาวใช้ข้าเข้าไปเรียกสองครั้ง แล้วยื่นมือออกไปผลักเบา ๆ ก็เห็นว่าคนคนนั้นล้มลงบนพื้น ไปนอนจมกองเลือด ในตอนนั้นข้ายังเห็นไม่ชัดว่าเป็นพระชายาอาน แค่ตกใจกลัวจนกรีดร้องออกมา จนมีคนวิ่งตามกันเข้ามาเรื่อย ๆ แล้วบอกว่าเป็นพระชายาอาน ถึงขั้นบอกว่านางแท้งลูกแล้ว จากนั้นข้าก็ถูกคนพยุงออกมา จึงไม่รู้ว่าหลังจากนั้นมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง "

หลังจากหยู่เหวินเห้าฟังจบ เขาก็เรียกสาวใช้ออกมาถามอีก สิ่งที่สาวใช้พูดไม่มีอะไรต่างจากที่พระชายาซื่อจื่อพูด โดยพื้นฐานแล้วก็เป็นไปตามนี้

พระชายาซื่อจื่อลูบที่หน้าอกตัวเองอย่างโศกเศร้า แล้วพูดขึ้นว่า: “ในตอนนั้น ทุกคนต่างก็คิดว่าพระชายาอานแท้งลูกจนส่งผลให้เป็นลม แต่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเป็นฝีมือของคนร้ายที่ลอบโจมตี ช่างโหดร้ายอำมหิตนัก โหดร้ายจนเกินจะทานทนจริง ๆ พระชายาอานเป็นคนดีขนาดนี้แท้ ๆ อีกทั้งยังกำลังท้องอยู่ แต่กลับต้องมาประสบกับความโชคร้ายขนาดนี้ ช่างโหดร้ายทารุณเหลือเกิน "

ซื่อจื่อปลอบใจนาง แล้วหันไปถามหยู่เหวินเห้าว่า “เสด็จพี่รัชทายาท ได้ยินมาว่าคนร้ายคือเจ้าพระยาเจิ้งเป่ย พ่อของฮู่เฟยใช่หรือไม่?”

หยู่เหวินเห้ามองเขาพลางพูดว่า "คดีนี้ยังอยู่ในระหว่างการสอบสวน ใครคือคนร้ายยังไม่รู้แน่ชัด ไม่ควรด่วนสรุปคดีแบบลวก ๆ เจ้าไม่ควรคาดเดาส่งเดชจนกลายเป็นข่าวลือออกไปข้างนอก เข้าใจหรือไม่?"

ซื่อจื่อพยักหน้า "เสด็จน้องเข้าใจ เสด็จน้องไม่กล้าพูดอะไรส่งเดชข้างนอกหรอก แต่วันนี้ตอนที่ข้าออกไปข้างนอก ได้ยินทุกคนพูดวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันใหญ่ ว่าเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยเป็นคนร้าย"

หยู่เหวินเห้ารู้สึกอ่อนแรงไร้กำลังขึ้นมาทันที จากนี้จะเริ่มความคิดเห็นของประชาชนออกมา จนก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายอีกครั้งแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+