บัลลังก์หมอยาเซียน 890 ก็บ้านคุณยายนั่นแหละ

Now you are reading บัลลังก์หมอยาเซียน Chapter 890 ก็บ้านคุณยายนั่นแหละ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สถานการณ์ในตอนนี้ หยู่เหวินเห้าเข้าใจเหตุผลที่ทุกคนพูดดี กระทั่งว่าคำพูดเหล่านี้ยังก้องอยู่ในหัวของเขาหลายร้อยพันครั้ง ทุกครั้งก็โน้มน้าวให้ตัวเองอดทน กลั่นกลองในหัวรอบหนึ่งแล้วถึงเก็บกดความคับแค้นในใจได้

หยู่เหวินเห้าไม่มีกำแพงทางใจกับไท่ซ่างหวง ดังนั้นจึงยอมฟังคำพูดของไท่ซ่างหวง พยักหน้า “หม่อมฉันทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อนั้นฉางกงกงก็ยกน้ำชาเดินเข้ามา เอ่ย “พระองค์ ริมฝีปากท่านแตกจนน่ากลัว รีบดื่มชาเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”

หยู่เหวินเห้าเงยหน้าขึ้นมองฉางกงกง เมื่อเห็นสีหน้าเขาซีดเซียวแล้ว ก็รู้ว่าเพราะอาการป่วยของไท่ซ่างหวงจึงทำให้ไม่ได้พักผ่อน เอ่ย “ขอบคุณกงกงมาก สีหน้าท่านไม่สู้ดี รักษาสุขภาพด้วย”

ฉางกงกงหัวเราะ “ข้าน้อยไม่เป็นไรหรอกพ่ะย่ะค่ะ ร่างกายของข้าน้อยยังแข็งแรงดีอยู่”

เขาวางน้ำชาไว้บนโต๊ะแล้วหยิบถาดหมุนตัวไป แต่ไหนเลยจะรู้ว่าการหมุนตัวนี้จะทำให้เขาล้มลงไป

หยู่เหวินเห้าตกใจ รีบเข้าไปพยุง “กงกง!”

“กงกง?” หยู่เหวินเห้ารู้สึกผิดปกติ กงกงหมดสติไปแล้ว เขารีบตบหน้าอีกฝ่าย “กงกง ตื่นเร็ว”

ไท่ซ่างหวงชะโงกศีรษะออกมาดู จากนั้นก็ค่อยๆ นั่ง มีความหวาดหวั่นในดวงตา ปากก็สั่นระริก “เรียก…เรียกหมอหลวง!”

หยู่เหวินเห้ากับไท่ซ่างหวงนั่งอยู่ที่หน้าระเบียงทางเดินตำหนักฉินคุน แต่ไหนมาไท่ซ่างหวงก็ชอบนั่งตรงนี้ ข้างๆ มีโต๊ะเตี้ยอยู่ตัวหนึ่ง สามารถชมทิวทัศน์ทั้งสวน และยังมองเห็นท้องฟ้านอกกำแพงได้อีก

หมอหลวงอยู่ด้านใน สถานการณ์ไม่แน่ชัด ไท่ซ่างหวงยืนกรานจะให้เขาพยุงออกมานั่งตรงนี้ เขาบอกว่าจะใช้ชีวิตปักหลักอยู่นี่ ดูสิว่าภูตผีปิศาจ ยมทูตหน้าขาวหน้าดำที่ไหนกล้ามาจับคนของเขา

เขากุมข้อมือ กล้ามเนื้อทั้งตัวแข็งเกร็งหลัก ราวกับพบศัตรูตัวฉกาจ

หยู่เหวินเห้ารู้สึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูก พวกเขาอยู่ด้วยกันมากว่าค่อนชีวิต พบหน้าเช้าค่ำ เผชิญอุปสรรคในโลกมามากมาย เคียงบ่าเคียงไหล่ผ่านความทุกข์ยาก หากฉางกงกงไม่อาจผ่านพ้นไปได้ เขาไม่กล้าคิดเลยว่าเสด็จปู่จะเสียใจแค่ไหน

นิ่งเงียบตลอดครึ่งชั่วยาม เอาแต่พยายามกดลมหายใจไม่หยุด

จนในที่สุดหมอหลวงก็ออกมา

หยู่เหวินเห้ากุมมือไท่ซ่างหวง มองทางหมอหลวง “เป็นไงบ้าง?”

หมอหลวงย่อเข่าลงข้างหนึ่งรายงาน “ทูลไท่ซ่างหวง ทูลรัชทายาท โรคลมฉางกงกงกำเริบกะทันหัน ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว แต่เกรงว่าร่างกายครึ่งซีกจะใช้ไม่เป็นปกติ หรือบางทีอาจต้องนอนบนเตียงตลอดก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”

ไท่ซ่างหวงจ้องเขา มุมปากปิดสนิทโค้งคว่ำลง ไม่ผ่อนลมและไม่พูดสักคำ

“ฟื้นหรือยัง?” หยู่เหวินเห้าเอ่ยถาม

หมอหลวงตอบ “ยังไม่ค่อยได้สติพ่ะย่ะค่ะ และถัดจากนี้สองสามวันก็จะเอาแต่นอนด้วย กระหม่อมจะมาฝังเข็มให้เขาทุกวันพ่ะย่ะค่ะ ”

หยู่เหวินเห้าพยุงไท่ซ่างหวงเข้าไป ไท่ซ่างหวงนั่งอยู่ข้างเตียงฉางกงกง ฉางกงกงไม่ค่อยได้สติ ลืมตาแต่ก็เบลอๆ จากนั้นก็หลับตาอีก อ้าปากกว้างหายใจ หน้าแดงร้อนผ่าว

ไท่ซ่างหวงจับมือเขาไว้ ไม่พูดไม่จา เฝ้าอยู่อย่างนั้น

หัวค่ำหยู่เหวินเห้าถึงได้ลากร่างอันอ่อนระโหยออกจากวัง ตอนที่ออกรบก็ใช้กำลังไปหมด กลับเมืองหลวงก็เดินทางไม่หยุดหย่อน และไม่เคยได้พักดี เมื่อคืนกลับจวนก็ไม่ได้นอนทั้งคืน บัดนี้ร่างกายสะสมความอ่อนล้าจนแทบทรุด แต่เขากลับหลับตาไม่ลง

เมื่อกลับถึงจวน เขาให้ฉี่หลอร้อยจี้หรูอี้ ให้เรียบร้อย จากนั้นก็สวมให้หยวนชิงหลิงด้วยตัวเอง แล้วนอนอยู่ข้างนาง

เขากุมมือหยวนชิงหลิงในผ้าห่ม ดวงตาทั้งคู่มองตรงไปด้านบน “เจ้าหยวน ฉางกงกงป่วยแล้ว เจ้าไม่เห็นหน้าเสด็จปู่ เขาแทบจะร้องไห้ แต่พยายามกลั้นเอาไว้ เขากลัวเสียไม่มี ไม่รู้ว่าทุกคนพอถึงช่วงหนึ่งแล้ว จะเฉยชากับความเป็นความตายขอตัวเอง แต่ไม่เฉยชากับความเป็นตายของคนข้างตัวหรือเปล่านะ?”

“ถ้าเจ้าอยู่” เขาหันไปมองหยวนชิงหลิง ยื่นมือลูบพวงแก้มนาง “ถ้าเจ้าอยู่ด้วย เสด็จปู่อาจไม่กลัวขนาดนั้นก็ได้ เมื่อไหร่เจ้าจะตื่นซักที?”

เขาเคลื่อนเข้าไปใกล้แล้วหอมข้างใบหูนาง หลับตาแล้วพูดด้วยเสียงอ่อนระทวย “ทิ้งข้ากับลูกไว้อย่างนี้ เจ้าทำใจได้เหรอ? จะให้ข้าอยู่ยังไง?”

ความเงียบเหงาในห้องค่อยๆ ล้อมเข้ามา แสงไฟส่องสว่างราวกับยามทิวา ทว่าจะสว่างอย่างไรก็ส่องไปไม่ถึงดวงตาเขา

ไม่รู้ว่านิ่งเงียบอย่างนี้นานเท่าไหร่ แต่จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น

“ฮูหยินใหญ่ ระวังหน่อยค่ะ!” หมันเอ๋อพยุงย่าหยวนเข้ามา

หยู่เหวินเห้าค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วเข้าไปพยุง

อะซี่ก็เข้ามาด้วย ในมือหอบสิ่งของอยู่ หยู่เหวินเห้ามองไปทีหนึ่ง รู้สึกคุ้นเคย นี่ก็คือของที่อยู่ในกล่องยาของเจ้าหยวนนั่นเอง ก่อนหน้านี้เคยเห็นอยู่บนตัวลู่หยวน

ฮูหยินใหญ่ให้อะซี่กับหมันเอ๋อออกไป จากนั้นก็นั่งลงพูดกับหยู่เหวินเห้า “ก่อนที่นางจะหมดสติได้สั่งเอาไว้ สามวันแรกให้ใส่น้ำเกลือประทังชีวิต หลังจากนั้นถ้านางยังไม่ฟื้นก็ใช้ท่อหายใจท่ออาหารประทังชีวิต วันนี้วันที่สี่แล้ว ควรใส่ได้แล้วล่ะ”

หยู่เหวินเห้าเลิกคิ้ว “นางรู้ว่าตัวเองจะหมดสติ?”

“ใช่ นางรู้ นางวางแผนไว้ก่อนแล้ว ฉะนั้นพ่อหลานเขย เจ้าไม่ต้องเสียใจให้มาก เชื่อนางหน่อย นางต้องกลับมาได้แน่” ย่าหยวนตบมือเขา พูดปลอบ

แต่หยู่เหวินเห้ายังไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะครับ? ทำไมนางถึงหมดสติ?”

ย่าหยวนส่ายหน้า “ข้าก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกัน ไว้นางฟื้นแล้วเจ้าก็ถามแล้วกัน ข้าเพียงแต่ทำตามที่นางบอกเอาไว้เมื่อก่อนหน้านี้ เจ้าเป็นเสาหลักของบ้านนี้ ต้องหนักแน่นเข้าไว้นะ”

อึดใจหนึ่งแล้วย่าหยวนก็พูดอีก “ไม่งั้น…เจ้าก็ไปถามเด็กๆ ดู บางทีพวกเขาอาจจะรู้ก็ได้ ข้าเคยได้ยินหลิงเอ๋อเคยพูดกับพวกเขา เด็กๆ ก็ดูเหมือนจะเข้าใจ”

“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!” ทันใดนั้นหยู่เหวินเห้าก็นึกถึงพลังวิเศษของลูกๆ เกิดความหวังมาหน่อยหนึ่ง หมุนตัวเดินออกไปทันที

ย่าหยวนเรียกตัวเขาไว้ “พ่อหลานเขย มาช่วยข้าก่อน”

“ครับ!” หยู่เหวินเห้าเดินกลับมา

เรื่องใส่ท่อหายใจหยู่เหวินเห้าไม่รู้เรื่องสักนิด โชคดีที่ย่าหยวนยังคุ้นเคยอยู่บ้าง ไม่ยากจนเกินไป

“ตอนนี้เด็กในท้องนางได้แต่อาศัยท่ออาหารดำรงชีวิต จะทำแบบลวกๆ ไม่ได้เด็ดขาด หลานเขย คนที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องนี้ต้องระวังให้มาก รู้ไหม?”

“ครับ ข้าทราบแล้ว” หยู่เหวินเห้าเห็นหยวนชิงหลิงเป็นแบบนี้แล้วก็ทรมานนัก คัดจมูกขึ้นทันที

เขาอยู่เป็นเพื่อนหยวนชิงหลิงพักหนึ่ง แล้วถึงออกไปหาเด็กๆ

เด็กๆ กำลังเล่นอยู่ในห้องยังไม่เข้านอน เมื่อเห็นพ่อมาแล้วทั้งสามก็เข้าไปห้อมล้อม

หยู่เหวินเห้าให้แม่นมออกไป แล้วก็นั่งลงถามพวกเขา “เกิดอะไรขึ้นกับเสด็จแม่กันแน่? ทำไมนางถึงหมดสติไป? นางเคยบอกอะไรพวกเจ้าเหรอ?”

ซาลาเปาแย่งตอบ “หม่อมฉันรู้พ่ะย่ะค่ะ สมองเสด็จแม่ไม่มีไอ้ที่เรืองแสงอยู่ เสด็จแม่อยากนอนกลับ เอาไว้ท่านเจ้าอาวาสทำยาเสร็จฉีดเข้าตัวเสด็จแม่ก็ไม่เป็นไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ท่านเจ้าอาวาส? แล้วท่านเจ้าอาวาสล่ะ?” หยู่เหวินเห้าตะลึง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้าอาวาสด้วยหรือ?

“ท่านเจ้าอาวาสกลับไปบ้านคุณยายแล้ว” ซาลาเปาพูด

หยู่เหวินเห้าฟังจนงงไปหมด “บ้านคุณยาย? ทำไมท่านเจ้าอาวาสถึงไปบ้านคุณยายล่ะ? บ้านคุณยายที่พวกเจ้าพูดถึงเป็นคุณยายคนไหน?”

ทังหยวนใช้มือทำท่าทำทาง “คุณยายก็คือท่านแม่ของเสด็จแม่ ที่นั่นยังมีท่านพ่อของเสด็จแม่ด้วย ท่านเจ้าอาวาสไปทำยา ทำเสร็จแล้วก็มาให้เสด็จแม่ เสร็จแล้วสมองก็จะเรืองแสง เรืองแสงแล้วก็ไม่ตาย”

“เรืองแสง?” หยู่เหวินเห้ามึนตึ้บ

ซาลาเปาผงกศีรษะแรงๆ ทำหน้าจริงจัง “ใช่พ่ะย่ะค่ะ! ก็คือไอ้ที่เรืองแสงควบคุมร่างกายอีกคนหนึ่ง สมอง ความคิด พฤติกรรม ถ้ามีเด็กคนหนึ่งเพิ่งตาย ขอแค่สนามแม่เหล็กเหมาะสมหม่อมฉันก็ใช้สมองตัวเองควบคุมคนนั้นได้พ่ะย่ะค่ะ”

หยู่เหวินเห้าหน้าทึ่งตาค้าง “สมองเจ้าก็เรืองแสงได้เหรอ?”

“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ แต่คลื่นสมองสื่อสารได้ ขอแค่มีพลังแข็งแกร่งพอ” ซาลาเปาเบนหน้า “เสด็จพ่อเขลาจังเลย! เสด็จแม่พูดรอบเดียวพวกเราก็เข้าใจแล้ว”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บัลลังก์หมอยาเซียน 890 ก็บ้านคุณยายนั่นแหละ

Now you are reading บัลลังก์หมอยาเซียน Chapter 890 ก็บ้านคุณยายนั่นแหละ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สถานการณ์ในตอนนี้ หยู่เหวินเห้าเข้าใจเหตุผลที่ทุกคนพูดดี กระทั่งว่าคำพูดเหล่านี้ยังก้องอยู่ในหัวของเขาหลายร้อยพันครั้ง ทุกครั้งก็โน้มน้าวให้ตัวเองอดทน กลั่นกลองในหัวรอบหนึ่งแล้วถึงเก็บกดความคับแค้นในใจได้

หยู่เหวินเห้าไม่มีกำแพงทางใจกับไท่ซ่างหวง ดังนั้นจึงยอมฟังคำพูดของไท่ซ่างหวง พยักหน้า “หม่อมฉันทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อนั้นฉางกงกงก็ยกน้ำชาเดินเข้ามา เอ่ย “พระองค์ ริมฝีปากท่านแตกจนน่ากลัว รีบดื่มชาเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”

หยู่เหวินเห้าเงยหน้าขึ้นมองฉางกงกง เมื่อเห็นสีหน้าเขาซีดเซียวแล้ว ก็รู้ว่าเพราะอาการป่วยของไท่ซ่างหวงจึงทำให้ไม่ได้พักผ่อน เอ่ย “ขอบคุณกงกงมาก สีหน้าท่านไม่สู้ดี รักษาสุขภาพด้วย”

ฉางกงกงหัวเราะ “ข้าน้อยไม่เป็นไรหรอกพ่ะย่ะค่ะ ร่างกายของข้าน้อยยังแข็งแรงดีอยู่”

เขาวางน้ำชาไว้บนโต๊ะแล้วหยิบถาดหมุนตัวไป แต่ไหนเลยจะรู้ว่าการหมุนตัวนี้จะทำให้เขาล้มลงไป

หยู่เหวินเห้าตกใจ รีบเข้าไปพยุง “กงกง!”

“กงกง?” หยู่เหวินเห้ารู้สึกผิดปกติ กงกงหมดสติไปแล้ว เขารีบตบหน้าอีกฝ่าย “กงกง ตื่นเร็ว”

ไท่ซ่างหวงชะโงกศีรษะออกมาดู จากนั้นก็ค่อยๆ นั่ง มีความหวาดหวั่นในดวงตา ปากก็สั่นระริก “เรียก…เรียกหมอหลวง!”

หยู่เหวินเห้ากับไท่ซ่างหวงนั่งอยู่ที่หน้าระเบียงทางเดินตำหนักฉินคุน แต่ไหนมาไท่ซ่างหวงก็ชอบนั่งตรงนี้ ข้างๆ มีโต๊ะเตี้ยอยู่ตัวหนึ่ง สามารถชมทิวทัศน์ทั้งสวน และยังมองเห็นท้องฟ้านอกกำแพงได้อีก

หมอหลวงอยู่ด้านใน สถานการณ์ไม่แน่ชัด ไท่ซ่างหวงยืนกรานจะให้เขาพยุงออกมานั่งตรงนี้ เขาบอกว่าจะใช้ชีวิตปักหลักอยู่นี่ ดูสิว่าภูตผีปิศาจ ยมทูตหน้าขาวหน้าดำที่ไหนกล้ามาจับคนของเขา

เขากุมข้อมือ กล้ามเนื้อทั้งตัวแข็งเกร็งหลัก ราวกับพบศัตรูตัวฉกาจ

หยู่เหวินเห้ารู้สึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูก พวกเขาอยู่ด้วยกันมากว่าค่อนชีวิต พบหน้าเช้าค่ำ เผชิญอุปสรรคในโลกมามากมาย เคียงบ่าเคียงไหล่ผ่านความทุกข์ยาก หากฉางกงกงไม่อาจผ่านพ้นไปได้ เขาไม่กล้าคิดเลยว่าเสด็จปู่จะเสียใจแค่ไหน

นิ่งเงียบตลอดครึ่งชั่วยาม เอาแต่พยายามกดลมหายใจไม่หยุด

จนในที่สุดหมอหลวงก็ออกมา

หยู่เหวินเห้ากุมมือไท่ซ่างหวง มองทางหมอหลวง “เป็นไงบ้าง?”

หมอหลวงย่อเข่าลงข้างหนึ่งรายงาน “ทูลไท่ซ่างหวง ทูลรัชทายาท โรคลมฉางกงกงกำเริบกะทันหัน ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว แต่เกรงว่าร่างกายครึ่งซีกจะใช้ไม่เป็นปกติ หรือบางทีอาจต้องนอนบนเตียงตลอดก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”

ไท่ซ่างหวงจ้องเขา มุมปากปิดสนิทโค้งคว่ำลง ไม่ผ่อนลมและไม่พูดสักคำ

“ฟื้นหรือยัง?” หยู่เหวินเห้าเอ่ยถาม

หมอหลวงตอบ “ยังไม่ค่อยได้สติพ่ะย่ะค่ะ และถัดจากนี้สองสามวันก็จะเอาแต่นอนด้วย กระหม่อมจะมาฝังเข็มให้เขาทุกวันพ่ะย่ะค่ะ ”

หยู่เหวินเห้าพยุงไท่ซ่างหวงเข้าไป ไท่ซ่างหวงนั่งอยู่ข้างเตียงฉางกงกง ฉางกงกงไม่ค่อยได้สติ ลืมตาแต่ก็เบลอๆ จากนั้นก็หลับตาอีก อ้าปากกว้างหายใจ หน้าแดงร้อนผ่าว

ไท่ซ่างหวงจับมือเขาไว้ ไม่พูดไม่จา เฝ้าอยู่อย่างนั้น

หัวค่ำหยู่เหวินเห้าถึงได้ลากร่างอันอ่อนระโหยออกจากวัง ตอนที่ออกรบก็ใช้กำลังไปหมด กลับเมืองหลวงก็เดินทางไม่หยุดหย่อน และไม่เคยได้พักดี เมื่อคืนกลับจวนก็ไม่ได้นอนทั้งคืน บัดนี้ร่างกายสะสมความอ่อนล้าจนแทบทรุด แต่เขากลับหลับตาไม่ลง

เมื่อกลับถึงจวน เขาให้ฉี่หลอร้อยจี้หรูอี้ ให้เรียบร้อย จากนั้นก็สวมให้หยวนชิงหลิงด้วยตัวเอง แล้วนอนอยู่ข้างนาง

เขากุมมือหยวนชิงหลิงในผ้าห่ม ดวงตาทั้งคู่มองตรงไปด้านบน “เจ้าหยวน ฉางกงกงป่วยแล้ว เจ้าไม่เห็นหน้าเสด็จปู่ เขาแทบจะร้องไห้ แต่พยายามกลั้นเอาไว้ เขากลัวเสียไม่มี ไม่รู้ว่าทุกคนพอถึงช่วงหนึ่งแล้ว จะเฉยชากับความเป็นความตายขอตัวเอง แต่ไม่เฉยชากับความเป็นตายของคนข้างตัวหรือเปล่านะ?”

“ถ้าเจ้าอยู่” เขาหันไปมองหยวนชิงหลิง ยื่นมือลูบพวงแก้มนาง “ถ้าเจ้าอยู่ด้วย เสด็จปู่อาจไม่กลัวขนาดนั้นก็ได้ เมื่อไหร่เจ้าจะตื่นซักที?”

เขาเคลื่อนเข้าไปใกล้แล้วหอมข้างใบหูนาง หลับตาแล้วพูดด้วยเสียงอ่อนระทวย “ทิ้งข้ากับลูกไว้อย่างนี้ เจ้าทำใจได้เหรอ? จะให้ข้าอยู่ยังไง?”

ความเงียบเหงาในห้องค่อยๆ ล้อมเข้ามา แสงไฟส่องสว่างราวกับยามทิวา ทว่าจะสว่างอย่างไรก็ส่องไปไม่ถึงดวงตาเขา

ไม่รู้ว่านิ่งเงียบอย่างนี้นานเท่าไหร่ แต่จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น

“ฮูหยินใหญ่ ระวังหน่อยค่ะ!” หมันเอ๋อพยุงย่าหยวนเข้ามา

หยู่เหวินเห้าค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วเข้าไปพยุง

อะซี่ก็เข้ามาด้วย ในมือหอบสิ่งของอยู่ หยู่เหวินเห้ามองไปทีหนึ่ง รู้สึกคุ้นเคย นี่ก็คือของที่อยู่ในกล่องยาของเจ้าหยวนนั่นเอง ก่อนหน้านี้เคยเห็นอยู่บนตัวลู่หยวน

ฮูหยินใหญ่ให้อะซี่กับหมันเอ๋อออกไป จากนั้นก็นั่งลงพูดกับหยู่เหวินเห้า “ก่อนที่นางจะหมดสติได้สั่งเอาไว้ สามวันแรกให้ใส่น้ำเกลือประทังชีวิต หลังจากนั้นถ้านางยังไม่ฟื้นก็ใช้ท่อหายใจท่ออาหารประทังชีวิต วันนี้วันที่สี่แล้ว ควรใส่ได้แล้วล่ะ”

หยู่เหวินเห้าเลิกคิ้ว “นางรู้ว่าตัวเองจะหมดสติ?”

“ใช่ นางรู้ นางวางแผนไว้ก่อนแล้ว ฉะนั้นพ่อหลานเขย เจ้าไม่ต้องเสียใจให้มาก เชื่อนางหน่อย นางต้องกลับมาได้แน่” ย่าหยวนตบมือเขา พูดปลอบ

แต่หยู่เหวินเห้ายังไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะครับ? ทำไมนางถึงหมดสติ?”

ย่าหยวนส่ายหน้า “ข้าก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกัน ไว้นางฟื้นแล้วเจ้าก็ถามแล้วกัน ข้าเพียงแต่ทำตามที่นางบอกเอาไว้เมื่อก่อนหน้านี้ เจ้าเป็นเสาหลักของบ้านนี้ ต้องหนักแน่นเข้าไว้นะ”

อึดใจหนึ่งแล้วย่าหยวนก็พูดอีก “ไม่งั้น…เจ้าก็ไปถามเด็กๆ ดู บางทีพวกเขาอาจจะรู้ก็ได้ ข้าเคยได้ยินหลิงเอ๋อเคยพูดกับพวกเขา เด็กๆ ก็ดูเหมือนจะเข้าใจ”

“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!” ทันใดนั้นหยู่เหวินเห้าก็นึกถึงพลังวิเศษของลูกๆ เกิดความหวังมาหน่อยหนึ่ง หมุนตัวเดินออกไปทันที

ย่าหยวนเรียกตัวเขาไว้ “พ่อหลานเขย มาช่วยข้าก่อน”

“ครับ!” หยู่เหวินเห้าเดินกลับมา

เรื่องใส่ท่อหายใจหยู่เหวินเห้าไม่รู้เรื่องสักนิด โชคดีที่ย่าหยวนยังคุ้นเคยอยู่บ้าง ไม่ยากจนเกินไป

“ตอนนี้เด็กในท้องนางได้แต่อาศัยท่ออาหารดำรงชีวิต จะทำแบบลวกๆ ไม่ได้เด็ดขาด หลานเขย คนที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องนี้ต้องระวังให้มาก รู้ไหม?”

“ครับ ข้าทราบแล้ว” หยู่เหวินเห้าเห็นหยวนชิงหลิงเป็นแบบนี้แล้วก็ทรมานนัก คัดจมูกขึ้นทันที

เขาอยู่เป็นเพื่อนหยวนชิงหลิงพักหนึ่ง แล้วถึงออกไปหาเด็กๆ

เด็กๆ กำลังเล่นอยู่ในห้องยังไม่เข้านอน เมื่อเห็นพ่อมาแล้วทั้งสามก็เข้าไปห้อมล้อม

หยู่เหวินเห้าให้แม่นมออกไป แล้วก็นั่งลงถามพวกเขา “เกิดอะไรขึ้นกับเสด็จแม่กันแน่? ทำไมนางถึงหมดสติไป? นางเคยบอกอะไรพวกเจ้าเหรอ?”

ซาลาเปาแย่งตอบ “หม่อมฉันรู้พ่ะย่ะค่ะ สมองเสด็จแม่ไม่มีไอ้ที่เรืองแสงอยู่ เสด็จแม่อยากนอนกลับ เอาไว้ท่านเจ้าอาวาสทำยาเสร็จฉีดเข้าตัวเสด็จแม่ก็ไม่เป็นไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ท่านเจ้าอาวาส? แล้วท่านเจ้าอาวาสล่ะ?” หยู่เหวินเห้าตะลึง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้าอาวาสด้วยหรือ?

“ท่านเจ้าอาวาสกลับไปบ้านคุณยายแล้ว” ซาลาเปาพูด

หยู่เหวินเห้าฟังจนงงไปหมด “บ้านคุณยาย? ทำไมท่านเจ้าอาวาสถึงไปบ้านคุณยายล่ะ? บ้านคุณยายที่พวกเจ้าพูดถึงเป็นคุณยายคนไหน?”

ทังหยวนใช้มือทำท่าทำทาง “คุณยายก็คือท่านแม่ของเสด็จแม่ ที่นั่นยังมีท่านพ่อของเสด็จแม่ด้วย ท่านเจ้าอาวาสไปทำยา ทำเสร็จแล้วก็มาให้เสด็จแม่ เสร็จแล้วสมองก็จะเรืองแสง เรืองแสงแล้วก็ไม่ตาย”

“เรืองแสง?” หยู่เหวินเห้ามึนตึ้บ

ซาลาเปาผงกศีรษะแรงๆ ทำหน้าจริงจัง “ใช่พ่ะย่ะค่ะ! ก็คือไอ้ที่เรืองแสงควบคุมร่างกายอีกคนหนึ่ง สมอง ความคิด พฤติกรรม ถ้ามีเด็กคนหนึ่งเพิ่งตาย ขอแค่สนามแม่เหล็กเหมาะสมหม่อมฉันก็ใช้สมองตัวเองควบคุมคนนั้นได้พ่ะย่ะค่ะ”

หยู่เหวินเห้าหน้าทึ่งตาค้าง “สมองเจ้าก็เรืองแสงได้เหรอ?”

“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ แต่คลื่นสมองสื่อสารได้ ขอแค่มีพลังแข็งแกร่งพอ” ซาลาเปาเบนหน้า “เสด็จพ่อเขลาจังเลย! เสด็จแม่พูดรอบเดียวพวกเราก็เข้าใจแล้ว”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+