ภรรยาที่ทั้งสวยทั้งรวยของผม 293 สำนักฉิน

Now you are reading ภรรยาที่ทั้งสวยทั้งรวยของผม Chapter 293 สำนักฉิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ประโยคนี้เอง ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมาอย่างเขินอายเล็กน้อย มันไม่ต่างอะไรกับการมองดูกันไปกันมา

หลังจากได้ยินแบบนี้ สีหน้าของหยานรัวหยูก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

ฉินเฉิงก็รีบอธิบายว่า: “ฉันคิดว่า ถ้าวันหนึ่งฉันจากไปแล้ว ใครจะรับประกันได้ว่าสำนักอูยานั่นจะไม่กลับมาอีก? สำนักหลิงตงของเธอสามารถต่อต้านพวกเค้าได้อย่างงั้นเหรอ?”

หยานรัวหยูก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอพูดขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจว่า: “นี่คุณฉินกำลังหมายความว่ายังไงกัน?”

ฉินเฉิงพูดว่า: “ฉันต้องการเอาสำนักหลิงตงมาอยู่ภายใต้สำนักของฉิน แน่นอนว่าเมื่อถึงตอนนั้น เธอจะได้เป็นรองเจ้าสำนักแล้วเธอก็จะเป็นคนจัดการทุกอย่าง เธอคิดยังไง?”

ดูเหมือนว่าหยานรัวหยูจะกำลังสับสนเล็กน้อย สำนักหลิงตงเองก็ไม่แข็งแกร่งจริงๆ ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้มันก็ไม่ปลอดภัยเลย

และสำนักชั้นหนึ่งส่วนมากในภาคเหนือก็ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลชั้นนำ ส่วนสำนักที่เป็นอิสระอย่างสำนักหลิงตงก็มีอยู่ไม่มาก

แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับฉินเฉิง แต่ยังไงก็ตามไม่ช้าก็เร็วสำนักหลิงตงก็จะต้องถูกกองกำลังอื่นเข้ามายึดครอง

แทนที่จะปล่อยให้คนอย่างเจ้าสำนักหวงเข้ามายึดครองมัน มันน่าจะเป็นการดีซะกว่าที่จะส่งมอบสำนักให้กับฉินเฉิง

อย่างน้อยที่สุด ฉินเฉิงคนนี้ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าเจ้าสำนักหวง

เมื่อเห็นว่าหยานรัวหยูไม่พูดอะไร ฉินเฉิงก็โบกมือแล้วพูดว่า: “ฉันก็แค่คิดหนะ ถ้าเจ้าสำนักหยานไม่เห็นด้วย ก็ถือซะว่าฉันไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน”

หลังจากพูดจบ ฉินเฉิงก็ลุกขึ้นและจากไป

“เดี๋ยวก่อน!” ในตอนนี้เอง หยานรัวหยูก็เรียกให้ฉินเฉิงหยุด

“เจ้าสำนักหยานมีอะไรอีกเหรอ?” ฉินเฉิงถาม

หยานรัวหยูกัดริมฝีปากสีแดงของเธอ หลังจากลังเลอยู่ซักพัก เธอก็พยักหน้าแล้วพูดว่า: “ฉันสัญญา แต่ว่าการเปิดสำนักต้องใช้เงินนะ ช่วงหลายปีที่ผ่านมาสำนักหลิงตงเองก็ทำรายได้ๆน้อยมาก ดังนั้น…”

“เรื่องเงินก็ยกให้เป็นหน้าที่ฉันก็แล้วกัน” ฉินเฉิงพูดขึ้นมา ในใจเค้าดีใจมาก

หยานรัวหยูพยักหน้าเบาๆแล้วกระซิบว่า: “คุณฉิน สำนักหลิงตงมันคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมี ฉันไม่อยากเห็นมันเสื่อมโทรม…”

ฉินเฉิงสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า: “ให้เวลาฉันสิบปี ฉันจะทำให้สำนักหลิงตงกลายเป็นสำนักอันดับหนึ่งในโลก”

สำนักอันดับหนึ่งของโลก?

นี่มันค่อนข้างเกินจริงไปหน่อย สำนักใหญ่ๆ พวกเค้าล้วนแล้วแต่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลชั้นนำไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่คำนึงถึงเรื่องของทรัพยากรและความสัมพันธ์ พวกเค้าน่าจะไปถึงขีดแล้ว

แม้ว่าฉินเฉิงมีศักยภาพที่ดีในเรื่องของศิลปะการต่อสู้ แต่ดูเหมือนว่าด้านที่เหลือเค้าจะไม่ได้มีอะไรดีมาก

แน่นอนว่านี่เป็นความคิดของหยายรัวหยู ส่วนฉินเฉิงเองก็ไม่สามารถที่จะคาดเดามันได้เลย

“ขอบคุณมากนะ เจ้าสำนักหยาน” ฉินเฉิงคำนับ “ฉันต้องการเปลี่ยนชื่อสำนักหลิงตง ไม่รู้ว่าเจ้าสำนักจะเห็นด้วยหรือไม่”

หยานรัวหยูก็พูดเบาๆขึ้นมาว่า : “เนื่องจากคุณเป็นเจ้าสำนักแล้ว สำนักหลิงตงนี่มันก็ขึ้นอยู่กับคุณ”

ฉินเฉิงดีใจ เค้ารีบพยักหน้าแล้วพูดว่า: “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สำนักหลิงตงจะเปลี่ยนชื่อเป็นสำนักฉินอย่างเป็นทางการ”

“สำนักฉิน?” หยานรัวหยูสึกประหลาดใจเล็กน้อย เธอมองไปที่ฉินเฉิง

“ชื่อนี้มันไม่เพราะเหรอ?” ฉินเฉิงถาม

หยานรัวหยูก็พยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า: “ก็เพราะดี”

ด้วยเหตุผลบางอย่าง ต่อหน้าของฉินเฉิง หยานรัวหยูก็รู้สึกเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย

ในตอนเที่ยง หยานรัวหยูก็ได้ประกาศเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ

ท่าทีของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนคิดว่าฉินเฉิงจะเข้ามาครองสำนักหลิงตงแล้วต่อไปสำนักจะต้องดีขึ้น

บางคนคิดว่าฉินเฉิงกับเจ้าสำนักหวงต่างก็เหมือนกัน ทั้งคู่ต่างก็มีความโลภและต้องการครอบครองสำนักหลิงตง

แต่ไม่ว่าพวกเค้าจะคิดยังไง สำนักหลิงตงแห่งนี้ก็กลายเป็นสำนักของฉินเฉิงไปแล้ว มันถูกเปลี่ยนชื่อไปเป็นสำนักฉิน

ในวันนี้เอง หยานรัวหยูก็ได้เปลี่ยนป้ายชื่อทั้งหมดให้กลายเป็นชื่อสำนักฉิน ตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่หน้าประตูสำนักมันก็ดูเป็นประกายเป็นอย่างมาก

ส่วนฉินเฉิงก็ไม่ได้รีบจากไป เค้าอยู่ที่สำนักฉิน ในตอนนี้ เค้าก็กำลังรอคอยการมาของฉื่อหยาน

ระยะเวลาสามวัน มันก็ผ่านไปในพริบตา

ฉินเฉิงก็นั่งที่ห้องโถงของสำนักฉินแล้วพูดขึ้นมาเบาๆว่า: “ดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวทั้งหมดของฉื่อหยาน มันจะสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของตระกูลซู”

ถ้าเป็นอย่างงั้น ฉินเฉิงก็ค่อยวางใจ

ฉินเฉิงต้องการผงาดขึ้นแล้วนำสำนักอูยาเข้ามารวมอยู่ในสำนักของเค้า แต่เค้ากลับรู้สึกว่าการกระทำของเค้ามันไกลเกินเอื้อม การที่จะไล่ตามตระกูลซูมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ในตอนนี้สำนักฉิน มันก็ผ่านมาแล้วกว่าครึ่งเดือน

ฉินเฉิงนั่งอยู่ใต้ต้นเชียนเทียน เค้าหลับตาลงแล้วทำจิตใจให้สงบ

อารมณ์ของเค้ามันกำลังเปลี่ยนไปอย่างเงียบๆ ในใจของเค้า สิ่งที่มันปรากฎขึ้นก็คือฉากที่เต็มไปด้วยฝนเลือด

เมื่อเวลาผ่านไป ฉินเฉิงก็ค่อยๆยอมรับเส้นทางสายนี้

หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน จิตของฉินเฉิงมันก็ค่อยๆดีขึ้น

พลังงานจิตวิญญาณในร่างกายของเค้าอยู่ที่ขีดสุด ดังนั้นในตอนที่จิตของเค้าสงบ ความแข็งแกร่งของฉินเฉิงมันก็ก็เพิ่มขึ้นในทันใด!

“ฮู้ววว!”

ลมหายใจออก เค้าก็ค่อยๆออกมาจากพลังนั่น จากนั้นดวงตาของเค้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดในทันที

“ขั้นของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นเก้าแล้ว” ฉินเฉิงยืนขึ้นแล้วพูดเบาๆขึ้นมา

“มันเป็นเพียงเส้นบางๆระหว่างจอมยุทธ์ก็เท่านั้น” ในใจฉินเฉิงก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย

ตราบใดที่เค้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตของจอมยุทธ์ได้ ฉินเฉิงก็มั่นใจว่าเค้าจะเอาชนะและบดขยี้ซูหยู่ได้อย่างแน่นอน!

เมื่อถึงเวลานั้น มันก็เป็นเวลาที่จะสร้างชื่อให้กับโลก!

ในตอนนี้เอง หยานรัวหยูก็เดินเข้ามาจากนอกประตู

หลังจากที่เห็นฉินเฉิง เธอก็พูดด้วยความประหลาดใจว่า: “คุณตื่นแล้วเหรอ”

ฉินเฉิงพยักหน้าเล็กน้อย เค้ากวาดมองไปทางหยานรัวหยูแล้วถามว่า: “มีเรื่องอะไรเหรอ?”

หยานรัวหยูครุ่นคิดอยู่ซักพัก จากนั้นเธอก็พูดว่า “หลังจากที่ต้นเชียนเทียนถูกเก็บออกจากบ่อน้ำพุแล้ว ลูกศิษย์ของสำนักฉินก็พัฒนาไวมาก ตอนนี้หลายคนก็ถึงขั้นสุดแล้ว บางคนก็ออกไปจากสำนักแล้ว”

ฉินเฉิงเงียบ หลังจากนั้นไม่นานฉินเฉิงก็พูดว่า: “ปัญหานี้ ฉันจะจัดการเอง”

หยานรัวหยูก็เอนตัวเล็กน้อย เธอดูราวกับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ

“ยังไงก็ตาม ฉันจะต้องใช้เวลาครึ่งเดือนในการจำศีล” ฉินเฉิงพูดว่า “ในช่วงครึ่งเดือนนี้ อย่าให้ใครเข้ามามารบกวนฉัน”

หยานรัวหยูรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยแล้วพูดว่า: “เจ้าสำนักฉิน คุณก้าวข้ามแล้วเหรอ?”

“ไม่” ฉินเฉิงส่ายหัว “การพัฒนากำลังมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับวิธีการเท่านั้น”

หยานรัวหยูต้องการถามอะไรบางอย่าง แต่ฉินเฉิงก็โบกมือขัดจังหวะหยานรัวหยู

หยานรัวหยูก็พยักหน้าแล้วเดินออกไป

ฉินเฉิงหลับตาลงอีกครั้ง จากนั้นแสงสีทองหลายดวงก็ระเบิดขึ้นในจิตของเค้า ทั้งหมดนี้มันเป็นเทคนิคระดับสูงสุด

สิ่งนี้ มันสามารถเขย่าโลกได้เลย

“ความสามารถในการควบคุมกายศักดิ์สิทธิ์กับหมัดของนักปราช์มันยังไม่เพียงพอ มันแค่พึ่งเริ่มต้นเท่านั้น” ฉินเฉิงคิดในใจ “ถ้ากายาศักดิ์สิทธ์กับหมัดของปราชญ์สามารถรวมกันได้ มันจะกลายเป็นพลังที่มีประสิทธิภาพมากอย่างแน่นอน”

แม้ว่าหมัดของนักปราชญ์จะเป็นเทคนิคระดับต่ำ แต่มันก็ดุร้าย ยิ่งร่างกายแข็งแกร่ง หมัดของนักปราชญ์ก็ยิ่งแข็งแกร่งตาม!

และกายาศักดิ์สิทธิ์ก็เกิดขึ้นพร้อมกับร่างกายของฉินเฉิง หากหมัดของนักปราช์สามารถชกออกได้ด้วยกายาศักดิ์สิทธิ์ มันจะต้องแข็งแกร่งมาก

หลังจากนั้น จิตของฉินเฉิงก็แสดงการเคลื่อนไหวทีละอย่าง ทั้งหมดรวมเป็น 36 การเคลื่อนไหว มันซ้อนทับกันทีละเล็กทีละน้อย

แต่ละครั้งที่มันซ้อนกัน เทคนิคก็จะเพิ่มขึ้นหนึ่งชั้น

ในตอนนี้มันก็เป็นฤดูหนาวแล้ว

ในตอนที่การจำศีลของฉินเฉิงสิ้นจุด มันก็เป็นวันตรุษจีนแล้ว

และสำนักอูยาก็ฉวยโอกาสในวันตรุษจีนเริ่มลงมือ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ภรรยาที่ทั้งสวยทั้งรวยของผม 293 สำนักฉิน

Now you are reading ภรรยาที่ทั้งสวยทั้งรวยของผม Chapter 293 สำนักฉิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ประโยคนี้เอง ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมาอย่างเขินอายเล็กน้อย มันไม่ต่างอะไรกับการมองดูกันไปกันมา

หลังจากได้ยินแบบนี้ สีหน้าของหยานรัวหยูก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

ฉินเฉิงก็รีบอธิบายว่า: “ฉันคิดว่า ถ้าวันหนึ่งฉันจากไปแล้ว ใครจะรับประกันได้ว่าสำนักอูยานั่นจะไม่กลับมาอีก? สำนักหลิงตงของเธอสามารถต่อต้านพวกเค้าได้อย่างงั้นเหรอ?”

หยานรัวหยูก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอพูดขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจว่า: “นี่คุณฉินกำลังหมายความว่ายังไงกัน?”

ฉินเฉิงพูดว่า: “ฉันต้องการเอาสำนักหลิงตงมาอยู่ภายใต้สำนักของฉิน แน่นอนว่าเมื่อถึงตอนนั้น เธอจะได้เป็นรองเจ้าสำนักแล้วเธอก็จะเป็นคนจัดการทุกอย่าง เธอคิดยังไง?”

ดูเหมือนว่าหยานรัวหยูจะกำลังสับสนเล็กน้อย สำนักหลิงตงเองก็ไม่แข็งแกร่งจริงๆ ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้มันก็ไม่ปลอดภัยเลย

และสำนักชั้นหนึ่งส่วนมากในภาคเหนือก็ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลชั้นนำ ส่วนสำนักที่เป็นอิสระอย่างสำนักหลิงตงก็มีอยู่ไม่มาก

แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับฉินเฉิง แต่ยังไงก็ตามไม่ช้าก็เร็วสำนักหลิงตงก็จะต้องถูกกองกำลังอื่นเข้ามายึดครอง

แทนที่จะปล่อยให้คนอย่างเจ้าสำนักหวงเข้ามายึดครองมัน มันน่าจะเป็นการดีซะกว่าที่จะส่งมอบสำนักให้กับฉินเฉิง

อย่างน้อยที่สุด ฉินเฉิงคนนี้ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าเจ้าสำนักหวง

เมื่อเห็นว่าหยานรัวหยูไม่พูดอะไร ฉินเฉิงก็โบกมือแล้วพูดว่า: “ฉันก็แค่คิดหนะ ถ้าเจ้าสำนักหยานไม่เห็นด้วย ก็ถือซะว่าฉันไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน”

หลังจากพูดจบ ฉินเฉิงก็ลุกขึ้นและจากไป

“เดี๋ยวก่อน!” ในตอนนี้เอง หยานรัวหยูก็เรียกให้ฉินเฉิงหยุด

“เจ้าสำนักหยานมีอะไรอีกเหรอ?” ฉินเฉิงถาม

หยานรัวหยูกัดริมฝีปากสีแดงของเธอ หลังจากลังเลอยู่ซักพัก เธอก็พยักหน้าแล้วพูดว่า: “ฉันสัญญา แต่ว่าการเปิดสำนักต้องใช้เงินนะ ช่วงหลายปีที่ผ่านมาสำนักหลิงตงเองก็ทำรายได้ๆน้อยมาก ดังนั้น…”

“เรื่องเงินก็ยกให้เป็นหน้าที่ฉันก็แล้วกัน” ฉินเฉิงพูดขึ้นมา ในใจเค้าดีใจมาก

หยานรัวหยูพยักหน้าเบาๆแล้วกระซิบว่า: “คุณฉิน สำนักหลิงตงมันคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมี ฉันไม่อยากเห็นมันเสื่อมโทรม…”

ฉินเฉิงสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า: “ให้เวลาฉันสิบปี ฉันจะทำให้สำนักหลิงตงกลายเป็นสำนักอันดับหนึ่งในโลก”

สำนักอันดับหนึ่งของโลก?

นี่มันค่อนข้างเกินจริงไปหน่อย สำนักใหญ่ๆ พวกเค้าล้วนแล้วแต่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลชั้นนำไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่คำนึงถึงเรื่องของทรัพยากรและความสัมพันธ์ พวกเค้าน่าจะไปถึงขีดแล้ว

แม้ว่าฉินเฉิงมีศักยภาพที่ดีในเรื่องของศิลปะการต่อสู้ แต่ดูเหมือนว่าด้านที่เหลือเค้าจะไม่ได้มีอะไรดีมาก

แน่นอนว่านี่เป็นความคิดของหยายรัวหยู ส่วนฉินเฉิงเองก็ไม่สามารถที่จะคาดเดามันได้เลย

“ขอบคุณมากนะ เจ้าสำนักหยาน” ฉินเฉิงคำนับ “ฉันต้องการเปลี่ยนชื่อสำนักหลิงตง ไม่รู้ว่าเจ้าสำนักจะเห็นด้วยหรือไม่”

หยานรัวหยูก็พูดเบาๆขึ้นมาว่า : “เนื่องจากคุณเป็นเจ้าสำนักแล้ว สำนักหลิงตงนี่มันก็ขึ้นอยู่กับคุณ”

ฉินเฉิงดีใจ เค้ารีบพยักหน้าแล้วพูดว่า: “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สำนักหลิงตงจะเปลี่ยนชื่อเป็นสำนักฉินอย่างเป็นทางการ”

“สำนักฉิน?” หยานรัวหยูสึกประหลาดใจเล็กน้อย เธอมองไปที่ฉินเฉิง

“ชื่อนี้มันไม่เพราะเหรอ?” ฉินเฉิงถาม

หยานรัวหยูก็พยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า: “ก็เพราะดี”

ด้วยเหตุผลบางอย่าง ต่อหน้าของฉินเฉิง หยานรัวหยูก็รู้สึกเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย

ในตอนเที่ยง หยานรัวหยูก็ได้ประกาศเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ

ท่าทีของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนคิดว่าฉินเฉิงจะเข้ามาครองสำนักหลิงตงแล้วต่อไปสำนักจะต้องดีขึ้น

บางคนคิดว่าฉินเฉิงกับเจ้าสำนักหวงต่างก็เหมือนกัน ทั้งคู่ต่างก็มีความโลภและต้องการครอบครองสำนักหลิงตง

แต่ไม่ว่าพวกเค้าจะคิดยังไง สำนักหลิงตงแห่งนี้ก็กลายเป็นสำนักของฉินเฉิงไปแล้ว มันถูกเปลี่ยนชื่อไปเป็นสำนักฉิน

ในวันนี้เอง หยานรัวหยูก็ได้เปลี่ยนป้ายชื่อทั้งหมดให้กลายเป็นชื่อสำนักฉิน ตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่หน้าประตูสำนักมันก็ดูเป็นประกายเป็นอย่างมาก

ส่วนฉินเฉิงก็ไม่ได้รีบจากไป เค้าอยู่ที่สำนักฉิน ในตอนนี้ เค้าก็กำลังรอคอยการมาของฉื่อหยาน

ระยะเวลาสามวัน มันก็ผ่านไปในพริบตา

ฉินเฉิงก็นั่งที่ห้องโถงของสำนักฉินแล้วพูดขึ้นมาเบาๆว่า: “ดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวทั้งหมดของฉื่อหยาน มันจะสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของตระกูลซู”

ถ้าเป็นอย่างงั้น ฉินเฉิงก็ค่อยวางใจ

ฉินเฉิงต้องการผงาดขึ้นแล้วนำสำนักอูยาเข้ามารวมอยู่ในสำนักของเค้า แต่เค้ากลับรู้สึกว่าการกระทำของเค้ามันไกลเกินเอื้อม การที่จะไล่ตามตระกูลซูมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ในตอนนี้สำนักฉิน มันก็ผ่านมาแล้วกว่าครึ่งเดือน

ฉินเฉิงนั่งอยู่ใต้ต้นเชียนเทียน เค้าหลับตาลงแล้วทำจิตใจให้สงบ

อารมณ์ของเค้ามันกำลังเปลี่ยนไปอย่างเงียบๆ ในใจของเค้า สิ่งที่มันปรากฎขึ้นก็คือฉากที่เต็มไปด้วยฝนเลือด

เมื่อเวลาผ่านไป ฉินเฉิงก็ค่อยๆยอมรับเส้นทางสายนี้

หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน จิตของฉินเฉิงมันก็ค่อยๆดีขึ้น

พลังงานจิตวิญญาณในร่างกายของเค้าอยู่ที่ขีดสุด ดังนั้นในตอนที่จิตของเค้าสงบ ความแข็งแกร่งของฉินเฉิงมันก็ก็เพิ่มขึ้นในทันใด!

“ฮู้ววว!”

ลมหายใจออก เค้าก็ค่อยๆออกมาจากพลังนั่น จากนั้นดวงตาของเค้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดในทันที

“ขั้นของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นเก้าแล้ว” ฉินเฉิงยืนขึ้นแล้วพูดเบาๆขึ้นมา

“มันเป็นเพียงเส้นบางๆระหว่างจอมยุทธ์ก็เท่านั้น” ในใจฉินเฉิงก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย

ตราบใดที่เค้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตของจอมยุทธ์ได้ ฉินเฉิงก็มั่นใจว่าเค้าจะเอาชนะและบดขยี้ซูหยู่ได้อย่างแน่นอน!

เมื่อถึงเวลานั้น มันก็เป็นเวลาที่จะสร้างชื่อให้กับโลก!

ในตอนนี้เอง หยานรัวหยูก็เดินเข้ามาจากนอกประตู

หลังจากที่เห็นฉินเฉิง เธอก็พูดด้วยความประหลาดใจว่า: “คุณตื่นแล้วเหรอ”

ฉินเฉิงพยักหน้าเล็กน้อย เค้ากวาดมองไปทางหยานรัวหยูแล้วถามว่า: “มีเรื่องอะไรเหรอ?”

หยานรัวหยูครุ่นคิดอยู่ซักพัก จากนั้นเธอก็พูดว่า “หลังจากที่ต้นเชียนเทียนถูกเก็บออกจากบ่อน้ำพุแล้ว ลูกศิษย์ของสำนักฉินก็พัฒนาไวมาก ตอนนี้หลายคนก็ถึงขั้นสุดแล้ว บางคนก็ออกไปจากสำนักแล้ว”

ฉินเฉิงเงียบ หลังจากนั้นไม่นานฉินเฉิงก็พูดว่า: “ปัญหานี้ ฉันจะจัดการเอง”

หยานรัวหยูก็เอนตัวเล็กน้อย เธอดูราวกับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ

“ยังไงก็ตาม ฉันจะต้องใช้เวลาครึ่งเดือนในการจำศีล” ฉินเฉิงพูดว่า “ในช่วงครึ่งเดือนนี้ อย่าให้ใครเข้ามามารบกวนฉัน”

หยานรัวหยูรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยแล้วพูดว่า: “เจ้าสำนักฉิน คุณก้าวข้ามแล้วเหรอ?”

“ไม่” ฉินเฉิงส่ายหัว “การพัฒนากำลังมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับวิธีการเท่านั้น”

หยานรัวหยูต้องการถามอะไรบางอย่าง แต่ฉินเฉิงก็โบกมือขัดจังหวะหยานรัวหยู

หยานรัวหยูก็พยักหน้าแล้วเดินออกไป

ฉินเฉิงหลับตาลงอีกครั้ง จากนั้นแสงสีทองหลายดวงก็ระเบิดขึ้นในจิตของเค้า ทั้งหมดนี้มันเป็นเทคนิคระดับสูงสุด

สิ่งนี้ มันสามารถเขย่าโลกได้เลย

“ความสามารถในการควบคุมกายศักดิ์สิทธิ์กับหมัดของนักปราช์มันยังไม่เพียงพอ มันแค่พึ่งเริ่มต้นเท่านั้น” ฉินเฉิงคิดในใจ “ถ้ากายาศักดิ์สิทธ์กับหมัดของปราชญ์สามารถรวมกันได้ มันจะกลายเป็นพลังที่มีประสิทธิภาพมากอย่างแน่นอน”

แม้ว่าหมัดของนักปราชญ์จะเป็นเทคนิคระดับต่ำ แต่มันก็ดุร้าย ยิ่งร่างกายแข็งแกร่ง หมัดของนักปราชญ์ก็ยิ่งแข็งแกร่งตาม!

และกายาศักดิ์สิทธิ์ก็เกิดขึ้นพร้อมกับร่างกายของฉินเฉิง หากหมัดของนักปราช์สามารถชกออกได้ด้วยกายาศักดิ์สิทธิ์ มันจะต้องแข็งแกร่งมาก

หลังจากนั้น จิตของฉินเฉิงก็แสดงการเคลื่อนไหวทีละอย่าง ทั้งหมดรวมเป็น 36 การเคลื่อนไหว มันซ้อนทับกันทีละเล็กทีละน้อย

แต่ละครั้งที่มันซ้อนกัน เทคนิคก็จะเพิ่มขึ้นหนึ่งชั้น

ในตอนนี้มันก็เป็นฤดูหนาวแล้ว

ในตอนที่การจำศีลของฉินเฉิงสิ้นจุด มันก็เป็นวันตรุษจีนแล้ว

และสำนักอูยาก็ฉวยโอกาสในวันตรุษจีนเริ่มลงมือ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+