มรรคาสู่สวรรค์ 108 คำอธิบาย

Now you are reading มรรคาสู่สวรรค์ Chapter 108 คำอธิบาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อินชิงมั่วและอีกสองคนตะลึงลาน พวกเขารีบขี่อาวุธวิเศษพุ่งออกไป

พวกเขาไปถึงที่นั่นด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด จิ๋งจิ่วมาถึงแล้ว

ไต้อิ๋นนอนอยู่บนพื้นหิมะ ลมหายใจขาดไปแล้ว บนใบหน้าถูกวัตถุแหลมคมบางอย่างกรีดเป็นรอยแผลหลายแผล เลือดและเนื้อผสมกันจนดูเละเทะ ดูแล้วน่าสยดสยองเป็นยิ่งนัก

เชือกมรกตเส้นนั้นขาดกระจุยเป็นชิ้นๆ ตกกระจายอยู่รอบตัวเขา บริเวณนั้นมีรูสีดำที่เล็กมากรูหนึ่ง ความลึกของมันไม่รู้ว่าลึกเท่าไร

เงาดำเล็กๆ นั้นน่าจะหลบหนีไปยังใต้ดินผ่านทางรูดำนี้ ความเร็วรวดเร็วเป็นอย่างมาก กระทั่งจิตจำแนกของจิ๋งจิ่วก็ตามจับไม่ทัน

ลมหนาวหวีดหวิว พัดพาเอาเกล็ดหิมะตกลงมาบนใบหน้าของพวกเขา เหน็บหนาวเยียบเย็น เงียบสงัดวังเวง

ก่อนที่จะเข้าร่วมการประลองวิถีพรต พวกเขาต่างได้เรียนรู้ความรู้ที่เกี่ยวข้องมาแล้ว จึงมั่นใจว่าขอเพียงมิได้เข้าไปยังใจกลางของที่ราบหิมะ ก็น่าจะไม่เจอสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งอะไร เจ้าสิ่งที่พุ่งออกมาจากเปลือกของอสูรขาหิมะตัวนั้น ไม่ว่าดูยังไงก็เป็นทิงเอ่อร์ เหตุใดมันกลับร้ายกาจถึงเพียงนี้ กระทั่งอาวุธวิเศษของสำนักคุนหลุนก็ยังไม่อาจทำอะไรมันได้ ในทางกลับกัน กลับถูกมันฉีกกระชากจนเป็นชิ้นๆ?

ภายในใจของอินชิงมั่วและอีกสองคนที่เหลือเกิดความรู้สึกไม่สบายใจและความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างรุนแรง ทันใดนั้นพวกเขาเหลือบมองไปทางจิ๋งจิ่ว

จิ๋งจิ่วมองดูศพที่อยู่บนพื้นหิมะอย่างเงียบๆ ก่อนจะมั่นใจแล้วว่าเหตุใดคนผู้นั้นถึงตอนการให้ตนเองเข้าร่วมการประลองวิถีพรตบนที่ราบหิมะ

ก็เหมือนกับที่เขาเคยคุยกับเจ้าล่าเยวี่ย ความเป็นความตายของที่นี่เยอะที่สุด

อย่างน้อยนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่ง

……

……

เมืองเจาเกอหลังเข้าสู่ฤดูร้อนก็ค่อยๆ ร้อนอบอ้าวขึ้นเรื่อยๆ แต่เหล่าผู้บำเพ็ญพรตในเรือนซีซานกลับมิได้กังวลถึงปัญหานี้

ชื่นชมภาพดอกเหมยภายใต้ระเบียงทางเดินท่ามกลางสายลมเย็นสบายที่ข่ายพลังเรียกมา แล้วจะไปรู้สึกร้อนได้อย่างไร?

เวลาเคลื่อนผ่านไป ดอกเหมยในภาพวาดเหล่านั้นก็ยิ่งมีจำนวนเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดเสียงอุทานชื่นชมเป็นจำนวนมาก

ภาพแต่ละภาพหมายถึงผู้บำเพ็ญพรตที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรต เนื่องเพราะวิถีและนิสัยที่แตกต่างกัน ภาพที่ปรากฏออกมาย่อมต้องไม่เหมือนกัน

บนภาพของลั่วไหวหนาน ดอกเหมยบานสะพรั่งมากที่สุด บนภาพของถงหลู ดอกเหมยมีจำนวนเยอะที่สุด

ถึงแม้จะเป็นภาพดอกเหมยเล็กๆ ที่เบ่งบานอยู่สองสามดอก ดูแล้วค่อนข้างน่าสงสาร แต่ก็ยังมองเห็นถึงจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ของพวกเขา

มีเพียงภาพนั้นภาพเดียวที่ยังคงว่างเปล่า

เสียงระฆังดังขึ้น เหล่าผู้บำเพ็ญพรตงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะเข้าใจความหมายทันที จากนั้นเดินออกไปนอกระเบียง ถอยออกไปอยู่ในศาลาในภูเขาเหล่านั้น

มีคนสำคัญเข้าไปชมภาพวาดเหล่านั้น พวกเขาจึงจำเป็นต้องถอยออกมาก่อน

ผู้บำเพ็ญพรตยืนอยู่ในป่า มองดูคนหลายคนที่ปรากฏตัวตะคุ่มๆ อยู่ใต้ทางเดิน พวกเขาส่งเสียงพูดคุยกันขึ้นมา สงสัยว่าคนสำคัญเหล่านั้นกำลังคุยอะไรกันอยู่

ไม่นานคำวิจารณ์ที่มีต่อภาพดอกเหมยของคนสำคัญเหล่านั้นก็ถูกส่งออกมาที่นี่ คำวิจารณ์ที่ถูกให้ความสำคัญที่สุดย่อมต้องเป็นคำวิจารณ์ของฉานจึ

ฉานจึวิจารณ์ภาพของไป๋เจ่าเอาได้ดีที่สุด เขากล่าวชมว่า “ภาพนี้มีความสมดุล แลดูมีชีวิต งามที่สุด”

เหล่าผู้บำเพ็ญพรตรู้สึกตกใจ ในใจครุ่นคิดว่าลั่วไหวหนานแสดงฝีมือได้ดีที่สุด แต่เหตุใดฉานกลับคิดว่าเขามิอาจสู้ศิษย์น้องของตัวเองได้?”

พวกเขาครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง เมื่อคิดถึงคำว่าสมดุลสองพยางค์ที่อยู่ในคำพูดประโยคนั้น พวกเขาจึงคล้ายจะเข้าใจความหมายของฉานจึขึ้นมา

จริงอยู่ที่ลั่วไหวหนานแข็งแกร่งอย่างมาก บนกิ่งเหมยของเขามีดอกเหมยบานสะพรั่งอยู่สิบกว่าดอก แต่กิ่งเหมยของเพื่อนในกลุ่มกลับมีไม่มาก ทำให้ภาพทั้งภาพขาดความสมดุล

ในทางกลับกัน ดอกเหมยที่อยู่ในภาพของไป๋เจ่าภาพนั้นมีความสมดุลเป็นอย่างมาก นี่แสดงให้เห็นว่านางรู้จักและเข้าใจความสามารถของเพื่อนภายในกลุ่มเป็นอย่างดี ทำให้สามารถแสดงพลังของพวกเขาออกมาได้อย่างเต็มที่

หากใช้ตำแหน่งผู้นำฝ่ายธรรมะในอนาคตมาเป็นมาตรฐานในการวิจารณ์แล้ว นางถือว่าเหนือกว่าลั่วไหวหนานจริงๆ

“ฉานจึวิจารณ์จิ๋งจิ่วอย่างไรบ้าง?”

มีผู้บำเพ็ญพรตคนหนึ่งถามคำถามที่ทุกคนรู้สึกใคร่รู้มากที่สุด

……

……

สมณะน้อยเดินสองมือไพล่หลังไปตามระเบียง สองเท้าเปลือยเปล่าเหยียบย่ำไปบนพื้น ส่งเสียงแปะๆ คล้ายเด็กที่ออกไปเที่ยวเล่นในฤดูใบไม้ผลิ

แต่ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสำนักคุนหลุนหรือว่าเหอกั๋วกง ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกบำเพ็ญพรตเหล่านี้ต่างก็เดินตามหลังเขาอย่างเงียบๆ มิกล้ากล่าวอะไรส่งเดช

สมณะน้อยเดินไปถึงหน้าภาพๆ หนึ่ง ฝีเท้าหยุดลง เมื่อเห็นกิ่งสี่ห้ากิ่งและความว่างเปล่าบนภาพ บนใบหน้าของเขาพลันมีรอยยิ้มที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มปรากฏขึ้นมา

หนานว่างหมุนตัวไปอีกด้านด้วยสีหน้าเรียบเฉย

คนสำคัญที่เหลือมิกล้าพูดอะไรต่อหน้านาง แต่สีหน้ากลับคล้ายยิ้มคล้ายมิได้ยิ้ม ความหมายชัดเจนเป็นยิ่งนัก

ในงานประลองวิถีพรตของงานชุมนุมเหมยฮุ่ย แต่ไหนแต่ไรมาสำนักชิงซานล้วนแต่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่ครั้งนี้ กำลังหลักของชิงซาน — หรือก็คือเหล่าศิษย์อัจฉริยะของยอดเขาเหลี่ยงว่างเหล่านั้นต่างมิสามารถลงชื่อเข้าร่วมงานได้เนื่องเพราะจิ๋งจิ่ว เจ้าล่าเยวี่ยที่บอกเอาไว้แล้วว่าจะเข้าร่วมประลองวิถีพรตก็ถูกบีบให้ถอนตัวเพราะเรื่องเรื่องนั้น

จิ๋งจิ่วในเมื่อลงประลอง เขาก็ย่อมต้องเป็นตัวแทนของชิงซานอย่างไม่ต้องสงสัย

เพียงแต่สิ่งที่เขากระทำอยู่ในตอนนี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้ชิงซานขายหน้า แต่ยังทำให้คนอื่นๆ ไม่สามารถวิจารณ์ได้ด้วย

เพราะเรื่องบางเรื่องในอดีต ทำให้เจ้าสำนักคุนหลุนไม่ชอบจิ๋งจิ่วอย่างมาก เมื่อมองภาพที่ว่างเปล่าผืนนั้นก็ยิ่งรู้สึกมีความสุข พลางยิ้มเยาะออกมาเล็กน้อย

หนานว่างเหลือบมองเขา มิได้กล่าวกระไร

เหอกั๋วกงรีบไกล่เกลี่ย กล่าวว่า “ไม่รู้ว่าไปเจอเรื่องอะไรเข้าหรือเปล่า บางทีเพื่อนในกลุ่มอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ”

“แก้ไขปัญหาของเพื่อนในกลุ่มไม่ได้ จนถูกเพื่อนในกลุ่มถ่วงแข้งถ่วงขา ก็ถือเป็นปัญหาเช่นเดียวกัน”

เจ้าสำนักคุนหลุนยิ้มเยาะพลางกล่าว “ก็เหมือนกับที่ฉานจึว่ามา ความสามารถผู้นำไม่มากพอ ต่อให้พรสวรรค์ทางวิถีกระบี่สูงส่งแค่ไหน มันก็ยากที่จะทำประโยชน์ได้”

หนานว่างเลิกคิ้ว เตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง

ในเวลานี้เอง สมณะน้อยพลันถอนใจออกมา ดึงดูดความสนใจของทุกคนเอาไว้

“ว่ากันว่าผู้สืบทอดของสหายเก่าของอาตมาผู้นี้เกียจคร้านเป็นยิ่งนัก”

สมณะน้อยมองดูภาพนั้น พลางทอดถอนใจออกมา “ตอนนี้ดูเหมือนจะเกียจคร้านจริงด้วย”

……

……

ฉานจึออกจากเรือนซีซาน กลับไปยังวัดจิ้งเจวี๋ย

คำวิจารณ์ของเขาที่มีต่อจิ๋งจิ่วยังคงดังก้องอยู่ในเรือนซีซาน

เหล่าผู้บำเพ็ญพรตสบตากันมิกล่าวกระไร ในใจครุ่นคิดว่าเหตุผลนี้หรือพูดอีกอย่างคือข้ออ้างนี้ถือว่าแปลกใหม่จริงๆ เพียงแต่เหตุใดจึงรู้สึกเหมือนจะแฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกจนปัญญา?

แต่ฉานจึเอ่ยปาก ใครจะกล้าสงสัย? รอดูต่อไปสิ วันใดเกิดจิ๋งจิ่วไม่เกียจคร้านขึ้นมา เขาจะวาดดอกเหมยแบบไหนออกมากัน

ในเวลานี้มีจิตรกรรีบเดินออกมาจากด้านในเรือนซีซาน

เหล่าผู้บำเพ็ญพรตทราบถึงสถานะของจิตรกรผู้นี้ เมื่อเห็นสีหน้าที่คร่ำเครียดบนใบหน้าของจิตรกร พวกเขาจึงรู้สึกตกใจ ในใจครุ่นคิดว่าหรือจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น?

จิตรกรผู้นั้นเดินไปยังหน้าภาพที่ถูกจับตาดูมาหลายวัน ยกพู่กันขึ้นมา ก่อนจะวาดดอกเหมยลงไปบนพื้นที่ว่างเปล่าดอกหนึ่ง

ทุกคนต่างตกใจ เดินล้อมวงเข้าไปข้างหน้า

ดอกเหมยดอกนั้นมีขนาดเล็ก อีกทั้งเมื่อเลื่อนมองตามกิ่งลงมาด้านล่าง ก็มองเห็นชื่อที่ไม่รู้จักชื่อหนึ่ง ทุกคนส่งเสียงกระซิบกระซาบเบาๆ ขึ้นมา

ถึงแม้ดอกเหมยจะมีขนาดเล็ก อีกทั้งสัตว์ประหลาดระดับต่ำของแคว้นเสวี่ยตัวนั้นก็มิใช่จิ๋งจิ่วเป็นคนฆ่า แต่มันก็ถือเป็นการเริ่มต้น

แต่เรื่องที่ทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจจริงๆ คือหลังจากนั้น

จิตรกรผู้นั้นวาดภาพดอกเหมยเสร็จก็มิได้จากไป หากแต่เปลี่ยนพู่กันด้ามใหม่ จุ่มลงไปในหมึกสีดำ ก่อนจะขีดเส้นสีดำลงไปบนชื่อชื่อหนึ่งที่อยู่บนภาพวาดด้วยสีหน้าคร่ำเครียด

ภายใต้ทางเดินเงียบกริบ ไร้ซึ่งซุ่มเสียงใดๆ

ในที่สุดการประลองวิถีพรตก็มีผู้เสียชีวิตแล้ว

ไต้อิ๋นคือใคร?

เหตุใดถึงเป็นกลุ่มที่จิ๋งจิ่วอยู่อีกแล้ว?

……

……

ตรงตำแหน่งที่สูงที่สุดของเรือนซีซานมียอดเขาแปลกๆ ที่สูงขึ้นไปถึงเมฆ ด้านนอกรั้วล้วนแต่เป็นทะเลเมฆ บดบังทิวทัศน์ของเมืองเจาเกอเอาไว้

เจ้าสำนักคุนหลุนยืนอยู่ริมรั้ว ดวงตาหรี่เล็ก สีหน้าเย็นยะเยือกเป็นอย่างมาก

ไต้อิ๋นคือศิษย์ที่สำนักคุนหลุนเฝ้าฟูมฟักขึ้นมาเป็นอย่างดี แต่ผลสุดท้ายกลับต้องมาตายแบบนี้ ในนี้จะต้องมีปัญหาอยู่แน่นอน

ชิงซานต้องมีคำอธิบายให้เขา

…………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

มรรคาสู่สวรรค์ 108 คำอธิบาย

Now you are reading มรรคาสู่สวรรค์ Chapter 108 คำอธิบาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อินชิงมั่วและอีกสองคนตะลึงลาน พวกเขารีบขี่อาวุธวิเศษพุ่งออกไป

พวกเขาไปถึงที่นั่นด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด จิ๋งจิ่วมาถึงแล้ว

ไต้อิ๋นนอนอยู่บนพื้นหิมะ ลมหายใจขาดไปแล้ว บนใบหน้าถูกวัตถุแหลมคมบางอย่างกรีดเป็นรอยแผลหลายแผล เลือดและเนื้อผสมกันจนดูเละเทะ ดูแล้วน่าสยดสยองเป็นยิ่งนัก

เชือกมรกตเส้นนั้นขาดกระจุยเป็นชิ้นๆ ตกกระจายอยู่รอบตัวเขา บริเวณนั้นมีรูสีดำที่เล็กมากรูหนึ่ง ความลึกของมันไม่รู้ว่าลึกเท่าไร

เงาดำเล็กๆ นั้นน่าจะหลบหนีไปยังใต้ดินผ่านทางรูดำนี้ ความเร็วรวดเร็วเป็นอย่างมาก กระทั่งจิตจำแนกของจิ๋งจิ่วก็ตามจับไม่ทัน

ลมหนาวหวีดหวิว พัดพาเอาเกล็ดหิมะตกลงมาบนใบหน้าของพวกเขา เหน็บหนาวเยียบเย็น เงียบสงัดวังเวง

ก่อนที่จะเข้าร่วมการประลองวิถีพรต พวกเขาต่างได้เรียนรู้ความรู้ที่เกี่ยวข้องมาแล้ว จึงมั่นใจว่าขอเพียงมิได้เข้าไปยังใจกลางของที่ราบหิมะ ก็น่าจะไม่เจอสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งอะไร เจ้าสิ่งที่พุ่งออกมาจากเปลือกของอสูรขาหิมะตัวนั้น ไม่ว่าดูยังไงก็เป็นทิงเอ่อร์ เหตุใดมันกลับร้ายกาจถึงเพียงนี้ กระทั่งอาวุธวิเศษของสำนักคุนหลุนก็ยังไม่อาจทำอะไรมันได้ ในทางกลับกัน กลับถูกมันฉีกกระชากจนเป็นชิ้นๆ?

ภายในใจของอินชิงมั่วและอีกสองคนที่เหลือเกิดความรู้สึกไม่สบายใจและความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างรุนแรง ทันใดนั้นพวกเขาเหลือบมองไปทางจิ๋งจิ่ว

จิ๋งจิ่วมองดูศพที่อยู่บนพื้นหิมะอย่างเงียบๆ ก่อนจะมั่นใจแล้วว่าเหตุใดคนผู้นั้นถึงตอนการให้ตนเองเข้าร่วมการประลองวิถีพรตบนที่ราบหิมะ

ก็เหมือนกับที่เขาเคยคุยกับเจ้าล่าเยวี่ย ความเป็นความตายของที่นี่เยอะที่สุด

อย่างน้อยนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่ง

……

……

เมืองเจาเกอหลังเข้าสู่ฤดูร้อนก็ค่อยๆ ร้อนอบอ้าวขึ้นเรื่อยๆ แต่เหล่าผู้บำเพ็ญพรตในเรือนซีซานกลับมิได้กังวลถึงปัญหานี้

ชื่นชมภาพดอกเหมยภายใต้ระเบียงทางเดินท่ามกลางสายลมเย็นสบายที่ข่ายพลังเรียกมา แล้วจะไปรู้สึกร้อนได้อย่างไร?

เวลาเคลื่อนผ่านไป ดอกเหมยในภาพวาดเหล่านั้นก็ยิ่งมีจำนวนเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดเสียงอุทานชื่นชมเป็นจำนวนมาก

ภาพแต่ละภาพหมายถึงผู้บำเพ็ญพรตที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรต เนื่องเพราะวิถีและนิสัยที่แตกต่างกัน ภาพที่ปรากฏออกมาย่อมต้องไม่เหมือนกัน

บนภาพของลั่วไหวหนาน ดอกเหมยบานสะพรั่งมากที่สุด บนภาพของถงหลู ดอกเหมยมีจำนวนเยอะที่สุด

ถึงแม้จะเป็นภาพดอกเหมยเล็กๆ ที่เบ่งบานอยู่สองสามดอก ดูแล้วค่อนข้างน่าสงสาร แต่ก็ยังมองเห็นถึงจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ของพวกเขา

มีเพียงภาพนั้นภาพเดียวที่ยังคงว่างเปล่า

เสียงระฆังดังขึ้น เหล่าผู้บำเพ็ญพรตงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะเข้าใจความหมายทันที จากนั้นเดินออกไปนอกระเบียง ถอยออกไปอยู่ในศาลาในภูเขาเหล่านั้น

มีคนสำคัญเข้าไปชมภาพวาดเหล่านั้น พวกเขาจึงจำเป็นต้องถอยออกมาก่อน

ผู้บำเพ็ญพรตยืนอยู่ในป่า มองดูคนหลายคนที่ปรากฏตัวตะคุ่มๆ อยู่ใต้ทางเดิน พวกเขาส่งเสียงพูดคุยกันขึ้นมา สงสัยว่าคนสำคัญเหล่านั้นกำลังคุยอะไรกันอยู่

ไม่นานคำวิจารณ์ที่มีต่อภาพดอกเหมยของคนสำคัญเหล่านั้นก็ถูกส่งออกมาที่นี่ คำวิจารณ์ที่ถูกให้ความสำคัญที่สุดย่อมต้องเป็นคำวิจารณ์ของฉานจึ

ฉานจึวิจารณ์ภาพของไป๋เจ่าเอาได้ดีที่สุด เขากล่าวชมว่า “ภาพนี้มีความสมดุล แลดูมีชีวิต งามที่สุด”

เหล่าผู้บำเพ็ญพรตรู้สึกตกใจ ในใจครุ่นคิดว่าลั่วไหวหนานแสดงฝีมือได้ดีที่สุด แต่เหตุใดฉานกลับคิดว่าเขามิอาจสู้ศิษย์น้องของตัวเองได้?”

พวกเขาครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง เมื่อคิดถึงคำว่าสมดุลสองพยางค์ที่อยู่ในคำพูดประโยคนั้น พวกเขาจึงคล้ายจะเข้าใจความหมายของฉานจึขึ้นมา

จริงอยู่ที่ลั่วไหวหนานแข็งแกร่งอย่างมาก บนกิ่งเหมยของเขามีดอกเหมยบานสะพรั่งอยู่สิบกว่าดอก แต่กิ่งเหมยของเพื่อนในกลุ่มกลับมีไม่มาก ทำให้ภาพทั้งภาพขาดความสมดุล

ในทางกลับกัน ดอกเหมยที่อยู่ในภาพของไป๋เจ่าภาพนั้นมีความสมดุลเป็นอย่างมาก นี่แสดงให้เห็นว่านางรู้จักและเข้าใจความสามารถของเพื่อนภายในกลุ่มเป็นอย่างดี ทำให้สามารถแสดงพลังของพวกเขาออกมาได้อย่างเต็มที่

หากใช้ตำแหน่งผู้นำฝ่ายธรรมะในอนาคตมาเป็นมาตรฐานในการวิจารณ์แล้ว นางถือว่าเหนือกว่าลั่วไหวหนานจริงๆ

“ฉานจึวิจารณ์จิ๋งจิ่วอย่างไรบ้าง?”

มีผู้บำเพ็ญพรตคนหนึ่งถามคำถามที่ทุกคนรู้สึกใคร่รู้มากที่สุด

……

……

สมณะน้อยเดินสองมือไพล่หลังไปตามระเบียง สองเท้าเปลือยเปล่าเหยียบย่ำไปบนพื้น ส่งเสียงแปะๆ คล้ายเด็กที่ออกไปเที่ยวเล่นในฤดูใบไม้ผลิ

แต่ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสำนักคุนหลุนหรือว่าเหอกั๋วกง ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกบำเพ็ญพรตเหล่านี้ต่างก็เดินตามหลังเขาอย่างเงียบๆ มิกล้ากล่าวอะไรส่งเดช

สมณะน้อยเดินไปถึงหน้าภาพๆ หนึ่ง ฝีเท้าหยุดลง เมื่อเห็นกิ่งสี่ห้ากิ่งและความว่างเปล่าบนภาพ บนใบหน้าของเขาพลันมีรอยยิ้มที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มปรากฏขึ้นมา

หนานว่างหมุนตัวไปอีกด้านด้วยสีหน้าเรียบเฉย

คนสำคัญที่เหลือมิกล้าพูดอะไรต่อหน้านาง แต่สีหน้ากลับคล้ายยิ้มคล้ายมิได้ยิ้ม ความหมายชัดเจนเป็นยิ่งนัก

ในงานประลองวิถีพรตของงานชุมนุมเหมยฮุ่ย แต่ไหนแต่ไรมาสำนักชิงซานล้วนแต่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่ครั้งนี้ กำลังหลักของชิงซาน — หรือก็คือเหล่าศิษย์อัจฉริยะของยอดเขาเหลี่ยงว่างเหล่านั้นต่างมิสามารถลงชื่อเข้าร่วมงานได้เนื่องเพราะจิ๋งจิ่ว เจ้าล่าเยวี่ยที่บอกเอาไว้แล้วว่าจะเข้าร่วมประลองวิถีพรตก็ถูกบีบให้ถอนตัวเพราะเรื่องเรื่องนั้น

จิ๋งจิ่วในเมื่อลงประลอง เขาก็ย่อมต้องเป็นตัวแทนของชิงซานอย่างไม่ต้องสงสัย

เพียงแต่สิ่งที่เขากระทำอยู่ในตอนนี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้ชิงซานขายหน้า แต่ยังทำให้คนอื่นๆ ไม่สามารถวิจารณ์ได้ด้วย

เพราะเรื่องบางเรื่องในอดีต ทำให้เจ้าสำนักคุนหลุนไม่ชอบจิ๋งจิ่วอย่างมาก เมื่อมองภาพที่ว่างเปล่าผืนนั้นก็ยิ่งรู้สึกมีความสุข พลางยิ้มเยาะออกมาเล็กน้อย

หนานว่างเหลือบมองเขา มิได้กล่าวกระไร

เหอกั๋วกงรีบไกล่เกลี่ย กล่าวว่า “ไม่รู้ว่าไปเจอเรื่องอะไรเข้าหรือเปล่า บางทีเพื่อนในกลุ่มอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ”

“แก้ไขปัญหาของเพื่อนในกลุ่มไม่ได้ จนถูกเพื่อนในกลุ่มถ่วงแข้งถ่วงขา ก็ถือเป็นปัญหาเช่นเดียวกัน”

เจ้าสำนักคุนหลุนยิ้มเยาะพลางกล่าว “ก็เหมือนกับที่ฉานจึว่ามา ความสามารถผู้นำไม่มากพอ ต่อให้พรสวรรค์ทางวิถีกระบี่สูงส่งแค่ไหน มันก็ยากที่จะทำประโยชน์ได้”

หนานว่างเลิกคิ้ว เตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง

ในเวลานี้เอง สมณะน้อยพลันถอนใจออกมา ดึงดูดความสนใจของทุกคนเอาไว้

“ว่ากันว่าผู้สืบทอดของสหายเก่าของอาตมาผู้นี้เกียจคร้านเป็นยิ่งนัก”

สมณะน้อยมองดูภาพนั้น พลางทอดถอนใจออกมา “ตอนนี้ดูเหมือนจะเกียจคร้านจริงด้วย”

……

……

ฉานจึออกจากเรือนซีซาน กลับไปยังวัดจิ้งเจวี๋ย

คำวิจารณ์ของเขาที่มีต่อจิ๋งจิ่วยังคงดังก้องอยู่ในเรือนซีซาน

เหล่าผู้บำเพ็ญพรตสบตากันมิกล่าวกระไร ในใจครุ่นคิดว่าเหตุผลนี้หรือพูดอีกอย่างคือข้ออ้างนี้ถือว่าแปลกใหม่จริงๆ เพียงแต่เหตุใดจึงรู้สึกเหมือนจะแฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกจนปัญญา?

แต่ฉานจึเอ่ยปาก ใครจะกล้าสงสัย? รอดูต่อไปสิ วันใดเกิดจิ๋งจิ่วไม่เกียจคร้านขึ้นมา เขาจะวาดดอกเหมยแบบไหนออกมากัน

ในเวลานี้มีจิตรกรรีบเดินออกมาจากด้านในเรือนซีซาน

เหล่าผู้บำเพ็ญพรตทราบถึงสถานะของจิตรกรผู้นี้ เมื่อเห็นสีหน้าที่คร่ำเครียดบนใบหน้าของจิตรกร พวกเขาจึงรู้สึกตกใจ ในใจครุ่นคิดว่าหรือจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น?

จิตรกรผู้นั้นเดินไปยังหน้าภาพที่ถูกจับตาดูมาหลายวัน ยกพู่กันขึ้นมา ก่อนจะวาดดอกเหมยลงไปบนพื้นที่ว่างเปล่าดอกหนึ่ง

ทุกคนต่างตกใจ เดินล้อมวงเข้าไปข้างหน้า

ดอกเหมยดอกนั้นมีขนาดเล็ก อีกทั้งเมื่อเลื่อนมองตามกิ่งลงมาด้านล่าง ก็มองเห็นชื่อที่ไม่รู้จักชื่อหนึ่ง ทุกคนส่งเสียงกระซิบกระซาบเบาๆ ขึ้นมา

ถึงแม้ดอกเหมยจะมีขนาดเล็ก อีกทั้งสัตว์ประหลาดระดับต่ำของแคว้นเสวี่ยตัวนั้นก็มิใช่จิ๋งจิ่วเป็นคนฆ่า แต่มันก็ถือเป็นการเริ่มต้น

แต่เรื่องที่ทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจจริงๆ คือหลังจากนั้น

จิตรกรผู้นั้นวาดภาพดอกเหมยเสร็จก็มิได้จากไป หากแต่เปลี่ยนพู่กันด้ามใหม่ จุ่มลงไปในหมึกสีดำ ก่อนจะขีดเส้นสีดำลงไปบนชื่อชื่อหนึ่งที่อยู่บนภาพวาดด้วยสีหน้าคร่ำเครียด

ภายใต้ทางเดินเงียบกริบ ไร้ซึ่งซุ่มเสียงใดๆ

ในที่สุดการประลองวิถีพรตก็มีผู้เสียชีวิตแล้ว

ไต้อิ๋นคือใคร?

เหตุใดถึงเป็นกลุ่มที่จิ๋งจิ่วอยู่อีกแล้ว?

……

……

ตรงตำแหน่งที่สูงที่สุดของเรือนซีซานมียอดเขาแปลกๆ ที่สูงขึ้นไปถึงเมฆ ด้านนอกรั้วล้วนแต่เป็นทะเลเมฆ บดบังทิวทัศน์ของเมืองเจาเกอเอาไว้

เจ้าสำนักคุนหลุนยืนอยู่ริมรั้ว ดวงตาหรี่เล็ก สีหน้าเย็นยะเยือกเป็นอย่างมาก

ไต้อิ๋นคือศิษย์ที่สำนักคุนหลุนเฝ้าฟูมฟักขึ้นมาเป็นอย่างดี แต่ผลสุดท้ายกลับต้องมาตายแบบนี้ ในนี้จะต้องมีปัญหาอยู่แน่นอน

ชิงซานต้องมีคำอธิบายให้เขา

…………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+