มรรคาสู่สวรรค์ 150 ฝันอันน่าตกตะลึง

Now you are reading มรรคาสู่สวรรค์ Chapter 150 ฝันอันน่าตกตะลึง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจียงรุ่ยไม่สามารถคุกเข่าต่อไปได้อีก เขาลงนั่งลงไปกับพื้น เพิ่งจะรู้ความจริงก็ต้องตายเสียแล้ว ไม่ว่าใครก็คงไม่รู้สึกยินดี

สีหน้าของเขาสับสน กล่าวพึมพำกับตัวเองว่า “ข้าไม่อยากตาย จะตายอย่างไรข้าก็ล้วนแต่ไม่ชอบ”

เหอจานกล่าวว่า “หลายปีมานี้ข้าคอยคิดอยู่ตลอดว่าจะฆ่าเจ้าอย่างไร คิดหาวิธีที่จะให้เจ้าตายเอาไว้สิบกว่าวิธี เพื่อที่จะไม่ให้เจ้าตายไปก่อนที่ข้าจะฆ่าเจ้าแล้ว ข้าได้ส่งคนมากมายไปคุ้มครองเจ้า จัวหรูซุ่ยอยากจะฆ่าเจ้า ก็ถูกข้าเสี่ยงไปช่วยเอาไว้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ยังไงเจ้าก็ต้องเลือกมาหนึ่งวิธี”

เจียงรุ่ยกล่าวด้วยความรู้สึกหวาดกลัวว่า “ต่อให้เจ้าอยากจะปั่นหัวข้า แต่ปั่นหัวข้ามานานขนาดนี้ก็น่าจะพอแล้ว เหตุใดถึงไม่ฆ่าข้าให้เร็วหน่อย ไยต้องรอจนถึงวันนี้ด้วย!”

“เจ้าเป็นเหมือนจุดทิ้งสมอในดินแดนแห่งความฝันของข้า ขอเพียงเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ความแค้นก็ยังอยู่ ข้าก็จะไม่มีทางลืมโลกแห่งความเป็นจริงนั้น”

เหอจานกล่าวว่า “จนกระทั่งเมื่อครู่นี้ จู่ๆ ข้าพลันพบว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนแต่ไร้ความหมาย เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเก็บเจ้าเอาไว้อีก”

เจียงรุ่ยกล่าวพึมพำว่า “พรสวรรค์ของข้าไม่เลว จิตใจและฝีมือล้วนมี แต่กลับเดินได้อย่างยากลำบากเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นเพราะเจ้าที่คอยขัดขวางข้าอยู่ตลอด”

“ตอนอยู่ที่โลกด้านนอกเจ้าคิดอยู่ตลอดว่าข้าไร้ประโยชน์ เพียงแค่โชคดีเท่านั้น หรือเจ้าคิดว่าอยู่ที่นี่แล้วข้าจะแค่โชคดีเหมือนกัน ก็เลยชิงเดินนำหน้าเจ้าได้? เจ้าต้องเข้าใจและยอมรับความจริงในเรื่องนี้ ที่ผ่านมาเจ้าล้วนแต่ไม่อาจเทียบข้าได้ ได้ก็คือได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ เจ้าอยู่ข้างนอกสู้ไม่ได้ อยู่ข้างในก็สู้ไม่ได้เช่นกัน”

“ฮ่าๆๆๆๆ ข้าเพิ่งจะนึกออก เจ้ามันเป็นขันที ความรู้สึกตอนที่ไอ้นั่นของเจ้ามันถูกตัดออกไปเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่ว่าข้าจะได้หรือไม่ได้ ของเจ้ามันก็ใช้การไม่ได้!”

เจียงรุ่ยกล่าวดูถูก จู่ๆ ในดวงตาพลันมีแววตาดุร้ายปรากฏขึ้นมา

เขาไม่ได้คิดที่จะลอบโจมตีเหอจาน หากแต่คิดจะฆ่าตัวตาย เสียดายที่ทำไม่สำเร็จ

เสื้อผ้าของเหอจานขยับเล็กน้อย เกิดเป็นเงาหลายสาย คล้ายมิได้ขยับเขยื้อนอะไร แต่ความจริงเขาได้สกัดเส้นลมปราณทั้งหมดของเจียงรุ่ยเอาไว้แล้ว จากนั้นนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ใหม่

เจียงรุ่ยสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย กล่าวติดๆ ขัดๆ ว่า “ขอโทษ เจ้าก็รู้….ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น…ตอนนั้น….ข้าก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะลำบากขนาดนี้”

เหอจานไม่ได้สนใจเขา กล่าวอธิบายอย่างราบเรียบว่า “วิชาที่ข้าใช้จะทำให้เจ้าขยับไม่ได้ แต่การรับรู้ของเจ้าจะยิ่งชัดเจนขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังรับรองได้ว่าเจ้าจะไม่มีทางสลบไปด้วย”

การที่ต้องแบกรับการลงโทษที่น่ากลัวของหน่วยสืบสวนและจับกุมเหล่านั้นในสภาพร่างกายที่เป็นแบบนี้ มันจะเป็นความเจ็บปวดแบบไหนกัน?

เจียงรุ่ยกล่าวด้วยใบหน้าขาวซีดว่า “ต้องทำกันถึงขนาดนี้จริงๆหรือ? ข้ากลัวแล้ว ข้าผิดไปแล้ว…เจ้ารีบฆ่าข้าเสียเถอะ”

เหอจานไม่ได้พูดอะไร

เจียงรุ่ยสิ้นหวัง หอบหายใจหนักๆ พลางกล่าวว่า “ข้ายอมรับผิดแล้ว แต่ตามกฎของงานชุมนุมแสวงมรรคา เรื่องที่เกิดขึ้นด้านในมิอาจนำออกไปยังโลกภายนอกได้ เจ้าไม่สามารถเคียดแค้นข้าได้นะ”

เขาไม่ยินดีที่จะแบกรับความเจ็บปวดที่น่ากลัวเหล่านั้น แล้วก็ยิ่งไม่ยินดีที่จะถูกเหอจานคอยตามเล่นงานหลังจากที่ออกไปจากดินแดนแห่งความฝัน

เหอจานยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “จะเป็นไปได้อย่างไรล่ะ? ดังนั้นหลังจากนี้ไม่ว่าเจ้าจะเจ็บปวดอย่างไร ก็อย่าได้คิดแค้นข้า อยู่ด้านนอก…พวกเรายังคงเป็นเพื่อนกันอยู่”

เดิมเจียงรุ่ยได้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้ว คิดในใจว่าด้วยพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรของตัวเอง ขอเพียงรักษาใจแห่งเต๋าเอาไว้ ต่อให้จะเป็นการลงโทษที่โหดร้ายแค่ไหนก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้ แต่ในเวลานี้เมื่อเห็นรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าของเหอจาน จู่ๆ เขาพลันรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมา กล่าวเสียงแหบแห้งเล็กน้อยว่า “เจ้าคิดจะลงโทษข้าอย่างไรกันแน่?”

เหอจานก็ว่า “แล่เนื้อเถือหนังแล้วกัน ขอโทษด้วยนะ ข้ารู้ว่านี่มันไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย”

ใบหน้าของเจียงรุ่ยยิ่งขาวซีด ร่างกายสั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อย คิดอยากจะกระโจนเข้าไปกอดเท้าของเขาเอาไว้แล้วขอร้องอ้อนวอน แต่กลับไม่สามารถขยับเขยื้อนได้แม้เพียงนิดเดียว

“ภาพมันโหดร้ายเกินไป ข้าคงไม่อยู่ดู เจ้าดื่มด่ำกับมันแล้วกัน”

เหอจานกล่าวจบก็เดินออกจากเหลาสุราไป

ในตอนที่เดินออกมาจากเหลาสุรา เขามองไปทางชายหลังคาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

นกชิงเหนี่ยวตัวนั้นบินหนีไปแล้ว

มันเชื่อว่าผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ด้านนอกพบเขาหุยอินเองก็คงไม่อยากเห็นภาพเช่นกัน พวกเขาไม่ใช่ยอดฝีมือพรรคมารที่วิปริตพวกนั้นเสียหน่อย…อย่างน้อยภายนอกก็ไม่ใช่

ถนนในยามค่ำคืนเงียบสงัด ไกลออกไปคล้ายจะมองเห็นแสงอาทิตย์ยามเช้ารำไร แต่บนโลกมนุษย์กลับยิ่งดูมืดมิด

เหอจานเอาเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ขึ้นมาคลุมพลางเดินออกไปในความมืด จากนั้นอยู่ด้านหลังพลันมีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมา

เสียงร้องโหยหวนไม่ได้ขาดตอน เพียงแต่ค่อยๆ เบาลง

……

……

เจียงรุ่ยเป็นผู้บำเพ็ญพรตที่มีสภาวะที่ไม่เลวคนหนึ่ง แต่สำหรับโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลแล้ว การตายของเขาเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่งเท่านั้น

มีเพียงสำนักในจังหวัดลู่ซานแห่งนั้นที่ยังวิตกกังวลอยู่เป็นเวลานานเพราะเรื่องนี้ เจ้าสำนักถึงขนาดคิดว่าจะเข้าวังไปเพื่อขอขมาเหอกงกงดีหรือไม่ เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านไป ทางหน่วยสืบสวนและจับกุมก็มีได้สั่งการอะไรมาอีก เขาถึงได้ค่อยๆ วางใจลง

เหอจานเก็บคนผู้นี้โดยไม่ทำอะไรมาเป็นเวลาหลายสิบปี แต่จู่ๆ คืนนั้นกลับจับเขามาตัดแขนตัดขา ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องนี้มันหมายความว่าอย่างไร

ไทเฮาไม่รู้ว่าในคืนนั้นได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นในเหลาสุรา นางนั่งรอคอยดูปฏิกิริยาของเหอจานอย่างกระวนกระวายและวิตกกังวล

นางมองว่าคนชั่วที่ไม่จงรักภักดีอย่างเหอจานจะต้องใช้เหตุการณ์ที่นางทะเลาะกับเขาในวังคืนนั้นมาเป็นข้ออ้างในการทำอะไรบางอย่างอย่างแน่นอน

แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือเหอจานไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น กระทั่งเรื่องที่จะเลือกฮ่องเต้พระองค์ใหม่ก็ไม่ได้สนใจ เขาเพียงแต่จัดการงานบ้านเมืองเหมือนอย่างปกติ

ไม่นานแคว้นจ้าวก็มีฮ่องเต้พระองค์ใหม่ เขามาเข้ามาประชุมราชการในช่วงเช้าอยู่ในอ้อมอกของไทเฮาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านหลังม่านมุก

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา เหอจานก็ไม่ได้เข้าร่วมการประชุมในช่วงเช้าอีก

มีเพียงลูกน้องที่ใกล้ชิดที่สุดถึงจะพบเห็นความผิดปกติของเหอกงกง

ในช่วงนี้เขามักจะมองไปยังที่แห่งหนึ่งบนท้องฟ้าที่อึมครึม เหม่อลอยอยู่เป็นเวลาครึ่งวัน

บางครั้งเขาจะไปยังตำหนักเย็นที่อยู่ห่างไกลแห่งหนึ่ง เดินไปๆ มาๆ อยู่อุโมงค์แคบๆ เหล่านั้น

บางครั้งเขาจะไปยังเรือนที่ไม่มีใครพักอาศัยอยู่ หยิบเอาเก้าอี้ไม้ไผ่ออกมานอน โบกพัดทรงกลมที่อยู่ในมือเบาๆ

ตอนนี้เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง

จากฤดูใบไม้ร่วงนอนไปถึงฤดูหนาว จากนั้นเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าและไร้รสชาติ เหอจานรู้สึกเบื่อหน่าย แต่จู่ๆ ก็หาความรู้สึกที่คุ้นเคยบางอย่างเจอ

มีหลายเรื่องที่เขากำลังค่อยๆ ลืมเลือนไป แต่กลับมีหลายเรื่องที่ผุดขึ้นมาในหัวสมองเขาอีกครั้ง

เขารู้สึกเหมือนว่าเคยมีวันเวลาเช่นนี้ที่ไหนมาก่อน เหมือนจะอยู่ในวัดใดวัดหนึ่ง จากนั้นเขาพลันนึกอยากกินผัดคะน้าก้านแดงสักจานเป็นอย่างมาก

ต้นเกาลัดต้นเล็กที่อยู่บนเนินในสวนดอกไม้ได้เติบใหญ่แล้ว ร่องรอยที่เหลือทิ้งไว้บนกิ่งไม้ที่หักกิ่งนั้นยิ่งดูชัดเจน ยิ่งดูแข็งแกร่ง

เขามักจะไปยืนอยู่ใต้ต้นเกาลัดต้นนั้นบ่อยๆ มือขวาลูบไปบนรอยแตกหักนั้น สายตาทอดมองออกไป ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร

วันหนึ่งเขาพลันคิดถึงทะเลแห่งนั้นขึ้นมา คิดถึงเรือลำนั้นที่อยู่บนทะเล บนเรือมีเพื่อนเก่าอยู่คนหนึ่ง แล้วก็มีชายชราที่ผมทั้งศีรษะเป็นสีเงินอยู่อีกคนหนึ่ง

ก่อนที่ชายชราผมสีเงินจะตายลงไปอย่างกะทันหัน เขาคล้ายจะพูดออกมาประโยคหนึ่ง แต่ตอนนั้นเสียงคลื่นลมแรงเกินไป อีกทั้งเขายังรู้สึกโศกเศร้าและโกรธแค้นเป็นอย่างมาก จึงได้ยินไม่ชัดเจน

ประโยคนั้นมันว่าอย่างไรนะ

เหอจานคิดอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดวันหนึ่งก็คิดขึ้นมาได้

เรือลำเล็กลอยจากไป

……

……

จู่ๆ เหอกงกงพลันหายตัวไป

หน่วยสืบสวนและจับกุมถูกย้ายเข้าของออกไปจนหมดอีกครั้ง โถส้วมทองคำอันนั้นก็หายตามไปด้วย

เจ้าหน้าที่และสายลับจำนวนมากของหน่วยสืบสวนและจับกุม อีกทั้งทหารและแม่ทัพขององครักษ์เสื้อแดงก็หายตัวไปพร้อมพร้อมกัน

ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาไปที่ไหน ไม่มีเบาะแสใดๆ หลงเหลืออยู่ ในมณฑลและจังหวัดอื่นๆ ก็ไม่มีร่องรอยของคนเหล่านี้

เรื่องนี้สร้างความตกตะลึงให้แก่แคว้นจ้าว จากนั้นก็สร้างความตกตะลึงให้แก่ทั้งแผ่นดิน

ในการประชุมที่เรียกจัดขึ้นอย่างเร่งด่วน ทั้งขุนนางและทหารทั้งราชสำนักต่างไม่มีใครพูดอะไรออก เรื่องนี้แปลกประหลาดพิสดารเกินไป ไม่มีเหตุผลเลยแม้แต่น้อย

ขุนนางบางคนถึงขนาดกำลังคิดว่า หรือว่าหน่วยสืบสวนและจับกุมจะทำให้ผู้คนโกรธแค้นมากเกินไป ผลสุดท้ายเลยถูกสวรรค์ลงทัณฑ์?

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่! คนตั้งมากขนาดนี้หายตัวไปพร้อมกัน แต่พวกเจ้ากลับสืบอะไรไม่ได้เลย!”

ไทเฮาเลิกม่านมุกอย่างโกรธเกรี้ยว ยืนอยู่ตรงหน้าขุนนางเหล่านั้น ด่าทอว่า “หรือข้ายังจะหวังให้คนไร้ประโยชน์อย่างพวกเจ้าดูแลประเทศได้อีก!”

เหอจานหายตัวไป ตามหลักแล้วนางควรจะรู้สึกโล่งใจ รู้สึกยินดี แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด นางกลับรู้สึกทั้งตกใจและโกรธเกรี้ยว

โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางดึก เมื่อนางคิดถึงการจากไปของเหอจาน ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความอ้างว้างโดดเดี่ยว

หลังผ่านไปหลายวัน ในที่สุดก็สืบได้เบาะแสอะไรบางอย่าง มหาบัณฑิตคนปัจจุบันเข้าวังติดต่อกันเป็นเวลาหลายคืน คุกเข่าอยู่ตรงหน้าตั่ง กล่าวรายงานข้อมูลที่ได้รับมาให้ไทเฮาทราบ

ทั่วทั้งแคว้นจ้าวต่างรู้ว่าในส่วนลึกของทะเลสาบผิงหูอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้นมีโจรน้ำที่ดุร้ายอยู่กลุ่มหนึ่ง ถึงแม้ทัพเรือของราชสำนักจะเคยออกกวาดล้างมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรอีกฝั่งได้ กลายเป็นว่าต้องเสียเรือไปไม่น้อยแทน

หลังจากที่เหอจานได้พาคนในหน่วยสืบสวนและจับกุมหายไปไม่นาน จู่ๆ โจรน้ำกลุ่มนั้นก็ออกไปจากทะเลสาบผิงหู เรือลำใหญ่ร้อยกว่าลำล่องผ่านทางน้ำเข้าไปยังแคว้นฉี จากนั้นออกไปสู่ทะเลตะวันออกก่อนจะหายตัวไป

ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ตอนนั้นเหอจานและเหล่าลูกน้องของเขาน่าจะอยู่บนเรือเหล่านั้น

เรื่องนี้ฟังดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ความจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เหอจานไม่เพียงแต่จะปิดบังราชสำนักและประชาชนมาเป็นเวลานานหลายปี ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเขายังใช้ประโยชน์จากระบบชลประทานที่แคว้นจ้าวและแคว้นฉีสร้างขึ้นมาหลายปีได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ยิ่งไปกว่านั้นยังเห็นได้ชัดว่าเรือใหญ่เหล่านั้นใช้วิธีการสร้างของแคว้นฉี

การจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ ไม่รู้ว่าเหอจานวางแผนเตรียมการมาเป็นเวลากี่ปี เสียเงินทองและกำลังไปกับมันไม่รู้เท่าไหร่

สีหน้าของไทเฮาพลันขาวซีด หมุนตัวมองดูเด็กที่นอนหลับอยู่บนตั่ง นิ่งเงียบเป็นเวลาครู่ใหญ่

หรือว่าเจ้าคิดอยากจะจากไปมาโดยตลอด? หรือว่านี่เป็นเพียงทางหนีทีไล่ที่เจ้าเตรียมเอาไว้เท่านั้น ในคืนนั้นเมื่อผิดหวังในตัวข้า เจ้าถึงได้ใช้มันออกมา?

……

……

ขันทีอาวุโสที่ปกครองราชสำนักและบ้านเมืองมาเป็นเวลาหลายสิบปีได้จากไปแล้ว

สำหรับคนแคว้นจ้าวแล้ว มันเหมือนกับว่าพระราชวังที่อยู่ในเมืองหลวงจู่ๆ พลันหายไปอย่างไรอย่างนั้น

ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวและลนลานอย่างรุนแรง ในราชสำนักและหมู่ชาวบ้านต่างตกอยู่ในความเงียบสงัด

ข่าวลือค่อยๆ กระจายออกไป ทุกคนต่างมั่นใจแล้วว่าเหอกงกงได้จากไปแล้วจริงๆ ไม่ใช่ว่าคอยยืนมองดูโลกอยู่ในเงามืดและพร้อมจะกลับมาแสดงอำนาจเหมือนอย่างแต่ก่อน ทั่วทั้งอาณาจักรตกอยู่ในความสับสนอลหม่านและทำอะไรไม่ถูก

ฎีกาและหนังสือคำร้องของชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนถูกส่งเข้าไปในวังราวหิมะที่ตกโปรยปราย เพื่อขอให้ราชสำนักรีบส่งกองทัพไปหาตัวเหอกงกง

เมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไป ฎีกาและหนังสือคำร้องเหล่านั้นก็มีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดไป

กระทั่งช่วงกลางฤดูร้อน ทุกคนต่างพบว่าเหอกงกงอาจจะไม่กลับมาแล้วจริงๆ สถานการณ์จึงได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง

ฎีกาและหนังสือคำร้องจำนวนนับไม่ถ้วนได้ถูกส่งเข้าไปในพระราชวังอีกครั้ง เพียงแต่เนื้อหาในครั้งนี้แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

ตั้งแต่ขุนนางไปจนถึงประชาชน ทุกคนต่างกำลังกล่าวโทษว่าเหอกงกงวางอำนาจบาตรใหญ่ ฆ่าคนไม่เลือก โหดเหี้ยมเลือดเย็น ที่เขาจากไปเป็นเพราะว่าเขาร่วมมือกับแคว้นฉิน รู้ว่าตนเองทรยศอาณาจักร มีโทษหนักยากให้อภัย จึงได้หลบหนีไปด้วยกลัวความผิด

เหล่าขุนนางที่อยู่ในราชสำนักล้วนเคยส่งเงินให้แก่เหอกงกง ประจบประแจงเอาใจ เช่นนั้นใครกันแน่ที่เป็นคนช่วยเหลือเหอกงกง? เพื่อที่จะระบุตัวคนที่ช่วยเหลือเหอกงกงที่แท้จริงให้ได้ เหล่าขุนนางในราชสำนักจึงเริ่มโจมตีกันอย่างรุนแรง ราชสำนักตกอยู่ในสภาพที่วุ่นวายเป็นอย่างมาก จนกระทั่งในช่วงต้นฤดูหนาวสถานการณ์จึงจะสงบลง

ในการควบคุมสถานการณ์ภายในราชสำนัก ไทเฮาได้แสดงสติปัญญาและฝีมือในการปกครองที่ยอดเยี่ยมอย่างมากออกมา

จากนั้นก็เป็นการระบุความผิด

ราชสำนักได้ระบุความผิดเอาไว้ให้เหอจานถึงเจ็ดสิบสี่ข้อ นอกจากความผิดที่เห็นได้บ่อยๆ ที่สุดเหล่านั้นแล้ว ยังมีความผิดแปลกๆ บางอย่างที่กระทั่งหน่วยสืบสวนและจับกุมในตอนนั้นก็ยังคิดไม่ออก

เมื่อไทเฮาได้เห็นความผิดเหล่านั้น สีหน้ายิ่งดูแย่ สุดท้ายก็ไม่อาจควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้อีก นางตบโต๊ะหนังสือเสียงดัง โยนพู่กันที่อยู่ในมือทิ้ง

จุดสีแดงสาดกระเซ็นไปบนกำแพง ดูสวยงามราวดอกเหมย

“นี่มันบ้าบออะไรกัน!”

สุดท้ายไทเฮาได้อนุมัติโทษเพียงแค่ไม่กี่ข้อ

หลักๆ แล้วก็เป็นโทษทำนองหยาบคายไร้มารยาท ไม่ซื่อสัตย์ต่อฮ่องเต้

แต่ไม่ว่านางจะอนุมัติโทษออกมากี่ข้อ เหอจานก็ต้องถูกจารึกชื่อลงไปในประวัติศาสตร์ แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นชื่อเสียงที่ไม่ดี

เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางจึงเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย

นางมายังสวนดอกไม้ โบกมือบอกให้นางกำนัลที่ถือร่มออกไป ก่อนจะเดินมายังใต้ต้นเกาลัดต้นนั้น

ที่นี่คือสถานที่ที่พวกเขาเคยมายืนอยู่

หิมะตกลงบนตัวนาง

นางทอดตามองออกไป ขอบตาค่อยๆ แดงขึ้น

…………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด