มรรคาสู่สวรรค์ 66 ข้าไม่อยากรู้ว่าเจ้าคือใคร

Now you are reading มรรคาสู่สวรรค์ Chapter 66 ข้าไม่อยากรู้ว่าเจ้าคือใคร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ประตูไม้เปิดออก จิ๋งจิ่วเดินออกมา

เด็กรับใช้ได้ยินเสียงไอดังออกมาจากภายในห้อง จึงรู้สึกตกใจ รีบลุกขึ้นวิ่งเข้าไป

เสียงไอดังสะท้อนไปมาภายในห้อง กระดาษสีขาวที่วางอยู่บนโต๊ะ ตัวหนังสือยังเขียนไม่เสร็จ ด้านบนมีหยดเลือดกระจายเปรอะเปื้อน ดูคล้ายดอกเหมย

เทียนจิ้นเหรินใบหน้าขาวซีด ดูเจ็บปวดอย่างมาก

เด็กรับใช้สีหน้าซีดเผือด กล่าวถามเสียงสั่นว่า “ท่านอาจารย์! ท่านอาจารย์! ท่านเป็นอะไรขอรับ!”

เทียนจิ้นเหรินมิได้สนใจเขา หากแต่จ้องมองไปยังทิศทางที่จิ๋งจิ่วเดินออกไป หอบหายใจไม่หยุด ดวงตาที่ไม่มีตาดำ ดูแล้วคล้ายกับปลาตายอย่างไรอย่างนั้น

“แสงสีเงินที่สว่างเจิดจ้า…ทุกอย่างล้วนแต่เป็นแสงสีเงิน…เจ้าเป็นใครกันแน่?”

นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กรับใช้ได้เห็นผู้เป็นนายของตนมีสีหน้าสับสนเช่นนี้ เขากล่าวถามอย่างหวาดกลัวว่า “ท่านอาจารย์ พวกเรากลับกันดีไหมขอรับ?”

ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเทียนจิ้นเหรินก็สงบสติอารมณ์ลง เขาส่ายศีรษะยังยากลำบาก

จิ๋วจิ๋วมองวิธีการโจมตีของเขาออก หลังจากนี้สำนักชิงซานอาจจะมีการโต้ตอบกลับมา

เนื่องด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาจึงมิได้กังวลในจุดนี้ เพียงแต่กำลังตกตะลึงว่าจิ๋งจิ่วมองวิธีการโจมตีของตนออกได้อย่างไร แล้วทำลายมันลงได้อย่างไร

……

……

ก็เหมือนอย่างที่เทียนจิ้นเหรินกล่าวมา ช่วงเวลาในการบำเพ็ญพรตของจิ๋งจิ่วยังสั้น สภาวะยังห่างชั้นกับเขามากนัก

หากเทียนจิ้นเหรินเลือกใช้สภาวะการบำเพ็ญเพียรมาโจมตี แทนที่จะใช้การปลูกเศษจิตจำแนกลงไปอย่างเงียบๆ เขาคงจะบดขยี้จิ๋งจิ่วได้อย่างง่ายดาย

แต่เขาดันเลือกใช้พลังของจิตมาเล่นงานจิ๋งจิ่ว นั่นคือการหาเรื่องใส่ตัว หรือเรียกได้ว่ารนหาที่ตาย

เมื่อมองไปในแผ่นดินเฉาเทียน พลังจิตของเขานั้นเหนือกว่ายอดฝีมือจำนวนมาก เรียกได้ว่าลึกล้ำจนมิอาจประมาณได้ แต่เขากลับยังมิอาจเป็นคู่มือของจิ๋งจิ่วได้

แต่แน่นอน จิ๋งจิ่วเองก็จ่ายค่าตอบแทนไปบ้างเหมือนกัน

ในตอนที่เดินออกมาจากกระท่อมเก่า เขาหยิบกระดาษขาวปึกนึงมาจากบนโต๊ะ

ระหว่างที่เดินออกไปนอกป่าเหมย เขาใช้กระดาษเหล่านั้นเช็ดปากตัวเองไม่หยุด ไม่นานกระดาษเหล่านั้นก็ถูกโลหิตย้อมจนกลายเป็นสีแดง

เขาได้รับบาดเจ็บไม่เบา มิเช่นนั้นเขาคงจะปล่อยกระบี่สังหารเทียนจิ้นเหรินตรงนั้นไปแล้ว

ที่เขาเดินออกมาอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ดูคล้ายสบายเป็นธรรมชาติ นั่นเป็นเพราะเขาต้องการข่มขวัญให้อีกฝ่ายหวาดกลัว

ทุกคนรวมไปถึงเซ่อเซ่อต่างออกไปหมดแล้ว เหลือเพียงเจ้าล่าเยวี่ยที่ยังรออยู่ด้านนอกป่าเหมย

เมื่อเห็นใบหน้าของจิ๋งจิ่วขาวซีดเล็กน้อย เจ้าล่าเยวี่ยพลันเลิกคิ้วขึ้นมา

มิรอให้นางเอ่ยปาก จิ๋งจิ่วพลันถามคำถามหนึ่งขึ้นมา

“เจ้ามองว่าความสัมพันธ์ของลั่วไหวหนานกับชายหนุ่มชุดแพรผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”

เจ้าล่าเยวี่ยกำลังครุ่นคิดเรื่องของเขา เมื่อได้ยินคำถามนี้จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย กล่าวว่า “ลั่วไหวหนานแสร้งจงใจทำเป็นไร้มารยาท”

นางพอจะเดาถึงสถานะของชายหนุ่มชุดแพรผู้นั้นได้แต่แรกแล้ว

ถึงลั่วไหวหนานจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญพรตรุ่นเยาว์ แต่ก็ไม่มีทางอยู่เหนือคนผู้นั้นได้ ทว่าตอนที่อยู่ตรงหน้ากระท่อม เขามิได้เหลือบมองชายหนุ่มชุดแพรผู้นั้นเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วก็มิได้พูดอะไรด้วยเลย

จิ๋งจิ่วสวมหมวกลี่เมา กระดาษในมือปึกนั้นถูกเพลิงกระบี่เผา

จากนั้นเขากล่าวว่า “พวกเขารู้จักกัน ยิ่งไปกว่านั้นความสัมพันธ์คงจะมิธรรมดาด้วย”

เจ้าล่าเยวี่ยถาม “เพราะเหตุใด?”

“เพราะราชวงศ์ตระกูลจิ่งกับสำนักจงโจวที่ความใกล้ชิดกันมาโดยตลอด ศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักจงโจวไม่มีทางไม่รู้จักรัชทายาทองค์ปัจจุบัน”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ดังนั้นพวกเขากำลังหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นสงสัย”

เจ้าล่าเยวี่ยจ้องมองดวงตาของเขา กล่าวถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

หมวกลี่เม่าปิดบังใบหน้าของจิ๋งจิ่วเอาไว้ กระดาษที่เปื้อนเลือดถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน แต่มันก็ยังมิอาจรอดพ้นสายตาของนางไปได้

จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “เทียนจิ้นเหรินคิดอยากจะทำอะไรบางอย่าง แต่ข้าไม่ยอม”

“เจ้าได้รับบาดเจ็บ?”

เจ้าล่าเยวี่ยหันหน้ากลับไปมองดูกระท่อมเก่าที่อยู่ในป่าเหมย

จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่เป็นไร เขาเองก็บาดเจ็บไม่น้อยเช่นกัน”

นางถามว่า “ในกระท่อมเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าถามคำถามหนึ่ง เขาถามคำถามหนึ่ง คำถามของข้าค่อนข้างง่าย คำถามของเขาค่อนข้างยาก สุดท้ายเลยจากกันแบบไม่ค่อยดีเท่าไร”

เจ้าล่าเยวี่ยคิดถึงความลับในตัวเขาเหล่านั้น คล้ายจะเดาได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น จึงกล่าวว่า “ข้าไม่น่ามาที่นี่ มิเช่นนั้นเจ้าก็คงไม่ต้องเจอเขา”

“สุดท้ายข้าเจอเขา มันมิได้เกี่ยวอะไรกับเจ้า แล้วก็มิได้เกี่ยวอะไรกับเขา”

จิ๋งจิ่วพูดความจริง

ที่เขาเดินจากป่าเหมยกลับไปยังกระท่อมเก่า ดูคล้ายเป็นเพราะเทียนจิ้นเหรินเอ่ยถึงจิ่งหยาง

แต่ตัวเขารู้ว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้าง

สาเหตุที่แท้จริงที่เขามาพบเทียนจิ้นเหรินนั้นเป็นเพราะเขาอยากรู้

ในข่าวลือบอกว่าอาจารย์แห่งสำนักปัญญาชนไป๋ลู่ผู้นี้คือคนที่เข้าใกล้หนทางสู่สวรรค์มากที่สุดบนโลก

เขาเคยเห็นหนทางสู่สวรรค์

เขาจึงอยากพิสูจน์ดูว่าหนทางสู่สวรรค์ที่ตนเองและเทียนจิ้นเหรินได้เห็นนั้นเหมือนกันหรือไม่ เพื่อจะได้ทำลายความสงสัยภายในใจเหล่านั้น

ที่น่าเสียดายก็คืออีกฝ่ายยังอยู่ห่างไกลจากหนทางสู่สวรรค์มากนัก ไม่สามารถช่วยเขาพิสูจน์อะไรได้

เรื่องเหล่านี้ยากจะอธิบาย เขาเองก็ไม่อยากอธิบาย

เมื่อเดินตามทางหินมาถึงปากทางเข้าสวนดอกเหมย บนถนนที่อยู่ไม่ไกลมีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังลอยมา

ดูแล้วชายหนุ่มที่หยิ่งยโสมองไม่เห็นหัวคนอื่นผู้นั้นยังคงไล่เก็บกวาดเหล่าเจ้าของแผงหมากรุกที่อยู่บนถนนอยู่

มิรู้เป็นเพราะเหนื่อยหรือว่าเป็นเพราะอาการบาดเจ็บ จิ๋งจิ่วจึงหยุดฝีเท้า ก่อนจะนั่งลงไปบนบันไดหิน

เขามองดูกลุ่มคนที่อยู่บนถนนที่ไกลออกไป พลางกล่าวว่า “ลั่วไหวหนานเข้าไปในกระท่อมถามคำถาม ทำไมเขาถึงไม่เข้าไป?”

เจ้าล่าเยวี่ยรู้ว่าเขาหมายถึงชายหนุ่มที่เล่นหมากรุกผู้นั้น

นางเองก็รู้ว่าชายหนุ่มที่เล่นหมากรุกอยู่ผู้นั้นคือใคร

แต่นางไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้

จิ๋งจิ่วกล่าว “เพราะเขาเป็นคนฉลาดอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้นยังหยิ่งทะนงมากพอด้วย”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “หยิ่งทะนงนั้นข้าเข้าใจ แต่ที่ว่าฉลาดนั้นหมายความว่าอย่างไร?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “เพราะเขาไม่ได้เข้าไปในกระท่อมถามคำถาม”

เจ้าล่าเยวี่ยคิดในใจ นี่มันก็วนกลับมาคำถามเดิมมิใช่หรือ?

นางกล่าวว่า “รู้สึกเหมือนเจ้ากำลังว่าข้าโง่”

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าก็มิได้ถามไม่ใช่หรือ?”

เจ้าล่าเยวี่ยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”

“เพราะนี่คือคำถามที่ข้าถามเทียนจิ้นเหริน”

จิ๋งจิ่วกล่าววว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ถาม แล้วก็รู้ว่าลั่วไหวหนานถามอะไร”

เจ้าล่าเยวี่ยรู้สึกสนใจคำถามของลั่วไหวหนานอย่างมาก

จิ๋งจิ่วเล่าคำถามของเขาและคำถามของเทียนจิ้นเหรินให้เจ้าล่าเยวี่ยฟัง จากนั้นกล่าวว่า “คำถามที่ว่านั้นล้วนแต่ถามให้คนทั้งโลกรู้ ความจริงแล้วคำตอบของคำถามไม่สำคัญ เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนี้อีกร้อยปี ใครจะพูดได้ถูกต้อง? สิ่งสำคัญก็คือคำถามที่ว่าจะทำให้คนที่ถามได้รับคำวิจารณ์อย่างไร”

เจ้าล่าเยวี่ยพอจะเข้าใจความหมายของเขา

หากคำถามของลั่วไหวหนานแพร่กระจายออกไป มันจะทำให้ภาพลักษณ์ของเขายิ่งดูสูงส่งขึ้น

เพราะสิ่งที่เขาสนใจมิใช่ธัญญาหาร พืชผัก อากาศอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิและดอกไม้ที่ผลิบาน หากแต่เป็นอนาคตและชะตาชีวิตของเผ่าพันธุ์มนุษย์

ชายหนุ่มชุดแพรผู้นั้นหากมีโอกาสได้เข้าไปในกระท่อม ก็ย่อมไม่มีทางถามว่าฝ่าบาทเสินหวงจะอยู่ได้อีกกี่ปีแน่นอน ถึงแม้นั่นจะเป็นคำถามที่เขาอยากรู้ที่สุดก็ตาม

ชายหนุ่มชุดแพรจะต้องทำเหมือนลั่วไหวหนาน ถามอะไรที่มันดูสวยงาม ไม่มีอะไรให้ตำหนิได้

ชายหนุ่มที่เล่นหมากรุกผู้นั้นเป็นเพราะเข้าใจในจุดนี้ อีกทั้งด้วยนิสัยที่ยิ่งยโสเย็นชา เขาจึงไม่ยอมเข้าไปในกระท่อม?

เจ้าล่าเยวี่ยเพียงรู้เพียงว่าที่ตนเองมิได้ถามออกไป ไม่ใช่เป็นเพราะเหตุผลนี้

นางอยากรู้เบาะแสของนักพรตจิ่งหยางจริงๆ แต่ไม่กล้าเสี่ยง

นอกจากนี้ นางยังอยากรู้ด้วยว่าจิ๋งจิ่วเป็นใครกันแน่

“คำถามนี้เจ้าน่าจะถามข้าตรงๆ”

จิ๋งจิ่วมองดวงตาของนางพลางกล่าว “ข้าก็คือคนที่…”

เจ้าล่าเยวี่ยยกมือขวาขึ้นมา เพื่อบอกเขาว่าไม่ต้องพูดแล้ว

จิ๋งจิ่วมองดูนางเงียบๆ แสดงออกถึงความไม่เข้าใจ

……………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด